มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ปฐมศึก : ศึกกลางคืน

‘ไม่ได้การณ์เสียแล้ว!’

บริกาโต้-กอบบลินหนุ่มนึกในใจ เบื้องหน้าของมันห่างออกไปไม่ไกลนัก อัศวินต่างวัยสองคนยืนประจันหน้ากันอยู่ ฝ่ายหนึ่งยืนจังก้า ทั่วร่างมีออร่าบาง ๆ ปกคลุมอยู่ ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งขณะนี้ทรุดตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้นโดยพยายามใช้ดาบของตนที่ปักปลายลงกับพื้นดินยันร่างไว้ ห่างออกไปไม่ไกลนัก นินจาอีกคนหนึ่งกระตุ้นม้าของตนให้วิ่งใกล้เข้ามาพร้อมกับจูงบังเหียนม้าเปล่าอีกตัวหนึ่งเข้ามาด้วย

“พวกเรา บุก!” เป็นคำสั่งการจากบริกาโต้ หากแต่...

“ฆ่ามัน ๆ ๆ อ๊ะ?!!!”

เสียงขานรับดังจากเบื้องหลังทันทีแต่ชั่วพริบตาก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงอุทานอย่างตื่นตระหนก เจ้ากอบบลินหนุ่มรู้โดยพลันว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น เพราะตัวมันเองก็กำลังประสบภาวะเดียว กัน นั่นคือ

“โอ้ว ก้าวขาไม่ได้!”

เป็นเสียงระล่ำระลักจากไพร่พลกอบบลินหลายนายที่ดังระงมขึ้น ใช่แล้ว พวกมันพากันก้าวขาไม่ออก เหมือนหนึ่งว่าเท้าทั้งสองข้างถูกติดตรึงกับที่ มองไปทางกลุ่มกองกำลังอัศวินบ้าง พวกนั้นก็กำลังมีทีท่าไม่ยอมขยับจากที่เช่นกัน หากแต่ในสายตาของหัวหน้าทัพกอบบลินไม่แน่ใจว่าที่พวกนั้นไม่ยอมเคลื่อนกาย เป็นเพราะไม่ยอมรับคำสั่งของมัน หรือเป็นเพราะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันเป็นแน่

อีกด้านหนึ่ง อัศวินวัยฉกรรจ์ผู้สูญเสียอดีตของตนไป ก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ระล่ำระลักถามผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากคมดาบของตนว่า

“เจ้า... เจ้ารู้รึว่าข้าเป็นใคร? บอกข้ามาเดี๋ยวนี้!”

“ท่าน... จำเรื่องของตัวเองไม่ได้จริงหรือนี่” ซากิฟอนไม่ตอบ หากแต่ย้อนถามเสียงแหบ เขาเริ่มเข้าใจอะไรได้ลาง ๆ แล้ว

“บอกมา!!! ข้าเป็นใครกันแน่?!!!” โกรมิลตะโกนก้อง

ไม่ทันที่ซากิฟอนจะตัดสินใจอย่างไรต่อไป

“โอม ขออำนาจแห่งภูติน้ำจงมีแแก่ข้าด้วยเถิด ออกมา กำแพงวารีพิฆาต!”

เป็นเสียงร่ายมนต์ของเจ้าบริกาโต้นั่นเอง ยังไม่ทันที่มันจะร่ายมนต์จบ ก็ปรากฎภาพน้ำวนผุดขึ้นกลางอากาศบริเวณเหนือศีรษะของซากิฟอน หากปล่อยให้มันร่ายมนต์จนเสร็จสิ้น แน่ นอนอำนาจพระเวทย์อันมีฤทธิ์เป็นน้ำย่อมต้องสำแดงเดชลงบนร่างของซากิฟอนผู้ซึ่งตอนนี้ไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบเลี่ยงหรือป้องกันตัวได้ หนึ่งนั้นเพราะได้รับบาดเจ็บ อีกหนึ่งนั้นเพราะใช้พลังในกายไปหมดสิ้นกับท่าไม้ตายขั้นสุดยอดของตนเองแล้ว

“กลยุทธนินจาพรางตัว!” “บรึม” “บรึม” “บรึม”

ขาดคำของซาโต้ รอบกายของอัศวินแห่งนีโอกลาดก็ปรากฏควันระเบิดพวยพุ่งขึ้นจากพื้นดิน กลุ่มควันหนาลอยเข้าปกคลุมร่างของซากิฟอนอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะเดียวกับที่กระแสน้ำบ่าจากอำนาจพระเวทย์ของบริกาโต้สาดกระแทกจากเบื้องบนเข้าใส่ตำแหน่งกลุ่มควันนั้นพอดี

ฝ่ายทัพบาร์ฮารานิ่งดูผลที่เกิดขึ้น อีกอึดใจถัดมาก็ทราบว่า บริกาโต้ลงมือช้าเกินไป หลังจากที่กระแสน้ำจากอำนาจเวทย์มนต์ได้สูญหายอันตรธานไปหมดสิ้นแล้ว ไม่ปรากฏร่องรอยของผู้นำทัพฝ่ายนีโอกลาดทั้งสองคนแม้แต่เงา เวทย์มนต์จากน้ำมีธรรมชาติของมันเป็นเช่นนี้เอง คือ ออกฤทธิ์ช้า เหมาะสมกับการใช้โจมตีกองทัพใหญ่ ๆ ที่มีความคล่องตัวในการเคลื่อนที่น้อย หากแต่เมื่อจะใช้มันในการสัประยุทธ์ตัวต่อตัวในระดับผู้นำทัพแล้วไซร้ ย่อมถูกฝ่ายศัตรูหลบหลีกได้อย่างไม่เหนือบ่ากว่าแรงนัก

“ฮึ่ม! ไม่ทันจนได้ อึ๊บ!” บริกาโต้สบถอย่างหัวเสีย พลางพยายามยกเท้าตัวเองให้เดินไปข้างหน้าได้แต่ก็ไม่เป็นผล ไกลออกไปเบื้องหน้า ทัพของนีโอกลาดล่าถอยกลับหายเข้าไปในกำแพงปราสาทจอมราชันย์อสูรอย่างรวดเร็ว

“...”

โกรมิลหันมามองเจ้ากอบบลินหนุ่มแวบหนึ่ง ก่อนหันกายมาแล้วเดินช้า ๆ ตรงเข้าหาอีกฝ่าย

“ป่วยการจะขยับตัว ท่านบริกาโต้ ดาบผ่าพสุธาขั้นสุดยอดเป็นท่าไม้ตายที่มีฤทธิ์ทางกายภาพและมีฤทธิ์เป็นพสุธาด้วย พวกท่านถูกตรึงติดไว้กับพื้นพสุธาอย่างน้อยก็สามชั่วโมงแหละ... แล้วแต่ภูมิต้านทานของพวกท่านนะ”

เขาคิดในใจต่อว่า อย่างบริกาโต้ก็คงสักสองชั่วโมงก็สามารถหลุดพ้นจากอำนาจสะกดของผืนปฐพีได้ แต่บรรดาไพร่พลนี่สิ คงต้องกินเวลาสักครึ่งวันเลยทีเดียว และรวมทั้งไพร่พลอัศวินของเขาเองด้วย

“วันนี้ถอยก่อน พวกเรา...” ตอนท้ายหันไปทางกลุ่มอัศวินลูกน้องของตน “เดินลากเท้าถอยหลังกลับไปที่ค่าย!”

มนต์แห่งอำนาจปฐพี สามารถตรึงมิให้พวกเขายกเท้าได้ก็จริง แต่สามารถเดินลากเท้าได้ และแน่นอน การลากเท้าถอยหลังย่อมง่ายกว่าเดินไปข้างหน้า ในตอนแรก เหล่าทหารยังไม่เข้าใจสิ่งที่นายทัพของตนสั่งดีนัก แต่เมื่อมีผู้ทดลองเดินลากเท้าโดยไม่ยกเท้าจากพื้นได้สำเร็จคนหนึ่ง ก็ระล่ำระลักบอกเพื่อน ๆ และในชั่วเวลาไม่นานนัก ทัพอัศวินสามร้อยเศษก็เดิน ‘ถอย’ ทัพจริง ๆ ในสภาพที่ทุลักทุเลมุ่งหน้า (หลัง?) กลับสู่ค่ายของตน

บริกาโต้สั่งการให้ลูกสมุน ‘ถอย’ บ้าง มันเองก็ตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดแห่งปฐพีเช่นกัน แต่ก็ฝืนเดินลากเท้าเข้าไปหาโกรมิล ซึ่งก็ดูเหมือนจะรอมันอยู่ จึงไม่ได้ตามทัพตัวเองไปในทันที

“??”

“ทำไม?” โกรมิลถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ ออร่าที่เริ่มจะจางหายไปแล้วกลับทวีความเข้มขึ้นมาอีก “ท่านจึงขัดขวางข้า อีกนิดเดียวเท่านั้น...”

“อีกนิดเดียวแกก็จะรู้ว่าแกเป็นใคร ใช่ไหมล่ะ?” เจ้ากอบบลินหนุ่มต่อคำให้อย่างไม่สะทกสะท้าน

“ท่าน?!!!”

“หึ หึ” โดยไม่ทันคาดคิด กอบบลินเจ้าเล่ห์ตวัดเอาอะไรบางอย่างคล้องขวับลงบนคอของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างรวดเร็ว ทันที่ที่สิ่งนั้นสวมบนลำคอของตน โกรมิลก็ทรุดกายลงยกมือกุมศีรษะพลางร้องอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส

“อ้ากกกกก!!!”

ชั่วครู่ร่างนั้นก็แน่นิ่งกองอยู่แทบเท้าของมนุษย์ป่า ฝ่ายนั้นแสยะยิ้มอย่างมีชัย พลางก้มตัวลงดึงสายสร้อยสีดำมีเม็ดลูกปัดทำจากหินแก้วสีดำลงยันต์ลวดลายอักขระโบราณสีขาวออกจากคอของอีกฝ่าย จากนั้นตีหน้าซื่อเขย่าร่างของอัศวินไร้สติเบา ๆ

“ท่านอัศวิน”

“?!!!” สมกับเป็นอัศวินเจนศึก โกรมิลได้สติทันที

“... ท่านบริกาโต้ ข้า...?”

“ท่านอัศวินเป็นอะไรรึเปล่า?”

“... ไม่เป็นไร นี่ข้าเป็นอีกแล้วรึ?”

“ใช่แล้ว ท่านอัศวินอย่าคิดมากสิ”

“เฮ้อ!” โกรมิลชันตัวลุกขึ้น “แย่จริง พยายามนึกอดีตของตนทีไร ต้องปวดหัวจนสิ้นสติทุกที น่าสมเพชจริง”

บุรุษต่างเผ่าพันธุ์ทั้งสองพากันเดินถอยห่างออกจากสมรภูมิตามบรรดาไพร่พลของตนไป แน่นอน เจ้าบริกาโต้เดินลากเท้าไปอย่างทุลักทุเล

...

“เป็นไปไม่ได้!”

สองเสียงอุทานขึ้นมาพร้อมกัน เป็นซาโต้และชิกนั่นเอง

ขณะนี้พวกเขาอยู่ในห้องประชุมยุทธวิธี เบื้องหน้า ซากิฟอนซึ่งเปลือยกายท่อนบนและกำลังให้ทหารผู้หนึ่งพันแผลที่สีข้างอยู่ กล่าวยืนยันว่า

“แต่มันก็เป็นไปแล้ว ไม่ผิดหรอก อัศวินผู้นั้นคือ โกรมิลหนึ่งในห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรแน่นอน”

ท่าไม้ตายเคนมะเรนซันและพลังลมปราณย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ได้อย่างดีอยู่แล้ว แน่นอนว่า หากอัศวินผู้หนึ่งสามารถใช้ได้ท่าไม้ตายท่าแรกที่กล่าวมานี้ได้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด เพราะเป็นท่าไม้ตายที่เหล่านักรบและอัศวินสามารถใช้ได้ทุกคน- หากมีพลังฝีมือถึงขั้น และเป็นเพียงท่าขั้นสูงของดาบเล็บมังกร (ริวโซซัน) แต่... หากจะกล่าวถึงอัศวินที่สามารถใช้พลังลมปราณได้เล่า... ทอดตาทั่วเนฟเวอร์แลนด์น่ากลัวว่าจะมีเพียงผู้เดียว คือ โกรมิล นั่นเอง

“...”

สหายอีกสองคนยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความไม่อยากเชื่อ แน่นอนตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่า สถานการณ์เลวร้ายกว่าที่คาดไว้มากนัก

“ทำไมโกรมิลไปอยู่กับกอบบลิน? นั่นไม่ต้องมาถามข้านะ เพราะข้าก็ไม่ทราบเหมือนกัน” หัวหน้ากองอัศวินแห่งนีโอกลาดรีบดักคอไว้ก่อน “เรามามองความจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าดีกว่า”

“?...” ชิกสบตากับซากิฟอนแวบหนึ่ง ก่อนที่จะเข้าใจความหมาย “ท่าน...ต้องพักอีกนานไหม”

“ก็สักระยะหนึ่งแหละ” บาดแผลที่ได้รับ และการฝืนเร่งใช้พลังเพื่อปลดปล่อยอานุภาพของ ‘ดาบผ่าพสุธาขั้นสุดยอด’ ทำให้ซากิฟอนตกในสภาวะ ‘ไม่พร้อมจะทำการรบ’ ไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง

“ก็เหลือแต่กำลังของข้าแล้วล่ะสิ” หัวหน้านินจาพูดพลางแค่นยิ้ม “และเบื้องหน้าคือ ผู้กล้าโกรมิลซะด้วย”

“อืมห์” ชิกทำท่าครุ่นคิด “พวกนั้นโดนดาบผ่าพสุธาขั้นสุดยอดไป คงไม่สามารถเข้ามาโจมตีเราได้ตลอดวันนี้ แต่...ถ้าคืนนี้ก็ไม่แน่”

“ศึกกลางคืนหรือ?” ซาโต้ย้อนถาม นัยน์ตาเริ่มเป็นประกาย พูดถึงกลางคืนหรือความมืด ย่อมเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อนินจาอย่างเขามากกว่าการสู้รบซึ่ง ๆ หน้าบนลานกว้างในเวลากลางวัน

“และฝ่ายนั้นมีกอบบลินอยู่ด้วยแน่นอนว่าพวกมันต้องกระเหี้ยนกระหือที่จะมาโจมตีเราตอนกลางคืนแน่... ได้การณ์ล่ะ!” ชิกยิ้มอย่างมั่นใจ

...

ตลอดวันนั้น ทัพฝ่ายบุกรุกไม่ได้เข้ามาโจมตีอีกเลย หากแต่เมื่อรัตติกาลมาเยือน ลานกว้างหน้าปราสาทนีโอกลาดก็ต้องต้อนรับอาคันตุกะอีกครั้งหนึ่ง

“หึ หึ หึ” เป็นเสียงหัวเราะของบริกาโต้ นายกองกอบบลิน “พวกมันคงนึกไม่ถึงสินะว่าเราจะมาปล้นป้อมมันตอนกลางคืนนี่”

แน่นอน สไตล์การรบแบบนี้เป็นของถนัดของกองโจรมืออาชีพอย่างเผ่ากอบบลิน เบื้องหลังพวกมัน ทหารอัศวินสามร้อยเศษของโกรมิลยืนคุมเชิงอยู่

“ข้าลุยก่อนละนะ ท่านอัศวิน”

มันหันไปบอกเป็นที่รู้กันว่า ข้อเสียของอัศวินอีกประการหนึ่งคือ ไม่ถนัดที่จะทำการตีป้อมปราการซึ่งต้องอาศัยการปีนกำแพง และความว่องไวในการรบอย่างมากนั่นเอง โกรมิลและบริกาโต้เองก็รู้ดีถึงความจริงข้อนี้ การเข้าตีปราสาทครั้งนี้จึงนำโดยฝ่ายกอบบลินซึ่งคล่องตัวกว่า

ยังไม่ทันที่กองกำลังกอบบลินจำนวนกว่าร้อยจะปีนกำแพงขึ้นไป ก็มีคบเพลิงหล่นร่วงลงมาจากเบื้องบน แน่นอน คบเพลิงเหล่านี้ไม่ได้ร่วงมาเอง แต่มีคนขว้างปามันลงมา

“ฮึ่ม พวกมันรู้ตัวแล้วรึ บ้าที่สุด” ผู้นำทัพกอบบลินสบถอย่างหัวเสีย ในขณะที่โกรมิลนึกในใจว่า

‘ไม่ใช่! การเคลื่อนไหวของเราถูกพวกมันคาดการณ์ไว้แล้วต่างหาก!’

“มาถึงนี่แล้ว บุกขึ้นไป!” บริกาโต้ไม่ยอมท้อถอย มันสั่งลูกน้องบุกเข้าตีปราสาททันที

“เอ้า พวกเราก็ช่วยด้วย โจมตี!” โกรมิลหันไปสั่งการไพร่พลของตนบ้าง ก้อนหินขนาดเขื่องถูกดีดขว้างจากเครื่องยิงก้อนหินที่พวกเขาประกอบขึ้นอย่างง่าย ๆ หากแต่บรรดาก้อนหินเหล่านั้น ไม่สามารถสร้างความเสียหายให้แก่กำแพงปราสาทได้แม้แต่น้อย

“ฮึ่ม!” โกรมิลคำรามในลำคออย่างขัดใจ “ธนูเพลิง!”

ไพร่พลของเขาขึ้นลูกธนูทันที ทหารอีกส่วนหนึ่งวิ่งเอาไฟจุดเข้ากับปลายลูกธนูของเพื่อนทหารเบื้องหน้าของพวกเขา เหล่ากอบบลินพาดบันไดปีนขึ้นไปบนกำแพงอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังถูกต่อต้านจากฝ่ายป้องกันไม่สามารถรุกคืบหน้าไปได้ แต่ด้วยประสบการณ์นักรบอย่างโกรมิล เขาทราบดีว่า หากเขาสั่งปล่อยธนูเพลิงนี้ขึ้นไปบนป้อมบนเชิงเทินเมื่อไหร่ แนวรับของฝ่ายตรงข้ามก็จะเกิดจุดอ่อนขึ้น เปิดทางให้ฝ่ายรุกสามารถปีนขึ้นไปได้

แต่... ยังไม่ทันที่การณ์จะเป็นดังคาด ฉับพลันนั้นเอง โกรมิลก็รู้สึกได้ถึงแสงเพลิงพิโรธที่ลุกโชนมาจากเบื้องหลัง พร้อมกับเสียงโห่ร้องที่ดังแว่วไกลมาตามสายลมยามรัตติกาล เขาหันขวับกลับไปเพื่อจะพบว่า ณ ไกลออกไป ยังตำแหน่งที่เป็นจุดตั้งฐานทัพของกองกำลังบาร์ฮารา ขณะนี้ท้องฟ้าทิศนั้นถูกฉาบด้วยสีแห่งเปลวอัคนีแดงฉาน ประกอบกับเสียงแห่งความอลหม่านที่ดังแว่วมา ย่อมเป็นที่ประจักษ์ได้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น

‘เสร็จกัน!’ หัวหน้าอัศวินอุทานในใจ ‘เราถูกปล้นค่ายเสียแล้ว!’

พวกเขานำกำลังส่วนใหญ่- ไม่สิ เกือบทั้งหมดมาในการปล้นป้อมครั้งนี้ ทิ้งไว้แต่ทหารบาดเจ็บอยู่ที่ค่ายเท่านั้น ค่ายซึ่งยุทโธปกรณ์ส่วนใหญ่ถูกทิ้งไว้ที่นั่นพร้อมกับเสบียงอาหารด้วย

“ทิ้งธนูแล้วชักดาบทุกคน วิ่งกลับไปที่ค่าย!!!”

โกรมิลตัดสินใจอย่างรวดเร็วและออกคำสั่งเด็ดขาดทันที เขาทราบดีว่าไม่มีเวลาอีกแล้ว ทหารของเขาทำตามอย่างน่าชมเชย เพียงพริบตาเดียว ทหารอัศวินก็วิ่งกลับหลังไปยังต้นเพลิงที่เห็นอยู่ลิบ ๆ

...

“อืมห์... ตัดสินใจรวดเร็ว สมกับเป็นผู้กล้าจริง ๆ”

ชายหนุ่มร่างเล็กขยับกรอบแว่นตาก่อนจะเอ่ยคำชมอย่างช้า ๆ หากพวกบาร์ฮารารีบกลับไปค่ายของตนในตอนนี้ ยังพอจะมีโอกาสหยุดยั้งความเสียหายได้บ้าง

ข้างกายของเขา หัวหน้าอัศวินในชุดลำลองกางเกงขายาวเนื้อหนา และเสื้อคอกลมแขนสั้น บริเวณใต้ร่มผ้ายังเผยให้เห็นผ้าพันแผลที่พันอยู่รอบกายท่อนทนยืนนิ่งอยู่ด้วย

ขณะนี้ทั้งสองยืนสั่งการอยู่บนเชิงเทิน และเห็นเหตุการณ์เบื้องล่างโดยตลอด

“ถ้าเจ้าซาโต้ช้าอีกนิดเดียวก็ได้เหนื่อยกันแน่ล่ะ” อัศวินบาดเจ็บเปรยขึ้น “หวุดหวิดจริง ๆ”

“นั่นสิ ดูท่าหมอนั่นไม่ยอมเสียคำพูดนะ” หนุ่มร่างเล็กหรือชิก กุนซือแห่งทัพนีโอกลาดตอบยิ้ม ๆ

“ฮะ ๆ” สหายร่างใหญ่หัวเราะบ้าง ในใจของทั้งสองนึกถึงสหายอีกคนที่กำลังออกรบอยู่ในสมรภูมิขณะนี้ พร้อมนึกถึงถ้อยคำของเขาที่ว่า “จะไม่ยอมให้ข้าศึกมีโอกาสเหยียบกำแพงปราสาทนีโอกลาดแม้แต่ก้าวเดียว”

“ฮึ พวกกอบบลินเพิ่งรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ดูสิปั่นป่วนใหญ่เชียว” ซากิฟอนชี้ให้ดูเหตุการณ์เบื้องล่าง

...

“ขยายแถวออก!”

โกรมิลตะโกนลั่นลานกว้าง ขณะนี้พวกเขาเคลื่อนที่เข้าใกล้ที่ตั้งค่ายเข้าไปทุกขณะ

‘พวกแกออกมาปล้นค่ายเราได้ แต่อย่าหวังเลยว่าจะหนีรอดกลับเข้าไปปราสาทอสูรได้ ไอ้พวกขี้ขลาด’

เป็นคำสบถในใจอย่างเดือดดาล

และแล้ว... เหมือนกับเป็นการตอบสนองต่อสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ เสียงเอะอะอลหม่านดังมาจากปีกขวา ทัพของเขาประทะเข้ากับฝ่ายข้าศึกแล้วนั่นเอง

โกรมิลสั่งแปรขบวนยุทธ์เข้าห้ำหั่นทันที หากแต่การเคลื่อนที่ของศัตรูเร็วกว่าการเคลื่อนที่ของพวกเขานัก

‘พวกนินจา!’ อา... จริงสิ เมื่อตอนกลางวันเขาเพิ่งจะฝากรอยแผลให้กับหัวหน้ากองอัศวินของนีโอกลาดไปเอง เพราะฉะนั้น ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทัพศัตรูที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้ คือ ทัพนินจาซึ่งชำนาญการรบในที่มืดเสียด้วย

การสัประยุทธดำเนินไปอยู่ชั่วครู่เท่านั้น ทัพของกอบบลินก็ตามมาทัน หากแต่กลับส่งผลตรงข้าม เมื่อทัพนินจาอาศัยความมืดของราตรีถอนกำลังหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้กองกำลังทั้งสองของบาร์ฮาราขัดตาทัพกันเอง

“บ้าที่สุด!”

โกรมิลสบถ ไม่ไกลออกไปนัก เจ้าบริกาโต้ก็กำลังสบถด้วยถ้อยคำที่รุนแรงกว่านั้นหลายเท่า

...


back index next
1