มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสาม ปฐมศกแห่งมหาศึก

สงครามของพวกเอลฟ์: นางพญาแห่งป่าลึก

ตีพิมพ์ครั้งแรก 18 พ.ค 46

ตัวละครใหม่ :
อาร์เซเรีย
อาร์เซเรีย (นางพญาเอลฟ์)
สตาร์รินา
สตาร์รินา (ภูติแห่งป่า)
ฟาร์บาร์จู
ฟาร์บาร์จู (เอลฟ์)
ไอซ์เบิร์ก
ไอซ์เบิร์ก (เอลฟ์)
(ยังไม่ได้สแกนรูป)
คาโมโลเตส (อัจฉริยภาพแห่งดิน)
(ยังไม่ได้สแกนรูป)
อาชาเรเตส (นักรบ)
“พี่หญิง พี่หญิงอาร์เซเรียเจ้าคะ หายไปไหนนะ...”

น้ำเสียงใส ๆ ดังลั่นตลอดรายทางที่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นวิ่งผ่านไป ทางเดินในสิ่งก่อสร้างศักดิ์สิทธิ์นั้นตกแต่งประดับประดาด้วยโคมไฟและภาพแกะสลักฝาผนังอย่างวิจิตรงดงาม ณ ที่นี่ คือ วิหารใหญ่แห่งป่าลึกอันเป็นที่พำนักของประมุขแห่งชาวเอลฟ์ป่า ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำทางศาสนาของชาวเอลฟ์ควบคู่กันไปด้วย หากแต่บัดนี้ ร่างของผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งดินแดนนี้กลับไม่ปรากฏอยู่ในวิหาร

เด็กผู้หญิงร่างเล็ก แก้มใส ผมสีฟ้า นัยย์ตากลมโตสีฟ้าและอุ้มกระต่ายตัวน้อยไว้แนบอกอยู่เป็นนิจ หยุดฝีเท้าของตนลงเมื่อมาถึงประตูวิหาร และ ณ ที่นั้นเอง ชายหนุ่มสวมชุดหนังทะมัดทะแมง โพกศีรษะด้วยแถบหนังแถบหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหูที่ยาวเรียวบอกให้ทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นชาวเอลฟ์

“ว่าไง สตาร์รินา พบนางรึยัง?”

“ยังเลยเจ้าค่ะ พี่ชาย” เป็นคำตอบของเด็กหญิงซึ่งไม่ว่าจะพินิจในมุมใดก็หาใช่ชาวเอลฟ์ไม่

“อืม ถ้าไม่อยู่ที่นี่ ก็คงจะเหลืออีกที่เดียวกระมังที่นางจะไป...”

“ป่าหลังวิหารหรือเจ้าคะ? ถ้างั้นเราไปกันเถอะ” เด็กหญิงสตาร์รินาชวน แล้วทำแก้มป่อง บ่นกระปอดกระแปดออกมาว่า “เฮ้อ พี่หญิงนี่น่าตีจริงๆ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ยังต้องให้พวกเราหาตัวกันวุ่นไปหมด...”

เอลฟ์หนุ่มสาวเท้ายาว ๆ ตามร่างน้อย ๆ ที่วิ่งนำหน้าไปทันที พลางหัวเราะหึหึในลำคออย่างอ่อนใจ

นางพญาคนใหม่ของเอลฟ์ผู้นี้ก็เป็นเสียเช่นนี้เอง... ใจเย็นจนเกินควร ทั้งที่... ไฟสงครามกำลังลุกลามมาถึงที่นี่แล้ว

ที่นี่... ดินแดนอันแสนสงบ ป่าลึกอันกว้างใหญ่ไพศาล เฉกเช่นแดนสวรรค์ของชาวเอลฟ์มานับหลายร้อยปี

ที่นี่ แคว้นพริเอสตาแห่งเกาะทรัยไอซ์แลนด์

...

ป่าสีเขียวที่แสนรื่นรมย์

บรรดานกน้อยใหญ่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วไพเราะเสนาะโสต ฟังประดุจดนตรีทิพย์ที่ขับกล่อมให้ความสุนทรีย์ หากแต่หญิงสาวชาวเอลฟ์ผู้นั้นกลับมีแววตาและสีหน้าเศร้าสร้อย เธอเพ่งมองนกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่อย่างสนิทสนมบนนิ้วชี้ของมือขวาของเธอที่ยกขึ้นมาระดับคางของตน เจ้านกน้อยกำลังส่งเสียงร้องไม่ขาดสายประดุจกำลังเล่าเรื่องราวอะไรให้อีกฝ่ายฟังกระนั้น และในความเป็นจริง เอลฟ์สาวผู้นี้ก็ฟังภาษานกได้จริง ๆ แม้ว่ายามที่ตนเอ่ยวาจากับพวกมัน จะมิได้เอ่ยเป็นภาษานกด้วยก็ตาม

สตรีสาวชาวเอลฟ์ผู้นี้ มองจากรูปโฉมภายนอกเป็นหญิงสาวสวยสะคราญ วัยราวยี่สิบเศษ ผมสีเขียวประดุจสีของมวลพฤกษาในไพรกว้าง นัยน์ตาสีมรกตทอประกายทรงปัญญาและความเอื้ออารีอย่างลึกซึ้ง ริมฝีปากอิ่มบางเฉียบ ส่อแววรั้นและดื้อ หากแต่เปี่ยมด้วยความมั่นใจในตนเอง ผิวกายขาวนวลผุดผ่องดุจจะแข่งกับสีของชุดเสื้อกระโปรงบานฟูฟ่องสีขาวบริสุทธิ์ที่สวมใส่อยู่กระนั้น และที่สำคัญ ใบหูที่เรียวยาวออกไปด้านข้างตรง ๆ ย่อมเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความเป็นเอลฟ์ของเธอ- นางพญาเอลฟ์คนปัจจุบันผู้เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง นางพญาอาร์เซเรียแห่งเผ่าเอลฟ์ป่าของพริเอสตา

“อืม อย่างนั้นหรือ พวกเขาเตรียมการกันถึงขนาดนั้นแล้วหรือนี่...”

น้ำเสียงอันไพเราะเสนาะโสตของนางพญาแห่งป่าลึกดังพึมพำออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มคู่นั้น หลังจากสิ้นเสียงเจื้อยแจ้วของนกน้อยแล้ว

สายตาสีมรกตทอดมองไปยังหมู่นกอีกกลุ่มหนึ่งที่ลงมาเกาะอยู่ตามพื้นหญ้า

“ส่วนพวกเจ้าก็... อพยพมาจากแดนทางเหนือซึ่งบัดนี้เกิดสงครามไปเรียบร้อยแล้ว...”

นกบางตัวส่งเสียงร้องตอบ ราวกับจะยืนยันคำพูดของเธอ

อาร์เซเรียหรี่สายตาลงเล็กน้อย พลางเงยหน้าขึ้นมองยังฟ้าเบื้องบน หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นกที่เกาะที่มือของเธอบินไปรวมกลุ่มกับพวกมันที่อยู่บนกิ่งไม้อย่างแสนรู้ ว่ามิตรสาวชาวเอลฟ์ของมันนางนี้กำลังต้องการสมาธิ

-- บุรุษที่พวกมนุษย์กล่าวกันว่าเป็นต้นตอแหห่งความชั่วร้ายของเนฟเวอร์แลนด์... จอมราชันย์อสูรจาเนส... สิ้นชีพไปตั้งแต่ปีก่อนแล้ว...--

แต่ทั้ง ๆ ที่ ‘ต้นตอแห่งความชั่วร้าย’ สูญสิ้นไปจากเนฟเวอร์แลนด์แล้ว ไยสันติภาพไม่เกิดขึ้นเสียทีอีกเล่า?

ทุกวันที่ผ่านมา ข่าวจากป่า และข่าวจากนก ล้วนรายงานแก่เธอว่า มนุษย์ทั้งกำลังก่อและจะก่อสงครามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมิใช่หรือ?

อย่าไปเพ่งเล็งกองกำลังอสูรสายเลือดใหม่ของทายาทที่เหลืออยู่คนเดียวของจอมราชันย์อสูรจาเนสซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นปีนี้เลย... ความไม่สงบสุขในเนฟเวอร์แลนด์มันเริ่มขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้ว

พื้นที่ป่าอันร้อนระอุและถูกเผาไหม้ด้วยไฟสงครามไปแห่งแล้วแห่งเล่า นกที่บินหนีอพยพมาพึ่งร่มเงาของป่าแห่งพริเอสตาแห่งนี้ฝูงแล้วฝูงเล่า เหล่านี้ หาใช่เพราะไฟสงครามที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์หรอกหรือ?

จริงอยู่ที่อาร์เซเรียสามารถสัมผัสได้ ถึงบรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมทั่วทวีปเนฟเวอร์แลนด์อย่างหนาแน่นขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน จนแม้กระทั่งเธอ- ซึ่งมิได้อยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ หากแต่อยู่ในเกาะทรัยไอซ์แลนด์อันแยกห่างออกมา- ยังรู้สึกได้

แต่สิ่งที่เอลฟ์สาวไม่แน่ใจก็คือ สาเหตุของบรรยากาศอึมครึมนั้น มาจากอานุภาพของทัพอสูรใหม่ภายใต้การนำของเจ้าหญิงอสูร หรือมาจากพวกมนุษย์เองกันแน่!

เธอทราบแต่เพียงว่า บรรยากาศอึมครึมนั้นเป็นทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน และดูเหมือนว่ามันจะเป็นลางบอกเหตุร้าย... และเหตุร้ายที่ว่า ก็คงหนีไม่พ้นว่า อาจจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นในไม่ช้านี้... ทั่วเนฟเวอร์แลนด์

อย่างไรก็ตาม วันเวลาก็ไหลผ่านไปดุจกระแสน้ำ

จนกระทั่งมาในช่วงสองสามวันนี้เอง...

ข่าวโททัสบูร์กแตก ภายใต้น้ำมือของทัพอสูรใหม่ของเจ้าหญิงอสูรฮิโระ ก็เดินทางมาถึงพริเอสตา...

แน่นอน มิใช่ด้วยการแจ้งข่าวของเครือข่ายชาวมนุษย์ซึ่งรับข่าวอันมีศูนย์กลางอยู่ที่โคเรียสะทีนโดยตรงหรอก ทั้งนี้เพราะเอลฟ์ก็ย่อมเป็นเอลฟ์ หาใช่มนุษย์ไม่ อีกทั้ง...เอลฟ์ยังมีลัทธิความเชื่อเป็นของตนเอง และมิได้มีความศรัทธาในพระเจ้าสูงสุด- โคเรีย ดั่งเช่นพวกมนุษย์อีกด้วย

ข่าวนี้ต่างหาก ที่นำความสลดใจมาแก่ประมุขสาวของเอลฟ์

‘ท่าทาง เราจะหลีกเลี่ยงสงครามไม่ได้แล้วสินะ’

อาร์เซเรียคิดในใจ

เอลฟ์สาวผมสีเขียวผู้นี้หยั่งรู้ได้ด้วยสติปัญญาของตนว่า นี่คือ ฤกษ์อันดีสำหรับอดีตเพื่อนบ้าน- เผ่าเอลฟ์ดำหรือดาร์กเอลฟ์แห่งไฮรันกูล ที่จะยกพลมาตีพริเอสตา

ฤกษ์มารผยองนั่นเอง... ทั้งนี้ก็เพราะผู้นำคนปัจจุบันของเอลฟ์ดำ- ราชาโพรมิเนนท์นั้น สมัยหนึ่งเคยถือน้ำสาบานเป็นสาวกของจอมราชันย์อสูรจาเนสมาก่อน เขาย่อมถือว่า ภายใต้วาระที่ทัพอสูรใหม่ตีดินแดนของมนุษย์แตกได้นี้ ย่อมถือเป็นฤกษ์ดีสำหรับทัพเอลฟ์ดำภายใต้การนำของตน และไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะรั้งรอ ไม่ใช้ประโยชน์จากช่วงจังหวะนี้ให้เต็มที่

-- หากรู้ว่า ริกัลลิลลี่อยู่ที่ไหนลละก็... ก็อาจจะพอเลี่ยงสงคราม ‘นี้’ ได้ แต่...--

เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วก็ลุกขึ้นยืน ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างตัดสินใจได้

“คงต้องสู้เท่านั้นกระมัง สำหรับตอนนี้”

เสียงพึมพำของเธอมีผู้ตอบแทรกขึ้นมาทันที

“ท่าทางจะตัดสินใจได้แล้วสินะ อาร์เซเรียเอย”

น้ำเสียงนั้นไม่ดังนัก และเจ้าตัวผู้พูดก็ยังคงอยู่ห่างไกลออกไปพอสมควร ตอนที่อาร์เซเรียหันหน้าไปทางต้นเสียง เขาผู้นั้นเพิ่งโผล่ร่างพ้นแนวทางเดินในป่ามาเอง แต่เหตุที่ทั้งเขาและเธอต่างก็ได้ยินเสียงที่ไม่ดังนักของกันและกันได้ ก็เนื่องด้วยโสตประสาทอันว่องไวของเผ่าเอลฟ์ผู้ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแห่งไพรกว้างนั่นเอง

“ท่านพี่...”

ชายผู้มาใหม่ เป็นเอลฟ์วัยฉกรรจ์ร่างสูงบาง ผมสีทองยาวประบ่า นัยน์ตาคมเข้ม ใบหน้าค่อนข้างขาวซีด แต่งกายในชุดเสื้อคลุมสีดำคล้ายนักบวชของพวกมนุษย์ เขาผู้นี้คือ ไอซ์เบิร์ก กุนซือแห่งกองกำลังเอลฟ์ป่า และเป็นมือขวาของนางพญาอาร์เซเรีย- น้องสาวแท้ ๆ ของตน

“ข้ากำลังคิดอยู่พอดี ว่าถ้าเจ้ายังตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ละก็ เห็นทีจะต้องจับมาอบรมกันยกใหญ่เสียแล้วกระมัง ฮึ”

ไอซ์เบิร์กกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หากแต่นัยน์ตากลับมีแววยิ้มอย่างเอ็นดูน้องสาวของตน

“ขอโทษค่ะ ท่านพี่”

เอลฟ์หนุ่มเดินมาจนถึงเบื้องหน้าของหญิงสาว

“อย่าลืมสิ เจ้าเป็นถึงนางพญาเอลฟ์ผู้รับผิดชอบชะตาชีวิตของชนในเผ่าทั้งหมดแล้วนะ... เจ้าต้องกล้าหาญและเผชิญความจริง พี่...เอ่อ ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้ อาร์เซเรีย”

“ค่ะ...”

“ไป กลับวิหารกันเถิด... ดูสิ สองคนนั้นก็มาตามเจ้าด้วยเห็นไหม?”

ไอซ์เบิร์ก หันตัวไปยังทางที่ตนเพิ่งเดินมา ร่างน้อยร่างหนึ่ง และร่างสูงใหญ่อีกร่างหนึ่งกำลังตรงมาทางนี้เช่นกัน

“สตาร์รินา, ฟาร์บาร์จู”

เอลฟ์สาวเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตส่งเสียงเรียกผู้มาใหม่ทั้งสอง

“พี่หญิง!”

“นางพญา!”

อาร์เซเรียยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับเสียงทักทายนั้น แล้วก็สาวเท้าเดินเข้าไปหา เธอยื่นมือไปจับมือของเด็กน้อยผมสีฟ้าที่ยื่นเข้ามาหาตนแล้วบีบอุ้งมือน้อย ๆ นั้นเบา ๆ ก่อนจะกล่าวกับเอลฟ์หนุ่มนามฟาร์บาร์จู ซึ่งเป็นนายกองทะลวงฟันของกองกำลังเอลฟ์ป่าว่า

“ข้าทราบเรื่องหมดแล้วจากพวกนก ... ไปกันเถิด ฟาร์บาร์จู งานนี้คงต้องลำบากท่านแล้วล่ะ”

“...หามิได้ นางพญา นี่ย่อมเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว”

อาร์เซเรียพยักหน้ารับ แล้วก็เดินนำหน้ากลับสู่วิหาร โดยจูงมือเด็กหญิงสตาร์ริน่าไปด้วย

-- ดวงวิญญาณแห่งป่าเอย ด้วยเกียรติของนาางพญาแห่งเอลฟ์ ข้าขอสัญญาว่า ข้าจะปกป้องรักษาดินแดนแห่งพฤกษาอันสงบสุขนี้ไว้ให้ได้... แม้นว่า นี่เป็นสงครามอันน่าเศร้าใจก็ตามเถิด... สงครามกับพวกเอลฟ์ด้วยกัน!--

azeria2.jpg
...

“ท่านผู้เฒ่าขอรับ พวกเอลฟ์ดำเตรียมการรบขั้นสุดท้ายแล้วขอรับ คาดว่าอีกสองสามวัน พวกเอลฟ์ได้เปิดสงครามกันแน่”

ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าไว้หนวดเคราอย่างน่าเกรงขาม เอ่ยปากรายงานกับผู้เฒ่าร่างผอมเกร็งที่นั่งอยู่ในห้องมืด ๆ นั้นด้วยน้ำเสียงห้าว ๆ

“อืม... แล้วทางนางผู้นั้นเล่า?”

“ยังไม่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนเลยขอรับ”

“หึหึหึ สมกับเป็นอาร์เซเรียผู้ใจเย็นจริง ๆ...”

น้ำเสียงแหบพร่าของผู้เฒ่ามีแววเอือมระอาแกมเอ็นดู

“ท่านจะให้พวกเราทำอย่างไรต่อไปขอรับ?”

“ส้องสุมกำลังและเตรียมการไว้ให้พร้อมเช่นเดิม อาชาเรเตสเอย วันเวลาแห่งภารกิจของพวกเราใกล้เข้ามาแล้ว”

“ขอรับ”

“และนี่คงเป็นภารกิจชิ้นสุดท้ายของตาเฒ่าคนนี้แล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ ข้ารู้ดี ว่าเจ้าหาใช่คนชอบสงครามไม่... รวมทั้งบรรดาชาวบ้านของเราด้วย”

“หามิได้ขอรับ พวกข้าพร้อมจะทำตามสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าเห็นควร ... ว่าแต่ ท่านผู้เฒ่ามั่นใจนะขอรับ ว่าเราเลือกฝากความหวังไว้ไม่ผิดคน”

“เหอ ๆ ๆ ไม่ผิดแน่นอน ข้ารับรู้ได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของนางตั้งแต่เมื่อคราวก่อนที่ได้รับเชิญไปยังพิธีรับมอบตำแหน่งนางพญาแล้วล่ะ... และข้าเชื่อว่านี่ก็เป็นเหตุผลที่นางพญาคนก่อน ได้เจาะจงที่จะมอบตำแหน่งให้นางผู้นี้เช่นกัน... ทั้งที่ในตอนนั้นนางยังเยาว์นัก”

หรือแม้แต่ตอนนี้ก็เช่นกัน ดูนางไม่ได้มีวัยวุฒิสูงขึ้นตามอายุและภาระหน้าที่สักเท่าไรเลย- ประโยคหลังนี้ท่านผู้เฒ่าคิดในใจแต่ไม่ได้กล่าวออกมา

สิ่งที่ออกจากปากผู้เฒ่ากลับเป็น

“เอาล่ะ เจ้ากลับไปทำงานของเจ้าต่อได้แล้ว”

“ขอรับ”

ชายหนุ่มล่าถอยออกจากห้องนั้นไปแล้ว ชายชราที่อยู่ในห้องลุกขึ้นเดินช้า ๆ ตรงไปยังหน้าต่าง พลางทอดสายตามองออกไปเบื้องนอก

ทิวทัศน์อันแห้งแล้งของดินแดนแห่งประเทศโบราณ- แคว้นทราเทเปส ปรากฏสู่สายตาของท่านผู้เฒ่า ในสมัยเกือบพันปีที่ผ่านมา อาณาจักรโบราณเลาคอร์นนับเป็นอาณาจักรใหญ่ของมนุษย์ในสมัยนั้น หากแต่บัดนี้ พื้นที่ของมันเหลือเพียงแคว้นเล็ก ๆ แห่งนี้เท่านั้นเอง และถูกตัดขาดจากการติดต่อกับแผ่นดินใหญ่โดยสิ้นเชิง ด้วยมีแคว้นพริเอสตาคั่นกลางไว้ระหว่างบริเวณช่องแคบที่เป็นทางเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่กับตัวแคว้นทราเทเปสนี้

ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา แคว้นทราเทเปสและพริเอสตาทำสัญญาสันติภาพกัน และอยู่ร่วมกันในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีตลอดมา ชาวแคว้นทราเทเปสต่างก็เคยชินกับสภาพภูมิอากาศอันแห้งแล้งประดุจทะเลทรายของแคว้นตนเสียแล้ว และไม่ได้มีเรื่องบุกรุกพื้นที่ป่าของพริเอสตา และก็เป็นที่แน่นอนว่า ชาวเอลฟ์ซึ่งรักที่จะดำรงชีวิตในป่าอันอุดมสมบูรณ์ก็ย่อมไม่มีความคิดที่จะขยายอาณาเขตของตนมายังพื้นที่แห้งแล้งแห่งนี้แม้แต่น้อยด้วย

แต่น่าเสียดาย... สัญญาสันติภาพฉบับนั้นคงจะต้องถูกฉีกทิ้ง...แม้จะเป็นการชั่วคราวก็เถิด... ในไม่นานนี้แล้ว

รอเวลาที่สงครามของเอลฟ์ระเบิดก่อนเถิด

-- อภัยให้ข้าเถิด อาร์เซเรีย แต่ในยุคมหาสงงครามอันจักบังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เนฟเวอร์แลนด์ต้องการเทพีแห่งสันติภาพผู้เปี่ยมพร้อมไปด้วยความสามารถและพลังเวทย์อันสูงส่งเช่นเจ้า และข้า-ผู้เฒ่าคาโมโลเตสแห่งทราเทเปส- จะขอเดิมพันด้วยชีวิต ในการที่จะเป็นผู้กระตุ้นให้เจ้าตระหนักในพลังเวทย์อันยิ่งใหญ่รวมทั้งภารกิจอันหนักอึ้งของเจ้าเอง อาร์เซเรียเอ๋ย--

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ
1