มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ศึกบาร์ฮารา: หอคอยบาร์ฮารา


“ฟู่ ๆ ๆ ๆ”

ก่อนที่แนวหน้าสุดของกองกำลังอัศวินที่รบอย่างจนตรอกเหล่านั้นจะวิ่งถึงเป้าหมาย พื้นดินเบื้องหน้าของพวกเขาก็เปลวเพลิงพวยพุ่งผ่านไปเป็นทางยาว อัศวินที่วิ่งอยู่แถวหน้าหยุดเท้าแล้วกระโจนถอยหลังอย่างตกใจ ทำให้ประทะเข้ากับคนที่วิ่งตามมาด้านหลัง แนวหน้าของกองกำลังอัศวินชนกันเองจนล้มระเนระนาด การเคลื่อนที่ของพวกเขาหยุดชะงักลงทันที

ฮิโระหันขวับไปทางซ้ายของเธอ ดวงเนตรทั้งคู่ทอประกายอย่างดีใจ พลางร้องว่า

“ชิก ซาโต้!”

“โอ้ว! โทษทีที่ทำให้รอนาน องค์หญิงน้อย” ขุนพลหน้าบากที่ปรากฏตัว ณ แนวชายป่าไกลออกไปลิบ ๆ ร้องตอบอย่างยินดีเช่นกัน ในสีหน้าของเขายังฉายแววโล่งใจอีกด้วย ข้าง ๆ เขาเป็นหนุ่มน้อยร่างเล็กสวมแว่นตา สองมือของเขายังประคองถืออาวุธกระทัดรัดที่เขาเคยบอกไว้กับพวกนีโอกลาดว่า มันเรียกว่า “ปืนไฟ” ซึ่งฮิโระรู้ได้ทันทีว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มาจากการ “ยิง” ปืนไฟในมือชิกนั่นเอง

“แหะ ๆ” ชิกเพียงแค่ละมือหนึ่งจากปืนไฟขึ้นโบกให้องค์หญิงของเขาเท่านั้น

“เจ้าซากิฟอนกำลังจะตามมา องค์หญิง” ซาโต้รายงานต่อทันที

...

ย้อนหลังกลับไปสามวัน อันเป็นวันเดียวกับวันที่ทัพของนีโอกลาดเริ่มเคลื่อนพลล่วงล้ำเข้าเขตแดนของบาร์ฮาร่า- ก่อนหน้าที่จะประทะกับกองกำลังของบริกาโต้หนึ่งวัน...

“เข้ามาได้ครบทุกคนใช่ไหม?” ซากิฟอนถามขึ้น ขณะนี้เขาอยู่ในสิ่งก่อสร้างก่อนประวัติศาสตร์ที่ใหญ่โตจนน่าพิศวง ทันทีที่หลุดเข้ามาในนี้เหมือนกับหลุดมาอีกโลกหนึ่งที่ตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง ในใจหวนนึกถึงหอคอยสเปกตรัลที่ฮิโระเคยเล่าให้ฟังไม่ได้ ‘คล้ายกับบรรยากาศในสเปกตรัลทาวเวอร์ที่องค์หญิงเคยเล่าให้ฟังแฮะ’

“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าซากิฟอนเอ๋ย” เป็นคำตอบจากเพื่อนที่เป็นนินจา “ขนาดท่านกับเจ้าชิกยังเล็ดลอดเข้ามาได้นี่ ไม่ต้องห่วงพวกนินจาของข้าดอก”

“คิดว่าพวกกอบบลินที่เฝ้าประตูหออยู่จะไม่รู้ตัวนะ” ซากิฟอนอดหันไปมองด้านหลังไม่ได้

“ไม่ต้องห่วง” เป็นคำตอบของผู้ชำนาญการเล็ดลอบแฝงตัว

บัดนี้สามขุนพลชาวมนุษย์แห่งนีโอกลาด ได้แก่ ชิก ซากิฟอนและซาโต้ รวมทั้งไพร่พลนินจาในสังกัดของซาโต้จำนวนสามสิบนาย กำลังอยู่ในหอคอยบาร์ฮาร่า หรือที่เรียกกันติดปากว่า ‘หอคอยกอบบลิน’ นั่นเอง และภารกิจในคราวนี้ก็คือ...

“เอาล่ะ ทีนี้ก็บุกต่อไปได้เลย ในชั้นหนึ่งกับชั้นสองนี่ ตามข้อมูลที่ได้มา มีแต่พวกมอนสเตอร์เท่านั้น ไม่มีพวกกอบบลินอยู่” ซาโต้พูด “ปัญหาก็คือตรงประตูเข้าชั้นสามล่ะ แต่กอบบลินจำนวนแค่หยิบมือคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงนัก”

“และที่นั่น ก็คือที่กักขังเชลยล่ะ” ซากิฟอนเสริมขึ้น

“ใช่... ถ้าพวกมันไม่ย้ายที่ซะก่อนนะ” ซาโต้ตอบ พลางให้สัญญานเคลื่อนขบวน

อีกไม่กี่นาทีถัดมา พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับฝูงสัตว์ร้าย (มอนสเตอร์) ฝูงใหญ่ที่ยึดหอคอยกอบบลินเป็นรัง

“บ๊ะ มอนสเตอร์ชุมไม่เบาแฮะ ท่าทาง” หัวหน้านินจาบ่นดัง ๆ พลางกระชับดาบคู่มือมั่น

“ย้ากกกกกก!” ฝ่ายมนุษย์กับสัตว์ร้ายเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด นินจาสองถึงสามคนยืนประกบคอยอารักขาชิกไว้ ด้วยตระหนักว่าชิกเป็นเพียงฝ่ายพลเรือนที่ไม่มีอาวุธสำหรับการรบประชิดตัว

เวลาผ่านไป...

“เอาไงท่านซาโต้?” อัศวินหนุ่มถามขึ้นหลังจากถอยกายมาประชิดกับอีกฝ่าย

“ไม่ไหวว่ะ พวกนี้ไม่ยอมถอยเลยว่ะ คงเห็นว่าพวกเรามารุกรานถิ่นฐานของมัน”

“งั้นก็ช่วยไม่ได้นะ”

“อืมห์ เร่งมือหน่อยละกัน”

ซาโต้ให้สัญญานรบแตกหักแก่ไพร่พลนินจาของตนทันที การรบทวีความดุเดือดขึ้นอีก

“หลบไป! ดาบเล็บมังกรขั้นสูง เคนมะเรนซัน!”

“เฮ้ย ไอ้บ้า”

“ฉัวะ ๆ ๆ ๆ” “แก๊กกกกกก!” เสียงคมของคลื่นสุญญากาศตัดร่างกายของพวกสัตว์ร้ายเป็นชิ้น ๆ พร้อมเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของพวกมันดังลั่นขึ้น จำนวนสัตว์ร้ายลดลงอย่างรวดเร็ว และที่เหลือก็สิ้นชีพด้วยน้ำมือของพวกไพร่พลนินจา

“จะเล่นท่าไม้ตายก็ไม่บอกกันล่วงหน้านะท่าน ถ้าหลบไม่ทันจะทำไง?” ซาโต้ฉุนเล็ก ๆ เดินเข้ามาต่อว่าตัวการหลังจากสิ้นสุดการต่อสู้แล้ว

“หลบไม่ทันก็...ไม่สมกับเป็นนินจาสิ ก็เห็นหลบกันทันทุกคนนี่นาท่าน” ซากิฟอนตอบพลางยิ้มเครียด ๆ

“เฮอะ พูดดีนิ” ซาโต้บ่นกระปอดกระแปด “วันหลังข้าใช้ท่าไม้ตายแบบไม่บอกกล่าวบ้างหรอก”

“อย่านา พวกข้าอัศวินไม่เร็วแบบพวกท่านนา แหะ ๆ ข้าขอโทษละกัน มันปุบปับนะ”

“หึ ๆ ๆ” อีกฝ่ายไม่ว่ากระไร คงหัวเราะเบา ๆ เท่านั้น

“เอ้า ปรับความเข้าใจกันแล้วใช่ไหม งั้นก็เดินทางกันต่อ” ชิกตรงเข้ามาสมทบ

“อืมห์...”

...

สัตว์ร้ายที่อาศัยในหอคอยกอบบลินมีจำนวนชุมกว่าที่คาดคิดไว้ ทำให้พวกเขาต้องเสียเวลาไปทั้งวันก่อนที่จะมาถึงหน้าบันไดที่ทอดขึ้นไปสู่ชั้นที่สอง ชิก ซากิฟอนและซาโต้ตกลงกันว่าตั้งแคมป์พักแรมกันที่บันไดนี้เอง ด้วยมันน่าจะปลอดจากสัตว์ร้ายมากที่สุด

หลังจากที่นัดแนะเรื่องการเฝ้าเวรยามรอบที่พักกันแล้ว ผู้นำทั้งสามก็มาปรึกษากันก่อนที่จะแยกย้ายไปพักผ่อน

“สัตว์ร้ายชุมกว่าที่คิดไว้ แต่ยังไงก็ตาม ภายในวันพรุ่งนี้หรืออย่างช้าที่สุดก็อีกหนึ่งวันให้หลังเราจะต้องปลดปล่อยเชลยให้ได้ ไม่งั้นก็ไม่มีประโยชน์เพราะหากเนิ่นนานกว่านั้น ทัพของเราก็คงประทะขั้นแตกหักกับพวกบาร์ฮาร่าไปแล้ว” ชิกกล่าวสรุปสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง

“แต่... เราคาดกันว่าจะกันทัพโกรมิลออกมาต่างหากได้นี่” ซากิฟอนพยายามมองในแง่ดี

“ก็เป็นแค่การคาดการณ์ แต่ทหารของโกรมิลจะยอมรอเราขนาดไหนก็ไม่ทราบได้ และที่สำคัญ ตัวโกรมิลเองนั่นแหละ องค์หญิงคงดึงเวลาไว้ได้ไม่นานนักหรอก”

“จริงของชิก” ซาโต้เสริม “เวลาเรามีน้อยนา”

“อืมห์” ซากิฟอนตอบรับในลำคอ “ถ้าโกลมิลอยู่ตั้งรับในป้อมบาร์ฮาร่าก็ดีหรอก เราจะมีเวลาเพิ่มอีกประมาณวันหนึ่ง”

“เราคิดเข้าข้างตัวเองอย่างนั้นไม่ได้หรอก ท่านซากิฟอน” ชิกตอบ “ว่าแต่ ตามที่เราทราบมา พวกกอบบลินเวลามันเข้ามาในหอคอยนี้เอง มันจะไม่ต้องถูกพวกสัตว์ร้ายเข้าโจมตีเลยนี่นา แสดงว่าพวกมันต้องมีไอเท่มหรือวิธีการพิเศษอะไรที่ทำให้พวกสัตว์ร้ายไม่ตอแยพวกมันแน่ ๆ”

“สนใจละสิ ท่านชิก”

“ก็...นิดหน่อย แต่ตามที่พวกเขาว่า ของนั่นคงอยู่ที่เจ้าบริโมรินแหละนะ” พวกเขาที่ว่านี้ คือ เชลยศึกที่จับได้-หรือพูดให้ถูกกือ ที่มาขอความช่วยเหลือ-เมื่อคราวก่อนในศึกป้องกันนีโอกลาดนั่นเอง

“อืมห์ แล้วอีกส่วนหนึ่งก็อยู่ที่พวกที่เฝ้าเชลย” ซาโต้เสริม “คิดว่าขากลับออกไปคงสบายขึ้นนะ ถ้าได้ไอเท่มที่ว่านั่นมา”

“ข้ามีเรื่องขอคำยืนยันจากพวกท่าน” ชิกกล่าวช้า ๆ “หากวันมะรืนนี้เรายังช่วยเชลยไม่สำเร็จ เราจะเดินหน้าต่อไหม หรือถอย”

“อืมห์... หากช้ากว่านั้น ทัพขององค์หญิงก็คงรบขั้นแตกหักกับทหารอัศวินพวกนั้นแล้ว... เช่นนั้นหรือ” ซากิฟอนรำพึงเบา ๆ แน่นอน พวกเขาทั้งสามคนไม่มีใครคิดว่าองค์หญิงของเขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

“ใช่ นั่นหมายความว่า เราช่วยพวกตัวประกันเหล่านั้นออกมา เพื่อไปรับศพพวกอัศวินญาติของตัวเองนั่นเอง!” ชิกกล่าวเสียงเครียด

“เราต้องทำให้สำเร็จสิ และถึงยังไง ข้าก็เชื่อว่าองค์หญิงจะดึงเวลาไว้ได้... หรือบางทีโกรมิลอาจจะไม่ได้เป็นทัพหน้าอย่างที่เราคาดการณ์กันก็ได้”

“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” ชิกหรุบตาต่ำ “แต่...โกรมิลร้ายกาจเกินไป ถ้าองค์หญิงจะจับตายมันก็ไม่เหนือบ่ากว่าแรงนักดอก แต่หากจะให้จับเป็นนี่สิ ท่านก็น่าจะทราบดีกว่าข้านะ ว่าการจะจับเป็นใครสักคนนะ หมายความว่าเราจะต้องมีกำลังเหนือชั้นกว่าคนผู้นั้นหลายชั้นจริง ๆ จึงจะทำได้”

ใช่... ทำไมข้าจะไม่ตระหนัก- ซากิฟอนคิดในใจ การที่ยอดฝีมือสองคนประทะกัน หากทั้งสองฝ่ายมีฝีมือใกล้เคียงกัน การจะโค่นล้มอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่เรื่องยากนัก แต่หากจะคิดจับเป็นอีกฝ่าย โดยที่ฝ่ายนั้นสู้สุดฤทธิ์แล้วไซร้ ย่อมเป็นสิ่งที่ยากกว่าหลายเท่านัก ฝ่ายที่จะจับจะต้องมีฝีมือสูงส่งกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจริง ๆ จึงจะทำได้

...

รุ่งขึ้น ‘หน่วยช่วยเหลือเชลย’ (ซากิฟอนตั้งชื่อเอง) ก็ขึ้นบันไดสู่ชั้นสองของหอคอยบาร์ฮาร่า ในชั้นนี้ก็เช่นกัน พวกเขาเผชิญกับพวกสัตว์ร้ายอีกเฉกเช่นกับในชั้นล่าง หากแต่สัตว์ร้ายในชั้นนี้ทวีความดุร้ายมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

“ดาวกระจายไร้รูป”

“ดาบเล็บมังกรขั้นสูง”

ซาโต้กับซากิฟอนต้องใช้ท่าไม้ตายติดต่อกันหลายครั้งกว่าจะพลิกสถานการณ์มาเป็นฝ่ายมีเปรียบและสามารถขับไล่สัตว์ร้ายเหล่านั้นแตกกระจายไปได้ หากแต่นินจาในสังกัดของซาโต้ก็บาดเจ็บไปตาม ๆ และเสียชีวิตไปสามคน

หลังการประทะ ชิกกับสหายอีกสองคนเดินเข้าสมทบกัน ต่างก็สบตากันอย่างหนักใจ

“หนักหนาสาหัสกว่าที่คิดจริง ๆ” ซาโต้ถึงกับส่ายหน้า “ทำไมพวกมันดุร้ายปานนี้นะ”

“เฮ้อ... ท่านเหลือกำลังพอจะใช้ไม้ตายได้อีกกี่ครั้ง?” ซากิฟอนถาม

“ก็คงพอสำหรับการประทะอีกครั้งเดียวแหละ ท่านล่ะ?”

“เหมือนกัน เราพักกันตรงนี้สักครู่เถิด”

“ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไรหรอก แต่เอาเถิด พักก็พัก ลูกน้องข้าบาดเจ็บกันหลายคนเหมือนกัน”

การใช้ท่าไม้ตายแต่ละครั้ง ต้องอาศัยทั้งกำลังกาย สมาธิ และ ‘ตบะ’ หรือ ‘พลังจิต’ ของผู้ใช้ด้วย สำหรับสองสิ่งแรก หากได้พักสักหน่อย ก็ย่อมฟื้นกลับคืนมาได้ไม่ยากนัก แต่ตบะหรือพลังจิตนั้น ต้องอาศัยเวลานานกว่าในการฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา นี่เป็นข้อจำกัดที่ทำให้แต่ละคนไม่สามารถใช้ท่าไม้ตายพร่ำเพรื่อได้ เมื่อหวนนึกถึงว่ายังจะต้องบุกตลุยหอคอยชั้นนี้อีกหนึ่งชั้นก่อนจะขึ้นไปถึงที่หมายได้ สถานการณ์ตอนนี้นับว่าไม่สู้ดีนักจริง ๆ สำหรับฝ่ายนีโอกลาด

..


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1