มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ศึกบาร์ฮารา: สิ้นพระเพลิง


เบื้องหน้าประตูป้อมบาร์ฮารา บรรดาขุนพลของทัพอสูรใหม่ ยืนเรียงรายเตรียมรับเจ้าหญิงของพวกเขาเดินเข้าสู่ป้อมในฐานะผู้พิชิต บนเชิงเทิน บัดนี้ประดับไว้ด้วยธงประจำกองกำลังนีโอกลาดผืนใหญ่ โบกสะบัดพลิ้วลมอย่างสง่างาม

ขุนพลที่อยู่หน้าป้อม ได้แก่ คลาอุส, เมย์มี, สเกลต้า, ซาโต้และลูเซย์เดอร์ นอกจากนั้น ที่ข้างกายคลาอุส ยังคุมตัวเจ้าบริโมรินที่ถูกเชือกอาคมมัดไว้และนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นด้วย สีหน้าของเชลยศึกสงบเฉย เหมือนไม่ยี่หระต่อความเป็นตายของตนเองแล้ว คงทอดสายตามองออกไปเบื้องหน้านิ่ง

ร่างของบุคคลสามคนเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ... ฮิโระ ซากิฟอน และชิกนั่นเอง

ฮิโระและซากิฟอนพากันเดินกลับออกจากกลางท้องทุ่ง ทิ้งไว้เบื้องหลังซึ่งผู้กล้าเกรย์และผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทที่เมื่อหายตะลึงก็ค่อย ๆ ประคองกันเดินจากไปอีกทิศหนึ่ง สภาพของเจ้าหญิงอสูรที่เดินช้า ๆ ทำให้มองออกว่า เธอได้รับบาดเจ็บบอบช้ำจากการศึกครั้งนี้มิใช่น้อย ชิกที่วิ่งเข้าไปสมทบกับทั้งสองคนกลางทาง ยื่นเสื้อคลุมให้องค์หญิงของเขาตัวหนึ่ง เธอรับมันไปคลี่คลุมลงบนร่างอันสะบักสะบอมยับเยินของตนอย่างไม่พิถีพิถันมากนัก กุนซือชาวมนุษย์กล่าวอะไรบางอย่างกับเธอสองสามประโยค มองจากฝ่ายที่ยืนรออยู่หน้าป้อมปราการบาร์ฮารา สังเกตเห็นว่าฮิโระหยุดนิ่งครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ชิกจะเอ่ยปากซ้ำอีก คราวนี้เขาถึงกับก้มศีรษะขอร้องเธอเลยทีเดียว ในที่สุด ฮิโระก็สาวเท้าเดินต่อ...นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ซาโต้ที่ยืนอยู่ในกลุ่มหน้าป้อมด้วย เข้าใจได้ว่า องค์หญิงยินยอมตามคำขอบางอย่างของชิกแล้ว

'เจ้าชิกทูลขออะไรองค์หญิงนะ?' เป็นคำถามในใจของนินจา...รวมทั้งของทุกคนในที่นั้นด้วย หากแต่ฝ่ายหลังคงไม่อาจหยั่งรู้ได้ว่า ฮิโระได้ตอบรับคำของชิกด้วยท่าทีตามแบบฉบับของเธอแล้ว

ในที่สุดประมุขวัยเยาว์แห่งนีโอกลาดก็เดินมาถึงหน้าป้อมฯ คลาอุสกล่าวรายงานผลการรบสั้น ๆ

"ทำได้ดีมาก ทุกคน" ฮิโระกล่าวชมสั้น ๆ "พวกเราเข้าไปพักผ่อนใน 'ที่มั่นแห่งใหม่' ของพวกเรากันเถิด"

"แล้ว...เชลยผู้นี้เล่าขอรับ จะตัดสินโทษมันอย่างไร" คลาอุสถาม ชำเลืองสายตาไปยังจ่าฝูงบริโมรินที่ถูกพันธนาการอยู่ข้าง ๆ

"..." ฮิโระมองหน้าบริโมรินนิ่ง อีกฝ่ายมองตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน ในที่สุดฝ่ายแรกก็หันไปเอ่ยกับคลาอุส "เขายอมจำนนเองมิใช่รึ? เจ้ายื่นเงื่อนไขอันใดให้เขาล่ะ?"

"ข้ารับประกันความอยู่รอดของบรรดาพลเรือนกอบบลินในป้อมแห่งนี้ให้แก่มันขอรับ"

"..." ฮิโระไม่ตอบกระไร หันไปทางบริโมรินอีกครั้งหนึ่ง "เจ้าช่างทำความเดือดร้อนแก่เรานัก จ่าฝูงกอบบลินเอย"

"หึ ๆ ๆ" บริโมรินยังมีแก่ใจแค่นหัวเราะ "ถึงข้าจะไม่ก่อสงครามกับพวกท่านก่อน ช้าเร็ว ท่านก็ต้องยกทัพมาตีแคว้นนี้อยู่ดี"

"ฮึ ใครจะตีแคว้นของตัวเองเล่า" เจ้าหญิงอสูรตอบ "เจ้าละเมิดคำสัตยาบันที่เคยให้แก่ท่านพ่อของเราต่างหาก"

"...ท่าน...ยังนับข้าเป็นพวกท่านอยู่รึ?" ดวงตาบริโมรินฉายแววตกใจ "...หลังจากที่ท่านจาเนสสิ้นแล้วน่ะ"

"จอมราชันย์อสูรจาเนสมิได้เพิกเฉยหรือมองข้ามเจ้าไปหรอกนะ บริโมรินเอย" ฮิโระตอบสายตาของเธอจับจ้องที่อีกฝ่ายนิ่ง ดวงตาทอประกายแจ่มจรัสบ่งบอกถึงความจริงใจในสิ่งที่กล่าว "เจ้าเองต่างหากที่หวาดระแวงในความคงอยู่ของเผ่าพันธุ์ของเจ้าจนเกินเหตุ...หรือไม่จริง?"

"..." กอบบลินร่างอ้วนไม่ตอบ ความเงียบเข้าปกคลุมบริเวณพักใหญ่ แล้วในที่สุดมันก็ตัดสินใจพูดขึ้นว่า "เรื่องมาถึงป่านนี้แล้ว ท่านจะประหารเราก็เชิญเถิด อย่าได้เสียเวลาอยู่เลย ข้าพร้อมแล้ว"

"ฮึ ๆ ๆ" ฮิโระหัวเราะในลำคอ "หากประหารเจ้าแล้ว จะหาใครจะเป็นจ่าฝูงกอบบลินได้ดีเท่าเจ้าเล่า?"

"?" บริโมริน...รวมทั้งบรรดาขุนพลฝ่ายนีโอกลาดที่ยืนอยู่ด้วยต่างตกตะลึงกับคำพูดนี้ของเธอ นี่มิเพียงหมายความว่า เจ้าหญิงอสูรยกโทษให้บริโมรินเท่านั้น ยังจะให้มันเป็นขุนพลในสังกัดอีกด้วย!

คลาอุสเอ่ยปากจะคัดค้าน พร้อม ๆ กับเมย์มีแต่แล้วทั้งสองก็กลับเปลี่ยนใจพร้อมกันราวกับนัดหมาย ฝ่ายแรกเพราะเหลือบไปเห็นท่าทีสงบนิ่งของชิกที่ยืนอยู่เบื้องหลังฮิโระ ทำให้ฉุกใจได้ว่านี่คงเป็นสิ่งที่ชิกขอต่อเจ้าหญิง ส่วนฝ่ายหลังเปลี่ยนใจด้วยการตัดสินใจของตนเอง เมื่อได้เห็นท่าทีเชื่อมั่นของฮิโระ

"เจ้าจะยินดีสวามิภักดิ์ต่อเรา เฉกเช่นที่เคยสวามิภักดิ์ต่อบิดาเราหรือไม่?" เป็นคำถามตรง ๆ

"..." บริโมรินอึ้งไป มันไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้ "ท่านยังมิได้ดำรงตำแหน่ง 'จอมราชันย์อสูร' มิใช่หรือ?"

"ตำแหน่งนั้นสำคัญไฉน ในเมื่อเราคือประมุขแห่งนีโอกลาดโดยชอบธรรมอยู่แล้ว ณ บัดนี้" ฮิโระตอบ "แลอีกไม่นาน ดินแดนของพวกมนุษย์ในส่วนที่เคยเป็นของอสูรมาก่อนก็จะต้องกลับมาอยู่ใต้ร่มธงของทัพอสูรสายเลือดใหม่ของเราด้วย!"

คำพูดนี้ในภายหลัง นับเป็นคำประกาศเจตนารมย์อันชัดเจนของฮิโระ และถูกขนานนามว่า เป็นคำพูดที่เป็นบ่อเกิดของเชื้อสงคราม...สงครามครั้งยิ่งใหญ่ในทวีปเนฟเวอร์แลนด์ ที่กำลังจะประทุขึ้นในไม่ช้า...

"ฮ่า ๆ ๆ ดี กล่าวได้สมใจข้านัก..." จ่าฝูงกอบบลินเงยหน้าหัวเราะขึ้นอย่างสะใจ พริบตาต่อมา มันสะบัดตัววูบเดียว แขนทั้งสองก็กางออกดึงให้เชือกอาคมที่ดูเหมือนว่าจะมัดมันไว้อยางแน่นหนาขาดผึงออกจากกันราวกับเป็นเศษผ้ายุ่ย คลาอุสเผยอริมฝีปากตื่นตระหนก เพราะเขาเป็นผู้ลงมือพันธนาการเชลยศึกผู้นี้เองกับมือ มิคาดว่าพันธนาการนั้นหามีความหมายใด ๆ ไม่

บริโมรินเหยียดแขนทั้งสองออกไปเบื้องหน้าแล้ววางฝ่ามือลงกับพื้น ก้มศีรษะลงต่อหน้าฮิโระ

"ข้าและมวลกอบบลินทั้งผอง ขอสวามิภักดิ์ต่อเจ้าหญิงฮิโระ"

"ขอบใจ" ประมุขแห่งนีโอกลาดกล่าวตอบ รอเมื่ออีกฝ่ายเงยศีรษะขึ้นเธอก็บอกว่า "เจ้าลุกขึ้นเถิด เราต้องการคนที่จะจัดการเรื่องที่พักของทัพพวกเราในที่นี้นะ"

"ขอรับ"

ขุนพลคนใหม่ของทัพนีโอกลาดลุกขึ้นแล้วเดินนำเข้าไปในป้อม ฮิโระสาวเท้าตามไปทันที ระหว่างที่เดินผ่านคลาอุส เธอสบตาเขาเป็นเชิงตำหนิ ก่อนจะเดินเลยไป แน่นอน คลาอุสเองก็รับรู้ว่าตนเองประมาทกอบบลินผู้นี้ไปหลายขั้นทีเดียว สถานการณ์เมื่อครู่ หากมิใช่ฮิโระสามารถเอาชนะใจของบริโมรินได้ด้วยคำพูดสั้น ๆ เพียงไม่กี่ประโยคแล้วละก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหม่ขึ้นอีกและคราวนี้ เป้าหมายหลักก็คงจะไม่แคล้วเป็นตัวเจ้าหญิงอสูรเองอย่างแน่นอน

ในขณะที่บรรดาขุนพลนีโอกลาดทยอยเดินเข้าป้อมไป คลาอุสจงใจชลอฝีเท้าลงจนมาเดินเคียงกับชิกที่ดูเหมือนจะจงใจเดินรั้งท้ายเช่นกัน

"ท่านคงมีอะไรจะถามข้ากระมัง?" ชายหนุ่มชาวมนุษย์เป็นฝ่ายเริ่มก่อน

"... ท่านทราบได้อย่างไรว่าบริโมรินยังไม่สิ้นฤทธิ์?"

"ข้าไม่ทราบหรอก.."

"อ้าว แล้วท่านมิได้ให้คำแนะนำเจ้าหญิงหรอกรึ?"

"หามิได้ ข้าเพียงแต่ทูลขอให้องค์หญิงไว้ชีวิตเจ้าบริโมรินต่างหาก บังเอิญโชคดีที่องค์หญิงสามารถเจรจาจนมันกลับใจมาเป็นพวกเรา..." ชิกทำหน้าสยดสยอง เขาอดจินตนาการไม่ได้ว่า ถ้าเมื่อสักครู่การณ์เป็นอีกรูปแบบหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้น!

"แล้ว ทำไมท่านต้องช่วยบริโมรินด้วย"

"เพราะเขามิใช่คนผิดที่แท้จริงนะสิ เอาเถิดเรื่องนี้ วันหลังเราจะได้มีโอกาสมาอธิบายกันแน่นอน เพราะข้าก็ยังมิได้บอกแก่องค์หญิงเลย"

"อืม... ดูเหมือนท่านรู้อะไรอีกมากนะ"

"ด้วยความบังเอิญน่ะท่าน"

...

แสงจากอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าฉาบทาห้วงนภาจนเป็นสีแดงดุจพระเพลิง ชายหนุ่มผมทองที่ยืนอยู่บนเนินเตี้ย ๆ แห่งหนึ่งทอดสายตามองไปยังดวงตะวันที่เหลือพ้นปฐพีเพียงเสี้ยวดวงอย่างเหม่อลอย ในใจประหวัดคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในสองสามวันนี้ และความคิดของเขาหยุดที่คำสั่งเสียของผู้อาวุโสที่ยังคงก้องอยู่ในหัวสมอง

"พ่อหนุ่มเกรย์เอย จงเชื่อข้า-ผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทคนนี้สักหนหนึ่งเถิด...."

"ท่านบ๊ากรู้ท..."

"ศัตรูที่แท้จริงของเผ่ามนุษย์หาใช่ทัพอสูรใหม่ภายใต้การนำขององค์หญิงฮิโระไม่....จากการที่ได้สู้รบกับนางโดยตรงในวันนี้ ข้าสัมผัสถึงความจริงในข้อนี้ได้ดี...แลเชื่อว่าเจ้าเองก็เช่นกัน"

"..."

"และสิ่งหนึ่งที่ข้าเองก็นึกสงสัย คือ ทำไมเจ้ากับข้าจึงได้มาพบกันและร่วมมือกันในครั้งนี้ได้ เจ้าลองไตร่ตรองดูให้ดีเถิดว่าเจ้าเองได้มาปรากฏตัวครั้งนี้ ด้วยความตั้งใจของตนเองจริง ๆ หรือไม่"

"..." เกรย์เริ่มมีสีหน้าครุ่นคิด

"เฮ้อ....ข้าผู้เฒ่าก็อยู่มาจนปานนี้แล้วนะ เห็นการเปลี่ยนแปลงในโลกก็นักต่อนักแล้ว....แผ่นดินแม่เนฟเวอร์แลนด์มีอาถรรพ์อยู่อย่างหนึ่ง--ไม่สิ เรียกว่ากฎแห่งธรรมชาติจะถูกต้องกว่ากระมัง เผ่าพันธุ์ใดที่มีอำนาจมากเกินไปและใช้อำนาจนั้นท้าทายธรรมชาติ ท้าทายต่อพระวิญญานของแผ่นดินแม่ เผ่าพันธุ์นั้นย่อมต้องถึงกาลวิบัติ ในสมัยก่อน ราชันย์อสูรจาเนสก็เปรียบเสมือนคำพิพากษาจากธรรมชาติที่ส่งมาควบคุมพวกเราเหล่ามนุษย์นั่นเอง หากแต่พวกเราร่วมมือร่วมใจจนได้ชัยชนะแก่ทัพอสูรในช่วงหลัง ๆ ความเคลื่อนไหวต่อมาก็คือ ความเคลื่อนไหวของใต้พิภพ..."

บ๊ากรู้ทหยุดนิดหนึ่งเพื่อตรวจสอบปฏิกิริยาของผู้อ่อนวัยกว่าซึ่งกำลังฉายแววตกใจในดวงตาทั้งสองอย่างปิดบังไม่มิด

"เหอ ๆ ดูท่า สิ่งที่ข้ารู้มาจะเป็นความจริงสินะ เจ้าหนุ่มเอ๋ย ที่ว่า พวกเจ้าห้าคนซึ่งต่อมาได้ชื่อว่าผู้กล้าแห่งศึกธรรม-อสูรเคยไปค้นหา 'กุญแจแห่งยมโลก' แล้วนำมันไปสะกดลงยันต์ไว้ เพื่อมิให้ท่าน 'มุเง็น' มีโอกาสยกไพร่พลมาสู่บนผิวโลกได้"

"ท่านทราบด้วย...."

"ใช่"

"พวกเราทำการนั้นเป็นความลับแท้ ๆ..."

"ด้วยเกรงชาวมนุษย์ที่ขวัญอ่อนจะเกิดปั่นป่วนวุ่นวายละสิ..."

"ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่า"

"และต่อมา พวกเจ้าทั้งห้าก็เป็นผู้นำในการปิดกั้นความเคลื่อนไหวในเฮือกสุดท้ายของทัพอสูร จนเกิดเป็นศึกธรรม-อสูรเมื่อสิบสองปีก่อน..."

"..."

"เกรย์เอย... หากเจ้าและพวกรวมห้าคน มีความปรารถนาดีจริงต่อเหล่ามวลมนุษย์แล้วละก็...เจ้าจงทำตัวหายจากหน้าประวัติศาสตร์สักชั่วครู่เถิด ไปสืบดูเรื่องราวต่าง ๆ ให้กระจ่างชัดด้วยตัวเจ้าเอง ข้าขอทำนายว่า อีกไม่ช้า มวลมนุษย์จะตกอยู่ในภัยพิบัติที่ต้องพึ่งพาห้าผู้กล้าอีกครั้งหนึ่ง"

"และในตอนนั้น ศัตรูของพวกเราหาใช่เจ้าหญิงฮิโระไม่ ... ท่านหมายความเช่นนั้นหรือ?..."

"ถูกต้องแล้ว..."

...

ความคิดของเกรย์มาหยุดที่ตรงนี้ เขายืดกายขึ้นอย่างตัดสินใจเด็ดขาด หันมองไปทางทิศที่เป็นที่ตั้งของหอคอยบาร์ฮารา รำพึงในใจว่า

"ข้าจะเชื่อท่าน บ๊ากรู้ท..."

ดวงอาทิตย์ยามอัสดง ทอดผ่านร่างของเกรย์จนบังเกิดเป็นเงายาวบนพื้นดิน ร่างของเขาก้าวเดินไปตามทางเดินอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง ภายในช่วงเวลาปีหรือสองปีข้างหน้านี้ คงจะไม่มีใครได้พบเห็นเขาอีก

"ก่อนอื่น คงจะต้องตามหาตัวโกรมิลก่อนกระมัง...."

...

ร่างผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิบนพื้นอย่างสงบ และหลับตาทั้งสองข้างอยู่นั้น มีอันต้องลืมตาขึ้นช้า ๆ เพื่อเพ่งพิจให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตนรับรู้ได้ เป็นความจริง

"มาแล้วหรือ?"

"..." เบื้องหน้าของท่านเป็นเด็กสาววัยรุ่นในชุดเสื้อกระโปรงสีขาวสดใส ประดุจจะเปล่งประกายให้รอบตัวสว่างไสวขึ้นในท่ามกลางความมืดครึ้มของหอคอยบาร์ฮาร่าแห่งนี้ เด็กสาวจ้องมองผู้อาวุโสกว่าอยู่อึดใจหนึ่งจึงทรุดกายลงนั่งกับพื้นบ้าง วางเคียวซาตานเล่มยาวใหญ่ไว้ข้างกาย

"หุหุหุ ยิ่งพิศก็ยิ่งเหมือนหลานข้ายิ่งนัก องค์หญิงอสูรเอย" บ๊ากรู้ทจับจ้องดวงพักตร์จิ้มลิ้มนั้นก่อนที่จะแค่นหัวเราะในลำคอแล้วรำถึงออกมาอย่างเลื่อนลอย สุดท้ายท่านอดถอนใจไม่ได้
"เรามามิได้ให้ท่านผู้เฒ่าดูหน้าเราดอกนะ...มีธุระอันใดก็จงกล่าวไปเถิด อุตส่าห์ส่งคลื่นเวทมนตร์ไปเชิญเราทั้งที"

"อืม..." อัจฉริยภาพแห่งเพลิงยิ้มอย่างเอ็นดูบุคคลเบื้องหน้า "ขอบใจ ที่เจ้าฟังคำคนชราเช่นข้า"

"ทำไมท่านเลือกสถานที่นี้ด้วย ท่านต้องการรอวาระสุดท้าย ณ ที่นี้หรืออย่างไร" ฮิโระมองไปรอบ ๆ ตัวพลางเปรยขึ้น

บัดนี้ทั้งสองอยู่ในชั้นล่างสุดของหอคอยบาร์ฮาร่า หลังจากจบสิ้นการศึกเมื่อกลางวันแล้ว บ๊ากรู้ทได้รับการประคับประคองจากเกรย์ให้เดินมาได้สักระยะหนึ่ง ท่านก็บอกให้เกรย์มาส่งท่านที่หอคอยแห่งนี้ แน่นอน คำสั่งเสียที่ท่านฝากฝังคำชี้แนะไว้ให้แก่นักดาบหนุ่ม ก็กระทำภายในหอคอยแห่งนี้เช่นกัน

"ข้ามิได้พิสวาสสถานที่แห่งนี้จนเลือกมันเป็นเรือนตายหรอก องค์หญิงอสูร" ผู้เฒ่าตอบ "เพียงแต่ว่า ถ้าเป็นที่นี้ละก็...เราจักได้คุยกันโดยไม่ต้องกลัวว่ามหาเทพโคเรียบนสรวงสวรรค์จะหยั่งรู้ได้" คำมหาเทพโคเรียที่หลุดปากออกมาทำให้อีกฝ่ายเกร็งตัวขึ้น เพ่งสายตาวาววับมองมาทางนี้อย่างสนใจ ฃณะที่ผู้พูดเอง ขณะเอ่ยคำคำนี้ก็อดที่จะเหลือบตามองขึ้นเบื้องบนไม่ได้เช่นกัน

"...โคเรีย...หรือ?"

"ถูกแล้ว..." บ๊ากรู้ทพยักหน้า "เวลาของข้าเหลือน้อยเหลือเกินแล้ว ขอองค์หญิงโปรดตอบข้าตามตรงเถิด เมื่อตอนที่จอมราชันย์อสูรจาเนสถึงแก่กาลดับสิ้น ได้สั่งเสียไว้แก่เจ้าเช่นใดบ้าง?"

"..." ฮิโระขมวดคิ้วและอึ้งอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจ "ท่านจะทราบไปทำไม?"

"เจ้าบอกข้ามาก่อนเถิด"

"ได้...ท่านพ่อบอกให้เราทำสิ่งที่เราเห็นควร และท่านสั่งให้เราระวังเจตนารมย์ของสี่สิ่ง"

"อะไรบ้าง?"

"เจตนารมย์แห่งสวรรค์, แห่งพิภพ, แห่งบาดาล และแห่งจักรวาล"

"สวรรค์, พิภพ, บาดาลและจักรวาลหรือ?" ในดวงตาของผู้เฒ่าทอประกายแวววับขึ้นมาวูบหนึ่งด้วยประจักษ์ถึงความจริงบางอย่างที่ค้างคาในใจของตนมานาน และได้รับคำตอบในบัดดลนี้เอง ท่านหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วพึมพำออกมาเบา ๆ แทบจะไม่ได้ยิน หากแต่ด้วยหูของเผ่าอสูรเช่นฮิโระ เธอย่อมได้ยินชัดเจนทุกคำพูดทีเดียว "เหอะ ๆ ๆ มาเรียเอ๋ย เจ้าเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ ปู่เองเสียอีกที่หลงเข้าใจเจ้าผิดเสียนาน ยกโทษให้ปู่ที่หัวคร่ำครึคนนี้ด้วยเถิด..."

"..." นาม 'มาเรีย' ที่หลุดจากปากอีกฝ่าย ทำให้เด็กสาวชาวอสูรที่กำลังจะอ้าปากถามว่าผู้เฒ่าเข้าใจความหมายของคำสั่งเสียของบิดาตนหรือไม่ ต้องกลับนิ่งเม้มริมฝีปากของตนใหม่

ความเงียบเข้าปกคลุมรอบกายบุคคลต่างวัยทั้งสองอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดฝ่ายสูงวัยกว่าก็ทำลายบรรยากาศวังเวงนั้นลง

"เจตนารมย์แห่งสวรรค์ หมายถึง โคเรียนั่นเอง องค์หญิงอสูรเอ๋ย... ท่านผู้นี้มีแผนการอะไรในใจเกี่ยวกับอนาคตของเนฟเวอร์แลนด์เป็นสิ่งที่หามีใครหยั่งรู้ได้ไม่..."

ท่านเงยหน้ามาสบตากับฮิโระตรง ๆ ก่อนจะกล่าวต่อ

"มองผิวเผิน เหมือนโคเรียเป็นฝ่ายมนุษย์ แต่แท้จริงแล้ว มนุษย์อาจจะเพียงถูกท่านหลอกใช้เป็นเครื่องมืออยู่ก็เป็นได้..."

"..."

"ที่จริง องค์ราชันย์อสูรจาเนสย่อมต้องรู้ดีถึงเจตนารมย์ของโคเรีย แต่น่าเสียดาย....ที่ท่านมิได้บอกให้เจ้ารับรู้ไว้เลย..."

"..."

"ปัญหาสำคัญคือ เจตนารมย์แห่งพิภพ มากกว่า....นี่ย่อมหมายถึง เจตนารมย์แห่งแผ่นดินแม่ เนฟเวอร์แลนด์ที่พวกเราทุกเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่นั่นเอง ....แผ่นดินแม่เนฟเวอร์แลนด์ต้องการอะไร? หากเจ้ารู้คำตอบนี้ได้ ข้าคิดว่าหลาย ๆ อย่างจะกระจ่างขึ้นมาโดยพลัน โดยเฉพาะเรื่องที่ว่า ใครคือมิตร แล ใครคือ ศัตรูที่แท้จริง"

"แล้วเราจะทราบเจตนารมย์แห่งพิภพได้อย่างไรเล่า?"

"...นั่นเจ้าต้องหาคำตอบเอง เด็กเอ๋ย ข้าก็ไม่อาจทราบได้เช่นกัน"

"..."

"สำหรับเจตนารมย์แห่งบาดาล ข้าเข้าใจเอาเองว่า หมายถึง องค์พญายมราช มุเง็น นั่นเอง"

"มุเง็นหรือ?"

"สิบสามหรือสิบสี่ปีก่อน ก่อนเกิดศึกธรรม-อสูร มุเง็นเคยแสดงท่าทีจะขึ้นมาข้องแวะกับความเป็นไปบนพื้นพิภพอยู่พักหนึ่ง หากแต่มนุษย์ห้าคนได้ลงยันต์สะกดปิดกั้นประตูเชื่อมต่อระหว่างพิภพกับบาดาลเสียก่อน..."

"..."

"บุคคลทั้งห้าคือ ผู้ที่พวกเรารู้จักกันดีในนามของห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรนั่นเอง"

"พวกเขาอีกแล้วหรือ?"

"อืม...แต่ บอกตามตรงข้าเองไม่เชื่อว่าพวกเขาเหล่านั้นจะรู้เรื่องเจตนารมย์แห่งบาดาลหรอกนะ... บางทีพวกเขาอาจทำไปภายใต้การชี้นำอย่างลับ ๆ ของโคเรียก็ได้" ผู้เฒ่ากล่าวอย่างครุ่นคิด "เฉกเช่นที่ข้ากับเกรย์ มาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าในครั้งนี้ ก็ด้วยการชักนำของโคเรียเช่นกัน...องค์มหาเทพคงคิดว่าทำทุกสิ่งได้แนบเนียนแล้ว แต่ข้าก็รู้สึกผิดสังเกตจนได้ แม้ว่ากว่าจะรู้ตัว ข้าก็ทำตามสิ่งที่โคเรียต้องการเข้าไปแล้วอย่างจัง..." หยุดไปนิดหนึ่งก่อนพูดต่อ "โดยการทำร้ายเจ้า"

"..."

"อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง เด็กเอ๋ย"

"เราไม่เป็นอะไรมาก"

"อืม... ข้าเสียใจต่อเจ้า ที่ร่วมมือกับเกรย์ทำร้ายเจ้าครั้งนี้" บ๊ากรู้ทก้มศีรษะเล็กน้อยให้ 'เหลน' ของตนเอง "แต่มันก็ดีที่ทำให้เราได้มีโอกาสมาพบกัน คุยกันเช่นนี้"

"ท่านผู้เฒ่านอนพักเถิด วาระสุดท้ายของท่านใกล้เข้ามาแล้วนี่..." ฮิโระเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามซ่อนความรู้สึกไว้ เธอรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตของบุคคลตรงหน้าที่กำลังใกล้ดับมอดลงทุกที

"ให้ข้าได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเหลนของข้าสักหน่อยเถิด" บ๊ากรู้ทยิ้ม "เจ้าเข้ามาใกล้ ๆ ข้าอีกนิดจะได้ไหม?..."

"..." ฮิโระนิ่งไม่ตอบคำ เธอจ้องมองตาผู้สูงวัยก่อนที่จะขยับตัวเลื่อนเข้าไปใกล้อีกฝ่ายตามคำบอก

"---" บ๊ากรู้ทยกมือที่เริ่มจะสั่นเทาของตนขึ้น ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางที่หนีบติดกันวาดเป็นรูปวงกลมอาคมบนอากาศ ท่านร่ายเวทย์กำกับไปด้วยก่อนที่จะค่อย ๆ เลื่อนมือนั้นเข้าไปหาฮิโระ เด็กสาวขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ยินยอมอยู่นิ่ง ๆ แต่โดยดี เมื่อสบสายตาอันแสดงเจตนาแน่วแน่ของผู้เฒ่าจนเธอไม่สามารถปฏิเสธได้

"เจ้ารับคาถาปลุกเสกสัตว์อาคมนี้ไปเถิด ฮิโระเอ๋ย ... วันหน้า เจ้าอาจจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน..." ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางของท่านจ่อเข้ากลางหน้าผากของเด็กสาว บังเกิดเป็นแสงสว่างวาบขึ้นคราวหนึ่งแล้วก็หายไป

"ท่านผู้เฒ่า..."

"ฮึ จนแล้วจนรอด จะไม่เรียกปู่ทวดสักคำเลยหรือ เด็กเอย..." อัจฉริยภาพแห่งเพลิงแค่นยิ้ม

"..." ฮิโระนิ่ง ไม่ตอบแต่ประการใด

"เอาเถิด...ตามใจเจ้า" บ๊ากรู้ทขยับตัวนั่งในท่าตรงก่อนจะกล่าวขึ้นว่า "ทีนี้ข้ามีเรื่องสุดท้ายที่จะขอร้องเจ้าล่ะ เจ้าทำให้ข้าหน่อยได้ไหม?"

"ได้สิ ท่านบอกเรามาเลย"

"..." สายตาของบ๊ากรู้ทเหลือบมองเคียวเกทออฟเฮฟเว่นที่วางอยู่ข้างกายเด็กสาวชาวอสูรแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า "ช่วยส่งวิญญานข้าไปยมโลกให้หน่อยเถิด"

"!!!" ฮิโระมีสีหน้าตกตะลึง

"นี่เป็นความปรารถนาของข้าเอง ข้าเชื่อว่าวิญญานของมาเรียอยู่ที่นั่น และข้าจะไปหานาง..."

"..." ฮิโระนิ่งไปอีก ตบะอาคมของตนบอกว่าพลังชีวิตของอีกฝ่ายเหลือน้อยลงทุกขณะ

"เร็วเข้าเถิด หากวิญญานข้าออกจากร่างไปก่อน ข้าอาจจะถูกดึงดูดไปที่อื่นที่มิใช่ยมโลกก็ได้..."

"...เข้าใจแล้ว..."

ฮิโระคว้าเคียวเกี่ยววิญญานมาถือกระชับในมือ เธอหลับตาลงเพื่อข่มใจ ภาพของพี่สาวตนที่ทำอัตวิบัติกรรมลอยเด่นขึ้นในห้วงมโนทัศน์อย่างไม่ทราบสาเหตุ อา...บุคคลที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเธอคนที่สองแล้วสิ ที่ต้องสังเวยชีวิตกับเคียวนี้ด้วยเหตุผลเดียวกัน

"..." มือของฮิโระสั่นเทิ้ม แต่ในที่สุดเธอก็ลืมตาขึ้น บ๊ากรู้ททันได้สังเกตเห็นหยาดน้ำใส ๆ ในดวงตาทั้งสองข้างของเด็กสาวก่อนที่วิญญานของท่านจะถูกเคียวเกี่ยวออกจากร่างอย่างรวดเร็ว

"ฉับ" แสงสว่างวาบขึ้นเป็นแนวยาวผ่านลำคอของอัจฉริยภาพแห่งเพลิง วาระสุดท้ายของท่านมาถึงแล้ว

"..." ฮิโระกำด้ามเคียวไว้แน่นด้วยมือขวาเพียงข้างเดียวและปล่อยมันห้อยข้างลำตัว สายตาที่มองภาพเบื้องหน้า...ร่างอันไร้วิญญานของบ๊ากรู้ทนั่งตัวตรงอย่างสงบอยู่ หยาดน้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาทั้งสองข้างของตนแต่ไม่ยอมหลั่งไหลลงไปทำให้ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวลงทุกขณะ เธอหลับตาลงอีกครั้ง

"... ลาก่อนค่ะ ปู่ทวด...."

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1