โกรมิลก็ยุติการเคลื่อนไหวของตนเช่นกัน ปลายแรนซ์ชี้ลงพื้นอย่างไร้การบังคับ ลึกลงไปในดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความเลื่อนลอย “ความจำฟื้นคืนแล้วหรือ?” ฮิโระและใครบางคนบนเชิงเทินของป้อมปราการบาร์ฮาร่ารำพึงขึ้นในเวลาเดียวกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฝ่ายหลังคือ เจ้าบริโมริน จ่าฝูงของเผ่ากอบบลินนั่นเอง “ใช่แล้ว ตอนนั้น ข้าตัดสินใจช่วยมิลเลียน เลยบุกไปตลบหลังเจ้าพวกกอบบลินถึงที่ป้อมปราการ” อัศวินพูดช้า ๆ ตอนท้ายเหลือบสายตามองไปที่ป้อมบาร์ฮาร่า อา... ช่างเป็นการกระทำที่สมกับโกรมิลผู้บ้าบิ่นเหลือเกิน บุกไปถึงรังของกอบบลินนี่นะ “แล้ว...ตอนที่ข้ากำลังสู้กับจ่าฝูงของพวกมัน ข้าก็จำอะไรไม่ได้อีก...” “เจ้าเสียทีถูกพวกมันล้างสมองนะสิ” ฮิโระชักม้าเข้าหาโกรมิลอีกครั้ง พลางยกมือซ้ายที่อัปลักษณ์ของตนชี้นิ้วไปที่ลำคอของอีกฝ่ายหนึ่ง “ดึงเส้นยันต์อาคมที่ผูกรอบคอเจ้าออกเถิด มนุษย์” “?!!!” โกรมิลทำหน้าแปลกใจ แต่ก็ยกมือซ้ายที่มิได้ถือแรนซ์ขึ้นลูบคอโดยอัตโนมัติ เมื่อปลายนิ้วสัมผัสกับเส้นด้ายเส้นเล็ก ๆ ที่ผูกรอบลำคอของตนก็ดึงออกมาทันที “อ๊ะ...” ภาพความหลังเป็นฉาก ๆ ผุดขึ้นมาในความจำทันที รวมทั้งเหตุการณ์หลังจากที่เขาสูญเสียความจำจนตกอยู่ภายใต้อาณัติของพวกกอบบลินด้วย ...
ในครานั้น ศึกภายในแคว้นซิลเวสเตอร์ยังคงดำเนินต่อไปอย่างยืดเยื้อ แม้ว่าจะสิ้นสุดศึกธรรม-อสูรไปแล้วก็ตาม ขุนพลมิลเลียนซึ่งเป็นชาวซิลเวสเตอร์เดินทางกลับไปกอบกู้สถานการณ์ของแคว้นตนทันทีที่ถอนตัวจากนีโอกลาด แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว เมื่อราชาและราชินีของซิลเวสเตอร์ในขณะนั้นเสียชีวิตขณะที่ถูกกองกำลังผสมของกอบบลินและแวมไพร์บุกปล้นวัง เป็นการเสียชีวิตเพื่อปกป้องธิดาองค์น้อย-เจ้าหญิงมิวร่าให้รอดพ้นจากเงื้อมมือพวกกอบบลิน มิลเลียนควบม้านำทหารม้าจำนวนหยิบมือของตนบุกเข้าไปรับช่วงช่วยชีวิตองค์หญิงตัวน้อยไว้ได้ทันพอดี และรวบรวมกำลังพลชาวมนุษย์ ต่อสู้กับพวกฝักใฝ่อสูรอย่างดุเดือด การรบอันวิกฤติภายในแคว้นซิลเวสเตอร์เป็นที่โจษจันไปทั่วผืนดินเนฟเวอร์แลนด์ถึงสภาพอันดุเดือดโหดร้ายของมัน และท้ายที่สุด ครึ่งปีให้หลังหลังจากจบศึกธรรม-อสูร ทัพหนุนฝ่ายมนุษย์อันได้แก่ ทัพอัศวินจากแคว้นศักดิ์สิทธิ์โคเรียสะทีนก็ยกมาช่วยฝ่ายมนุษย์ด้วยกัน ทัพของเผ่าแวมไพร์และกอบบลินจึงค่อย ๆ ถอนตัวกลับไป เจ้าหญิงมิวร่าผู้อ่อนแอ และได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนักจากการศึกอันโหดร้ายในครั้งนั้นได้รับการสถาปนาเป็นราชินีมิวร่า ครองแคว้นซิลเวสเตอร์จนปัจจุบัน โดยที่อำนาจในการปกครองและดูแลแผ่นดินอยู่ในมือของอัศวินผู้ซื่อสัตย์ นามว่า แกมแมค ผู้ปิดซ่อนใบหน้าของตนไว้ภายใต้หน้ากากเหล็กอยู่ตลอดเวลา จนคนรุ่นหลัง ๆ น้อยคนนักจะทราบว่า เขาคือ อัศวินมิลเลียน ผู้สำนึกเสียใจในความบกพร่องของตนที่ทิ้งแผ่นดินเกิดไปจนทำให้ราชาและราชินีองค์ก่อนต้องเสียชีวิตลง ตัวเขาเองจึงได้สาบานจะไม่ใช้ชื่อมิลเลียน-ผู้กล้าแห่งศึกธรรม-อสูรอีก หากแต่พลีกายและใจของตนใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เป็นเสมือนทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ทำงานต่างแขนต่างขาให้ราชินีผู้อ่อนแอของตนตลอดไป
และยิ่งกว่านั้น น้อยคนนักที่จะทราบว่า เบื้องหลังการถอนทัพของกอบบลินออกจากซิลเวสเตอร์ นอกจากจะมีเหตุจากการยกทัพมาช่วยของแคว้นโคเรียสะทีนแล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นคือ การที่ป้อมปราการบาร์ฮาร่าถูกโจมตีโดยกองกำลังอัศวินจำนวนหยิบมือเดียวภายใต้การนำของอัศวินโกรมิลผู้บ้าบิ่นนั่นเอง ทัพม้าของโกรมิลบุกเข้าโจมตีหมู่บ้านรอบนอกป้อมปราการแห่งแล้วแห่งเล่า จนพวกกอบบลินต้องกระเจิงเข้าไปรวมตัวกันอยู่ภายในตัวป้อม จากนั้น ก็จะเกิดศึกชิงป้อมกันทุกวัน จนกระทั่งทัพของกอบบลินส่วนใหญ่ถอนตัวกลับมาจากซิลเวสเตอร์อย่างรวดเร็ว บริโมรินก็ได้เข้าประมือกับโกรมิลอย่างดุเดือด โกรมิล-ซึ่งในขณะนั้นเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ยังเหลือรอดชีวิตอยู่ในศึกครั้งนั้น ต่อสู้กับผู้นำกอบบลินอยู่สองวันสองคืน ก่อนที่จะเพลิ่ยงพล้ำ ถูกกระบองหนามฟาดเข้าที่กลางหลังจนสลบเหมือด ความทรงจำของโกรมิลหมดสิ้นเพียงเท่านี้เอง หากแต่ในบัดนี้ ยามเมื่อความเป็นโกรมิลกลับคืนมาสู่ตัวใหม่ เขาจึงระลึกได้ว่า หลังจากได้รับการประคบประหงมให้ฟื้นจากอาการบาดเจ็บอยู่นานนับแรมปี เขา-ซึ่งสูญเสียความทรงจำโดยสิ้นเชิง ก็กลายเป็นพวกกอบบลินไปโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ในห้วงเวลาที่ผ่านมา พวกมันได้ใช้เขาฝึกปรืออาวุธ ยุทธวิธีให้แก่กองกำลังกอบบลิน รวมทั้งกองกำลังอัศวินชาวมนุษย์ที่ถูกรวบรวมมาในภายหลัง โดยพวกมันไปเสาะหาอัศวินชาวมนุษย์มาจากไหนไม่ปรากฏให้มาเป็นทหารในสังกัดของเขา อา... ไม่เพียงเท่านั้น ในระยะหลัง พวกมันก็มอบหมายให้เขานำกำลังกอบบลินบ้าง อัศวินบ้าง บุกไปปล้นสดมภ์หมู่บ้านตามชายแดนแคว้นของมนุษย์ที่อยู่ติดกัน โดยอ้างว่าเป็นหมู่บ้านที่เป็นแหล่งส้องสุมของพวกฝักใฝ่อสูร โดยทุกครั้งที่เขาออกปฏิบัติการนอกแคว้นบาร์ฮาร่า จะใช้ผ้าคลุมหน้าเพื่อปกปิดหน้าตาที่แท้จริงเสมอ เขาตกเป็นเครื่องมือปฏิบัติการร้ายของพวกกอบบลินไปโดยสิ้นเชิง จำได้ว่า บางครั้งเมื่อมีทีท่าว่าจะระลึกถึงความหลังของตนได้ ก็จะถูกไอเท่มอาถรรพ์อีกอย่างหนึ่งคือสร้อยคออาถรรพ์คล้องไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะตกอยู่ในมนต์สะกดโดยสิ้นเชิงอีกครั้งจึงถอดสร้อยเส้นนั้นออก เหลือเพียงสายสิญจน์เส้นเล็กที่คล้องคอเท่านั้น และบัดนี้เขาหลุดพ้นจากพันธนาการทางอาคมโดยสิ้นเชิงแล้ว ... “...” สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวขึ้นทุกขณะ เมื่อนึกได้ว่าตลอดเวลาตนเสียทีตกเป็นเครื่องมือของพวกกอบบลิน ในครั้งนั้น เขาเหนื่อยเกินไปและยังเต็มไปด้วยบาดแผลเก่าจากการรบในศึกธรรม-อสูรด้วย จึงได้เสียทีแก่จ่าฝูงของกอบบลิน เมื่อนึกประมวลเหตุการณ์เข้าด้วยกันในตอนนี้ ก็นึกได้ว่า ที่เจ้าบริโมรินไว้ชีวิตเขา และให้รักษาอาการบาดเจ็บอยู่นานนับแรมปี ก็เพื่อการนี้เอง และ... ช่วงเวลาที่รักษาอาการบาดเจ็บของเขานั้นเอง ที่พวกมันใช้ไอเทมอาถรรพ์ในการลบล้างความทรงจำของเขา “เจ้าพวกกอบบลิน...เลวร้ายมาก” “ฆ่าสองคนนั้นให้ได้! มิฉะนั้นครอบครัวของพวกเจ้าจะต้องตายทั้งหมด!!!” น้ำเสียงอันไร้ปราณีสั่งการดังจากบนเชิงเทิน เป็นเสียงของบริโมรินที่ชั่วร้ายนั่นเอง ฮิโระกับโกรมิลหันขวับไปทางป้อมปราการพร้อมกัน เพื่อพบว่า บัดนี้ประตูป้อมเปิดออกอีกครั้ง เพื่อส่งกองกำลังอัศวินจำนวนสามร้อยกว่าคนวิ่งตรูออกมาอย่างกระหายเลือด จิตของผู้เจนศึกทั้งสองสัมผัสได้ชัดเจนถึงความบีบคั้นของทหารอีกฝ่ายหนึ่งที่กำลังวิ่งเข้ามาหา “ฮึ่ม เจ้าพวกมนุษย์ที่ไปเข้ากับกอบบลิน...” โกรมิลกระชับแรนซ์ขึ้นในท่าเตรียมพร้อมทันที เขากำลังตกในภาวะโกรธแค้น...โกรธแค้นตัวเองอย่างหนักที่เสียทีเป็นเครื่องมือให้เผ่าที่ชั่วร้ายนี้เสียได้ บัดนี้ความโกรธของเขาพุ่งเป้าไปที่บรรดาบุคคลที่เคยเป็นไพร่พลของเขาแล้ว เขากำลังเตรียมจะกระตุ้นม้าให้วิ่งเข้าไปหาบรรดาทหารเหล่านั้นอย่างบ้าเลือด มือขวาที่ถือแรนซ์บีบแน่นด้วยอารมณ์ที่รุนแรงพร้อมที่จะระเบิดออกไปทุกเมื่อ หากไม่เพราะ... “หยุดนะ มนุษย์ผู้นามโกรมิล เจ้าไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิพวกเขาเช่นนั้น” ฮิโระตวาดใส่ผู้เพิ่งฟื้นความจำอย่างเหลืออด พลางชักม้าขึ้นแซงอีกฝ่ายหนึ่งก่อนจะยกเกทออฟเฮฟเว่นขึ้นขวางหน้าเขาไว้ “ครอบครัวของพวกนี้ถูกจับเป็นตัวประกันอยู่นะ!!!” “อะไรนะ!” โกรมิลหันขวับมาทันที สายตาเบิ่งโพลงเมื่อเข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง “อย่าทำอะไรพวกเขา!” ฮิโระหันหน้ากลับมามองบรรดาผู้ที่กำลังวิ่งเข้ามาหา สองมือเธอกระชับเคียวซาตานมั่นอย่างน่าเกรงขาม นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งชะลอความเร็วลงอย่างครั่นคร้าม หากแต่ด้วยประสาทสัมผัสของผู้ผ่านสมรภูมิอย่างโชกโชน โกรมิลที่อยู่ข้าง ๆ เจ้าหญิงอสูรตระหนักได้ทันทีว่า ฮิโระไม่มีเจตนาจะฆ่าฟันเลย ไม่มีรังสีอำมหิตแผ่จากร่างสง่านั้นแม้แต่น้อย “แล้วเจ้าจะให้ทำอย่างไร?” “ต้านรับไว้!” เป็นคำตอบสั้น ๆ แต่ได้ความหมายทั้งหมด หากแต่อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นทันทีจากด้านหลังของทั้งสองว่า “เจ้าหญิง ข้าบอกแล้วข้าปล่อยเจ้าหญิงเสี่ยงไม่ได้แล้ว” ไม่ต้องหันไปมองฮิโระก็รู้ว่าเป็นน้ำเสียงของคลาอุสนั่นเอง เสียงนั้นดังต่อว่า “ทหาร ประจันบาญ กันตัวเจ้าหญิงออกมาให้ได้” สิ้นคำสั่งการนั้น เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากด้านหลัง กองกำลังสัตว์อาคมในอาณัติของคลาอุสเอง วิ่งออกจากป่าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับกองกำลังสเกลตันของเมย์มี หากแต่บรรดาสเกลตันภายใต้อาณัติของฮิโระโดยตรงกลับไม่เคลื่อนไหว เนื่องเพราะพวกมันรับคำสั่งจากฮิโระเท่านั้น ส่วนกองกำลังอัศวินของลูเซย์เดอร์ก็มิได้เคลื่อนที่เช่นกัน ด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป ‘หึ ทำไมเจ้าหนุ่มหน้าขาวจึงไม่เชื่อมั่นในตัวองค์หญิงนะ ทั้งที่เป็นอสูรด้วยกันแท้ ๆ’ นั่นเป็นความเห็นของลูเซย์เดอร์ เขามั่นใจในตัวองค์หญิงของเขามาก แต่ก็กำชับให้ไพร่พลในสังกัดของตนเตรียมพร้อมเช่นกัน อย่างไรก็ตามหากเกิดอะไรขึ้น เขาก็ยังมั่นใจในความรวดเร็วในการเคลื่อนที่ของทัพม้าของเขาอยู่ว่าสามารถยืดหยุ่นตอบสนองต่อทุกสถานการณ์ได้ “เจ้าหญิง ถอยกลับมาเถิด!” คลาอุสซึ่งโผนลงจากยอดไม้ในป่า ควบม้าตะบึงแซงนำหน้าไพร่พลสัตว์อาคมของตนขึ้นมา พลางตะโกนบอกนายเหนือของตนอย่างร้อนรน “ฮิโระ!” อีกด้านหนึ่ง เมย์มีซึ่งควบม้ามาพร้อมกับไพร่พลสเกลตันของตนก็ร้องเรียกสหายวัยเยาว์ของตนอย่างร้อนใจเช่นกัน ในสายตาของบริโมรินบนเชิงเทิน เบื้องล่างห่างไกลออกไปในท้องทุ่งกว้าง แนวหน้าของทัพอัศวินที่ตกอยู่ใต้บงการของมันวิ่งมาจนเกือบถึงตัวฮิโระและโกรมิลที่ยืนเด่นอยู่กลางทุ่งนั้นอยู่แล้ว ถัดออกไปบรรดาสัตว์อาคมและสเกลตันอีกจำนวนหนึ่งของฝ่ายนีโอกลาดก็กำลังวิ่งเข้ามาเช่นกัน อีกสักครู่ต้องเกิดการประทะกันอย่างไม่ต้องสงสัย “หึหึหึ ฆ่ากันเข้าไป ฆ่ากันให้มากเท่าไรยิ่งดี” มันอดหัวเราะอย่างสาแก่ใจไม่ได้ แน่นอน รอบข้างของมัน เหล่าไพร่พลกอบบลินบนเชิงเทินได้รับการกำชับให้เตรียมพร้อมที่จะรบได้ทุกเมื่อ ... |