มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ปฐมศึก: เปิดศึกป้องกันนีโอกลาด

“…”

“…”

“…”

ความเงียบเข้าครอบคลุมห้องประชุมแห่งนั้น หลังจากที่ซาโต้นำข่าวที่ได้รับจากหน่วยลาดตระเวณซึ่งเป็นนินจาในสังกัดของตนมาแจ้งว่า ทัพผสมของอัศวินชาวมนุษย์และกอบบลินกำลังมุ่งหน้ามาทางปราสาทนีโอกลาด

“หนึ่งร้อยห้าสิบต่อห้าร้อยห้าสิบหรือ” เป็นชิกที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน ดูเหมือนว่านินจาของในสังกัดของซาโต้จะประมาณกำลังพลของข้าศึกได้แม่นยำทีเดียว

“เอาไงดี ท่านนายกองทั้งสอง”

“เป็นทัพของแคว้นไหนกันวะ” ซาโต้สบถอย่างหัวเสีย “ถ้าเป็นทัพของแคว้นบาร์ฮาราจริง ทำไมมีพวกอัศวินมาด้วย?”

“หรือจะคิดว่าเป็นทัพจากโททัสบูร์กยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่เลย องค์หญิงไม่มีทางแพ้อยู่แล้ว” ซากิฟอนเสริม

“เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ” ชิกตัดบท ข่าวจากนินจาถึงแม้จะแม่นยำเพียงใด แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่ดี อย่างเช่นในครั้งนี้ที่ไม่สามารถระบุได้ว่า ผู้นำทัพฝ่ายตรงข้ามคือใครบ้าง “เราจะรับมือกันยังไงดี จะออกไปต้านมันนอกปราสาท หรือ จะตั้งรับในนี้”

“ฮึ ฮึ ใครบางคนบอกไว้ว่าจะไม่ยอมให้กำแพงปราสาทนีโอกลาดถูกเหยียบย่ำด้วยผู้บุกรุกมิใช่หรือ?” ซากิฟอนชำเลืองไปทางซาโต้ก่อนที่จะพูดออกมายิ้ม ๆ

“ไม่ต้องมาแขวะข้าหรอก” ซาโต้ถลึงตาใส่อัศวินหนุ่ม “ข้ายืนยันคำเดิม และท่านก็คงไม่ปล่อยให้ข้าออกไปคนเดียวอยู่แล้ว ใช่ไหม”

“เฮอะ” ซากิฟอนทำเสียงในลำคอ ก่อนจะหันไปทางชิก “ข้าศึกมีพวกอัศวินอยู่ด้วยนี่สิ เพราะฉะนั้น ความได้เปรียบของพวกข้าทัพอัศวินก็หายไปแล้วนะ”

เป็นที่รู้กันว่า อัศวินจะถนัดการรบในที่โล่งแจ้งมาก อย่างเช่นที่ลานกว้างหน้าปราสาทนีโอกลาด เป็นพื้นราบเรียบไม่มีสิ่งกีดขวางใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งสภาพพื้นก็มั่นคง มีฝุ่นน้อยมาก เป็นสมรภูมิในอุดมคติของเหล่าอัศวินเลยทีเดียว แต่ เงื่อนไขดังกล่าวนี้ก็เป็นจริงสำหรับอัศวินทุกคนไม่เจาะจงเฉพาะทัพเจ้าบ้านเท่านั้น เดิมทีการคาดการณ์ของฝ่ายนีโอกลาดมีไว้ว่า ต่อให้แคว้นบาร์ฮารามาบุก ทัพอัศวินของซากิฟอนและทัพนินจาของซาโต้ก็น่าจะต้านอยู่ แต่ในเมื่อฝ่ายข้าศึกมีอัศวินมาด้วยถึงสี่ร้อยนายนี้ก็เป็นอันว่า ทัพอัศวินห้าสิบนายของซากิฟอนไม่สามารถใช้ความได้เปรียบในสมรภูมิมาเป็นจุดข่มคู่ต่อสู้แล้ว

“ท่านทั้งสองยืนยันปัจจัยภายในของการรบสามข้อกับข้าได้ไหมล่ะ” ชิกหรี่ตาอย่างใช้ความคิดก่อนที่จะถามออกมาเสียงเรียบ “แน่นอน ในข้อแรกคือความสามารถของผู้นำทัพนั้น ข้าเชื่อมือท่านทั้งสองอยู่แล้ว”

“ถามอะไรกัน ชิก” นินจาเป็นฝ่ายตอบ “ท่านก็เห็นว่าเราฝึกซ้อมทหารกันทุกวัน”

“…” ซากิฟอนไม่ตอบ แต่พยายามคิดให้ทันว่าชิกกำลังคิดอะไรอยู่

“ที่ข้าต้องการคำยืนยันจากพวกท่านคือ เราสามารถใช้ไพร่พลได้ดั่งใจเหมือนกับเป็นแขนขาของเราเองแน่รึเปล่า?”

“แน่นอน ท่านมีกลยุทธอะไรดี ๆ หรือ” คราวนี้อัศวินหนุ่มเอ่ยปากบ้าง

“ก็มีอยู่” ชิกขยับตัวก่อนจะลุกขึ้นยืน “แต่ข้าต้องขอชี้แจงกับพวกท่าน และก็ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี้ก่อนด้วยนะว่า …”

ในห้องประชุมนั้น นอกจากเขา-เสนาธิการทหารและสหายนายกองทั้งสองแล้ว ยังมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ชาวอสูรอีกสองตน

“กลยุทธการศึกในครั้งนี้ เป้าหมายของฝ่ายเราคือ จะรบยังไงไม่ให้แพ้เท่านั้น ทุกคนเลิกหวังได้เลยที่จะชนะฝ่ายตรงข้ามน่ะ รี้พลของเรากับข้าศึกมีกำลังต่างกันมากเกินไป”

“อืมห์ เรื่องนั้นข้ารู้ดี” อัศวินหนุ่มตอบรับทันที

“ฮึ พวกเราผ่านสนามรบกันมาเท่าไรกันแล้ว ไอ้เรื่องใช้กำลังน้อยกว่าเข้าเอาชนะทัพใหญ่กว่านั้นมีแต่ในนิทานหลอกเด็กเท่านั้นแหละ” หัวหน้านินจาเสริม

เมื่อขุนศึกทั้งสองกล่าวเช่นนี้ ขุนนางอสูรก็ไม่มีเรื่องใดคัดค้าน ชิกจึงกล่าวต่อว่า

“เพราะฉะนั้น ปัญหาคือ เราจะตั้งเป้าหมายจะยันทัพข้าศึกไว้นานเท่าไร ใจของข้าคิดไว้ว่า คงต้องสักสิบวัน กว่าที่องค์หญิงจะกลับมาที่นี่ได้”

“ตั้งสิบวันหรือ?” ซากิฟอนทวนคำ

“นี่ข้ายังไม่ได้ประเมินความสามารถขององค์หญิงไว้สูงสุดนะ เพราะฉะนั้นอาจจะเร็วกว่านี้ก็ได้ แต่คงไม่เร็วกว่าหกวันหรอก กว่าองค์หญิงจะเผด็จศึกโททัสบูร์กได้ และยังต้องจัดระเบียบการปกครองโททัสบูร์กใหม่อีก… อืมห์ แต่ถ้าองค์หญิงชนะโททัสบูร์กได้แล้วจะทำลายล้างแคว้นนั้นให้สิ้นซากเลยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่องค์หญิงคงไม่เป็นคนอย่างนั้นหรอก”

--มิฉะนั้นพวกเราทั้งสามคงไม่ติดตามมารับบใช้เธอตั้งแต่แรกแล้ว-- ประโยคท้ายเขาค้างไว้ในใจ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องกล่าวย้ำอีกในเมื่อสหายรบอีกสองคนก็ตระหนักในข้อนี้ดีอยู่แล้ว

…

“ข้าบริกาโต้แห่งบาร์ฮารา ทัพอสูรที่ชั่วร้ายเอ๋ย วันนี้เป็นจุดจบของพวกแกแล้ว เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดี”

กอบบลินตัวสูงใหญ่ ถือตะบองหนามอันโตอย่างดุร้าย ตวาดก้องทันทีที่ทัพของตนกระจายตัวตั้งขบวนทัพเสร็จเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูปราสาทอสูรเปิดและทัพนินจากับทัพอัศวินกรูกันออกสู่ ลานรบ

“หน้าไม่อาย เจ้ากอบบลินที่ต่ำช้า เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดอย่างนั้นนะ!” หัวหน้าอัศวินของทัพนีโอกลาดตอบโต้กลับไปทันที พร้อมกับที่วิ่งนำหน้าขึ้นไป อัศวินอีกห้าสิบนายพากันวิ่งตามไปทันที

“มนุษย์นี่!” อัศวินผู้สูญเสียความทรงจำรำพึงออกมาเมื่อประจักษ์ว่า ศัตรูของเขา- ทัพที่เพิ่งออกจากปราสาทอสูรเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเขา ในขณะที่เพื่อนร่วมทัพของเขาไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใด ๆ ทั้งสิ้น

“ฆ่ามัน ฆ่าาาาาา” บริกาโต้สั่งการลูกสมุนของตนเข้าประจันบานทันที ด้วยความกระหยิ่มว่ากำลังพลฝ่ายตนมีมากกว่าถึงสามเท่า

“ฮึ่ม เจ้ากอบบลินที่โง่เขลา ทำไมนายทัพอย่างข้าถึงวิ่งนำหน้าขึ้นมาก่อน ไม่คิดเลย” ซากิฟอนปลงสังเวชก่อนจะตวาดก้องว่า “ดาบเล็บมังกร ริวโซซัน!”

เขากวัดแกว่งดาบคู่มืออย่างหนักหน่วง จนเกิดคลื่นสุญญากาศพุ่งตรงเข้าหาบรรดากอบบลินที่กำลังดาหน้ากันเข้ามา ท่าไม้ตายมาตรฐานของอัศวินระดับผู้นำทัพนั่นเอง

“ฟิ้วๆๆๆ” “ฉัวะ ๆ ๆ” “อ้าก ๆ ๆ”

คลื่นสุญญากาศพุ่งเข้าตัดผ่านร่างของกอบบลินที่วิ่งอยู่แถวหน้าอย่างดุเดือด ร่างของพวกมันขาดเป็นชิ้น ๆ เลือดสาดกระเซ็นเป็นรายทาง พวกกอบบลินชะงักไปนิดหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าคลื่นพลังดาบหมดกำลังลงแล้วหลังจากพรากชีวิตเพื่อนร่วมรบของพวกมันไปกว่ายี่สิบศพ พวกที่ยังรอดอยู่ก็ดาหน้าเข้ามาใหม่ ด้วยพวกมันก็ยังคงเหลืออยู่มากกว่าสองเท่าของกำลังฝ่ายอัศวินอยู่ดี

“บ๊ะ เกือบไปแล้ว” เจ้าบริกาโต้อุทานด้วยความยินดีที่ตนเองไม่ได้รับอันตราย เพราะมันอยู่รั้งท้ายคอยสั่งการอยู่นั่นเอง มันหันไปตะโกนไปด้านหลังว่า

“ท่านอัศวิน ทำไมไม่ลงมือล่ะ พวกนี้พวกอสูรนะ”

“…” ผู้นำอัศวินในทัพกอบบลิน หรืออีกนัยหนึ่งโกรมิลหนี่งในห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรคิดได้ทันที “จริงสิ ถึงพวกมันเป็นมนุษย์ก็ตาม แต่ถ้าไปเข้ากับพวกอสูรก็แสดงว่าเลวร้ายยิ่งกว่าอสูรอีก … พวกเรา บุก!”

“ลุยยยยย” เสียงขานรับจากฝ่ายตนดังกระหึ่มเพื่อสร้างขวัญและปลุกความฮึกเหิม ก่อนที่กำลังพลอัศวินทั้งสี่ร้อยจะออกตัวเคลื่อนไปข้างหน้าบ้าง

เบื้องหน้า ทัพอัศวินของนีโอกลาดกับทัพกอบบลินเริ่มเข้าตะลุมบอนกันแล้ว

“ฮึ พวกขี้ขลาด” โกรมิลสบถ ถึงเขาจะเสียความทรงจำเกี่ยวกับอดีตของตนเอง แต่ความรู้ในเชิงรบยังคงอยู่เหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าทัพอัศวินฝ่ายตรงข้ามเข้าประทะกับฝ่ายตนด้วยกระบวนทัพภูผา คือ จัดวางกำลังทหารให้ยืนอยู่ชิด ๆ กันเป็นกระบวนทัพมาตรฐานสำหรับการตั้งรับนั่นเอง เขาจึงอดที่จะสบถอย่างไม่สบอารมณ์ไม่ได้ “อัศวินสำนักไหนสอนให้รบด้วยกระบวนทัพนี้วะ บ้าที่สุด”

ขณะที่เขากำลังจะสั่งการต่อให้ทัพของตนเข้าเสริมกับกองกำลังกอบบลิน ก็สังเกตเห็นว่ากำลังข้าศึกอีกส่วนหนึ่งวิ่งอ้อมบริเวณที่ทั้งสองฝ่ายกำลังตะลุมบอนกันอยู่อย่างรวดเร็วตรงเข้าหากองอัศวินของตน

‘เร็วจริง พวกนินจานี่เอง’ โกรมิลคิดในใจ

“คู่มือของพวกเจ้าคือข้านินจาซาโต้ อย่ามองไปที่อื่นเดี๋ยวหัวจะหายไม่รู้ตัว!!!” ซาโต้ตะโกนลั่นมา

“ฮึ ได้สิ จัดการกับแกก่อน เจ้ามนุษย์สารเลว” อัศวินผู้คาดผ้ารัดศีรษะคำราม “รูปขบวนหัวหอก ลุย!”

เขาสั่งจัดรูปขบวนของฝ่ายตนเป็นรูปขบวนเผด็จศึกทันที ด้วยความว่องไวของทหารอัศวินในบังคับบัญชาทำให้สามารถจัดรูปขบวนเสร็จก่อนที่กองกำลังของซาโต้จะเคลื่อนที่มาถึง ขณะที่หัวหอกของรูปขบวนกำลังจะพุ่งเข้าหากองกำลังข้าศึกนั้นเอง

“ชูริเคนไร้รูป!”

ซาโต้งัดไม้ตายอันดับหนึ่งของตนขึ้นมาใช้ทันที ชูริเคนหรือดาวกระจายจำนวนมากถูกซัดเข้าหาทัพของโกรมิล และเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำกับเมื่อครู่เมื่อทหารในแนวหน้าของโกรมิลถูกดาวกระจายล้มตายเป็นใบไม้ร่วง

“อ้าก!!!”

เสียงแผดร้องในวาระสุดท้ายของทหารอัศวินในแถวหน้าดังขึ้น ชูริเคนไร้รูป- หรือความหมายที่แท้จริงคือ ชูริเคนที่รวดเร็วจนกระทั่งเป้าหมายไม่อาจหลบพ้นได้- ได้แผลงฤทธิ์พรากชีวิตทหารในสังกัดของโกรมิลไปถึงเกือบสามสิบคน แต่จำนวนทหารที่เหลืออยู่ก็ยังมากกว่าสามเท่าของไพร่พลนินจาฝ่ายซาโต้อยู่ดี

“วีด...บึ้ม”

เสียงดังกึกก้องมาจากทางเบื้องหลังของทัพนีโอกลาด หรืออีกนัยหนึ่งคือทางปราสาทอสูรนั่นเอง โกรมิลไม่ใส่ใจกับเสียงดังกล่าวหากแต่รวบรวมสมาธิที่ดาบคู่ในมือของตนจนได้ที่แล้วกวัดแกว่งดาบนั้นอย่างรุนแรง คลื่นสุญญากาศก่อตัวและพุ่งเข้าหาทัพนินจาทันที

“เคนมะเรนซัน”

ท่าไม้ตายระดับสูงกว่าดาบเล็บมังกร (ริวโซซัน) ถูกปล่อยออกจากน้ำมือของอัศวินวัยฉกรรจ์ผู้นี้ คลื่นสุญญากาศลูกใหญ่และมีปริมาณมากกว่าที่เกิดจากท่าดาบเล็บมังกรพุ่งตรงเข้าหากองกำลัง นินจาอย่างมาดร้ายทันที

“อ้าก!”

เสียงร้องระงมดังขึ้นเมื่อร่างนินจาผู้เคราะห์ร้ายถูกคลื่นสุญญากาสผ่าร่างเป็นเสี่ยง ๆ หากแต่เมื่อสำรวจสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วพบว่า เคนมะเรนซันอันทรงพลานุภาพกลับพรากชีวิตของนินจาไปได้เพียงสิบคนเศษ ๆ เท่านั้น

“?!!!” แน่นอนโกรมิลอดสงสัยในสายตาตัวเองกับผลที่เกิดขึ้นตรงหน้ามิได้ แต่ในเวลาเดียวกันซาโต้ก็กำลังรำพึงในใจว่า

‘เกือบไปแล้ว มิน่าล่ะ เจ้าชิกถึงได้ให้จัดรูปขบวนแบบนี้’

เสียงวีด-บึม ที่ดังขึ้นก่อนหน้านี้นั่นเอง เป็นสัญญานจากชิกซึ่งกำลังสังเกตการสัปประยุทธ์อยู่บนเชิงเทินได้จุดพลุสัญญานตามที่ตกลงไว้ล่วงหน้าเป็นสัญญานให้แก่ทัพซาโต้

“ลุย”

เสียงสั่งการดังขึ้นจากฝ่ายตรงข้าม ทัพอัศวินของบาร์ฮาราวิ่งตรงเข้าหากองกำลังนินจาทันที

“ได้เลย พวกเรา ลุยยยย” ซาโต้ตอบสนองต่อสถานการณ์ทันที ทัพนินจาวิ่งตรงเข้าประทะกับทัพอัศวินอย่างดุเดือด- ในสายตาของโกรมิล แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้ระยะหนึ่งสมควรแก่เวลาที่จะถอนกำลังกลับมาจัดขบวนทัพใหม่ โกรมิลก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า

‘อะไรกัน!’

ทหารฝ่ายเขาเหลืออยู่สามร้อยหกสิบขณะที่ฝ่ายนินจาเหลืออยู่แปดสิบเศษ ‘ทำไม จำนวนของพวกมันไม่ลดลงเลย- แล้วก็- ฝ่ายเราด้วย’ เขานิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก็ได้คำตอบ ‘รูปขบวนหรือ!’

มองไปที่ทัพของซาโต้ ยังคงจัดรูปขบวนเดิมตั้งแต่ตอนที่รับดาบไม้ตายของโกรมิล มองเผิน ๆ เหมือนกับเป็นรูปขบวนบุก เพราะกำลังส่วนใหญ่ทางปีกขวาถูกดันขึ้นสูงเข้าหาข้าศึก แต่เมื่อมองให้ดีแล้วสิงห์เจนสนามอย่างโกรมิลก็เข้าใจได้ในที่สุด

‘อย่างนี้นี่เอง แต่มันเป็นรูปขบวนนอกสารบบนี่ จะว่าเป็นรูปขบวนปีกหงส์ก็ไม่ใช่- เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน นี่มัน- ปีกหงส์กลับข้างนี่!!!’

ชื่อรูปขบวนปีกหงส์เป็นรูปขบวนทัพมาตรฐานรูปหนึ่งที่ใช้สำหรับหยั่งเชิงข้าศึกโดยมีผลความสูญเสียจากการประทะกันน้อยที่สุด ซึ่งหากเป็นรูปปีกหงส์จริงสำหรับอัศวินเจนศึกอย่างโกรมิลย่อมหาทางทำลายรูปขบวนได้ไม่ยาก แต่เมื่อมันเป็นรูปขบวนนอกระบบแล้ว...

‘ฮึ! เล่ห์กลเยอะจริง ข้าไม่เชื่อว่าจะทำลายรูปขบวนนี้ไม่ได้ กำลังมันต่างกันเห็น ๆ ถึงสามเท่าอยู่แล้ว’

สรุปแล้ววันนั้น ทัพอัศวินจากบาร์ฮาราที่นำโดยจอมทัพผู้สูญเสียอดีตไป ก็จัดทัพเป็นรูปขบวนต่าง ๆ ตั้งแต่รูปหัวหอก, ก้ามปู, วงเดือน เข้าประทะกับทัพนินจานับสิบครั้งจนกระทั่งอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไป ความเสียหายของทั้งสองฝ่ายก็ยังคงอยู่ที่ฝ่ายละยี่สิบคน โดยไม่นับความสูญเสียจากท่าไม้ตายของผู้นำทัพทั้งสองในตอนแรก

ส่วนทางด้านซากิฟอน เขาก็ใช้รูปขบวนภูผาที่เหนียวแน่นตั้งยันการบุกของฝูงกอบบลินไว้นานนับหลายชั่วโมงเช่นกัน

“วีด-บึม”

พลุสัญญานดังจากปราสาทนีโอกลาดอีกครั้ง คราวนี้ตัวพลุที่จุดลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือกองกำลังทั้งสี่กองที่กำลังสับประยุทธกันอยู่แล้วก็แตกตัวออก ส่งแสงสว่างวาบขึ้นทั่วลานกว้างจนเหมือนกับตอนเที่ยงวัน

ทัพฝ่ายบุกรุกชะงักการบุกไปนิดหนึ่ง เพราะไม่เคยเห็นพลุแบบนี้มาก่อน ขณะที่ทัพเจ้าบ้านทั้งสองอาศัยโอกาสถอนตัวกลับเข้าสู่ปราสาทนีโอกลาดอย่างรวดเร็ว กว่าสายตาของอีกฝ่ายจะหายพร่ามัว พวกเขาก็ทั้งระยะห่างไปพอสมควรและกำลังจะหายเข้าไปทางประตูปราสาทแล้ว

“เจ้ากอบบลิน ไว้พรุ่งนี้ค่อยรบกันใหม่นะ เก็บหัวของเจ้าไว้ให้ดี” ซากิฟอนตะโกนส่งท้าย และไม่ลืมที่จะข่มขวัญไปด้วย

“ฮึ่ม!” บริกาโต้ฮึดฮัด หันไปมองทางทัพอัศวินฝ่ายตน พบว่ากำลังตั้งท่าจะถอนตัวออกจากสมรภูมิเช่นกัน

“ท่านบริกาโต้” กอบบลินชั้นสวะตนหนึ่งวิ่งเข้ามาหา มันคือพลเดินสารนั่นเอง “เจ้าโกรมิลบอกมาว่า วันนี้พอแค่นี้ก่อนกลับไปตั้งค่ายพักกันแล้วค่อยคิดกันใหม่พรุ่งนี้”

“อะไรวะ ทำไมไม่ตามไปบุกปราสาทให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย?”

นายกองกอบบลินฉุน หันมาตวาดใส่พลเดินสาร แต่แล้วมันก็กวาดสายตามองดูลูกสมุนของตนเพื่อที่จะพบว่าบรรดากอบบลินเหล่านั้นต่างก็แสดงท่าทีเหนื่อยล้าจากการสู้รบทั้งวันและที่สำคัญ พวกมันเป็นฝ่ายเดินทัพมาย่อมมีความเหนื่อยล้าจากการนั้นมาก่อนแล้ว เมื่อมาพบกับการตั้งรับอันเหนียวแน่นของนีโอกลาด ชนิดที่ฝ่ายตนมีกำลังมากกว่าชัด ๆ แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ย่อมทำให้รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติเป็นธรรมดา เจ้าบริกาโต้นึกได้ถึงข้อนี้จึงยอมรามือจากพลเดินสารที่กำลังตัวสั่นเทาอยู่เบื้องหน้า รำพึงในใจว่า ‘ถูกของมัน สมแล้วที่เป็นห้าผู้กล้า’ ก่อนจะตะโกนสั่งการให้ลูกน้องถอนกำลังตามทัพอัศวินของฝ่ายตนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วต่อไป


back index next
1