มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ศึกบาร์ฮารา: หยั่งเชิง

???:“พวกมันเปิดศึกจนได้นะขอรับ ท่านมหาเทพ”
โคเรีย:“อืมห์ ด้วยวิสัยแห่งมาร ย่อมหนีไม่พ้นการทำสงครามไปได้ ท่านอิปซิลอนเอ๋ย”
อิปซิลอน:“พวกกอบบลินคงสูญสิ้นเผ่าพันธุ์คราวนี้เอง”
โคเรีย:“หึหึ เผ่าพันธุ์ที่ไร้ประโยชน์นั่น ‘ถูกลบ’ หายไปแผ่นดินแม่เนฟเวอร์แลนด์ก็หาเสียหายไม่”
อิปซิลอน:“จากนั้น ก็ถึงคราวเด็กน้อยฮิโระจะจบสิ้นล่ะ”
โคเรีย:“... อย่าเพ่อมั่นใจนัก ท่านอิปซิลอน”
อิปซิลอน:“??? ด้วยพลังเวทย์ของอัจฉริยภาพแห่งเพลิง และพลังยุทธของมันผู้นั้น ยังไม่พออีกรึท่าน?”
โคเรีย:“มันควรจะเพียงพอ เราจึงได้ดลใจให้ทั้งสองมาพบกันอย่างไรล่ะ แต่...”
อิปซิลอน:“...”
โคเรีย:“แต่พวกเราเป็นเทพมานาน...นานเหลือเกินแล้ว จนเราไม่สามารถคิดตัวแปรของ ‘ความผูกพันทางสายโลหิต’ ลงในแผนการครั้งนี้ด้วย”
อิปซิลอน:“...”
โคเรีย:“นอกจากนี้ เรายังรู้สึกไม่ชอบมาพากลกับที่นั่น...”
อิปซิลอน:“ท่านหมายถึง สิ่งก่อสร้างก่อนประวัติศาสตร์นั้นหรือ ท่านมหาเทพ”
โคเรีย:“ใช่ กำแพงอาถรรพ์ของมันหนาแน่นเหลือเกิน จนไม่สามารถหยั่งรู้เบื้องในมันได้”
อิปซิลอน:“ข้าพเจ้ามองไม่เห็นว่าจะมีสิ่งใดใหญ่หลวงจนต้องเก็บมาเป็นกังวลเลยท่าน”
โคเรีย:“...อืมห์...เราอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ เอาเถิด ทุกอย่างก็เตรียมการไว้พร้อมแล้ว สิ่งที่เราทำได้ก็ได้ทำแล้ว ที่เหลือ เรามานั่งชมความเป็นไปของเบื้องล่างกันเถิด”

...

“!???”

“...”

“เจ้าคือ...อุ ปวดหัว” อัศวินหนุ่มใหญ่ ยืนจ้องแม่ทัพผู้นำกองกำลังฝ่ายตรงข้ามครู่หนึ่ง ทั้งสองฝ่ายนิ่งเงียบมองพินิจซึ่งกันและกันอยู่นานก่อนที่ฝ่ายแรกจะเปล่งคำพูดออกมาได้เพียงสองคำแล้วก็ยกมือกุมศีรษะของตน

“...”

“อา ปวดหัวจริง ๆ ...เจ้า... เลือดในกายของข้าบอกว่า ข้าจะต้องฆ่าเจ้า จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้” สุดท้ายโกรมิลค่อย ๆ ลดมือจากศีรษะของตน แล้วกระชากดาบคู่ทั้งสองเล่มออกมาอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองที่จับจ้องเด็กสาวชาวอสูรบนหลังม้าที่อยู่ห่างออกไปทอประกายความเกลียดชังอย่างรุนแรง “เจ้าคือ พวกอสูรที่ชั่วร้าย สำนึกของข้าบอกเช่นนั้น!”

“หึ โกรมิลก็คือโกรมิล” ฮิโระแค่นยิ้มอย่างปลงสังเวช “ใช่ เราคือฮิโระ สายเลือดคนเดียวของจอมราชันย์อสูรที่พวกเจ้า-‘มนุษย์’-เกลียดกลัวนักหนา”

เธอยกเกทออฟเฮฟเว่นขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย “หากเจ้าปรารถนาชีวิตเรา ก็จงเอาชีวิตเจ้าเข้ามาเดิมพันเถิด มัวรอช้าอยู่ทำไมเล่า?”

“ข้าจะต้องฆ่าเจ้าแน่ นางอสูรร้าย” โกรมิลคำรามเสียงหนักแน่น “ทหาร บุก!!”

ขาดคำ ทหารอัศวินจำนวนสามร้อยห้าสิบของโกรมิลก็วิ่งตัดผ่านกลางทุ่งหญ้าเพื่อมุ่งเข้าหากองทัพสเกลตันที่ตั้งรออยู่ห่างออกไปบริเวณชายป่าโปร่งอย่างห้าวหาญภายใต้การนำของแม่ทัพ ทั้งที่ฝ่ายหลังมีกำลังพลมากกว่าถึงสองเท่า

“เข้ามา” ฮิโระพูดขึ้นลอย ๆ เธอยกเกทออฟเฮฟเว่น ให้สัญญานกองกำลังของตนให้ถอยร่นกลับเข้าไปในเขตป่า

มองตรงไป-เบื้องหลังของกองทัพอัศวินภายใต้การนำของโกรมิล คือสิ่งก่อสร้างมหึมาที่ทุกผู้รู้จักในนามของป้อมปราการแห่งบาร์ฮาร่า อันเป็นรังส้องสุมของพวกกอบบลินนั่นเอง หลังจากการประทะกันของทัพหน้าทั้งสองฝ่ายเมื่อวานนี้ ณ ท้องทุ่งที่ชายป่าด้านนอกแล้ว ทัพอสูรใหม่ก็ปรับขบวนดันกองทหารสเกลตันของฮิโระขึ้นเป็นกองหน้า พวกเขาพักแรมในป่าหนึ่งคืน ก่อนจะเดินทัพต่อทันทีที่ตะวันขึ้นในวันรุ่งขึ้น จนพ้นชายป่าและมาบรรลุถึงหน้าเขตป้อมปราการบาร์ฮาร่า ฝ่ายเจ้าถิ่นยกพลอัศวินออกมาตั้งประจันในทันที และบัดนี้ทัพของทั้งสองกำลังจะเข้าห้ำหั่นกัน

“ย้ากกกกก!!!” กำลังทหารอัศวินเข้าประทะกับทหารสเกลตันภายในป่าแห่งนั้นเอง อย่างไรก็ตาม เป็นที่รู้กันดีว่า เหล่าอัศวินไม่ถนัดการรบในที่ที่มีสิ่งกีดขวางมากอย่างเช่นในป่า อันเต็มไปด้วยต้นไม้ เถาวัลย์ กิ่งไม้ระเกะระกะ ดังนั้น พลานุภาพของทัพอัศวินจึงลดลงไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว

ฮิโระกระโดดลงจากหลังม้า ทันทีที่เท้าแตะพื้นเธอก็เอื้อมมือไปด้านหลังเพื่อตบสะโพกม้าให้วิ่งเข้าป่าไป ส่วนตัวเธอเองสาวเท้ายาว ๆ ตรงเข้าหาอัศวินโกรมิลทันที ฝ่ายหลังก็วิ่งเข้าหาเธอเช่นกัน โดยไม่แม้แต่จะเหลือบตามองทหารสเกลตันที่อยู่ใกล้ ๆ แม้แต่น้อย

“...” “เคร้ง ๆ ๆ” ทั้งสองฝ่ายประอาวุธกันโดยไม่มีการเจรจากันอีก ดาบคู่ของโกรมิลแหวกอากาศเข้าหมายฟาดฟันร่างของอสูรสาวน้อย แต่ก็พลาดเป้าหมายเป็นส่วนมาก น้อยครั้งที่ฮิโระจะยกด้ามเคียวเกี่ยววิญญานขึ้นปัดหรือรับคมดาบ ทั้งสองฝ่ายสู้กันอย่างดุเดือดระมัดระวังตัว หากแต่โกรมิลก็เช่นเดียวกับทหารของตน คือไม่ถนัดในการรบในป่า ทำให้ฮิโระไม่ประสบความลำบากในการรับมือหนึ่งในห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรผู้นี้นัก

...

“ฮึ่ม เจ้าบ้าโกรมิล มันมัวทำอะไรอยู่” กอบบลินร่างอ้วนปรากฏกายขึ้นบนเชิงเทินของกำแพงป้อมบาร์ฮาร่า มงกุฎบนศีรษะบ่งบอกให้ทราบถึงฐานะของมันเป็นอย่างดี มันคือ บริโมริน จ่าฝูงของเผ่ากอบบลินนั่นเอง

“รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองไม่ถนัดรบในป่า ยังตามเข้าไปในนั้นอีก” เจ้าบริโมรินบ่นพึมพำ ดวงตาที่ทอประกายเจ้าเล่ห์ของมันเพ่งมองการรบในป่าที่เห็นลิบ ๆ อย่างสนใจ กอบบลินผู้นี้ไม่เขลาเลย มันวิเคราะห์แผนการรบของฮิโระอย่างทะลุปรุโปร่งในทันที และมันก็ตระหนักดีว่าฝ่ายตน คือ โกรมิล ติดกับดักของเจ้าหญิงน้อยผู้นี้ไปอย่างจังแล้ว

“ช่วยไม่ได้ ทหารของข้า ออกรบเดี๋ยวนี้!” มันตะโกนสั่ง ประตูป้อมปราการเปิดออกอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เปิดมาครั้งหนึ่งเมื่อก่อนหน้านี้เพื่อส่งทัพอัศวินออกไป คราวนี้ สิ่งที่พรั่งพรูออกจากประตูป้อม คือ ฝูงกอบบลินจำนวนสองร้อยตน อันเป็นกองกำลังภายใต้อาณัติของบริโมรินเองโดยตรง ส่วนตัวบริโมรินนั้น มันกระโดดลงจากเชิงเทินที่สูงจากพื้นถึงสิบเมตรได้อย่างหน้าตาเฉย ขัดกับรูปร่างอ้วนท้วนของมันเป็นอย่างยิ่ง นี่ย่อมแสดงว่ามันมิใช่กอบบลินธรรมดา

“?!!!“ ยังมิทันที่ทัพฝ่ายบาร์ฮาร่าที่ปรากฏออกมาใหม่จะเคลื่อนตัวประการใด ก็ปรากฏเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับจากทางด้านซ้ายของพวกมัน และแล้วในวินาทีถัดมา กองกำลังทหารม้าของลูเซย์เดอร์ก็ปรากฏตัวขึ้นพ้นชายป่าออกมา

“ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว จ่าฝูงกอบบลินเอย!” ลูเซย์เดอร์ประกาศเสียงดัง กระชับแรนซ์ในมือมั่น ควบม้านำหน้าทหารฝ่ายตนวิ่งพุ่งตรงเข้าหาเหล่าฝูงกอบบลินโดยอยู่ในรูปขบวนหัวหอก

“อย่างนี้นี่เอง” บริโมรินกลอกตาแวบหนึ่ง “หึหึหึ อย่าดูถูกข้าเกินไปนัก โอม....” มันท่องคาถาอย่างรวดเร็ว แล้วก็ตบท้ายว่า “ข้าขอสั่งให้ฝนตกลงมา ณ บัดนี้!!!”

ขาดคำ ท้องฟ้าพลันมืดครึ้ม เมฆสีดำก่อตัวอย่างรวดเร็วเหนือผืนแผ่นดินบาร์ฮาร่า และอึดใจถัดมา ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“ฮึ่ม” ลูเซย์เดอร์สบถอย่างหัวเสีย ส่วนหน้าของทัพของเขากำลังจะเข้าประทะกับฝ่ายกอบบลินอยู่แล้วทีเดียว แต่ฝนก็ตกลงมาเสียก่อน แน่นอน มันทำให้พวกเขาต้องลดความเร็วของม้าที่ใช้เป็นพาหนะลง และทำให้ความรุนแรงในการทำลายล้างด้วยแรนซ์-หอกอัศวินลดลงไปด้วย บัดนี้หอกอัศวินในมือ แทบจะไม่มีค่าต่างกับท่อนไม้เลย ในเมื่อม้าของพวกเขาต้องเผชิญกับพื้นดินที่เปียกลื่นอันเนื่องจากฝน

“ฮ่า ๆ ๆ ฆ่ามัน” เป็นคำสั่งของราชากอบบลินร่างอ้วน ไพร่พลของมันโห่ร้องเอาฤกษ์ แล้ววิ่งเข้าหาทัพอัศวินทันที ด้วยกำลังที่เหนือกว่าถึงสองเท่า และเมื่อทัพม้าของลูเซย์เดอร์หมดความได้เปรียบในสภาพภูมิอากาศเช่นนี้ พวกมันจึงฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง

“เกาะกลุ่มกันไว้!” ลูเซย์เดอร์เองก็ใช่ย่อย เขาแก้ไขสถานการณ์ทันที จัดให้กองกำลังของตนรวมกลุ่มอย่างเหนียวแน่น อาศัยอาวุธคือแลนซ์ที่มีช่วงรัศมีคมอาวุธกว้างกว่ากระบองหนามของทหารอีกฝ่ายหนึ่ง ทำการรบต้านรับการบุกของอีกฝ่ายอย่างเหนียวแน่น หากแต่ทั้งสองฝ่ายทำได้เพียงตรึงกำลังประจันบาญกันอยู่กลางท้องทุ่งหญ้าแห่งนั้นโดยไม่สามารถสร้างความเสียหายให้อีกฝ่ายได้อย่างมีประสิทธิผล ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง รวมทั้งการรบระหว่างทัพอัศวินกับทัพผีโครงกระดูกภายในป่าด้วย

“บุก!” น้ำเสียงใส ๆ ดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของท้องทุ่ง ทัพสเกลตันจำนวนสี่ร้อยภายใต้การนำของเมย์มีปรากฏตัวขึ้นอย่างได้จังหวะ ทั้งนี้เป็นการสั่งงานจากศูนย์กลางเดียวกันคือ คลาอุสผู้แฝงตัวสังเกตการณ์อยู่บนยอดไม้ในป่านั่นเอง ทัพของเมย์มีบุกเข้าประชิดกำแพงป้อมปราการได้โดยสะดวก เนื่องจากกองกำลังฝ่ายตั้งรับที่มีอยู่ ได้ใช้ออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ผีสเกลตันลงมือปีนกำแพงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว โดยเผชิญการต่อต้านจากกำลังฝ่ายรับภายในกำแพงที่พยายามสาดส่าลูกธนูลงมาต้านทานเป็นสามารถ ประกอบกับพระพิรุณที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงทั่วทั้งบริเวณทำให้ฝ่ายบุกไม่สามารถรุกคืบหน้าไปได้ดังใจต้องคอยยกโล่ป้องตนเองจากอันตรายของอาวุธที่แหวกฝ่าอากาศมา

“เราเอง” เมย์มีร้องอย่างขัดใจแล้วกระโดดโผนขึ้นกลางอากาศ พลันปรากฏแสงวงกลมสีดำอ่อน ๆ ล้อมรอบร่างของเธอไว้ แล้วพาร่างอ้อนแอ้นอรชรลอยล่องขึ้นไปเหนือเชิงเทิน

“ฟิ้ว ๆ ๆ ๆ” ลูกดอกกลจากเครื่องยิงลูกดอกที่มีลักษณะเป็นหน้าไม้ขนาดกระทัดรัดที่ติดที่แขนท่อนล่างข้างซ้ายของเมย์มีได้มีโอกาสแผลงศรออกไปติดต่อกัน ปลิดชีพของทหารประจำป้อมบนเชิงเทินได้หลายจุด ทหารส่วนหนึ่งหันมาสาดธนูใส่เมย์มีที่อยู่เบื้องบนบ้าง แต่เหล่าลูกธนูเหล่านั้นก็ไม่อาจเจาะผ่านลำแสงสีดำสลัวที่ล้อมรอบตัวของเมย์มีไปได้ด้วยมันคือพลังเวทย์ที่นอกจากจะทำหน้าที่พาร่างของเธอเหาะบนอากาศได้แล้ว ยังเป็นเกราะคุ้มกันอีกด้วย

เมื่อแนวรับจากในป้อมปราการเกิดช่องโหว่ขึ้น ทหารสเกลตันส่วนหนึ่งจึงมีโอกาสปีนกำแพงขึ้นไปได้อย่างรวดเร็วจนบางจุดเริ่มเกิดการประทะกันโดยตรงระหว่างทหารบนป้อมกับฝ่ายรุกที่ปีนกำแพงขึ้นไปถึงตำแหน่งนั้นแล้ว หากแต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังสามารถกระทำการเด็ดขาดแก่อีกฝ่ายหนึ่งได้ กล่าวคือ ฝ่ายรุกก็ยังไม่สามารถหักฝ่าเข้าไปบนเชิงเทินได้ ขณะที่ฝ่ายตั้งรับก็ยังไม่สามารถขับไล่ฝ่ายรุกให้พ้นไปจากแนวกำแพง

การรบทั้งสามสมรภูมิดำเนินไปในลักษณะที่ยืดเยื้ออยู่พักใหญ่ ก่อนที่เจ้าบริโมรินจะตัดสินใจแบ่งงทหารของตนครึ่งหนึ่งให้ถอยกลับไปยังป้อมปราการของตน ตัวมันเองยังคงคุมทหารอีกกึ่งหนึ่งรบกับทัพอัศวินบนหลังม้าอย่างดุเดือด ขณะที่อีกครู่ต่อมาบริเวณหน้าประตูป้อมบาร์ฮาร่าก็เกิดการประทะกันของทหารบริโมรินกับทหารผีสเกลตันของเมย์มี

...

“...” ฮิโระซึ่งรบกับโกรมิลอยู่อย่างดุเดือดนั้น มีโอกาสกวาดสายตาสำรวจสถานการณ์การรบรอบด้านหลายครั้ง และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจ

“เจ้ามนุษย์เอย หากเราจะรบไปเช่นนี้ก็คงจะเสียเวลาเปล่า”

“ฮึ” โกรมิลหยุดการร่ายอาวุธของตนพักหนึ่ง เขาสำรวมจิตเพื่อรับรู้ความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งภายในสนามรบ ขณะที่สายตาก็ยังจับจ้องที่ศัตรูเบื้องหน้าอย่างไม่ประมาท อีกอึดใจหนึ่งเขาก็ตอบว่า

“จริงของเจ้า”

“เอาเช่นนี้เถิด มนุษย์ พรุ่งนี้เราขอท้าเจ้าสู้กับตัวต่อตัวบนหลังม้า!”

“เฮอะ เจ้ากล้าท้าข้าที่เป็นอัศวินให้สู้รบกันในแบบฉบับที่ข้าถนัดเชียวรึ”

“หึ หรือเจ้าไม่กล้ารับคำท้าของเรา” ฮิโระยิ้มเยาะ

“ได้ วันพรุ่งนี้เจอกัน!!”

“บอกไว้ก่อน เราเป็นผู้ผ่านหอคอยสเปกตรัลมา เจ้าอย่าประมาทก็แล้วกัน”

“สเปกตรัลทาวเวอร์หรือ?” โกรมิลทวนคำ “มิน่าเล่า จึงมีความมั่นใจในตัวเองสูงนัก”

ทั้งสองสบตากันอีกแวบหนึ่ง ก่อนที่จะสั่งการกับทหารของตนแทบจะพร้อมกันว่า

“ถอนตัว!”

“ทหารของข้า ถอนทัพ!”

ทหารทั้งสองฝ่ายหยุดการประอาวุธกัน หากแต่ยังคงจ้องชุมเชิงซึ่งกันและกันในขณะที่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ออกจากกัน และขั้นตอนต่อมาคือ การที่ทัพของโกรมิลค่อย ๆ เคลื่อนถอยจากแนวชายป่า

“อืมห์ วันนี้พอแค่นี้หรือ?” ลูเซย์เดอร์สังเกตเห็นการถอนตัวกลับมาของทัพอัศวินภายใต้อาณัติของหนึ่งในห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรแล้วก็พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะตวาดใส่เจ้าบริโมรินว่า “เจ้ากอบบลินเอ๋ย วันนี้ถือว่าพวกแกรอดชีวิตไปนะ ล้างคอไว้รับคมดาบข้าให้ดีดีแล้วกัน พวกเรา ถอนตัว!”

กองกำลังของลูเซย์เดอร์ผละตัวออกจากสนามรบอย่างรวดเร็ว เจ้าบริโมรินเองก็รู้สถานการณ์ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาที่มันจะตามไล่ตีอีกฝ่ายหนึ่งมันสั่งการอย่างรวดเร็วทันทีให้ลูกสมุนที่เหลืออยู่กับตัวถอยกลับไปยังป้อมปราการ

อีกด้านหนึ่ง เมย์มีก็ให้อาณัติหยุดรบแก่ทหารของตน เธอเหาะฉวัดเฉวียนลงต่ำเพื่อไล่ยิงลูกดอกกราดใส่ทหารกอบบลินของบริโมรินที่อยู่หน้าประตูป้อม เปิดโอกาสให้ทหารของตนรวมตัวกันได้แล้วเคลื่อนตัวถอยห่างออกจากป้อม หายกลับเข้าแนวป่าอย่างรวดเร็ว

และนี่คือ การรบหยั่งเชิงของทั้งสองฝ่ายในการรบวันแรกที่ประทะกัน ณ ป้อมปราการบาร์ฮาร่า เป็นที่น่าฉงนว่า ทหารทั้งสองฝ่าย นอกจากผู้ที่รับบาดเจ็บปานกลางจนถึงเล็กน้อยแล้ว มีผู้เสียชีวิตฝ่ายละไม่ถึงสิบรายเท่านั้น ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นไปตามแผนการของฮิโระที่ทำให้ทัพอัศวินมารบในป่า จึงลดอานุภาพการทำลายล้างลงไปพอสมควรขณะที่ทัพตนเองก็เน้นการรบหน่วงเวลาเพื่อหยั่งเชิงเป็นหลักมิได้มุ่งหวังการเผด็จศึก แต่ที่นอกเหนือความคาดหมายของเธอ คือ คาถาเรียกฝนของบริโมริน ที่ทำให้พลานุภาพในการบุกทะลวงทัพข้าศึกของอัศวินติดแรนซ์ของตนลดลงอย่างเหนือความคาดหมาย ทำให้ไม่สามารถฝากความเสียหายที่หนักหน่วงแก่กองกำลังกอบบลินได้

ฮิโระกำลังคิดอะไรอยู่?

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1