มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ศึกบาร์ฮารา: เพลิงพิโรธ


“ฯลฯ” เสียงร้องเรียกดังขึ้นเซ็งแซร่เกือบจะฟังไม่ได้ศัพท์ มนุษย์กลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้นที่ชายป่าด้านเหนือ เขาเหล่านั้นคือบรรดาครอบครัวของทหารอัศวินบาร์ฮาร่านั่นเอง บัดนี้ ตัวประกันเหล่านี้ได้รับการปลดปล่อยแล้ว!

“องค์หญิง ทันเวลาพอดีใช่ไหม?” เป็นซากิฟอนที่วิ่งเข้ามาสมทบกับซาโต้และชิกตะโกนถามมา

“พวกเจ้าทำได้ดีมาก ทั้งสามคน” เจ้าหญิงอสูรตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างดีใจและภาคภูมิใจในผลงานของสหายศึกที่ตนเองไว้วางใจ เธอขยับถือเคียวซาตานด้วยมือขวา แล้วใช้มือซ้ายโบกให้กองกำลังอัศวินที่ยืนตกตะลึงหันรีหันขวางอยู่เบื้องหน้าพลางกล่าวว่า “พวกเจ้า กลับไปหาครอบครัวของพวกเจ้าเถิด นี่เป็นเรื่องของเรา-ทัพอสูรใหม่ที่จะคิดบัญชีกับพวกกอบบลินทรยศเหล่านี้ จงถอยห่างออกไป!”

เหล่าอัศวินยังลังเล ส่วนใหญ่ของพวกเขามองไปทางครอบครัวของตนที่ยืนอยู่รวมกับกองกำลังนินจาของซาโต้อย่างละล้าละลัง ฮิโระจึงสำทับอีกคำหนึ่งว่า “ครอบครัวของพวกเจ้ารออยู่ตรงนั้นแล้วไง จงกลับไปหาพวกเขาเถิด”

ประจวบกับเสียงร่ำเรียกจากชาวบ้านเหล่านั้นดังขึ้นมาอีก บรรดาอัศวินเหล่านั้นจึงพากันล่าถอยไป ลานเบื้องหน้าป้อมปราการบาร์ฮาร่าเปิดโล่งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และบัดนี้มีเพียงบุคคลบนหลังม้าสองคน คือ ฮิโระและโกรมิล กับกองกำลังจากแคว้นเชมบะที่วิ่งเข้ามาหมายจะปกป้องเจ้าหญิงอสูรในเหตุการณ์เมื่อครู่เท่านั้น

ฮิโระหันไปทางกองกำลังทั้งสองกองของแคว้นเชมบะที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ สั่งด้วยสุรเสียงอันดังว่า

“เอาล่ะ คลาอุส เรามอบหมายให้ท่านเป็นแม่ทัพตีป้อมปราการบาร์ฮาร่าให้จงได้!”

“ขอรับ” คลาอุสรับคำแล้วยกมือขวาขึ้นให้สัญญานแก่ไพร่พลในสังกัดของตน พร้อมกับส่งสัญญานไปทางท่านหญิงเมย์มีซึ่งคุมกองกำลังอีกกองหนึ่ง

“บุก!”

บรรดาไพร่พลสัตว์อาคมทั้งสามร้อยตนของแวมไพร์ลอร์ดออกวิ่งกรูไปยังป้อมปราการทันที เมย์มีเองก็ให้สัญญานพลสเกลตันของตนบุกเช่นกัน พร้อมกับที่ลูเซย์เดอร์ก็นำกำลังพลทหารม้าของตนวิ่งเหยาะ ๆ เข้าหาป้อมปราการอย่างช้า ๆ ด้วยตระหนักว่า กำลังของตนคงต้องรอจนกว่าประตูป้อมเปิดออกจึงจะบุกเข้าไปได้ ด้วยกำลังของอัศวินย่อมไม่เหมาะต่อการปีนเข้าหักค่าย แน่นอนกองกำลังสเกลตันของฮิโระเองยังคงคุมเชิงอยู่ที่ชายป่าฝั่งไกล พร้อมกับกองกำลังในสังกัดของสเกลต้า

ฝูงสัตว์อาคมวิ่งผ่านหน้าของโกรมิลไปจนหมดสิ้น อีกอึดใจถัดมา ศึกชิงป้อมก็เริ่มขึ้นอย่างดุเดือดอีกครั้งหนึ่ง

โกรมิลซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ก้มหน้าลงมองปลายแหลมของแลนซ์ของตนพลางกำด้ามแลนซ์แน่นจนแขนสั่นระริก เงยหน้าขึ้นมองฮิโระนิ่ง...เนิ่นนานกว่าเขาจะเอ่ยคำออกมาได้

“เจ้าช่วยข้าไว้ทำไม?”

“หึ เรามิได้ช่วยเจ้า เราเพียงแต่ไม่ชอบวิธีของบริโมรินต่างหาก”

“...”

“ความทรงจำของเจ้าก็กลับคืนมาแล้ว เจ้าจะทำประการใดต่อ?”

“ขอถามอีกครั้ง เจ้าคือบุตรีของจาเนส?”

“ใช่” ฮิโระตอบอย่างภาคภูมิ และเสริมว่า “และบัดนี้เรากำลังนำทัพภายใต้ร่มธงกองกำลังอสูรสายเลือดใหม่ด้วย หากเจ้าเห็นว่าเราจักเป็นภัยต่อพวกพ้องมนุษย์ของเจ้า ก็จงเข้าขวางหน้าเราไว้เสียแต่บัดนี้เถิด” เธอกวัดแกว่งเคียวเกทออฟเฮฟเว่นฉวัดเฉวียนไปมาอย่างไม่สะทกสะท้านต่อศักดิ์ศรีของฝ่ายตรงข้าม

“ข้ามิใช่ผู้ไม่รู้ดีรู้ชั่ว” โกรมิลกล่าวในที่สุด ก่อนจะยกแขนขึ้นเงื้อง่าแลนซ์สุดเหยียดเหนือศีรษะตน ฮิโระไม่ขยับร่างกายเลยแม้แต่น้อย เป็นบรรดาสามสหายที่ยืนอยู่ห่างออกไปเสียอีกที่ใจหายวาบ แต่แล้วทุกคนก็โล่งใจเมื่ออดีตผู้กล้าแห่งศึกธรรม-อสูรขว้างแลนซ์นั้นลงปักกับพื้นดินอย่างแรง ปลายด้ามแลนซ์ยังสั่นระริก ขณะที่บุรุษบนหลังม้ากล่าวว่า “ไว้พบกันใหม่ เจ้าหญิงอสูร”

เขาชักม้าวิ่งตรงไปยังชายป่า โดยมีสายตาของเหล่าขุนพลแห่งนีโอกลาดที่มิได้ร่วมศึกชิงป้อมมองตามไป

“อย่างนี้จะดีหรือ องค์หญิง” ซาโต้ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเธอเมื่อไหร่ไม่มีใครทันสังเกต

“ดีแล้ว” เป็นคำตอบเรียบ ๆ จากริมฝีปากบางเฉียบที่แฝงประกายทรนงนั้น

“พบกันคราวหน้า คงไม่แคล้วเป็นในสนามรบอีกแหละนะ”

“อาจจะใช่”

ทั้งสองเบนสายตาไปมองศึกชิงป้อมเบื้องหน้า การต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างสัตว์อาคมและสเกลตันกับกอบบลินบนกำแพงป้อมกำลังระเบิดขึ้น เมย์มีอาศัยกลยุทธเดิมคือ เหาะไปบนอากาศและโจมตีลงมายังภาคพื้นดิน ยังความระส่ำระสายให้แก่พลพรรคกอบบลินบนป้อมไม่ใช่น้อย แต่การตั้งรับของพวกมันก็แข็งแกร่งนัก ด้วยวันนี้ บริโมริน-ซึ่งเชี่ยวชาญการศึกพอสมควรทีเดียว-เป็นผู้บัญชาการรบเองโดยตรง คลาอุสเองก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศในระดับต่ำ เพื่อบัญชาการรบฝ่ายตนอย่างใกล้ชิด จัดกำลังเข้าโจมตีป้อมเป็นระลอก ๆ สายตาของเขากวาดตาจับจุดอ่อนบนแนวป้องกันฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วและสั่งกำลังของตนเสริมในจุดนั้นทันที จุดใดที่แนวป้องกันแข็งแกร่ง ก็สั่งกำลังของตนถอนตัวกลับมาอย่างชาญฉลาดไม่ยอมให้สูญเสียรี้พลโดยเปล่าประโยชน์ บางคราวก็ใช้กลยุทธหลอกล่อบ้าง เพื่อล่อลวงให้เกิดจุดโหว่บนแนวป้องกัน

“ฮึ่ม คิดว่าจะโจมตีป้อมของข้าได้ง่าย ๆ หรือ?” บริโมรินคำรามลั่น “โอม...”

มันร่ายคาถาเรียกฝนอีก แน่นอนหากฝนตก ย่อมเป็นอุปสรรคต่อการปีนกำแพงป้อมไม่น้อยทีเดียว หากแต่คราวนี้...มีเสียงฟ้าร้องเพียงสองสามครืน แต่ไม่มีหยาดฝนโปรยปรายลงมาแม้แต่หยดเดียว

“?!!!” ไม่เพียงแต่เจ้าของคาถาเองจะประหลาดใจ คลาอุสและเมย์มี รวมทั้งลูเซย์เดอร์ที่อยู่แนวหน้าก็ประหลาดใจด้วยเช่นกัน อีกอึดใจถัดมาทุกคนก็ได้คำตอบ

“ฟิ้ววววววว”

“?!!!”

สายลมร้อนระอุพัดกระโชกมาหอบใหญ่ อุณหภูมิทั่วบริเวณนั้นสูงขึ้นอย่างรวดเร็วประดุจบรรยากาศในทะเลทราย...

“อะไรกันนี่ ทำไมจู่ ๆ...” ซาโต้พึมพำอยู่ข้าง ๆ ม้าของฮิโระ

“คาถาวายุอัคนี” ฮิโระรำพึงออกมา

“หา อะไรนะ?” นินจาหันขวับไปทางเจ้าของเสียงทันที

วายุอัคนี หรือ “ลมร้อน” เป็นคาถาควบคุมภูมิอากาศแบบหนึ่ง ทำให้บรรยากาศร้อนระอุเหมือนดังอยู่ในทะเลทราย แน่นอน เมื่อมีบุคคลมากกว่าหนึ่งคนใช้คาถาควบคุมภูมิอากาศพร้อมกันในสถานที่เดียวกัน ผู้ที่ร่ายคาถาทีหลังและมีตบะแข็งกล้ากว่าด้วย ย่อมเป็นผู้บันดาลให้คาถาของตนสัมฤทธิ์ผลได้

กระแสลมร้อนพัดแรงขึ้น อุณหภูมิสูงขึ้นจนเกินสี่สิบองศาเซลเซียส ในสายตาของทุกผู้เริ่มรู้สึกว่า เมื่อมองไปไกล ๆ ภาพที่เห็นเริ่มโย้เอียงไปมาตามความร้อนระอุของอากาศ ฉับพลันนั้นเอง ก็ปรากฏพวยเพลิงลุกไหม้ขึ้นทั่วท้องทุ่งซึ่งบัดนี้มีเพียงฮิโระบนหลังม้า กับ นินจาซาโต้ยืนอยู่สองคนเท่านั้น

“โอ๊ะ” นินจาอดอุทานเสียงหลงไม่ได้ ขณะที่เจ้าหญิงอสูรยังคงไม่มีสีหน้าเปลี่ยนแปลง จับตามองเปลวเพลิงที่ลุกโชนรอบกายอย่างสงบ ในที่สุดก็กล่าวว่า

“ซาโต้ ออกไปจากที่นี่ก่อน ท่าทางแขกไม่รับเชิญผู้นี้จะมีธุระกับเราเพียงคนเดียวกระมัง”

ซาโต้มองหน้าองค์หญิงน้อยของเขาแวบหนึ่ง ก่อนที่จะทำความเข้าใจได้ว่า ด้วยอำนาจธาตุไฟในกายฮิโระ ย่อมทำให้เธออยู่ในสมรภูมิเพลิงนี้ได้อย่างไม่สะทกสะท้าน หากแต่เขาเองต่างหากที่ไม่สามารถทนอยู่ได้นานกว่านี้แล้ว

“นำคำสั่งของเราไปย้ำเตือนคลาอุสด้วย ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเรา หลังจากเราต้อนรับอาคันตุกะรายนี้แล้ว เราหวังว่า จะได้เห็นธงของนีโอกลาดปักอยู่บนป้อมแล้วนะ”

“... ได้เลย องค์หญิง” ซาโต้รับคำโดยดี “ว่าแต่ไม่เป็นไรแน่นะ?”

“อืม...”

ซาโต้วิ่งฝ่ากองเพลิงออกไปทันที

จริงดั่งที่ฮิโระเป็นห่วง ขณะนั้นกองกำลังของคลาอุสและเมย์มีกำลังถูกโต้กลับอย่างรวดเร็วและดุเดือดจากฝ่ายกอบบลิน ด้วยผู้นำทัพทั้งสองไม่มีแก่จิตแก่ใจรบเสียแล้ว เมื่อเห็นว่านายเหนืออันเป็นที่รักของตนตกอยู่ท่ามกลางกองเพลิง ขณะที่บริโมรินนั้นไม่สนใจอะไรอีก ถือว่าโอกาสมาแล้วก็ใช้ให้คุ้มค่าเสียทีเดียว

...

“เหอ ๆ ๆ เด็กน้อย เจ้าคือองค์หญิงฮิโระ ธิดาแห่งจอมราชันย์อสูรจาเนสเช่นนั้นหรือ?” เสียงแหบพร่าดังขึ้นจากด้านหนึ่ง เปลวไฟบริเวณนั้นสงบลงเป็นทางยาวเพื่อเปิดทางให้ร่างสองร่างเดินฝ่ากองเพลิงเข้ามาช้า ๆ ร่างที่เดินนำหน้า รูปร่างไม่สูงนัก หลังค่อม และถือไม้เท้าแท่งโต ทั้งร่างอยู่ภายใต้เสื้อคลุมกายแบบชาวขมังเวทย์ เสียงทักเมื่อครู่มาจากร่างนี้เอง... อันบ่งบอกถึงอายุสังขารของเจ้าของร่างเป็นอย่างดี อีกร่างหนึ่งที่เดินตามมาเป็นชายฉกรรจ์รูปร่างสูงโปร่ง ผมสีทอง แต่งกายในชุดนักรบทะมัดทะแมง กลางหลังสะพายดาบยาวหนึ่งเล่ม สายตากล้าแข็งมีแววเจิดจรัสจ้องมองมาที่ฮิโระอย่างไม่กระพริบ บริเวณด้านหลังที่บุรุษทั้งสองเดินผ่านมา เปลวไฟลุกพวยพุ่งขึ้นอีกเหมือนดั่งจะปิดล้อมมิให้มีผู้ใดเข้ามาใน ‘สมรภูมิพิเศษ’ นี้ได้อีก

“ถูกต้องแล้ว ผู้เฒ่า เราคือ ฮิโระแห่งราชวงศ์นีโอกลาด พวกเจ้าเป็นใครกัน?”

“เหอ ๆ ๆ อยู่ในเปลวเพลิงได้โดยมิสะทกสะท้าน ช่างมีตบะกล้าแข็งนัก ข้าคงต้องยอมรับว่าเจ้ามีสายเลือดของข้าอยู่ในกายเสียแล้วกระมัง”

“พูดจาเหลวไหล... เราคือบุตรีแห่งจาเนส จะมีเลือดมนุษย์อย่างเจ้าไหลในกายได้เช่นไรกัน!”

“หรือมารดาเจ้า มิได้ชื่อมาเรียดอกรึ!”

“?!!!” ฮิโระนิ่งเงียบไปทันที

“มารดาของเจ้าเป็นสตรีชาวมนุษย์นาม ‘มาเรีย’ ใช่หรือไม่ เด็กน้อยเอ๋ย?” ผู้เฒ่าถามย้ำมาอีกครั้ง

“เราคือเจ้าหญิงอสูรแห่งนีโอกลาด!!!” ฮิโระกัดฟันกรอด มือที่กำด้ามเกทออฟเฮฟเว่นสั่นระริก “อย่าเอ่ยชื่อ ‘มาเรีย’ อีก!!!”

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น ข้าผู้เฒ่าก็ไม่มีเหตุต้องเกรงใจล่ะนะ เจ้าหญิงอสูรผู้จักกลายเป็นต้นเหตุแห่งความวิบัติของมวลมนุษย์เอย จำข้าจะต้องกำจัดเจ้าลง ณ ที่นี้เสียแล้ว ในนามของอัจฉริยภาพแห่งเพลิง-บ๊ากรู้ทผู้นี้” เป็นคำประกาศจากผู้เฒ่า “เรียกทหารของเจ้าเข้ามาเถิด พวกมันย่อมอยู่ในสมรภูมิเดียวกับนายของมันได้มิใช่หรือ เช่นดั่งลิ่วล้อของข้านี้”

ขาดคำ พื้นดินด้านหลังของผู้เฒ่าพลันบังเกิดเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นเป็นลำเล็ก ๆ นับร้อยลำ เมื่อเปลวเพลิงเหล่านั้นสลายไป สิ่งที่ปรากฏแทนที่คือ สัตว์อาคมจำนวนห้าร้อยตัวที่ยืนเรียงรายอยู่เสมือนทหารที่อยู่ในสภาพพร้อมจะประจันบานเข้าพิชิตข้าศึก

“ฮึ” ฮิโระแค่นเสียงเยาะ “มนุษย์อย่างพวกเจ้าก็คือต้นเหตุแห่งความวิบัติของเนฟเวอร์แลนด์เช่นกัน”

เธอโบกมือวูบหนึ่ง พื้นดินรอบข้างพลันปรากฏเงาดำนับหลายร้อยสายผุดขึ้นมาส่ายร่างโยกโย้ดูมืดทะมึนไปทั่วบริเวณ และแล้วเงาเหล่านั้นก็กลายร่างเป็นบรรดาสเกลตันภายใต้สังกัดของฮิโระโดยตรงนั่นเอง คมดาบของพวกมันทอประกายสะท้อนแสงเพลิงวาววับ ดูน่าสะพรึงกลัว พวกมันเคลื่อนย้ายตัวเองจากบริเวณชายป่าผ่านมิติสนธยามาสู่ภายในท้องทุ่งเพลิงนี้ในพริบตา ตามคำเรียกของนายเหนือของพวกมัน

“แปดร้อยต่อห้าร้อยหรือ ถ้าเช่นนั้นให้ข้าร่วมวงด้วยก็แล้วกันนะ มิฉะนั้นทหารของท่านผู้เฒ่าจะเสียเปรียบไปสักหน่อย” ชายหนุ่มผมทองที่เดินมาด้วยกันกับบ๊ากรู้ทพูดขึ้นเป็นครั้งแรก “หาตัวมานานแล้ว เพิ่งจะได้มีโอกาสพบเจ้านี่แหละ อสูรน้อย”

“สามหาวนัก เจ้าเป็นใครกัน?” ฮิโระถลึงตามองอีกฝ่ายอย่างดุดัน

“ข้าคือเกรย์ คิดว่าเจ้าคงรู้จักนามของข้าบ้าง” เกรย์ชักดาบที่สะพายอยู่กลางหลังออกมาถือกระชับมั่นในมือ

“อ้อ หนึ่งในห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรเช่นเดียวกับโกรมิลหรือ?... เรารู้จักเจ้าดีทีเดียว!” ฮิโระแสยะยิ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว ดวงเนตรทั้งสองทอประกายแห่งความเกลียดชังอย่างรุนแรง หากสายตาของเธอแผดเผาสิ่งที่มองอยู่ให้ไหม้เป็นจุลได้ เธอก็คงใช้มันเผาร่างของนักรบตรงหน้าไปแล้ว “เจ้าเองใช่ไหม ที่เป็นคนมอบดาบอสูรฟ้าให้กับนักดาบที่ชื่อซิฟอน?”

“ใช่ ข้าเอง”

“ตายเสียเถิด เกรย์!!!” ฮิโระแค่นเสียงอย่างพยาบาทแสนสาหัส “จงรับรู้ถึงความอาฆาตของเราที่มีต่อเจ้า ผู้เป็นสาเหตุทำลายครอบครัวของเราจนป่นปี้! ไฟนรกอสูรโลกันตร์ (มะโชเรนโกะกุ) !!!”

เปลวเพลิงร้อนแรงกล้าพุ่งแผ่ออกจากอุ้งมือซ้ายอันอัปลักษณ์ของฮิโระที่ยื่นไปข้างหน้า โดยที่เธอมิต้องท่องคาถาเลยแม้แต่น้อย เป็นการถ่ายทอดพลังเวทย์ในกายออกมาโดยตรงด้วยการควบคุมทางจิตเอง มิได้อาศัยบทคาถาเป็นสื่อกลาง

บ๊ากรู้ทยกไม้เท้าขึ้นโบกเป็นรูปวงกลมตรงเบื้องหน้าของตนพลางตวาดว่า

“พระเวทย์ระเบิดเพลิงถล่มฟ้า!!!”

หากแต่ในใจท่านผู้เฒ่าอดชื่นชมในความสามารถสูงส่งของเด็กสาวเบื้องหน้ามิได้ ‘ร้ายกาจนัก แผ่พลังแห่งพระเพลิงได้โดยมิต้องอาศัยบทคาถาหรือนี่’

ดวงไฟลูกมหึมานับหลายสิบดวงพุ่งออกจากบริเวณเบื้องหน้าของอัจฉริยภาพแห่งเพลิงตรงเข้าหาเปลวไฟที่ฮิโระสาดยิงเข้ามา ไฟทั้งสองฝ่ายประทะกันเสียงดัง “พรึบ!!!” บังเกิดเป็นระเบิดเพลิงพวยพุ่งขึ้นสูงสู่ท้องฟ้าเบื้องบน ทั่วบริเวณแดงฉานไปด้วยสีแห่งพระเพลิงพิโรธ มองเห็นเปลวเพลิงที่ดูคล้ายแท่งเสาสีแดงก่ำขนาดใหญ่สูงจนเกือบเทียมฟ้านี้ได้ไกล...ว่ากันว่า ไกลจนถึงวังของแคว้นซิกโร้ดเลยทีเดียว นี่ย่อมเป็นหลักฐานบ่งบอกความรุนแรงของการประทะกันระหว่างตบะอาคมในเชิงพระเวทย์เพลิงของผู้แก่กล้าในอาคมพระเพลิงทั้งสองคนเป็นอย่างดี

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1