มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ศึกบาร์ฮารา: กำราบกอบบลินคลั่ง

“หวืด ๆ ๆ” “โครม” เสียงแหวกอากาศของกระบองหนามดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง สลับกับเสียงโครมเมื่อมันพลาดเป้าจากร่างของปิศาจโครงกระดูกไปกระแทกบนพื้นอย่างจัง ก่อให้เกิดหลุมขนาดย่อมขึ้นแสดงให้เห็นถึงพละกำลังอันมหาศาลของเจ้าของอาวุธร้าย บริกาโต้ไม่เสียเวลาในการดึงกระบองขึ้นจากพื้นเลยแม้แต่น้อย มันยกกระบองขึ้นอย่างง่ายดายประดุจยกกิ่งไม้เบาๆ กระนั้น แล้วก็หวดป่ายมันเข้าหาสเกลต้า-คู่ต่อสู้ของมันในขณะนี้ต่ออย่างบ้าคลั่งและไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยอ่อน

“หวืด ๆ ๆ” “อึ๊บ”

การต่อสู้ระหว่างแม่ทัพกองหน้าของทัพอสูรใหม่กับทัพกอบบลินดำเนินมาในลักษณะนี้ได้ชั่วโมงเศษแล้ว สเกลต้าตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้วว่า จะไม่เข้าประทะด้วย เพราะตระหนักดีกว่า ดาบในมือคงไม่สามารถต้านแรงกระแทกของกระบองหนามแท่งนั้นได้ หรือจะลงมือจู่โจมต่อเจ้าบริกาโต้นั้นเล่า วิเคราะห์จากสภาพภายนอกแล้ว ดาบของเขาก็คงจะฝากรอยแผลบนร่างบริกาโต้ได้เพียงแผลเดียว-และเป็นแผลที่ยังห่างไกลจากความตายนัก-เท่านั้น ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ร่างของสเกลต้าก็คงจะต้องตกเป็นเหยื่อสังเวยกระบองหนามไปอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้เองแม่ทัพปิศาจจึงได้แต่หลบหลีกเป็นรูปวงกลมถ่วงเวลาไว้ และคอยดึงมิให้บริกาโต้ไปอาละวาดเอากับบรรดาไพร่พลของตน

อย่างไรก็ตาม นายกองผีสเกลตันรับรู้ได้ด้วยความรู้สึกว่า ผลจากการประทะกันมาราวชั่วโมงเศษ กำลังฝ่ายเขาเหลืออยู่เกินครึ่งของจำนวนเดิมเล็กน้อย ขณะที่กำลังกอบบลินอีกฝ่ายแทบจะไม่ลดลงจากเดิมเท่าไรนัก อันเนื่องจากคมดาบของฝ่ายสเกลตันไม่สามารถหยุดยั้งความบ้าระห่ำของพวกมันได้นั่นเอง ร่างของกอบบลินเกือบทุกตนมีบาดแผลและโลหิตไหลโชกร่างกันทั่ว แต่หากมิได้ฝากแผลฉกรรจ์ หรือบั่นศีรษะของพวกมันออกมาแล้วไซร้พวกมันก็ยังคงยืนหยัดอาละวาดต่อไปได้ ผิดกับทางฝ่ายสเกลตันที่มีแต่จะล้มตายลงเป็นใบไม้ร่วงเมื่อประทะเข้ากับกระบองหนามของอีกฝ่ายอย่างจัง

“หึหึหึ จะยืดเวลาตายของแกไปได้สักเท่าไรเชียว เจ้าปิศาจเอ๋ย” บริกาโต้คำรามอย่างน่ากลัว

“...” สเกลต้ามิเอ่ยปากตอบโต้ สายตายังคงจับจ้องที่การเคลื่อนไหวอีกฝ่ายอย่างไม่ประมาท แต่ในจังหวะนั้นเอง ทหารกอบบลินตนหนึ่งก็ลอบหวดกระบองหนามจากด้านหลัง สเกลต้าสำเหนียกถึงอันตรายนี้ได้ทันทีจากสัญชาติญานดิบที่สั่งสมจากประสบการณ์รบอันโชกโชน จึงกระโดดหลบฉากไปด้านข้างได้ทัน พร้อมกับตวัดดาบในมือเข้าบั่นคอผู้ประสงค์ร้ายอย่างเด็ดขาด

“ฉับ!” ศีรษะเจ้ากอบบลินกระเด็นไปทันที แต่ในเวลาเดียวกันเสียง “หวืด!” ก็ดังขึ้น บริกาโต้ไม่ปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปมันกระหน่ำกระบองหนามเข้าใส่ผู้ที่เพิ่งปลิดชีวิตลูกสมุนของตนไปต่อหน้าต่อตาอย่างรวดเร็ว สเกลต้าหันมายกดาบรับไว้ได้หวุดหวิด แต่...นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะรับมือการจู่โจมครั้งนี้เสียแล้ว

“เคร้ง!!!” ดาบในมือสเกลต้าหักสะบั้น กระบองหนามที่เสียอานุภาพส่วนหนึ่งไปเนื่องจากการประทะกับดาบก็กระหน่ำตรงบนไหล่ของสเกลต้า โดยที่ฝ่ายหลังเบี่ยงตัว ให้ศีรษะของตนหลบพ้นจากรัศมีของกระบองได้ทัน หากแต่เสื้อเกราะของเขาแตกกระจายเป็นเสี่ยงในทันที พร้อมกับร่างของสเกลต้าที่เซถลาลงไปกองกับพื้นเหมือนนกปีกหัก

“อะ...” เสียงครางดังจากปากผู้บาดเจ็บ ในสายตาของเขา เท้าสองข้างของกอบบลินหนุ่มย่างสามขุมมายืนตรงหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่า เจ้าบริกาโต้กำลังเงื้อกระบองขึ้นเหนือศีรษะ พลางแสยะยิ้มบิดเบี้ยวอย่างน่าสะอิดสะเอียน

“ตายซะ!!!” “หวืด!!!”

สเกลต้าถอดใจทันที วาระสุดท้ายคงมาถึงแล้วในอีกอึดใจข้างหน้า แต่แล้วแรงกระแทกอันหนักหน่วงที่มันคาดหมายว่าคงเป็นความรู้สึกสุดท้ายที่จะได้รับรู้ในชีวิตก็ไม่เกิดขึ้นเสียที เมื่อชำเลืองขึ้นไปมองเหนือศีรษะของตนอีกครั้งหนึ่ง จึงพบว่า กระบองหนามของบริกาโต้ถูกใบดาบเรียวแหลมจำนวนนับสิบใบทอสานกันเป็นร่างแหรับไว้อยู่อย่างเหนียวแน่น

“รีบหลบออกไป ท่านสเกลต้า!” ผู้มาใหม่คือ คลาอุสนั่นเอง สองมือของเขายกขึ้นระดับใบหน้าและกำลังออกแรงรับแรงกดของกระบองหนามอยู่ สิ่งที่เจ้าสเกลต้าเห็นว่าเป็นเหมือนใบดาบเรียวแหลมนั้น แท้จริงแล้ว คือ เล็บทั้งสิบของคลาอุสที่งอกยาวออกมาประดุจเรเปียร์ (ดาบใบเรียวแหลม มีคมทั้งสองด้าน ใช้แทงเป็นหลัก) นั่นเอง เล็บทั้งสิบลำที่ดูบางเฉียบเมื่อเทียบกับกระบองหนามอันใหญ่โตนั้น กลับสามารถต้านรับพลังกระแทกของอาวุธใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อฉุกใจคิดสักหน่อย ก็ย่อมเข้าใจได้โดยง่ายว่า นี่เอง คือการใช้หลัก ‘อ่อนสยบแข็ง’ หรือ ‘ยืดหยุ่นสยบแข็งแกร่ง’

“แก...” บริกาโต้คำราม ไฟอาฆาตแทบจะพวยพุ่งจากดวงตาสีเพลิงของมัน พลางออกแรงผ่านกระบองโถมลงบนเล็บทั้งสิบของแวมไพร์ลอร์ดหน้าขาวที่บังอาจมาสอดมือขัดขวางการสังหารของมัน

“...” คลาอุสยังคงไม่มีสีหน้าแปรเปลี่ยนแม้แต่น้อยนิด บนพื้นระหว่างผู้ประลองกำลังกันทั้งสอง สเกลต้ารีบคลานหลบออกไปแล้วลุกขึ้นยืนเอามือกุมไหล่ข้างที่รับบาดเจ็บอยู่ เสื้อเกราะของมันแตกกระจายร่วงไปหมดแล้ว คงเหลือแต่เกราะอ่อนที่ใส่ไว้ด้านใน

อีกด้านหนึ่งของชายทุ่ง พลันปรากฏเสียงโห่ร้องและเสียงกุบกับดังลั่นขึ้นมา ทัพม้าของกองกำลังอัศวินหนึ่งร้อยนายภายใต้การนำของลูเซย์เดอร์นั่นเองได้ยกกำลังมาสมทบแล้ว

“ท่านลูเซย์เดอร์ ลงมือ!!!” คลาอุสตะโกนลั่นโดยที่ยังคงประทะกับบริกาโต้อยู่เช่นนั้น ด้วยพลังเวทย์ เสียงของคลาอุสจึงดังไปจนถึงลูเซย์เดอร์ที่อยู่ห่างออกไปได้ถนัด

“ตามที่ตกลงไว้สินะ” ลูเซย์เดอร์บนหลังม้าพึมพำ ก่อนจะสั่งการ “รูปขบวนหัวหอกเตรียมพร้อมมมมม!”

ที่จริงทัพของเขาอยู่ในรูปขบวนหัวหอกแต่แรกแล้ว อันเป็นคำสั่งของคลาอุสเอง หลังจากที่ฝ่ายหลังพิจารณาสถานการณ์แล้วก็สรุปว่าให้ทัพของลูเซย์เดอร์บุกทะลวงด้วยรูปขบวนหัวหอกอันทรงพลานุภาพในการทำลายล้างจะดีที่สุด

“โจมตี!!!” คำสั่งบุกหลุดออกจากปากอัศวินชุดดำ หากมองดูให้ดี จะพบว่ากองทัพอัศวินจำนวนหนึ่งร้อยของเขาใช้อาวุธคู่มือคือ แรนซ์ (หอกอัศวิน ใช้สำหรับแทงโดยเฉพาะโดยอาศัยความเร็วของม้าเข้าผนวกเพิ่มความรุนแรงในการแทงอีก) กันทั่วทุกตัวคน อัศวินทั้งร้อยนายควบม้าพุ่งตรงเข้ามาทันที

และในจังหวะนั้นเอง รอบ ๆ กายของคลาอุสก็ปรากฏกระแสควันดำพวยพุ่งขึ้นอย่างหนาแน่น บริกาโต้ที่กำลังออกแรงกดบนกระบองของตนต้องผ่อนแรงอย่างไม่รู้ตัว เป็นโอกาสให้คลาอุสสบัดเล็บทั้งสิบ กระแทกกระบองให้ห่างออกไปพร้อมกับตัวบริกาโต้ที่เซถอยหลังไปด้วย

“เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ” คลาอุสในม่านหมอกสีดำหัวเราะเสียงเย็นอย่างน่าสะพรึงกลัว “พวกเจ้ารบอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ไม่กลัวความตายรึอย่างไร เหอ ๆ ๆ ๆ พวกเจ้าแน่ใจรึว่าไม่กลัวความตาย พวกเจ้ารู้จักความตายแล้วกระนั้นหรือ เหอ ๆ ๆ มาสิ เราจะสอนให้พวกเจ้ารู้เองว่าความตายคืออะไร เหอ ๆ ๆ ๆ”

เสียงประกาศสลับกับเสียงหัวเราะของคลาอุสดังกระหึ่มไปทั่วท้องทุ่ง พร้อมกับที่บรรยากาศดูขมุกขมัวลงทันทีอันเนื่องจากหมอกสีดำที่เริ่มแผ่กระจายไปทั่ว บรรดาไพร่พลกอบบลินเกิดปฏิกิริยาต่อเสียงนี้ทันที พวกมันต่างหยุดชะงักการเคลื่อนไหวที่ดุร้ายลง บางตนเริ่มมีสีหน้าซีดเผือด บางตนหยุดมองเลือดที่กำลังไหลจากบาดแผลบนร่างของตนเองแล้วก็ทิ้งกระบองเอามือกดปากแผลอย่างเสียขวัญ

นี่คือ เวทย์มนต์ทำลายขวัญที่ชื่อว่า “คำสาปแช่งแห่งความตาย” (สะทสึอิโนะโนโรย) ของคลาอุสนั่นเอง บัดนี้มันออกฤทธิ์ต่อทหารฝ่ายตรงข้ามแล้ว!

ขวัญกำลังใจอันฮึกเหิมของฝ่ายกอบบลินสูญสลายหายไปทันที คงเหลือแต่ความกลัวตายเท่านั้น หากแต่ศิลป์แห่งการใช้เวทย์มนต์ทำลายขวัญของคลาอุสนี้อยู่ที่ เขารู้จักใช้อย่างพอเหมาะ เพราะหากบีบบังคับให้อีกฝ่ายกลัวตายมากเกินไป อาจเกิดผลตรงกันข้ามได้ นั่นคือ ทำให้อีกฝ่ายสู้ตายอย่างสุนัขจนตรอกนั่นเอง

“ฆ่ามัน พวกเรา” สเกลต้าคว้าดาบเล่มหนึ่งจากซากศพของไพร่พลของตน แล้วชูขึ้นประกาศลั่น ทหารสเกลตันโห่ร้องและมีกำลังใจขึ้นอีกครั้ง ประจวบกับอีกด้านหนึ่งกองทหารม้าของลูเซย์เดอร์บุกทะลุทะลวงเข้ามาอย่างห้าวหาญ ไพร่พลกอบบลินล้มตายเป็นรายทาง

“โอ๊ววววว” “ลุยยยยยย” การตะลุมบอนเริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้สเกลต้าไม่ได้เข้าร่วมการรบด้วย หากแต่คอยสั่งการและควบคุมดูแลจนไพร่พลฝ่ายตนเริ่มรวมกันติดเป็นรูปกระบวนยุทธที่มีประสิทธิภาพ

อีกด้านหนึ่ง บริกาโต้ย่างสามขุมเข้าหาคลาอุส

“ตายซะเถอะ ไอ้หน้าขาว” มันหวดกระบองหนามเข้าใส่ทันที เวทย์มนต์ของคลาอุสย่อมไม่มีผลต่อกอบบลินระดับหัวหน้าเช่นมัน แต่นั่นไม่ใช่เรื่องนอกเหนือความคาดหมาย คลาอุสยก ‘เรเปียร์'‘ ทั้งสิบเล่มขึ้นรับกระบองอย่างใจเย็น แล้วก็ปัดมันไปทางซ้ายบ้าง ขวาบ้าง เมื่อสบโอกาส เล็บอันแหลมคมของเขาก็มีโอกาสตวัดฝากรอยแผลบนร่างของบริกาโต้แล้วถอนออกอย่างรวดเร็ว เพื่อรับกระบองที่ฟาดกระหน่ำมาครั้งใหม่ อย่างไรก็ตาม บาดแผลที่เกิดขึ้นยังไม่สามารถหยุดยั้งความบ้าระห่ำของบริกาโต้ได้

“ฮึ่ม!!!” เมื่อรับบาดเจ็บ เจ้ากอบบลินหนุ่มกลับดูคลุ้มคลั่งมากกว่าเดิมเป็นทวีคูณ มันหวดกระบองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่คลาอุสก็ไม่เสียทีมันจนแล้วจนรอด รอบข้าง กองกำลังกอบบลินร่อยหรอลงทุกทีจนเหลือแต่การสู้รบเป็นกลุ่มย่อย ๆ และบัดนี้กองกำลังส่วนใหญ่ของสเกลต้าและลูเซย์เดอร์ได้ล้อมบริกาโต้และคลาอุสไว้เป็นวงใหญ่อย่างหลวม ๆ รอคอยให้แม่ทัพฝ่ายตนเผด็จศึกแม่ทัพฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น ก็เป็นอันเสร็จสิ้นศึก ณ ท้องทุ่งนี้

“ตายยากนักเจ้ากอบบลิน” ลูเซย์เดอร์สบถ แล้วควบม้าพุ่งตรงเข้ามากระชับแรนซ์ในมือแน่น แน่นอน เขาเองก็เคยมีเรื่องสู้รบกับกอบบลินและรวมทั้งกับเจ้าบริกาโต้ตนนี้ด้วยหลายครั้ง ตามประสาแคว้นที่อยู่ติดกันและเป็นศัตรูกัน เมื่อได้จังหวะเขาก็แทงโถมแรนซ์อย่างไปอย่างแรง บริกาโต้แสยะยิ้มแล้วกระแทกปลายกระบองเข้าประทะกับปลายแหลมของแรนซ์อย่างไม่หวั่นเกรง

“โครม!!!” แรนซ์ของลูเซย์เดอร์กระเด็นไปพร้อมกับที่ร่างของเจ้าของกระเด็นตกจากหลังม้า ขณะเดียวกัน เจ้าบริกาโต้ก็กระเด็นไปด้านหลังเหมือนกันหากแต่กระบองยังถูกกำแน่นอยู่ในมือของมัน

“อั้ก” อัศวินในชุดดำร้องอุทานเมื่อร่างตกกระทบพื้น อีกด้านหนึ่ง คลาอุสพุ่งเข้าไปร่ายรำกระบวนท่าเรเปียร์ทั้งสิบเข้าใส่บริกาโต้ที่กำลังเสียหลักทันที

“ฉัวะ ๆ ๆ” “อ้ากกกก” บาดแผลแล้วบาดแผลเล่าที่ถูกเปิดบนร่างของบริกาโต้ จนร่างของมันโชกเลือด แต่มันก็ยังคงไม่ยอมจำนน

“ฮึ่ม เจ้าต้องการตายจริง ๆ รึ?” คลาอุสถามอย่างเลือดเย็น

“ไม่ต้องมาพูดมาก ถึงข้าตายก็ต้องพาพวกแกไปด้วย!!!” เป็นคำตอบอย่างเด็ดเดี่ยวจากปากกอบบลินหนุ่ม

“ท่านลูเซย์เดอร์ ดาบ!” สเกลต้าวิ่งออกมาจากกลุ่มทหาร แล้วตะโกนบอกลูเซย์เดอร์ ฝ่ายหลังเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงชักดาบออกจากฝักที่สะพายไว้ข้างเอวทันที บัดนี้ ลูเซย์เดอร์และสเกลต้ายืนอยู่คนละด้านของตัวบริกาโต้โดยห่างกันออกไปเป็นระยะประมาณสิบเมตร

“เข้าใจล่ะ” คลาอุสเอ่ยขึ้นลอย ๆ เป็นทั้งคำตอบสำหรับบริกาโต้ และสำหรับเพื่อนร่วมทัพอีกสองนายด้วย

บริกาโต้ยกกระบองขึ้นเหนือศีรษะอีกครั้งแล้วฟาดกระหน่ำลงบนร่างคลาอุสเบื้องหน้า แต่แน่นอนกระบองของมันถูกรับไว้ด้วยร่างแหของเล็บทั้งสิบของคลาอุสอีกครั้ง

“ดาบเล็บมังกร ริวโซซัน!!!”

“ดาบเล็บมังกร ริวโซซัน!!!”

สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ลูเซย์เดอร์กับสเกลต้านั่นเอง ต่างใช้ออกด้วยกระบวนท่าดาบคลื่นสุญญากาศจากคนละด้าน คลื่นสุญญากาศพุ่งเข้าหาบริกาโต้ที่อยู่ตรงกลางทันที พร้อมกับที่คลาอุสสะบัดตัวหลุดจากแรงกดของกระบองแล้วถอยฉากหลบออกไปอย่างทันท่วงที

“ฉัวะ ๆ” “อ้ากกกกกก” คลื่นสุญญากาศทั้งสองสายมาพบกันที่ตัวของบริกาโต้พอดี ก่อให้บังเอิญคมมีดสุญญากาศขนาดมหึมาตัดร่างของมันจนขาดเป็นสามเสี่ยง เลือดสด ๆ สาดกระจายสังเวยท้องทุ่งสมรภูมิเลือดแห่งนั้น

แลนี่คือวาระสุดท้ายของบริกาโต้!

“...”

“สำเร็จ...แล้ว”

“...”

ลูเซย์เดอร์อุทานออกมาเป็นท่อน ๆ ขณะที่ขุนพลชาวอสูรทั้งสองยืนเงียบมองศพของบริกาโต้ อีกอึดใจถัดมา เสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นจากไพร่พลของทัพอสูรใหม่

สรุปความเสียหายจากการประทะครั้งแรก ไพร่พลสเกลตันเดิมมีสี่ร้อย ตายร้อยห้าสิบ บาดเจ็บสาหัสอีกเกือบร้อย เหลือที่ยังคงรบได้อีกเพียงร้อยห้าสิบเศษเท่านั้น ส่วนอาการบาดเจ็บของสเกลต้าไม่มีอุปสรรคต่อการนำทัพ แต่คงไม่สามารถรบหักโหมกับบุคคลระดับนายกองของฝ่ายตรงข้ามได้อีก สำหรับกองกำลังอัศวินบนหลังม้าสูญเสียไปประมาณสิบนายเท่านั้น ทั้งนี้เพราะการที่คลาอุสเลือกใช้คาถาทำลายขวัญได้อย่างถูกจังหวะด้วยนั่นเอง

...

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ทัพหลวงของนีโอกลาดก็มาถึงท้องทุ่งแห่งนั้น ฮิโระชักม้าวิ่งตัดผ่านทุ่งเลือดอย่างรวดเร็วพลางกวาดสายตามองสภาพศพทั้งฝ่ายตนและฝ่ายตรงข้ามที่นอนทอดกายอยู่เต็มท้องทุ่ง จนกระทั่งมาสมทบกับทัพหน้าทั้งสองที่พักรออยู่ที่ชายป่าโปร่ง

“คารวะเจ้าหญิง” คลาอุสเดินนำหน้าอีกสองนายกองออกมาต้อนรับนายเหนือของพวกเขา

“การรบดุเดือดกว่าที่คาดการณ์ไว้นี่” ฮิโระพูดเสียงเรียบ แล้วกระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว

“ขอรับ” เป็นหน้าที่ของคลาอุสและสเกลต้าต้องรายงานสถานการณ์สู้รบที่ผ่านไปให้เจ้าหญิงอสูรทราบ จากนั้น เธอสั่งให้ตั้งค่ายพักในป่าโปร่งแห่งนั้น ก่อนที่จะเดินทัพต่อไปยังป้อมปราการบาร์ฮาร่าในวันรุ่งขึ้น

ค่ำนั้นเอง ก็มีการประชุมสรุปแผนยุทธศาสตร์กันใหม่ ได้ความว่า ฮิโระจะนำกองกำลังสเกลตันของตนขึ้นเป็นกองหน้าเอง ให้คลาอุสและสเกลตันถอยไปเป็นกองหนุน ปีกซ้ายและขวายังคงเหมือนเดิม โดยนัยนี้ ฮิโระจะเป็นแม่ทัพในสนามรบ และมอบหมายให้คลาอุสดูแลงานด้านยุทธการทั้งหมดอยู่ด้านหลัง

และสุดท้าย สำหรับการรบที่ดุเดือดเมื่อตอนกลางวัน ฮิโระตั้งข้อสังเกตว่า

“ตามที่พวกเจ้าเล่ามา อาการของพวกกอบบลินเหมือนกับถูกสะกดจิตให้ไม่กลัวตายเช่นนั้นแหละ” เธอกล่าวช้า ๆ อย่างครุ่นคิด “แต่... ถ้าเป็นการสะกดจิตจริง ทำไมจึงมีผลต่อทางร่างกายด้วย? พวกเจ้าว่าพวกมันดุร้ายและมีพละกำลังเพิ่มกว่าปกติด้วยใช่ไหม?”

“ขอรับ” สเกลต้าตอบ “โดยเฉพาะเจ้าตัวหัวหน้ากองบริกาโต้"“

“อืมห์...” ฮิโระหรุบตาลงอย่างใช้ความคิด “หรือว่า... ไม่สิคงไม่น่าเป็นไปได้"“

“มีอะไรหรือขอรับ เจ้าหญิง” คลาอุสถามขึ้น

“...” ฮิโระเงยหน้าขึ้นสบตาผู้อยู่ในที่ประชุมนั้นทั้งหมด อันได้แก่นายกองทั้งหมดที่ร่วมทางมาด้วยนั่นเอง “เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของเราเท่านั้นนะ เราสงสัยว่าพวกมันจะใช้ยากระตุ้นพลัง”

“ยากระตุ้นพลัง?” ลูเซย์เดอร์ทวนคำ “มียาเช่นนั้นด้วยหรือ?”

“อืมห์... เราเองก็ไม่ทราบแน่ชัด แต่...ชิกเคยเล่าให้เราฟัง” เจ้าหญิงน้อยเอ่ยนามของกุนซือผู้ไม่อยู่ ณ ที่นี้ “ยากระตุ้นพลังของแคว้นโดม ทำให้ผู้เสพลืมความกลัวไปชั่วขณะ และปลดปล่อยร่างกายจากขีดจำกัดตามธรรมชาติ...”

ต่อไปนี้คือคำอธิบายจากปากคำของชิก ที่เธอเคยได้ฟังมา

...

“ยกตัวอย่างง่าย ๆ นะครับองค์หญิง เวลาคนเราตกใจ จะสามารถยกของหนักได้โดยที่ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหม อย่างเวลาเจอไฟไหม้หมู่บ้าน แต่พอไฟสงบลง คราวนี้จะยกของที่ว่านั้นคืนกลับที่เดิมก็ทำไม่ได้แล้ว เพราะธรรมชาติได้สร้างร่างกายของเรามาเพื่อมีความแข็งแรงในระดับหนึ่ง หากเราจะออกแรงเกินกว่าขีดความสามารถนั้น กล้ามเนื้อเส้นเอ็นและกระดูกของเราจะเกิดความเสียหายขึ้น ธรรมชาติจึงสร้างสัญชาตญานของเราให้คิดไปเองว่าขีดจำกัดของเราออกแรงได้เพียงเท่านั้น ซึ่งอาจมีบางกรณีที่เราอาจจะ ‘ลืม’ ขีดจำกัดที่ว่านั่น เช่น กรณีตกใจอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว”

ชิกยกมือขึ้นใช้นิ้วดุนแว่นอย่างที่เขาชอบทำบ่อย ๆ ก่อนจะอธิบายต่อว่า “ที่สหพันธรัฐโดม ก็ได้มีการคิดค้นยากระตุ้นพลังขึ้นโดยหลักการของมันคือ ปลดสวิทช์ขีดจำกัดทางร่างกายของผู้เสพออก ผู้เสพยาจะสามารถใช้พลังของตนได้ไม่จำกัด ดูเผิน ๆ เหมือนกับว่าเขาจะมีพลังเพิ่มขึ้นสามถึงสี่เท่า หรืออาจจะถึงสิบเท่าเลยก็ได้ แต่จริง ๆ แล้ว หากยาหมดฤทธิ์เมื่อไร เขาก็จะต้องพบกับความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ ของเส้นเอ็น และของกระดูกอย่างทรมานแสนสาหัสเลยทีเดียว แต่...ยานี้มันไม่มีฤทธิ์แค่นั้น มันจะทำลายประสาท ทำให้ผู้เสพเกิดอาการบ้าบิ่น กระหายเลือดและไม่กลัวความตายด้วย ... มันคือ อาวุธมีชีวิตดีดีนี่เอง องค์หญิง ใช้สำหรับพวกหน่วยกล้าตายที่จะต้องรบแบบทิ้งชีวิตของตนเอง นี่แหละคือความน่ากลัวอย่างหนึ่งของสหพันธรัฐโดมแหละ”

ฮิโระจำได้ว่า เธอเองฟังเรื่องนี้จากชิกแล้วก็ห่อไหล่อย่างลืมตัวและนึกดูถูกผู้ที่ผสมยานี้ขึ้นมารวมทั้งผู้ที่อำมหิตถึงขนาดใช้ยานี้กับเพื่อนร่วมโลกได้ ในใจ เธอคิดว่านี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บุรุษหนุ่มตรงหน้า ‘หนี’ ออกจากบ้านเกิดซึ่งเธอคาดว่าคงจะเป็นสหพันธ์รัฐโดมนั่นเอง

...

“อืมห์ ลักษณะของพวกกอบบลินเมื่อกลางวันเป็นไปตามอาการเสพยานั้นอย่างที่เจ้าหญิงบอกเลย” คลาอุสพึมพำเบา ๆ พอที่จะได้ยินกันทั่ว

“และสุดท้าย เราก็ต้องฆ่าพวกมันจนหมด ไม่สามารถจับเป็นได้เลย เพราะพวกมันไม่ยอม” สเกลต้าพูดต่อ

เมย์มีขยับตัวอย่างอึดอัด เนื้อเรื่องที่คุยกันช่างโหดร้ายสยดสยองต่อความรู้สึกอ่อนโยนของเธอเหลือเกิน ฮิโระชำเลืองมองพี่เลี้ยงวัยเด็กของตนอย่างเข้าใจ แล้วก็ตัดบทว่า

“เอาเถิด ทั้งหมดนี่ก็เป็นแค่ข้อสังเกตของเราเท่านั้น พวกเจ้าแยกย้ายไปพักผ่อนเถิด และ...ระมัดระวังตัวด้วย”

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1