ตัวละครใหม่ :
น้ำเสียงใส ๆ ดังลั่นตลอดรายทางที่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นวิ่งผ่านไป ทางเดินในสิ่งก่อสร้างศักดิ์สิทธิ์นั้นตกแต่งประดับประดาด้วยโคมไฟและภาพแกะสลักฝาผนังอย่างวิจิตรงดงาม ณ ที่นี่ คือ วิหารใหญ่แห่งป่าลึกอันเป็นที่พำนักของประมุขแห่งชาวเอลฟ์ป่า ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำทางศาสนาของชาวเอลฟ์ควบคู่กันไปด้วย หากแต่บัดนี้ ร่างของผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งดินแดนนี้กลับไม่ปรากฏอยู่ในวิหาร เด็กผู้หญิงร่างเล็ก แก้มใส ผมสีฟ้า นัยย์ตากลมโตสีฟ้าและอุ้มกระต่ายตัวน้อยไว้แนบอกอยู่เป็นนิจ หยุดฝีเท้าของตนลงเมื่อมาถึงประตูวิหาร และ ณ ที่นั้นเอง ชายหนุ่มสวมชุดหนังทะมัดทะแมง โพกศีรษะด้วยแถบหนังแถบหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ใบหูที่ยาวเรียวบอกให้ทราบว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นชาวเอลฟ์ ว่าไง สตาร์รินา พบนางรึยัง? ยังเลยเจ้าค่ะ พี่ชาย เป็นคำตอบของเด็กหญิงซึ่งไม่ว่าจะพินิจในมุมใดก็หาใช่ชาวเอลฟ์ไม่ อืม ถ้าไม่อยู่ที่นี่ ก็คงจะเหลืออีกที่เดียวกระมังที่นางจะไป... ป่าหลังวิหารหรือเจ้าคะ? ถ้างั้นเราไปกันเถอะ เด็กหญิงสตาร์รินาชวน แล้วทำแก้มป่อง บ่นกระปอดกระแปดออกมาว่า เฮ้อ พี่หญิงนี่น่าตีจริงๆ เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ยังต้องให้พวกเราหาตัวกันวุ่นไปหมด... เอลฟ์หนุ่มสาวเท้ายาว ๆ ตามร่างน้อย ๆ ที่วิ่งนำหน้าไปทันที พลางหัวเราะหึหึในลำคออย่างอ่อนใจ นางพญาคนใหม่ของเอลฟ์ผู้นี้ก็เป็นเสียเช่นนี้เอง... ใจเย็นจนเกินควร ทั้งที่... ไฟสงครามกำลังลุกลามมาถึงที่นี่แล้ว ที่นี่... ดินแดนอันแสนสงบ ป่าลึกอันกว้างใหญ่ไพศาล เฉกเช่นแดนสวรรค์ของชาวเอลฟ์มานับหลายร้อยปี ที่นี่ แคว้นพริเอสตาแห่งเกาะทรัยไอซ์แลนด์ ... ป่าสีเขียวที่แสนรื่นรมย์ บรรดานกน้อยใหญ่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วไพเราะเสนาะโสต ฟังประดุจดนตรีทิพย์ที่ขับกล่อมให้ความสุนทรีย์ หากแต่หญิงสาวชาวเอลฟ์ผู้นั้นกลับมีแววตาและสีหน้าเศร้าสร้อย เธอเพ่งมองนกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่อย่างสนิทสนมบนนิ้วชี้ของมือขวาของเธอที่ยกขึ้นมาระดับคางของตน เจ้านกน้อยกำลังส่งเสียงร้องไม่ขาดสายประดุจกำลังเล่าเรื่องราวอะไรให้อีกฝ่ายฟังกระนั้น และในความเป็นจริง เอลฟ์สาวผู้นี้ก็ฟังภาษานกได้จริง ๆ แม้ว่ายามที่ตนเอ่ยวาจากับพวกมัน จะมิได้เอ่ยเป็นภาษานกด้วยก็ตาม สตรีสาวชาวเอลฟ์ผู้นี้ มองจากรูปโฉมภายนอกเป็นหญิงสาวสวยสะคราญ วัยราวยี่สิบเศษ ผมสีเขียวประดุจสีของมวลพฤกษาในไพรกว้าง นัยน์ตาสีมรกตทอประกายทรงปัญญาและความเอื้ออารีอย่างลึกซึ้ง ริมฝีปากอิ่มบางเฉียบ ส่อแววรั้นและดื้อ หากแต่เปี่ยมด้วยความมั่นใจในตนเอง ผิวกายขาวนวลผุดผ่องดุจจะแข่งกับสีของชุดเสื้อกระโปรงบานฟูฟ่องสีขาวบริสุทธิ์ที่สวมใส่อยู่กระนั้น และที่สำคัญ ใบหูที่เรียวยาวออกไปด้านข้างตรง ๆ ย่อมเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงความเป็นเอลฟ์ของเธอ- นางพญาเอลฟ์คนปัจจุบันผู้เข้ารับตำแหน่งตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อไม่กี่ปีก่อนนี้เอง นางพญาอาร์เซเรียแห่งเผ่าเอลฟ์ป่าของพริเอสตา อืม อย่างนั้นหรือ พวกเขาเตรียมการกันถึงขนาดนั้นแล้วหรือนี่... น้ำเสียงอันไพเราะเสนาะโสตของนางพญาแห่งป่าลึกดังพึมพำออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่มคู่นั้น หลังจากสิ้นเสียงเจื้อยแจ้วของนกน้อยแล้ว สายตาสีมรกตทอดมองไปยังหมู่นกอีกกลุ่มหนึ่งที่ลงมาเกาะอยู่ตามพื้นหญ้า ส่วนพวกเจ้าก็... อพยพมาจากแดนทางเหนือซึ่งบัดนี้เกิดสงครามไปเรียบร้อยแล้ว... นกบางตัวส่งเสียงร้องตอบ ราวกับจะยืนยันคำพูดของเธอ อาร์เซเรียหรี่สายตาลงเล็กน้อย พลางเงยหน้าขึ้นมองยังฟ้าเบื้องบน หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ นกที่เกาะที่มือของเธอบินไปรวมกลุ่มกับพวกมันที่อยู่บนกิ่งไม้อย่างแสนรู้ ว่ามิตรสาวชาวเอลฟ์ของมันนางนี้กำลังต้องการสมาธิ -- บุรุษที่พวกมนุษย์กล่าวกันว่าเป็นต้นตอแหห่งความชั่วร้ายของเนฟเวอร์แลนด์... จอมราชันย์อสูรจาเนส... สิ้นชีพไปตั้งแต่ปีก่อนแล้ว...-- แต่ทั้ง ๆ ที่ ต้นตอแห่งความชั่วร้าย สูญสิ้นไปจากเนฟเวอร์แลนด์แล้ว ไยสันติภาพไม่เกิดขึ้นเสียทีอีกเล่า? ทุกวันที่ผ่านมา ข่าวจากป่า และข่าวจากนก ล้วนรายงานแก่เธอว่า มนุษย์ทั้งกำลังก่อและจะก่อสงครามอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมิใช่หรือ? อย่าไปเพ่งเล็งกองกำลังอสูรสายเลือดใหม่ของทายาทที่เหลืออยู่คนเดียวของจอมราชันย์อสูรจาเนสซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นปีนี้เลย... ความไม่สงบสุขในเนฟเวอร์แลนด์มันเริ่มขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้ว พื้นที่ป่าอันร้อนระอุและถูกเผาไหม้ด้วยไฟสงครามไปแห่งแล้วแห่งเล่า นกที่บินหนีอพยพมาพึ่งร่มเงาของป่าแห่งพริเอสตาแห่งนี้ฝูงแล้วฝูงเล่า เหล่านี้ หาใช่เพราะไฟสงครามที่เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์หรอกหรือ? จริงอยู่ที่อาร์เซเรียสามารถสัมผัสได้ ถึงบรรยากาศอึมครึมที่ปกคลุมทั่วทวีปเนฟเวอร์แลนด์อย่างหนาแน่นขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน จนแม้กระทั่งเธอ- ซึ่งมิได้อยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ หากแต่อยู่ในเกาะทรัยไอซ์แลนด์อันแยกห่างออกมา- ยังรู้สึกได้ แต่สิ่งที่เอลฟ์สาวไม่แน่ใจก็คือ สาเหตุของบรรยากาศอึมครึมนั้น มาจากอานุภาพของทัพอสูรใหม่ภายใต้การนำของเจ้าหญิงอสูร หรือมาจากพวกมนุษย์เองกันแน่! เธอทราบแต่เพียงว่า บรรยากาศอึมครึมนั้นเป็นทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน และดูเหมือนว่ามันจะเป็นลางบอกเหตุร้าย... และเหตุร้ายที่ว่า ก็คงหนีไม่พ้นว่า อาจจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้นในไม่ช้านี้... ทั่วเนฟเวอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม วันเวลาก็ไหลผ่านไปดุจกระแสน้ำ จนกระทั่งมาในช่วงสองสามวันนี้เอง... ข่าวโททัสบูร์กแตก ภายใต้น้ำมือของทัพอสูรใหม่ของเจ้าหญิงอสูรฮิโระ ก็เดินทางมาถึงพริเอสตา... แน่นอน มิใช่ด้วยการแจ้งข่าวของเครือข่ายชาวมนุษย์ซึ่งรับข่าวอันมีศูนย์กลางอยู่ที่โคเรียสะทีนโดยตรงหรอก ทั้งนี้เพราะเอลฟ์ก็ย่อมเป็นเอลฟ์ หาใช่มนุษย์ไม่ อีกทั้ง...เอลฟ์ยังมีลัทธิความเชื่อเป็นของตนเอง และมิได้มีความศรัทธาในพระเจ้าสูงสุด- โคเรีย ดั่งเช่นพวกมนุษย์อีกด้วย ข่าวนี้ต่างหาก ที่นำความสลดใจมาแก่ประมุขสาวของเอลฟ์ ท่าทาง เราจะหลีกเลี่ยงสงครามไม่ได้แล้วสินะ อาร์เซเรียคิดในใจ เอลฟ์สาวผมสีเขียวผู้นี้หยั่งรู้ได้ด้วยสติปัญญาของตนว่า นี่คือ ฤกษ์อันดีสำหรับอดีตเพื่อนบ้าน- เผ่าเอลฟ์ดำหรือดาร์กเอลฟ์แห่งไฮรันกูล ที่จะยกพลมาตีพริเอสตา ฤกษ์มารผยองนั่นเอง... ทั้งนี้ก็เพราะผู้นำคนปัจจุบันของเอลฟ์ดำ- ราชาโพรมิเนนท์นั้น สมัยหนึ่งเคยถือน้ำสาบานเป็นสาวกของจอมราชันย์อสูรจาเนสมาก่อน เขาย่อมถือว่า ภายใต้วาระที่ทัพอสูรใหม่ตีดินแดนของมนุษย์แตกได้นี้ ย่อมถือเป็นฤกษ์ดีสำหรับทัพเอลฟ์ดำภายใต้การนำของตน และไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะรั้งรอ ไม่ใช้ประโยชน์จากช่วงจังหวะนี้ให้เต็มที่ -- หากรู้ว่า ริกัลลิลลี่อยู่ที่ไหนลละก็... ก็อาจจะพอเลี่ยงสงคราม นี้ ได้ แต่...-- เธอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วก็ลุกขึ้นยืน ริมฝีปากเม้มแน่นอย่างตัดสินใจได้ คงต้องสู้เท่านั้นกระมัง สำหรับตอนนี้ เสียงพึมพำของเธอมีผู้ตอบแทรกขึ้นมาทันที ท่าทางจะตัดสินใจได้แล้วสินะ อาร์เซเรียเอย น้ำเสียงนั้นไม่ดังนัก และเจ้าตัวผู้พูดก็ยังคงอยู่ห่างไกลออกไปพอสมควร ตอนที่อาร์เซเรียหันหน้าไปทางต้นเสียง เขาผู้นั้นเพิ่งโผล่ร่างพ้นแนวทางเดินในป่ามาเอง แต่เหตุที่ทั้งเขาและเธอต่างก็ได้ยินเสียงที่ไม่ดังนักของกันและกันได้ ก็เนื่องด้วยโสตประสาทอันว่องไวของเผ่าเอลฟ์ผู้ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแห่งไพรกว้างนั่นเอง ท่านพี่... ชายผู้มาใหม่ เป็นเอลฟ์วัยฉกรรจ์ร่างสูงบาง ผมสีทองยาวประบ่า นัยน์ตาคมเข้ม ใบหน้าค่อนข้างขาวซีด แต่งกายในชุดเสื้อคลุมสีดำคล้ายนักบวชของพวกมนุษย์ เขาผู้นี้คือ ไอซ์เบิร์ก กุนซือแห่งกองกำลังเอลฟ์ป่า และเป็นมือขวาของนางพญาอาร์เซเรีย- น้องสาวแท้ ๆ ของตน ข้ากำลังคิดอยู่พอดี ว่าถ้าเจ้ายังตัดสินใจเด็ดขาดไม่ได้ละก็ เห็นทีจะต้องจับมาอบรมกันยกใหญ่เสียแล้วกระมัง ฮึ ไอซ์เบิร์กกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หากแต่นัยน์ตากลับมีแววยิ้มอย่างเอ็นดูน้องสาวของตน ขอโทษค่ะ ท่านพี่ เอลฟ์หนุ่มเดินมาจนถึงเบื้องหน้าของหญิงสาว อย่าลืมสิ เจ้าเป็นถึงนางพญาเอลฟ์ผู้รับผิดชอบชะตาชีวิตของชนในเผ่าทั้งหมดแล้วนะ... เจ้าต้องกล้าหาญและเผชิญความจริง พี่...เอ่อ ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องทำได้ อาร์เซเรีย ค่ะ... ไป กลับวิหารกันเถิด... ดูสิ สองคนนั้นก็มาตามเจ้าด้วยเห็นไหม? ไอซ์เบิร์ก หันตัวไปยังทางที่ตนเพิ่งเดินมา ร่างน้อยร่างหนึ่ง และร่างสูงใหญ่อีกร่างหนึ่งกำลังตรงมาทางนี้เช่นกัน สตาร์รินา, ฟาร์บาร์จู เอลฟ์สาวเจ้าของนัยน์ตาสีมรกตส่งเสียงเรียกผู้มาใหม่ทั้งสอง พี่หญิง! นางพญา! อาร์เซเรียยิ้มเจื่อน ๆ ให้กับเสียงทักทายนั้น แล้วก็สาวเท้าเดินเข้าไปหา เธอยื่นมือไปจับมือของเด็กน้อยผมสีฟ้าที่ยื่นเข้ามาหาตนแล้วบีบอุ้งมือน้อย ๆ นั้นเบา ๆ ก่อนจะกล่าวกับเอลฟ์หนุ่มนามฟาร์บาร์จู ซึ่งเป็นนายกองทะลวงฟันของกองกำลังเอลฟ์ป่าว่า ข้าทราบเรื่องหมดแล้วจากพวกนก ... ไปกันเถิด ฟาร์บาร์จู งานนี้คงต้องลำบากท่านแล้วล่ะ ...หามิได้ นางพญา นี่ย่อมเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว อาร์เซเรียพยักหน้ารับ แล้วก็เดินนำหน้ากลับสู่วิหาร โดยจูงมือเด็กหญิงสตาร์ริน่าไปด้วย -- ดวงวิญญาณแห่งป่าเอย ด้วยเกียรติของนาางพญาแห่งเอลฟ์ ข้าขอสัญญาว่า ข้าจะปกป้องรักษาดินแดนแห่งพฤกษาอันสงบสุขนี้ไว้ให้ได้... แม้นว่า นี่เป็นสงครามอันน่าเศร้าใจก็ตามเถิด... สงครามกับพวกเอลฟ์ด้วยกัน!--
ท่านผู้เฒ่าขอรับ พวกเอลฟ์ดำเตรียมการรบขั้นสุดท้ายแล้วขอรับ คาดว่าอีกสองสามวัน พวกเอลฟ์ได้เปิดสงครามกันแน่ ชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าไว้หนวดเคราอย่างน่าเกรงขาม เอ่ยปากรายงานกับผู้เฒ่าร่างผอมเกร็งที่นั่งอยู่ในห้องมืด ๆ นั้นด้วยน้ำเสียงห้าว ๆ อืม... แล้วทางนางผู้นั้นเล่า? ยังไม่สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนเลยขอรับ หึหึหึ สมกับเป็นอาร์เซเรียผู้ใจเย็นจริง ๆ... น้ำเสียงแหบพร่าของผู้เฒ่ามีแววเอือมระอาแกมเอ็นดู ท่านจะให้พวกเราทำอย่างไรต่อไปขอรับ? ส้องสุมกำลังและเตรียมการไว้ให้พร้อมเช่นเดิม อาชาเรเตสเอย วันเวลาแห่งภารกิจของพวกเราใกล้เข้ามาแล้ว ขอรับ และนี่คงเป็นภารกิจชิ้นสุดท้ายของตาเฒ่าคนนี้แล้วล่ะ ขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ ข้ารู้ดี ว่าเจ้าหาใช่คนชอบสงครามไม่... รวมทั้งบรรดาชาวบ้านของเราด้วย หามิได้ขอรับ พวกข้าพร้อมจะทำตามสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าเห็นควร ... ว่าแต่ ท่านผู้เฒ่ามั่นใจนะขอรับ ว่าเราเลือกฝากความหวังไว้ไม่ผิดคน เหอ ๆ ๆ ไม่ผิดแน่นอน ข้ารับรู้ได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของนางตั้งแต่เมื่อคราวก่อนที่ได้รับเชิญไปยังพิธีรับมอบตำแหน่งนางพญาแล้วล่ะ... และข้าเชื่อว่านี่ก็เป็นเหตุผลที่นางพญาคนก่อน ได้เจาะจงที่จะมอบตำแหน่งให้นางผู้นี้เช่นกัน... ทั้งที่ในตอนนั้นนางยังเยาว์นัก หรือแม้แต่ตอนนี้ก็เช่นกัน ดูนางไม่ได้มีวัยวุฒิสูงขึ้นตามอายุและภาระหน้าที่สักเท่าไรเลย- ประโยคหลังนี้ท่านผู้เฒ่าคิดในใจแต่ไม่ได้กล่าวออกมา สิ่งที่ออกจากปากผู้เฒ่ากลับเป็น เอาล่ะ เจ้ากลับไปทำงานของเจ้าต่อได้แล้ว ขอรับ ชายหนุ่มล่าถอยออกจากห้องนั้นไปแล้ว ชายชราที่อยู่ในห้องลุกขึ้นเดินช้า ๆ ตรงไปยังหน้าต่าง พลางทอดสายตามองออกไปเบื้องนอก ทิวทัศน์อันแห้งแล้งของดินแดนแห่งประเทศโบราณ- แคว้นทราเทเปส ปรากฏสู่สายตาของท่านผู้เฒ่า ในสมัยเกือบพันปีที่ผ่านมา อาณาจักรโบราณเลาคอร์นนับเป็นอาณาจักรใหญ่ของมนุษย์ในสมัยนั้น หากแต่บัดนี้ พื้นที่ของมันเหลือเพียงแคว้นเล็ก ๆ แห่งนี้เท่านั้นเอง และถูกตัดขาดจากการติดต่อกับแผ่นดินใหญ่โดยสิ้นเชิง ด้วยมีแคว้นพริเอสตาคั่นกลางไว้ระหว่างบริเวณช่องแคบที่เป็นทางเชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่กับตัวแคว้นทราเทเปสนี้ ในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา แคว้นทราเทเปสและพริเอสตาทำสัญญาสันติภาพกัน และอยู่ร่วมกันในฐานะเพื่อนบ้านที่ดีตลอดมา ชาวแคว้นทราเทเปสต่างก็เคยชินกับสภาพภูมิอากาศอันแห้งแล้งประดุจทะเลทรายของแคว้นตนเสียแล้ว และไม่ได้มีเรื่องบุกรุกพื้นที่ป่าของพริเอสตา และก็เป็นที่แน่นอนว่า ชาวเอลฟ์ซึ่งรักที่จะดำรงชีวิตในป่าอันอุดมสมบูรณ์ก็ย่อมไม่มีความคิดที่จะขยายอาณาเขตของตนมายังพื้นที่แห้งแล้งแห่งนี้แม้แต่น้อยด้วย แต่น่าเสียดาย... สัญญาสันติภาพฉบับนั้นคงจะต้องถูกฉีกทิ้ง...แม้จะเป็นการชั่วคราวก็เถิด... ในไม่นานนี้แล้ว รอเวลาที่สงครามของเอลฟ์ระเบิดก่อนเถิด -- อภัยให้ข้าเถิด อาร์เซเรีย แต่ในยุคมหาสงงครามอันจักบังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เนฟเวอร์แลนด์ต้องการเทพีแห่งสันติภาพผู้เปี่ยมพร้อมไปด้วยความสามารถและพลังเวทย์อันสูงส่งเช่นเจ้า และข้า-ผู้เฒ่าคาโมโลเตสแห่งทราเทเปส- จะขอเดิมพันด้วยชีวิต ในการที่จะเป็นผู้กระตุ้นให้เจ้าตระหนักในพลังเวทย์อันยิ่งใหญ่รวมทั้งภารกิจอันหนักอึ้งของเจ้าเอง อาร์เซเรียเอ๋ย-- ... |