“แถวสองขึ้นมาแทน ดูคนเจ็บด้วย!!!” อัศวินร่างสูงใหญ่ กวัดแกว่งดาบพลางเหลียวหลังไปตะโกนสั่งการเสียงดังก้องบริเวณ บรรดาไพร่พลชาวอัศวินที่ตั้งขบวนอยู่ด้านหลังวิ่งขึ้นมาแทนที่ทันที เหล่าอัศวินที่กำลังตะลุมบอนกับสัตว์ร้ายตั้งแต่ตอนต้นค่อย ๆ อาศัยจังหวะที่พรรคพวกขึ้นมาช่วยนี้ล่าถอยพาผู้บาดเจ็บกลับไปแนวหลัง ขณะนี้พวกเขาอยู่บนชั้นที่สี่ของหอคอยบาร์ฮาร่า ในบริเวณทางเดินที่ทอดผ่านที่ว่างระหว่างกำแพงสองข้างนี้ คือจุดที่เขาและผู้นำทัพ--หรือกล่าวให้ถูกต้องคือ กองทหาร-- อีกคนหนึ่งเลือกเป็นสมรภูมิเลือดที่จะปักหลักสู้กับบรรดามอนสเตอร์ในชั้นสี่ ที่กรูกันเข้ามาจู่โจมอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เอ! แล้วผู้นำทัพอีกคนหนึ่งเล่า? “องค์หญิงไปไหนแล้ว?” อัศวินหนุ่ม หรือ ซากิฟอนตะโกนถามลูกน้องที่อยู่ข้าง ๆ “ตะกี้เห็นบุกเดี่ยวไปกลุ่มข้าศึกทางนั้นแล้วขอรับ” อัศวินผู้กร้านศึกคนหนึ่งตะโกนตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ละสายตาไปจากบรรดาศัตรูที่ร้ายล้อมเขาอยู่ ‘ฮึ่ม เราจะตามไปก็ไม่ได้ ต้องคอยดูพวกไพร่พลนี่...’ ซากิฟอนคิดในใจ ขณะที่ร่างกายก็ยังคงเคลื่อนไหวอย่างรัดกุม ยกโล่ตั้งรับการโจมตีของเหล่าสัตว์ร้าย พลางกวัดแกว่งดาบเล่มโตในมือตอบโต้ เขาเองต้องรบพลางสั่งการไพร่พลไปพลาง และก็ต้องประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ว่าจะรบหรือถอยดี พริบตาที่ละสายตาจากร่างน้อย ๆ ที่ควงเคียวซาตานเล่มยาวนั้น ร่างนั้นก็หายจากคลองจักษุไปเสียแล้ว‘องค์หญิงเร่าร้อนยิ่งกว่าตอนออกศึกจริง ๆ เสียอีก...เพราะเจ้าชิกแท้ ๆ เลย’ เขาหวนนึกไปถึงการประชุมสรุปผลการรบในศึกชิงแคว้นบาร์ฮาร่านี้ ซึ่งการประชุมนั้นจัดขึ้นหลังจากทัพนีโอกลาดผนวกดินแดนของบาร์ฮาราเข้าใต้ร่มธงของตนได้สามวัน หรืออีกนัยหนึ่ง คือหลังจากบรรดาพวกของเจ้าหญิงฮิโระเข้าพำนักในป้อมปราการบาร์ฮาร่าได้สามวันแล้วนั่นเอง ... ทันทีที่ฟังการรายงานสรุปของชิกจบ ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมยกเว้นตัวเจ้าหญิงอสูรเอง ซึ่งก็ได้แก่ ซากิฟอน, ซาโต้, เมย์มี, คลาอุส, ลูเซย์เดอร์, สเกลต้า และรวมทั้งขุนพลคนใหม่ล่าสุด จ่าฝูงแห่งกอบบลินบริโมริน-- ก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิในห้องประชุมนั้นลดลงไปจากเดิมหลายองศา ต่างหายใจไม่ทั่วท้อง แลชำเลืองสายตาจับจ้องปฏิกริยาของผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดแห่งทัพอสูรใหม่เป็นจุดเดียว ที่จริงเนื้อหาตอนต้นของการประชุม ก็ทำให้ทุกคนตกอยู่ในอาการตึงเครียดแล้ว ด้วยเนื้อหามันกระทบกระเทือนต่อตัวของอดีตข้าศึก คือ บริโมรินโดยตรงด้วย แต่ช่วงเวลานั้นก็ผ่านมาได้ด้วยดี จ่าฝูงกอบบลินมิได้ติดใจใด ๆ ต่อการพ่ายแพ้ของตนเอง รวมทั้งทางฝ่ายฮิโระก็มิได้ติดใจเรื่องที่บริโมรินเคยคิดทรยศต่อนีโอกลาดแล้วด้วย ...หากแต่เนื้อหาตอนท้ายนี่สิ... เด็กสาวผู้ตกเป็นเป้าสายตาในขณะนี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย สีหน้าเคร่งเครียดและทวีความน่ากลัวจนทุกผู้แทบจะกลั้นหายใจ เธอก็กล่าวออกมาในที่สุดว่า “หมายความว่า ทัพของเรายังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะรบต่อไปเช่นนั้นรึ? ชิก” “ข้าจำเป็นต้องสรุปเช่นนั้น” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่สะทกสะท้านเลย “...” ฮิโระนิ่งเงียบไป ขณะที่สายตายังคงจับจ้องที่กุนซือประจำทัพอย่างครุ่นคิด “หากแม้องค์หญิงมีความประสงค์ต้องการรวบรวมแผ่นดินเนฟเวอร์แลนด์เป็นหนึ่งภายใต้ร่มธงของทัพอสูรใหม่แล้วไซร้ ... ข้าก็คงต้องยืนยันเช่นเดิมว่า ตอนนี้เรายังไม่พร้อม!” ชิกเอ่ยช้า ๆ ต่อไปอีก “ศึกบาร์ฮาร่าที่ผ่านมา ก็คงเป็นบทพิสูจน์ได้อย่างดีแล้ว... เรากำลังรบบนขอบเขตจำกัดของเราเอง มิได้มีการเตรียมรับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเหตุเหนือความคาดหมายไว้เลย...นั่นคือ เหตุผลประการแรก, ส่วนเหตุผลประการที่สอง...” “ระบบการบังคับบัญชาในทัพเรายังไม่เข้มแข็งพอ...ใช่ไหม” ฮิโระชิงเสริมขึ้นมา ที่จริง นี่เป็นสิ่งที่ชิกพูดบรรยายไปในตอนต้นแล้ว การที่บรรดาไพร่พลอัศวินซึ่งขณะออกรบในครั้งนี้อยู่ภายใต้การนำของลูเซย์เดอร์ ไม่เข้าใจเจตนารมย์ของทัพอสูรใหม่อย่างแท้จริง จนทำให้แตกแถวไปด้วยความแค้นส่วนตัว...การที่พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของซาโต้ที่วิ่งไปห้ามทั้งที่ไม่ใช่นายกองของตน...การที่คลาอุสสั่งการข้ามขั้นไปยังไพร่พลของเมย์มีและสเกลต้าโดยตรง... เหล่านี้ แม้ในการรบที่ผ่านมามันจะให้ผลดีก็ตาม (ยกเว้นเหตุการณ์แรก) แต่หากพิจารณาความเข้มแข็งของสายงานบังคับบัญชาแล้ว...นี่ไม่ใช่ลักษณะของกองทัพที่ดีอย่างแน่นอน “ทัพอสูรเคยเกรียงไกรยิ่งใหญ่ ด้วยมีกำลังไพร่พลมหาศาล เหนือว่ามนุษย์มากนัก อีกทั้งยังสามารถสร้างกำลังหนุนได้อย่างแทบจะไม่มีขีดจำกัด” ชิกกล่าวต่อ “ดังนั้นในอดีต ทัพอสูรจึงไม่ต้องพึ่งพาศาสตร์แห่งยุทธวิธีก็ย่อมได้ แต่ในเวลานี้ สิ่งแรกเราต้องยอมรับเสียก่อนว่า กำลังพลของทัพอสูรใหม่เรายังห่างไกลกับสมัยที่เป็นทัพอสูรของจอมราชันย์อสูรจาเนสมากนัก... ข้ายืนยันว่าเราจำเป็นต้องใช้ยุทธวิธีแบบกองทัพของมนุษย์ในการรบต่อไป องค์หญิง” “และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทัพอสูรใหม่ มิได้มีแต่กองกำลังปิศาจเพียงอย่างเดียวเช่นเมื่อก่อน แต่เรามีกองกำลังเผ่าอื่นเข้าร่วมด้วย” ซากิฟอนกล่าวเสริม เขาตัดสินใจช่วยชิกในการเจรจาครั้งนี้ เมื่อประจักษ์ในเจตนาของสหายตน ลักษณะเด่นของทัพอสูรในอดีต คือ การที่มีไพร่พลมาก อันเนื่องจากเป็นไพร่พลปิศาจจากการปลุกเสกทั้งหมด และระบบการบังคับบัญชานั้น ปิศาจที่ปลุกเสกขึ้นหรือปลุกชีพมันขึ้นมาจากขุมนรก ย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งผู้ปลุกเสกนั้นเป็นหลักเท่านั้น แล ไม่ต้องการการพักผ่อน ไม่ต้องการอาหาร เมื่อสู้รบได้รับบาดเจ็บ ก็มีความเป็นไปได้เพียงสอง คือ หากได้พักระยะเวลาสั้น ๆ หลังจากสิ้นสุดการรบ ก็สามารถหายกลับสภาพเดิมได้โดยสมบูรณ์ หรือมิฉะนั้น ในกรณีที่อาการบาดเจ็บสาหัสนักก็จะถึงแก่กาลดับสูญไปเอง ทั้งนี้ย่อมแตกต่างจากไพรพลที่เป็นมนุษย์-หรือชนเผ่าอื่น ๆ ในเนฟเวอร์แลนด์ เพราะฝ่ายหลัง ย่อมต้องการการพักผ่อน ต้องการอาหาร และยามสูญเสียกำลังพล ก็ไม่สามารถหามาทดแทนใหม่ได้ง่ายนัก นอกจากต้องไปกะเกณฑ์มาจากชาวบ้านซึ่งก็ต้องอาศัยการฝึกอาวุธอีกนาน จึงจะเป็นทหารที่ออกศึกได้ หรือในบางครั้งอาจจะมีทหารอาสาสมัครมาร่วมรบด้วย แต่นั่นก็เป็นกรณีน้อย และอีกทางหนึ่งที่ในเนฟเวอร์แลนด์สามารถทำได้ คือ การใช้เงินจ้างทหารรับจ้าง...ซึ่งส่วนใหญ่ก็หาความจงรักภักดีไม่ได้ วิธีการใช้งานทหารรับจ้างจึงมักจำกัดที่ภารกิจเฉพาะกาลเท่านั้น “และที่สำคัญ ... ในการรบครั้งหน้านี้ เราจะได้พบกับบรรดาขุนศึกชั้นแนวหน้าของเผ่ามนุษย์อย่างเกือบจะพร้อมเพียงเลยทีเดียวเชียวล่ะ” กุนซือหนุ่มชาวมนุษย์ ออกปากคำว่า ‘เผ่ามนุษย์’ หน้าตาเฉย บ่งบอกว่าตนเองตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ทัพอสูรใหม่’ อย่างสมบูรณ์ไปแล้ว “จอมสายฟ้าฟาด-ราชาซิกม่า, อัจฉริยภาพแห่งลม-ซเรดเดอร์ แห่งแคว้นซิกโร้ดเอง....และกองหนุนที่คงจะยกทัพมาช่วย ก็คงไม่พ้น ราชาราดิวอิ...และสามผู้กล้า, รวมทั้งทัพอัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งซีลีนิกก็คงมาด้วย” ชิกบรรยายรายชื่อเหล่านั้นไป พลางก็สังเกตสีหน้าของเจ้าหญิงอสูร เป็นไปตามคาด ฝ่ายนั้นมีสีหน้ากระตุกยามได้ยินคำ ‘สามผู้กล้า’ ซึ่งชิกเองก็ยั้งคำเต็มว่า ‘สามผู้กล้าพิชิตอสูร’ ไว้แล้ว แต่โสตประสาทของฮิโระย่อมไวต่อคำสามคำนี้นัก .... อีกทางหนึ่ง ยามที่ชิกเอ่ยคำ ‘อัศวินศักดิ์สิทธิ์แห่งซีลีนิก’ เขาก็อดชำเลืองไปทางซากิฟอนไม่ได้ แต่ฝ่ายนั้นกลับไม่มีปฏิกริยาใด ๆ “ที่ผ่านมา เพียงแค่โกรมิลกับเกรย์โผล่มา ก็สร้างความลำบากให้เราแทบจะเอาตัวไม่รอดเสียแล้ว” ชิกเสริมอีก... และนี่ก็เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้... ความหมายของเขามุ่งไปที่ผู้นำของทัพอสูรใหม่นั่นเอง ฮิโระรบตัวต่อตัวกับโกรมิลได้เพียงแค่ ‘คู่คี่’ เท่านั้น ส่วนการสู้กับเกรย์ เธอพ่ายยับด้วยตกอยู่ในเงื่อนไขเสียเปรียบกว่า... แต่อย่างไรก็ตาม แม้นผลการศึกจบลงด้วยชัยชนะของทัพอสูรใหม่ แต่ก็ต้องยอมรับอยู่ดีว่า เจ้าหญิงฮิโระยังไม่อาจแสดงความเหนือกว่าสมาชิกของ ‘ห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูร’ ได้อย่างชัดเจน คลาอุสส่งสายตามาที่ชิกอย่างไม่พอใจ เมื่อหยั่งรู้ถึงความหมายในคำพูดนั้น ในฐานะชนเผ่าอสูรย่อมมิอาจยอมให้ผู้ใดมาวิจารณ์เจ้าเหนือหัวของเผ่าอสูรคนปัจจุบันเช่นนี้ได้ หากแต่ฮิโระเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเสียก่อนว่า “ถูกของเจ้า” “?!!!” บรรดาขุนพลในห้องประชุมต่างตกตะลึงไปตามกัน เสียงของเจ้าหญิงอสูรกล่าวต่อ “แต่เจ้าผิดไปเรื่องหนึ่งนะ ชิก เรายังมิได้ตัดสินใจว่าเป้าหมายต่อไปคือ ซิกโร้ด แม้แต่น้อย” “องค์หญิงไม่มีทางเลือกหรอก เป้าหมายต่อไปของเราต้องเป็นซิกโร้ดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ” ชิกกล่าวตอบอย่างมั่นใจ “ไม่มีประโยชน์ ที่เราจะเลือกบุกซิลเวสเตอร์หรือนาฮารี” ... ซากิฟอนมุ่งสมาธิของตนกับเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง สัตว์ร้ายในชั้นที่สี่ของหอคอยบาร์ฮาร่าซึ่งกรูกันเข้ามาหาพวกเขาเมื่อเกือบหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว บัดนี้ล้มตายไปเกือบหมดด้วยคมดาบของบรรดาไพร่พลอัศวิน มองไปอีกทิศหนึ่ง ตอนนี้เขาเริ่มจับภาพองค์หญิงของเขาร่ายรำเพลงแห่งความตายอยู่ท่ามกลางสัตว์ร้ายอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ไกลออกไปได้แล้ว การรบในครั้งนี้น่าจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า ... เหตุผลที่เมื่อทัพอสูรใหม่ยึดบาร์ฮาร่าได้แล้ว จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบุกไปที่ซิกโร้ดประการเดียวนั้น ที่จริงก็เป็นสิ่งที่บรรดาขุนพลของนีโอกลาดเอง โดยเฉพาะสามสหายชาวมนุษย์พอจะวิเคราะห์ได้ดีอยู่แล้ว ด้วยข้อมูลพื้นฐานจากข่าวที่หน่วยนินจาของซาโต้รวบรวมมาให้ แคว้นนาฮารี บัดนี้อยู่ในการปกครองของกษัตริย์กิวฟีที่สอง ซึ่งยังเยาว์นัก ด้วยวัยเพียงสิบสองปีเท่านั้น และตามข้อมูลเป็นคนอ่อนแอ...อาจจะด้วยความเยาว์วัยนั้นเอง ภารกิจด้านการปกครองและการทหารล้วนตกอยู่ในมือของที่ปรึกษา คือ ซีม่า-ชไวร์ ผู้มีสมญานามว่า ‘กุนซืออันดับหนึ่งแห่งเนฟเวอร์แลนด์’ หากแต่... ความสามารถในการวางแผนการยุทธ์ของบุคคลผู้นี้อยู่ที่การตั้งรับมากกว่าการรุก ดังนั้น เมื่อประกอบกับความจริงที่ว่า เขาไม่สามารถผละจากข้างกายของกษัตริย์ผู้อ่อนวัยได้... ซีม่า-ชไวร์ไม่มีทางเลือก นอกจากตั้งรับในแคว้นของตนเอง...ไม่มีโอกาสที่จะส่งกำลังไปบุกยึดแคว้นอื่นหรือชิงลงมือเป็นฝ่ายรุกได้เลย นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมชิกจึงแนะนำให้เจ้าหญิงอสูรไม่ต้องเหลือกำลังทหารไว้ป้องกันแคว้นโททัสบูร์กที่อยู่ติดกับแคว้นนาฮารีเลยแม้แต่น้อย และสถานการณ์เดียวกันก็เกิดกับแคว้นซิลเวสเตอร์ด้วย เมื่อผู้สำเร็จราชการ คือ ขุนพลแกมแมค เป็นผู้รับผิดชอบดูแลกิจการทั้งภายในและภายนอกทั้งปวง แทนองค์ราชินีมิวร่าซึ่งเจ็บป่วยกระเสาะกระแสะตลอดเวลา แกมแมคก็ย่อมตกอยู่ในที่นั่งเดียวกันกับซีม่า-ชไวร์ นั่นคือ สำหรับสองแคว้นนี้ หากทัพอสูรใหม่ไม่ไปรุกรานเสียก่อน ก็รับประกันได้ว่าจะไม่ตกอยู่ในสภาวะสงครามด้วยโดยเด็ดขาด ต่างกับแคว้นซิกโร้ด ซึ่งสมญานาม ‘อิปซิลอยเออร์ตะวันตก’ ของมันก็บ่งบอกอยู่แล้ว ถึงความเป็นเมืองแห่งนักผจญภัยที่ใหญ่และคึกคักเป็นอันดับสองรองจากแคว้นคัมเรีย (อิปซิลอยเออร์) ย่อมมีกองทัพที่พร้อมรบกว่าแคว้นเพื่อนบ้านสองแคว้นดังกล่าวข้างต้น ทัพอสูรใหม่หากเปิดฉากรุกรานแคว้นใดแคว้นหนึ่ง ย่อมเปิดโอกาสให้ทัพซิกโร้ดเข้าตีตลบหลังได้ เว้นแต่ว่าจะเปิดฉากโจมตีไปที่ซิกโร้ดโดยตรงเลยนั่นเอง ฮิโระเองย่อมตระหนักความจริงข้อนี้เช่นกัน และย่อมรู้ซึ้งแก่ใจถึงขีดจำกัดของกองทัพของตน...รวมทั้งบรรดาขุนพลในสังกัดด้วย ที่จริง หากเป็นไปได้เธอย่อมเปิดฉากโจมตีทั้งสามแคว้นพร้อมกันด้วยซ้ำ แต่... เมื่อคิดถึงกองหนุนของฝ่ายมนุษย์ที่จะยกมาสมทบกันที่ซิกโร้ดแล้ว ทัพอสูรใหม่ย่อมไม่เหลือกำลังที่จะแบ่งไปโจมตีที่อื่นใดได้ นอกจากต้องทุ่มเทกำลังทั้งหมดสู่สมรภูมิซิกโร้ด ... “ฮึ...” เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังขึ้นข้าง ๆ ไม่ไกลจากตัวเองนัก ซากิฟอนทราบโดยไม่ต้องหันไปมองว่าเจ้าของเสียงเป็นผู้ใด เสียงฝ่ายนั้นถามมาว่า “พวกมันหนีไปหมดแล้วใช่ไหม?” “ขอรับ องค์หญิง” เขาตอบ “วันนี้เราคงเคลียร์ชั้นนี้ได้เรียบร้อย” “อืม” ฮิโระผงกหน้าน้อย ๆ สีหน้ามีแววครุ่นคิด “ยังไม่หายโกรธเจ้าชิกมันหรือ? องค์หญิง” เขาตัดสินใจถาม “ฮึ! ถ้าแม้แต่เจ้าก็ยังคิดว่าเราโกรธละก็... เสียทีที่คบกันมาตั้งหลายปี” เธอตอบอย่างออกอาการน้อยใจนิด ๆ “ข้าขออภัยด้วย... แต่...” ซากิฟอนพินิจใบหน้าจิ้มลิ้มของอีกฝ่าย ก่อนตัดสินใจพูดต่อ “องค์หญิงก็คงไม่สบายใจนัก” “เจ้าไม่ต้องห่วงเราหรอก” ดวงตาวาววับจับจ้องกลับมา “เจ้าดูแลลูกน้องของเจ้าให้ดีเถิด มิฉะนั้นกลับไป เจ้านะแหละจะโดนชิกตำหนิเอา ฐานที่ปล่อยให้ไพร่พลอันมีค่าของทัพเราต้องสูญเสียไปโดยใช่เหตุ” “ฮะ ฮะ นั่นสินะ องค์หญิง” นายกองอัศวินตอบ ฮิโระเอง ก็ไม่พูดอะไรอีก หากแต่แววตาที่หรี่ลงด้วยอาการครุ่นคิด ย่อมไม่พ้นความสังเกตของคู่สนทนาไปได้ ฝ่ายหลังลอบถอนใจเล็กน้อย ก่อนจะผละไปสั่งการบรรดาไพร่พลของตน และสำรวจดูผู้บาดเจ็บ ‘เฮ้อ องค์หญิงนะองค์หญิง ก็คบกันมากี่ปีแล้วนั่นแหละ ทำไมจะไม่รู้ว่าองค์หญิงมีเรื่องกลุ้มใจที่เนื่องมาจากการสำรวจหอในครั้งนี้ มีอะไรก็ไม่บอกกันตรงๆ เลย ให้ตายเถอะ’ ขณะเดียวกันผู้ถูกแอบนินทาในใจก็กำลังคิดเช่นกัน ‘ฮึ ให้พาพวกอัศวินมาสำรวจหอคอยนี้ เพื่อเป็นการซ้อมรบไปในตัวเช่นนั้นหรือ.... ช่างคิดนะ ชิกเอ๋ย แต่เจ้าไม่รู้หรอกว่า... ข้ารับรู้ถึงการคงอยู่ของเขาผู้นั้นได้ตั้งแต่คืนที่ข้ามาพบท่านทวดแล้ว... เขากำลังรอเราอยู่ข้างบนนี้ ... น่าประหลาดจริง ที่พวกแคว้นโดมที่เจ้าเล่าว่าเคยมาสำรวจหอนี้จนปรุโปร่งกลับไม่พบกับเขาผู้นั้นเสียได้’ นี่เองต่างหาก จึงเป็นสิ่งที่เธอกังวลใจในยามนี้อย่างแท้จริง องค์หญิงอสูรชำเลืองสายตาขึ้นมองเบื้องบน-ชั้นที่อยู่สูงสุดของหอคอยนี้-อย่างไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เธอก็มิได้ปริปากบอกให้ผู้ร่วมทางคือ ซากิฟอนทราบ หากแต่ตกลงใจว่า เมื่อคราวคับขันที่จะต้องปะหน้า ‘เขาผู้นั้น’ ขึ้นมาจริง เธอคงจะต้องให้บรรดาไพร่พลเหล่านี้กลับลงออกไปจากหอก่อน ... ปีอสุรศักราชที่ 997 เดือนห้า ทัพอันยิ่งใหญ่ของนีโอกลาดก็เคลื่อนเข้าประชิดป้อมบาร์ฮาร่า และผนวกแคว้นของกอบบลินเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นตนได้ในที่สุด หากแต่ผู้ชนะประสบความสูญเสียในด้านกำลังพลไปมากกว่าที่คาดคิด ข่าวที่ไม่ยืนยัน ระบุว่า สองในห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูร ได้ปรากฏตัวในการรบครั้งนี้ด้วย เพื่อหมายหัวของเจ้าหญิงอสูร แต่ในที่สุดก็พลาด และกลับเป็นฝ่ายหายสาบสูญไปทั้งคู่ ข่าวที่ยืนยันมากกว่า เพราะมีหลักฐานจากบรรดาผู้ที่อยู่ในแคว้นข้างเคียงว่ารับรู้ได้ถึงการระเบิดออก ของพลังพระเวทย์อัคนีที่มหาศาล ได้ระบุว่า ท่านผู้เฒ่าบ๊ากรู้ท หรืออัจฉริยภาพแห่งเพลิง ก็ได้เข้าร่วมปฏิบัติการสังหารผู้นำฝ่ายอสูรในครั้งนี้ด้วย หากแต่ ท่านเสียชีวิตในการรบ ชัยชนะของทัพอสูรใหม่ในครั้งนี้ ย่อมเสมือนกับเงาดำของหัตถ์ปิศาจที่เงื้อง่าเข้ามาใกล้ตัวมนุษย์ทุกผู้เข้าไปทุกขณะ แคว้นซิกโร้ด และแคว้นคัมเรีย (อิปซิลอยเออร์) เริ่มส้องสุมกำลังพลเพื่อเตรียมเข้าสู่สนามรบ...รวมทั้งแคว้นนาฮารีและซิลเวสเตอร์ด้วย อย่างไรก็ตาม ช่วงครึ่งหลังของปีอสุรศักราชที่ 997 ไม่ปรากฏว่าเกิดสงครามระหว่างทัพอสูรใหม่ที่ย้ายที่มั่นมาอยู่ที่ป้อมปราการบาร์ฮาร่าแล้วกับฝ่ายมนุษย์แต่อย่างไร ทุกอย่างเหมือนคลื่นใต้น้ำ ที่รอวันจะระเบิดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ในท่ามกลางความสับสนของฝ่ายมนุษย์ ในทัพอสูรใหม่เองก็มีการปรับยุทธศาสตร์กันขนานใหญ่ ภายใต้แนวคิดของกุนซือตัวจริงคือ ชิก เมย์มีและคลาอุสเดินทางกลับไปถิ่นแวมไพร์ของตน, ในขณะที่ลูเซย์เดอร์ก็เดินทางกลับไปดูแลแคว้นโททัสบูร์กโดยไม่มีทหารติดตามไปด้วย ทหารอัศวินของนีโอกลาดทั้งหมด ติดตามเจ้าหญิงฮิโระและซากิฟอนเข้าไปสำรวจพื้นที่ในหอคอยบาร์ฮาร่าอย่างละเอียดทุกซอกมุมและกว่าจะกลับออกมาก็อีกหลายเดือนให้หลัง พร้อมความจริงที่ชวนตื่นตระหนกประการหนึ่ง...แต่นั่นคงจะยังไม่กล่าวถึงในที่นี้, ซาโต้และบรรดานินจา แยกย้ายกันออกสืบหาข่าวในดินแดนต่าง ๆ ทั่วเนฟเวอร์แลนด์อย่างลับ ๆ และที่เหลืออยู่ดูแลป้อมปราการบาร์ฮาร่าก็คือ ชิกและบริโมรินกับสเกลต้า... ชิกใช้เวลาในช่วงนี้ จัดวางรากฐานการปกครองให้เผ่ากอบบลิน รวมทั้งถ่ายทอดวิทยาการการเกษตรให้พวกมันด้วย ขณะที่สเกลต้าและกองกำลังบริโมรินก็ซ้อมรบกันทุกวันอย่างขะมักเขม้น รอเวลาที่บรรดาขุนพลของทัพอสูรใหม่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง....และนั่นหมายถึง..........ทัพอสูรใหม่พร้อมแล้วสำหรับ... มหาสงครามซิกโร้ดที่จะอุบัติขึ้นในต้นปีหน้านั่นเอง!!! |