มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ศึกบาร์ฮารา: ผู้กล้าโกรมิลแห่งศึกธรรม-อสูร

การรบในวันรุ่งขึ้น เป็นไปตามที่ฮิโระได้ตกลงไว้กับโกรมิล ทัพสเกลตันของฝ่ายแรกรวมทั้งกองกำลังทหารม้าและกองกำลังสเกลตันอีกกองของเมย์มียืนเรียงรายอยู่ที่ชายป่า ขณะที่ทางด้านบาร์ฮาร่า กองกำลังอัศวินของโกรมิลและกองกำลังกอบบลินต่างพากันขึ้นไปยืนเรียงรายบนเชิงเทิน เบื้องล่างของพวกมัน ประตูป้อมปราการเปิดออกเพื่อให้โกรมิลบนหลังม้าและถือแรนซ์กระชับมั่นในมือย่างเหยาะออกมาแต่ผู้เดียว เจ้าหญิงอสูรจึงชักม้าของตนออกจากกลุ่มบ้างเช่นกัน

ม้าของทั้งสองฝ่ายเดินเหยาะย่างช้าๆ เข้าหากันที่กลางทุ่งหญ้า

บนเชิงเทิน บริโมรินจ้องมองร่างทั้งสองที่กำลังจะเริ่มการสัประยุทธอย่างสนใจ ดวงตาเจ้าเล่ห์ทอประกาย หวนนึกถึงเมื่อคืนที่โกรมิลมาขออนุญาตออกไปดวลกับแม่ทัพของอีกฝ่าย มันนิ่งอึ้งไปนานก่อนจะตอบสั้น ๆ ว่า “แล้วแต่ท่านสิ ท่านอัศวิน”

ขณะเดียวกัน ในห้วงคิดของฮิโระก็กำลังประหวัดถึงการประชุมการยุทธของฝ่ายตนเมื่อคืนก่อนเช่นกัน

...

“เจ้าหญิงขอรับ หากวันรุ่งขึ้นมีเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ข้าจะขอเผด็จศึกบาร์ฮาร่าโดยไม่รอฟังข่าวจากพวกของท่านซากิฟอนแล้วนะขอรับ” เป็นคำบอกการตัดสินใจของคลาอุส เสนาธิการทหารในศึกครั้งนี้

“...” จำได้ว่าเธอตอบกลับไปว่า “ขอบใจที่เป็นห่วง แต่ขอเราทำสิ่งที่เราคิดว่าสมควรทำก่อนเถิด”

“ข้าเข้าใจดีขอรับเจ้าหญิง” กุนซือเลือดแวมไพร์พยักหน้ารับ “ข้าถึงมิได้เร่งเผด็จศึกในวันนี้ แต่ข้าคงมิอาจเสี่ยงให้ศึกยืดเยื้อไปนานกว่านี้แล้ว”

แน่นอน การศึกในวันนี้ หากคลาอุสสั่งเคลื่อนพลกองหนุนที่เหลืออยู่ คือ กองกำลังสัตว์อาคมในอาณัติของตนกับกองกำลังสเกลตันที่ยังเหลืออยู่ของสเกลต้า บาร์ฮาร่าอาจจะแตกในวันนี้-หรืออาจจะเป็นช่วงเวลาของคืนนี้-แล้วก็ได้

“เราเข้าใจเจ้า” นั่นเป็นคำอนุญาตกลาย ๆ ของเธอ

“ระวังตัวด้วยขอรับ องค์หญิง ฝีมือของโกรมิลนั้นร้ายกาจทีเดียว” ลูเซย์เดอร์กล่าวขึ้น เขาเคยร่วมรบกับบุคคลผู้นั้นมาก่อนในศึกธรรม-อสูรเมื่อสิบสองปีก่อน ย่อมตระหนักถึงความสามารถของอีกฝ่ายดี “คาดว่าพรุ่งนี้ คนคนนี้คงใช้แรนซ์และรบบนหลังม้าขอรับ”

“อืมห์.... ในศึกธรรม-อสูรก็เคยเป็นแบบนี้ใช่ไหม?” ในช่วงเวลาที่โกรมิลสูญเสียความจำและเข้าสังกัดอยู่กับบาร์ฮาร่า เขารบแบบพลเดินเท้าเป็นหลักโดยใช้อาวุธคือดาบคู่ จนภาพพจน์ของเขาในสายตาชาวนีโอกลาดเป็นเช่นนั้นไปแล้ว หากแต่...อย่าลืมว่าเขาก็เป็นอัศวิน ย่อมมีความถนัดในการรบบนหลังม้าและใช้อาวุธหนักเช่นแรนซ์ได้

“ขอรับ และครั้งหนึ่ง พวกเราก็ได้มีโอกาสเห็นการดวลกันอย่างดุเดือดระหว่างอัศวินโกรมิลกับ....”

...

“เลือดบ้าคลั่งของเจ้าสงบลงบ้างหรือยัง? มนุษย์เอย” ฮิโระทักขึ้น

“ฮึ่ม! ในยามที่เห็นกับตาว่ามีอสูรอยู่ตรงหน้า มีหรือเลือดในกายข้าจักสงบลงได้” เป็นคำตอบด้วยน้ำเสียงเครียด ๆ “ตราบจนกว่าจะสังหารเจ้าลงได้นั่นแหละ อสูรเอ๋ย”

“หึหึ ถ้าเช่นนั้นจะรออะไรอยู่เล่า เรา-เจ้าหญิงฮิโระแห่งราชวงศ์อสูร จะเป็นคู่มือของเจ้าเอง”

“เจ้าหญิงฮิโระ ทายาทคนเดียวของจาเนสหรือ มิน่าเล่า ข้าจึงได้รู้สึกร้อนระอุเช่นนี้”

“นามของเจ้าเล่า เจ้าลืมมารยาททางการยุทธของเนฟเวอร์แลนด์แล้วหรือ?”

“ข้า...” โกรมิลอับจนถ้อยคำ

“หึ เข้ามา อัศวินโกรมิล หนึ่งในห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรเมื่อสิบสองปีก่อน!!!”

ขาดคำเธอชิงกระตุ้นม้าให้สะอึกเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมตวัดเคียวคู่มือเข้าหาทันที ฝ่ายอัศวินหนุ่มใหญ่แม้จะอยู่ในภาวะตกตะลึงไปเมื่อได้ยินนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกตน แต่ก็ยังคงสามารถยกด้ามแรนซ์ขึ้นปิดป้องไว้ได้

“เจ้าว่ากระไรนะ?”

“นามของเจ้าคือโกรมิล จำมิได้หรือ?”

“...”

“...”

ทั้งสองฝ่ายไม่แลกเปลี่ยนวาจากันอีก ต่างพากันกวัดแกว่งอาวุธยาวคู่มือเข้าหาอีกฝ่ายเป็นสามารถ ม้าทั้งสองตัว วิ่งเข้าหากันบ้าง วิ่งสวนกันบ้าง แล้วก็วิ่งออกจากกันระยะหนึ่งก่อนจะกลับตัวหันมาตั้งลำเพื่อจะวิ่งเข้าหากันใหม่ เป็นจังหวะเช่นนี้ไปนับได้หลายสิบเที่ยว ในแต่ละเที่ยวบุคคลทั้งสองก็มีโอกาสประอาวุธกันในช่วงที่ม้าวิ่งเข้าใกล้กัน เคียวของฝ่ายหญิงที่ตวัดแหวกอากาศอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ แต่ก็ถูกปัดป้องด้วยแรนซ์ของอีกฝ่ายหนึ่ง ขณะที่ในอีกจังหวะหนึ่งหอกอัศวินก็ถูกจ้วงแทงออกมาอย่างรุนแรงเช่นกัน แต่ก็ยังไม่สามารถทำอันตรายแก่อสูรสาวได้ ด้วยเธอปัดป้องมันไว้พร้อมกับที่ต้องคอยเอี้ยวร่างหลบ เพราะแรงประทะของเธอสู้ไม่ได้ คลาอุส ลูเซย์เดอร์หรี่สายตามองการยุทธครั้งนี้อย่าง ‘หายใจไม่ทั่วท้อง’ ด้วยตระหนักว่า เจ้าหญิงของพวกเขาเป็นรองอยู่เล็กน้อยในด้านแรงประทะ

หลังจากประอาวุธกันได้สามสิบกว่าเพลง (หนึ่งเพลงคือ นับตั้งแต่ทั้งสองฝ่ายควบม้าเข้าหากัน-สู้กัน-จนกระทั่งผละออกจากกันเพื่อหาโอกาสเข้าทำใหม่) โกรมิลก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ผ่านไปอีกสิบกว่าเพลง ความรู้สึกนั้นก็รุนแรงขึ้น จนทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิด ร่างกายของเขายังคงสู้รบไปตามสัญชาตญาน หากแต่

‘ทำไม? เรารู้สึกว่าเคยรบแบบนี้มาก่อน? เมื่อไรนะ?’

‘ใช่แล้ว เราเคยสู้รบแบบนี้ครั้งหนึ่งแล้วแน่ ๆ และคู่ต่อสู้ก็...ใช้เคียว...เคียวยาวอันเดียวกันกับในมือของเจ้าหญิงอสูรผู้นี้เสียด้วย!!!’

...

“บุกเข้าไป!!” อัศวินหนุ่มบนหลังม้าผู้มีผมสีแดงประดุจเพลิงพิโรธ ควบอาชาคู่ขาโผนเข้าหาฝูงผีโครงกระดูกเรือนพันที่อยู่เบื้องหน้าอย่างห้าวหาญ หอกยาวในมือจ้วงแทงออกไปอย่างหนักหน่วงและรวดเร็ว ทหารฝ่ายตรงข้ามซึ่งคือไพร่พลปีศาจเหล่านั้นล้มลงดุจใบไม้ร่วง แตกยาวเป็นรายทางในทุกที่ที่เขาเข้าไปถึง เบื้องหลังของเขาอัศวินชาวมนุษย์นับเรือนพันเช่นกันวิ่งดาหน้าตรงเข้าห้ำหั่นกับข้าศึกอย่างดุเดือด

ขณะนั้น พวกเขากำลังอยู่กลางสมรภูมิรบอันเป็นผืนดินที่ราบกว้างขวาง ไกลออกไปเบื้องหน้าลิบ ๆ ปราสาทอสูรอันเป็นสถานที่ที่มนุษย์พากันขนานนามว่า “ต้นตอแห่งความชั่วร้าย” ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เขารู้ว่านอกจากสมรภูมิเลือดอันเป็นสมรภูมิย่อยซึ่งอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของเขาแล้ว ในบริเวณเดียวกันนี้ เพื่อนร่วมศึกของเขาซึ่งมีอีกหลายคนต่างก็กำลังคุมทัพมนุษย์เข้าต่อกรกับข้าศึก-เหล่าอสูรร้าย-อย่างดุเดือด

นี่คือศึกที่ในภายหลังถูกขนานนามว่า ศึกธรรม-อสูร ปี 985 นั่นเอง

“?!!!” ทางปีกซ้ายของเขา พลันปรากฏกระแสความกดดันหนักหน่วงเคลื่อนเข้ามาใกล้ ไพร่พลทหารอัศวินล้มตายเป็นระนาว เมื่อหันหัวม้าไปทางนั้นก็พอดีกับที่ต้นตอของ ‘แรงกดดัน’ นั้นปรากฏต่อสายตา

สตรีสาวนางหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่งอรชรในชุดเสื้อกระโปรงสีดำยาวกรอมเท้าอย่างที่ไม่ควรมาปรากฏกายในสนามรบเลยปรากฏตัวขึ้น เธอผู้นั้นยืนอยู่บนรถศึกที่ลากชักด้วยม้าปิศาจสองตัว รถศึกนี้ไม่มีคนบังคับ หากแต่มันสามารถเคลื่อนที่ได้โดยการชักลากของม้าปิศาจทั้งสองอย่างดีเยี่ยม แลรู้ใจผู้อยู่บนรถนั้นว่าต้องการให้มันวิ่งไปในทิศทางใด เคียวด้ามยาวในมือของสตรีสาวสวยสง่าและแลดูสูงศักดิ์ผู้นี้เอง ที่ปลิดชีพทหารของเขาล้มตายเป็นจำนวนมาก ภายในเวลาอันรวดเร็ว

“เจ้าเป็นใครกัน?!!” เขาชักม้าวิ่งเข้าหาทันที พลางกระชับแรนซ์ในมือแน่น

“นามของเราคือ พลาน่า ยมทูตแห่งความตาย” หญิงสาวผู้นั้น ที่แท้คือธิดาคนโตของจอมราชันย์อสูรจาเนสและเป็นผู้นำในห้าขุนพลอสูรแห่งนีโอกลาดนั่นเอง

“ข้าคือโกรมิล ขอเป็นคู่มือของเจ้าเอง!” ขาดคำแรนซ์ในมือพุ่งออกไปทันที

“เคร้ง” พลาน่ายกเกทออฟเฮฟเว่นขึ้นรับอย่างใจเย็น เมื่อปัดป้องวิถีของแรนซ์ให้เบี่ยงเบนไปได้แล้ว เธอก็ตวัดคมเคียวโต้ตอบกลับเข้าให้บ้าง แต่โกรมิลก็ใช่ย่อยดึงแรนซ์กับมาปัดอาวุธอีกฝ่ายได้ทันท่วงที ม้าและรถม้าวิ่งสวนทางกันไป จนต้องไปกลับลำกันใหม่ แน่นอน ม้าของโกรมิลย่อมมีความคล่องตัวสูงกว่า ในขณะที่รถม้าของพลาน่ากำลังตีวงเพื่อเลี้ยวกลับอยู่นั้นเอง เขาก็ชักม้าย้อนกลับไปตีคู่กับรถม้าได้แล้ว

“เคร้ง ๆ ๆ ๆ” คราวนี้ทั้งสองฝ่ายประทะอาวุธกันยกใหญ่ ต่างก็พยายามออกอาวุธใส่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นพัลวัน ไม่มีใครยอมเสียเปรียบใคร และก็ยังไม่มีใครเพลี่ยงพล้ำต่อใคร

“ฝีมืออันร้ายกาจ!!” เขาอดหลุดปากชมเชยอีกฝ่ายจากใจจริงไม่ได้

“สมกับที่เป็นอัศวินชั้นแม่ทัพ” เป็นคำตอบจากอีกฝ่ายหนึ่ง

รถม้าและม้าศึกวิ่งคู่กันไประยะหนึ่งโดยบุคคลบนพาหนะทั้งสองประอาวุธกันอย่างดุเดือดตลอดเวลา ก่อนที่จะผละแยกออกจากกันไปคนละทางเมื่อเบื้องหน้ามีกลุ่มไพร่พลทหารเลวกลุ่มหนึ่งกำลังรบตะลุมบอนกันอยู่ แต่หลังจากนั้นยอดขุนพลของทั้งสองฝ่ายก็บังคับพาหนะคู่ศึกของตนให้วิ่งเข้าหากันอีก

...

“...” การเคลื่อนไหวของโกรมิลช้าลงอย่างเห็นได้ชัด หากแต่ความหนักหน่วงในกระบวนท่าของแรนซ์เพิ่มรุนแรงขึ้น แต่นั่นกลับเป็นผลดีต่อฮิโระที่สามารถอ่านการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้ปรุโปร่ง ทำให้ไม่ลำบากต่อการตั้งรับมากนัก อย่างไรก็ตามเคียวเกี่ยววิญญานของเธอก็ยังไม่สามารถทำร้ายเขาได้แม้แต่น้อย แม้นว่าเธอจะพยายามเต็มที่แล้วก็ตาม

‘สมกับเป็นผู้กล้า และเป็นผู้ที่เคยประทะกับท่านพี่พลาน่า’ เธอรำพึงในใจ ‘ฮึ และนี่ก็แสดงว่าเรายังห่างไกลจากท่านพี่อยู่อีกมากนัก’ ตอนท้ายเธอนึกเคืองตัวเองที่ยังก้าวตามเจ้าของเกทออฟเฮฟเว่นคนก่อนไม่ทัน หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยอายุเพียงสิบขวบที่เธอสามารถบุกเข้าไปหาประสบการณ์ในหอสเปกตรัล บวกกับอายุเพียงสิบเจ็ดปีที่ก้าวขึ้นเป็นจอมทัพของทัพอสูรใหม่ พร้อมฝากฝีมือให้ลือลั่นไปทั่วเนฟเวอร์แลนด์ ย่อมเพียงพอที่จะนับว่าเธอเป็นยอดขุนศึกชั้นแนวหน้าของเนฟเวอร์แลนด์แล้ว

ขณะเดียวกัน ในห้วงภวังค์ของอัศวินชาวมนุษย์ ก็ยังคงหวนนึกถึงภาพในอดีตที่ผ่านมา

...

สุดท้ายแล้ว ศึกธรรม-อสูรครั้งนั้นก็จบลงด้วยการเจรจาสันติภาพ หากแต่ก่อนหน้าที่จะถึงช่วงสุดท้ายของสงคราม สถานการณ์ของฝ่ายมนุษย์ตกอยู่ในห้วงเลวร้ายสุดขีด ด้วยประจักษ์ว่า พวกตนไม่สามารถรุกคืบหน้าเข้าโจมตีฐานที่มั่นของฝ่ายอสูรให้ระคายเคืองได้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามด้วยกำลังพล, ขวัญและเสบียงที่ร่อยหรอลงทุกวัน ทำให้ตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ แลจะถอยทัพนั้นเล่าก็ทำไม่ได้ เพราะรังแต่จะเป็นการเชื้อเชิญให้ข้าศึกระดมกำลังออกมาตามกวาดล้างครั้งใหญ๋ ห้าขุนพลผู้นำทัพฝ่ายมนุษย์ หรือที่ได้รับสมญาในเบื้องหลังว่า ห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูร ตกอยู่ในภาวะจิตใจที่บีบคั้นกันทั่วหน้า โดยเฉพาะโกรมิล ผู้ที่จริงจังต่อชีวิตและการทำศึกครั้งนี้ที่สุดตามลักษณะนิสัยของเขาเองมีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา ยามพักผ่อน เมื่อหลับตาลงครั้งใด ก็เห็นแต่ภาพการนองเลือดในสมรภูมิ สลับกับภาพการประมือกับยมทูตแห่งความตาย-พลาน่า ซึ่งนับจากครั้งแรกที่เขาประมือด้วยแล้ว ในวันต่อ ๆ มาก็ยังมีโอกาสได้ต่อกรด้วยอีกหลายต่อหลายครั้ง โดยที่ต่างก็ยังไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำได้ เท่าที่โกรมิลสามารถคงสติของตนไม่ให้แตกกระเจิงได้ ก็นับว่าเขามีกำลังใจที่ดีเยี่ยมแล้ว

เอ... เกิดอะไรขึ้นหนอหลังจากที่ศึกในครั้งนั้นสงบลง จำได้ว่าทัพฝ่ายมนุษย์ถอนตัวออกจากนีโอกลาด ราชาราดิวอิและภรรยาคือแม่มดสาวรอยด์นำทัพของตนกลับไปยังแคว้นอิปซิลอยเออร์ อืมห์... ขุนพลเกรย์ขอออกพเนจรไปตามทางของตัวเอง ขุนพลมิลเลียนเดินทางกลับไปยังแคว้น...แคว้นอะไรนะ อ้อ แคว้นซิลเวสเตอร์ ที่นั่นกำลังประสบกับการโจมตีอย่างหนักของทัพฝ่ายฝักใฝ่อสูรคือพวกกอบบลินและยังไม่มีทีท่าจะยุติ

ตัวเขาเล่า-โกรมิลทำอย่างไรในตอนนั้น?

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1