มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ปฐมศึก: การศึกวันที่สอง- ซากิฟอน V.S. โกรมิล

“เอาจริงรึ”

หัวหน้ากองนินจาแห่งนีโอกลาดถามสหายร่วมศึก ขณะนี้ทั้งสองอยู่บนหลังม้าเคียงกัน เบื้องหลังเป็นประตูปราสาทนีโอกลาด และมีไพร่พลของเขาทั้งสองรวมกันจำนวนร้อยเศษ เบื้องหน้าห่างไปลิบ ๆ อีกฟากหนึ่งของลานกว้างอันกลายสภาพเป็นสมรภูมิเลือดตั้งแต่เมื่อวาน ทัพผสมอัศวินชาวมนุษย์และกอบบลินจำนวนสี่เท่าครึ่งของฝ่ายนีโอกลาดกำลังแปรรูปขบวนพร้อมจะเข้าประจันบาญกับฝ่ายเจ้าบ้านให้แตกหักไปข้างหนึ่งอย่างกระเหี้ยนกระหือ

“แน่นอน” ซากิฟอนตอบ แล้วกระตุ้นม้าให้วิ่งตรงเข้าหากองทัพศัตรูเพียงลำพังอย่างห้าวหาญ

...

ย้อนกลับไปหนึ่งคืน หลังจากการประทะกันในวันแรกแล้วฝ่ายนีโอกลาดได้ประชุมกันอย่างเคร่งเครียด ตอนหนึ่งชิกบ่นดัง ๆ ว่า

“เฮ้อ กำลังต่างกันมากเกินไปจริง ๆ เราฆ่ามันไปสามสิบมันยังเหลืออีกเป็นร้อย แต่มันฆ่าเราไปสิบคน เราก็เหลือกำลังไม่กี่สิบแล้ว”

“หึ ๆ อีกเก้าวันนะ” ซากิฟอนเตือนเสียงเรียบ

แน่นอนเขาหมายถึงจำนวนวันสูงสุดตามที่ชิกประเมินไว้ ว่าทางพวกเขาต้องตั้งรับศึกทัพบาร์ฮารานี้ไว้ให้ได้ ก่อนที่เจ้าหญิงฮิโระจะกลับจากโททัสบูร์กมาได้

“อืมห์...” ชิกทำท่าครุ่นคิด แต่แล้วก็ถามกลับว่า “ศัตรูเป็นไงบ้างล่ะ? จากการสู้กันวันนี้”

“พวกกอบบลินนั่นไม่มีอะไรมาก” หัวหน้าอัศวินตอบ “ข้าเองยังไม่นึกเลยว่า กระบวนทัพภูผาจะใช้ยันมันได้ผลถึงขนาดนี้”

ความเสียหายที่เกิดกับฝ่ายเขาคือ สูญเสียทหารไปเพียงสิบคนเท่านั้น แน่นอน มีผู้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง แต่ขณะเดียวกัน จำนวนไพร่พลฝ่ายกอบบลินก็แทบจะไม่ลดลงเลยเช่นกัน... ถ้าจะว่าไป พวกที่สังเวยชีวิตใต้ “ดาบเล็บมังกร” ของซากิฟอนในตอนแรกสุดยังมีมากกว่าที่ล้มตายระหว่างการตะลุมบอนเสียอีก

“คงต้องระวังเจ้าจ่าฝูงมันตัวเดียว รู้สึกจะไม่ใช่บริโมรินด้วย” ซากิฟอนเสริม “สั่งทหารตัวเองเป็นแค่ บุกเข้าไป! กับ ถอยก่อน! เท่านั้น”

“ปัญหาคือกองทัพอัศวินนี่นะสิ” ซาโต้เอ่ยขึ้นบ้างหลังจากเงียบไปนาน “ร้ายเอาการทีเดียวแหละ”

“...” ชิกและซากิฟอนมองนินจาเป็นเชิงถาม ซาโต้จึงอธิบายต่อ

“ทหารอัศวินก็เข้มแข้งใช้ได้ รูปขบวนรบก็แม่นยำรวดเร็ว ที่สำคัญตัวหัวหน้าเองก็... ร้ายกาจเอาการ”

“ใครกันแน่นะ แม่ทัพอัศวินคนนั้น” ซากิฟอนพึมพำ

“ไม่รู้จักหรือ?” ซาโต้ถาม

“...” ผู้ถูกถามส่ายหน้าแทนคำตอบ

“แต่... ข้ารู้สึกแปลก ๆ บางอย่าง” ซาโต้พูดต่อ “ไม่รู้ว่าพวกกอบบลินเป็นอย่างนี้รึเปล่านะ”

“อะไรหรือ?” เสนาธิการทหารหรือกุนซือหนุ่ม และหัวหน้าอัศวินถามเกือบพร้อมกัน

“พวกอัศวินฝ่ายนั้นรบเหมือนแพ้ไม่ได้อย่างนั้นแหละ” ชายหน้าบากตอบช้า ๆ อย่างครุ่นคิดพลางเอามือลูบคาง “จะว่าพวกมันขาดขวัญในการรบก็ไม่ใช่ เหมือนกับมันรบแบบไม่เต็มใจ แต่...พวกมันกลับสู้สุดใจขาดดิ้นเลย...บอกไม่ถูกว่ะ”

“ไม่สวยเสียแล้ว” ชายร่างเล็กผู้สวมแว่นตา “เท่าที่ข้าดูจากเชิงเทิน หัวหน้ามันความสามารถสูงทีเดียว ทั้งเชิงยุทธและการนำทัพ”

เชิงยุทธในที่นี้คือ ฝีมือการสู้รบของบุคคลผู้นั้น

“พรุ่งนี้เอาไงต่อ” ซาโต้ถาม

“...” ไม่ทันที่กุนซือหนุ่มจะตอบ หัวหน้ากองอัศวินก็โพล่งขึ้นมาว่า

“ขอข้าท้าประลองกับมันได้ไหม?”

“!!!?”

ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นตกตะลึง เสนาธิการซึ่งเป็นประธานในที่ประชุมได้สติก่อนเพื่อน ถามกลับด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า

“กับหัวหน้ากองอัศวินฝ่ายนั้นหรือ? เพื่ออะไรล่ะ?”

“ข้าอยากรู้ว่ามันเป็นใคร บอกตรง ๆ สังหรณ์ไม่ดีเลย”

“...”

...

และนั่นคือที่มาว่า ทำไม ณ ขณะนี้ ซากิฟอนควบม้าจนมาหยุดห่างจากทัพอัศวินฝ่ายตรงข้ามในระยะหนึ่ง แล้วร้องท้าอัศวินผู้ผูกผ้าคาดศีรษะให้ออกมาสู้กันตัวต่อตัว

“ข้าซากิฟอนแห่งนีโอกลาด ขอท้าท่านในฐานะอัศวินจงมาสู้กันตัวต่อตัวเถิด”

“โอหัง เจ้าพวกขายวิญญานให้อสูรอย่างเจ้ายังมีหน้ามาอ้างว่าอัศวินอีกรึ ฮึ อัศวินแห่งนีโอกลาด น่าชังสิ้นดี”

โกรมิลผู้ลืมอดีตแต่ไม่ลืมความรู้สึกปฏิปักษ์ต่อเผ่าอสูรโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทันที

“แล้วท่านล่ะ เป็นอัศวินจริงหรือ เหตุไฉนไปอยู่ร่วมกับเผ่ากอบบลินอันชั่วช้าเล่า?”

“หุบปากของเจ้าซะ เผ่ากอบบลินคือผู้มีพระคุณของข้านะ”

“ทำไมไม่ประกาศนามของตน? โดนความไร้อารยธรรมล้างสมองจนลืมธรรมเนียมเชียวหรือ? ท่านผู้นำทัพอัศวินแห่ง ‘บาร์ฮาร่า’ ฮึ โก้ดีไม่หยอก” ท้ายประโยคของซากิฟอนมีแววส่อเสียดอย่างชัดเจนโดยเลียนแบบคำพูดที่โกรมิลที่พูดใส่ตนเมื่อครู่

“เจ้า? ข้าคือ...” ขุนพลผู้สูญเสียอดีตหลุดปากได้แค่นั้นก็ต้องอึ้งไป ใช่สิ เขาเป็นใครกันล่ะ? แม้แต่ตัวเองยังจำไม่ได้เลย

“ท่านอัศวิน ไม่ต้องไปสนใจคำท้าของมัน สั่งลุยเลยดีกว่า มันมาคนเดียวด้วย”

กอบบลินหนุ่มขุนพลคู่ใจของเจ้าแห่งกอบบลินรีบขัดขึ้น โดยไม่รอคำตอบรับมันหันหน้าไปด้านหลังในทิศซึ่งบรรดาลิ่วล้อชาวกอบบลินตั้งท่ารออยู่แล้ว “พวกเรา บุ...”

“ไม่ต้อง!!”

ก่อนที่คำสั่งบุกจะหลุดจากปากของมัน เสียงหนึ่งก็ดังห้ามขึ้น เป็นเสียงของอัศวินชายฉกรรจ์นั่นเอง

“ท่าน!!!”

“ขอข้าจัดการกับมันเองเถิด ท่านบริกาโต้” ว่าพลางก็ย่างสามขุมเข้าหาซากิฟอน ซึ่งกำลังตะลึงเมื่อได้ยินสรรพนามที่อัศวินผู้นี้เรียกกอบบลิน แต่ฝ่ายบนหลังม้าก็ได้สติอย่างรวดเร็ว กระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว แขนซ้ายถือโล่มั่น ในขณะที่แขนขวานั้น ดาบเล่มเขื่องพร้อมรบอยู่ในมือแล้ว

โกรมิลกระชากดาบสองมือจากกลางหลัง แล้วตรงเข้าหาคู่ต่อสู้ทันที

บริกาโต้มองเหตุการณ์อย่างสงบ พลางนึกในใจว่า

‘ดีเหมือนกัน ไม่ต้องเปลืองไพร่พล เจ้าอัศวินหน้าอ่อนจะมาสู้อะไรกับหนึ่งในห้าผู้กล้าได้!!!’

มันอดประหวัดคิดถึงบทสนทนาของมันกับขุนพลชาวมนุษย์ผู้ไม่รู้เหนือรู้ใต้เมื่อวานนี้ไม่ได้

...

ทันทีที่ถอนทัพกลับที่มั่นชั่วคราวและฝากให้หัวหน้ารองลงไปดูแลความเรียบร้อยแล้ว บริกาโต้ก็มุ่งตรงไปที่เตนท์ผ้าอันเป็นที่พักของโกรมิลทันที

“ทำไมสั่งถอยทัพล่ะท่าน? ถ้าเราตามบดขยี้เข้าไป วันนี้เราอาจตีนีโอกลาดได้แล้ว”

“...” โกรมิลซึ่งสั่งอยู่ที่โต๊ะสนามเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนจะตอบว่า “ข้าไม่อยากเสี่ยง”

“ทำไมล่ะ กำลังเราเหนือกว่าเห็น ๆ”

“ฝ่ายนั้นมียุทธวิธีที่ล้ำลึกนัก” เป็นคำตอบของอัศวิน ในใจนึกถึงรูปกระบวนปีกหงส์กลับข้างที่ตนเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรกในวันนี้เอง “อย่างเมื่อครู่นี้ อาจจะมีกับดักรอเราอยู่ที่หน้าปราสาทก็ได้ แต่ยังไงก็ตาม ประเด็นสำคัญที่ข้าติดใจอยู่คือ...”

“อะไรหรือ?”

“พลุสัญญานที่พวกมันใช้จุด-โดยเฉพาะอันหลังสุดที่ส่องแสงได้ เป็นพลุของสหพันธ์รัฐโดม”

“สหพันธ์รัฐโดม???” เจ้ากอบบลินงง

“แคว้นเดียวในเนฟเวอร์แลนด์ที่เจริญก้าวหน้าด้วยอำนาจแห่งสิ่งที่เรียกว่า ‘วิทยาศาสตร์’ ไม่ใช่เวทมนต์อย่างแคว้นอื่น ๆ ที่เหลือ” โกรมิลอธิบายต่อด้วยน้ำเสียงเหมือนกับรำพึงกับตนเอง “ทำไมอยู่ ๆ ข้าก็นึกเรื่องพวกนี้ได้ก็ไม่รู้ แต่บอกตามตรง ข้าไม่ไว้ใจเจ้าสิ่งที่เรียกว่า ‘วิทยาศาสตร์’ นี่เลย อุ๊บ...”

สุดท้ายเขายกอุ้งมือข้างหนึ่งขึ้นกดบนหน้าผากตัวเอง บริกาโต้รู้ได้ทันทีว่าเป็นอาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นเมื่ออัศวินผู้นี้เป็นในยามที่พยายามนึกความหลังของตนแต่นึกได้เป็นห้วง ๆ ที่ขาดตอน

“เป็นอะไรมากไหมท่าน” มันถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย แต่ในใจนั้น มันห่วงใยอะไรกันแน่ เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้คำตอบ

“อืมห์ ไม่เป็นไร” โกรมิลเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง “...และเหตุผลที่สำคัญที่สุด ไพร่พลของเรากำลังเครียด ข้าเชื่อว่าไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ที่กำลังพลที่เหนือกว่ากันถึงสามเท่ากลับทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ข้าจึงสั่งถอนทัพ หวังว่าท่านคงไม่มีอะไรติดข้องในใจแล้วนะ”

เหตุผลข้อหลังสุดนี้ บริกาโต้เองก็เห็นด้วยแต่แรกอยู่แล้ว มันจึงระล่ำระลักตอบว่า

“หามิได้ ข้าเพียงอยากเรียนรู้วิธีการคิดของท่านผู้ก.. อ้า ของท่านเท่านั้น” เกือบหลุดปากเรียกท่านผู้กล้าไปแล้วสิ

“พรุ่งนี้!” โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย โกรมิลก็เค้นเสียงออกมาอย่างมาดมั่นพลางกำหมัดขวาแน่น

“พรุ่งนี้ได้เห็นดีกันแน”

คราวนี้หันขวับมามองอีกฝ่ายตาเขม็ง “ท่านบริกาโต้!”

“เหวอ มีอะไรหรือครับ” กอบบลินหนุ่มตกใจ

“การศึกในวันรุ่งขึ้น ข้าขอให้ท่านเข้าร่วมรบด้วยตัวเองนะ แน่นอนข้าก็ด้วยแหละ”

“อ๋อ ได้สิ”

“พุ่งเป้าไปที่หัวหน้ากองทั้งสองของพวกมัน ขาดหัวหน้าเสีย ไอ้กระบวนทัพนอกสารบบทั้งหลายก็ไม่ทำงานเองแหละ!”

...

ภวังค์ความคิดของผู้นำทัพกอบบลินสิ้นสุดตรงนี้ เบื้องหน้าของมัน สองอัศวินต่างวัยควงดาบเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด

โกรมิลใช้ดาบคู่และเป็นฝ่ายบุกมากกว่าด้วยสไตล์การสู้ที่เป็นประเภทบู๊สะบั้นหั่นแหลกของเขาอยู่แล้ว ในขณะที่ซากิฟอนใช้ดาบเดี่ยวและโล่ตกเป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเหนียวแน่น นาน ๆ จึงจะได้โต้กลับสักครั้งหนึ่ง ไพร่พลอัศวินฝ่ายบาร์ฮาร่าพากันเพ่งมองการสัประยุทธ์ครั้งนี้ตาแทบไม่กระพริบ ขณะที่ลิ่วล้อกอบบลินกระเหี้ยนกระหืออยากเป็นผู้แสดงเสียเองด้วยการเข้าไปรุมกินโต๊ะศัตรูที่บังอาจฉายเดี่ยวมาตามสไตล์ถนัดของพวกมันซึ่งเป็นกองโจรมืออาชีพ เบื้องหน้าไกลออกไป ทัพของฝ่ายนีโอกลาดยังคงปักหลักอยู่ห่าง ๆ มีเพียงคนบนหลังม้าตัวหนึ่งที่ย่างเหยาะเข้ามาช้า ๆ -ซาโต้นั่นเอง

“ฮึ่ม!” “อึ๊บ!”

ดาบต่อดาบและดาบกับโล่ยันกันนิ่ง ทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้กันเข้าสู่การสู้ประชิดตัวจนได้จังหวะที่ต้องใช้พละกำลังเข้าประลองหักเหลี่ยมชิงความได้เปรียบกัน จังหวะนี้ ผู้ใดอ่อนแรงก่อนมีสิทธิ์ประเดิมบาดแผลแรกของการสู้รบครั้งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะต่างฝ่ายอยู่ประชิดตัวกันเหลือเกิน- ในรัศมีดาบของอีกฝ่ายหนึ่ง

“เจ้าเป็นอัศวินของซีลีนิกหรือ?” โกรมิลถามทั้งที่กำลังกัดฟันเพื่อเกร็งกำลังอยู่

“อดีตอัศวินแห่งซีลีนิกต่างหาก” ซากิฟอนตอบด้วยสภาพทุลักทุเลไม่แพ้กัน “ประดาบกันแค่นี้ก็รู้ที่มาของข้าได้ เลื่อมใสจริง ๆ”

“ฮึ แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าข้าคือใคร” โกรมิลเค้นน้ำเสียงอย่างคับแค้นใจ เหตุผลที่แท้จริงที่เขารับคำท้าคือสิ่งนี้นั่นเอง เขาแอบหวังลึก ๆ ว่าอีกฝ่ายซึ่งเป็นอัศวินเหมือนกัน จะช่วยบอกได้ว่า เขาเป็นใคร

“???”

ซากิฟอนเริ่มเอะใจในปฏิกิริยาแปลก ๆ ของอีกฝ่าย จึงหยั่งเชิงว่า

“ทำไมท่านไม่...” พูดได้เพียงเท่านี้ก็หมดลม เพราะในฉับพลันแรงโหมจากอีกฝ่ายก็หนักหน่วงขึ้นอย่างรุนแรงจนเขาต้องก้าวถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น

“ย้ากส์!”

โกรมิลผลักร่างอีกฝ่ายกระเด็นไปทั้งอาวุธคู่มือ ดาบคู่ของเขาตวัดไขว้กันตามไปด้วย เสียงดังฉัวะเมื่อคมดาบคู่ทั้งสองข้างสัมผัสกับเนื้อเสื้อเกราะบริเวณอกของอีกฝ่าย แน่นอนด้วยผลบุญของเสื้อเกราะนั้น ซากิฟอนยังคงปลอดภัยดีแต่มันไม่ได้จบแค่นี้ เท้าของโกรมิลก้าวตามร่างที่เสียหลักไปอย่างรวดเร็วเหมือนสิงโตที่หมายตาเหยื่อไว้แล้วอย่างไม่ยอมให้หลุดมือ ดาบคู่ถูกหวดกระหน่ำเข้าใส่ผู้ถือดาบเดี่ยวและโล่อย่างบ้าคลั่ง ซากิฟอนยกโล่ขึ้นต้านรับอย่างหวุดหวิดเต็มที และในที่สุดก็พลาดเมื่อดาบข้างซ้ายของโกรมิลทะลวงฟันเฉียงขึ้นจากด้านล่างเข้าใส่บริเวณเอวซึ่งไม่มีเกราะกำบัง หากแต่ผู้อ่อนวัยกว่าสปริงตัวหลบไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ทำให้ดาบนี้เพียงแต่ถากตัวเขาไป กระนั้นโลหิตสด ๆ ก็หลั่งรินออกจากปากแผลอย่างรวดเร็วจนครึ่งซีกของร่างกายท่อนล่างของซากิฟอนถูกย้อมเป็นสีแดงในชั่วเวลาสั้น ๆ

“ฮึ!” ผู้รับบาดเจ็บเขม็งมองผู้ทำร้ายตนอย่างระวัง พลางรวบรวมสมาธิอย่างรวดเร็วแล้วปักดาบของตนบนพื้นดินเบื้องหน้าเป็นจังหวะที่อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาพอดี

“ดาบผ่าพสุธาขั้นสุดยอด! (โคมะเรกโคซัน)” ท่าไม้ตายสุดยอดของซากิฟอนถูกงัดออกมาใช้ แผ่นดินตรงหน้าระเบิดขึ้นเป็นแนวเส้นตรงพุ่งเข้าหาโกรมิลซึ่งเบี่ยงตัวหลบพร้อมกับเกร็งกำลังและรวบรวมสมาธิอย่างฉับพลันทันทีเช่นกัน

“พลังลมปราณ!”

ร่างของโกรมิลถูกปกคลุมด้วยออร่าบาง ๆ อย่างรวดเร็ว เป็นออร่าที่สร้างจากพลังลมปราณและพลังจิตของเจ้าตัวเพื่อป้องกันอันตรายแก่ตัวเองนั่นเอง เบื้องหลังของโกรมิล แนวระเบิดอันเนื่องจากดาบผ่าพสุธาขั้นสุดยอดของซากิฟอนยังคงวิ่งตรงเข้าหาทัพบาร์ฮาร่าที่อยู่ถัดไปและกำลังแตกฮือเป็นทางเพื่อหลบให้พ้นจากแนวระเบิดนี้ ผู้ที่ช้าก็ตกเป็นเหยื่อแห่งอำนาจพิโรธของปฐพี

“???”

โกรมิลยืนซึม เขาใช้ท่าไม้ตายนี้ได้ด้วยหรือ? พลังลมปราณอันเป็นท่าเฉพาะของพวกนักบู๊ ซึ่งรากฐานมาจากแคว้นคุนหลุนทางชายฝั่งตะวันออกของทวีปเนฟเวอร์แลนด์ ที่ผ่านมาเขานึกว่าตัวเองใช้ท่าไม้ตายได้เพียงท่าเดียวคือ เคนมะเรนซัน (ดาบเล็บมังกรขั้นสูง) เสียอีก

“ท่าน??? เป็นไปไม่ได้!!!”

ซากิฟอนหน้าถอดสีเมื่อเห็นท่าไม้ตายประจำตัวของโกรมิล ด้านหลังเขา ซาโต้จูงม้าอีกตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“เจ้า... ใช้ท่าดาบผ่าพสุธาขั้นสุดยอดได้ แสดงว่าเป็นถึงอัศวินศักดิ์สิทธิ์ ทำไมมาอยู่กับอสูร!!!” แวบหนึ่งในความคิดที่โกรมิลนึกได้ถึงความจริงข้อนี้จึงโกรธขึ้นมาอีก ออร่าที่ปกคลุมร่างอยู่ทวีความเข้มขึ้น สายตาที่มองร่างโชกเลือดของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความรู้สึกเหยียดหยาม ผิดหวัง เกลียดชังอย่างรุนแรง

“ทะ...ท่านต่างหาก เป็นถึงผู้กล้าทำไมถึงมาอยู่กับกอบบลิน?”

อัศวินแห่งนีโอกลาดครางเสียงแห้ง เขาทราบแล้วว่าบุรุษตรงหน้าเป็นใคร!!!


back index next
1