มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ปฐมศึก : ความจริงที่ปรากฏ

“ที่นี่หรือ?”

ชิกหันไปถามทหารนำทางให้แน่ใจ ก่อนจะหันหน้าไปทางประตูห้อง ร้องบอกว่า “ข้าชิกและซากิฟอนเอง ขอเข้าไปหน่อยนะ”

เขาและสหายเร่งรุดลงจากเชิงเทินตรงมาที่หน้าห้อง ๆ หนึ่งตามคำเชิญของซาโต้ซึ่งกลับเข้าสู่ปราสาทได้ก็ให้นินจาคนหนึ่งนำความไปบอกให้กุนซือรีบมาดูของฝากชิ้นใหญ่ที่ได้มาจากค่ายของศัตรู

ในห้องนั้น อันเป็นห้องพยาบาลทหารบาดเจ็บ มีผู้มาก่อนแล้วหลายราย สายตาของชิกและซากิฟอนมุ่งความสนใจไปที่ซาโต้และคนเจ็บอีกคนหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงพยาบาลหยาบ ๆ บุรุษพยาบาลผู้ซึ่งเพิ่งจะเสร็จสิ้นการปฐมพยาบาลฉุกเฉินหันมาพยักหน้ากับซาโต้และชิกจากนั้นก็ถอยห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่

“เชลยหรือ?” กุนซือหนุ่มแห่งนีโอกลาดถามขึ้น

“จะเรียกอย่างนั้นก็ได้” เป็นคำตอบจากหัวหน้านินจา “ข้าฟังเรื่องคร่าว ๆ จากเขาแล้วล่ะ แต่... เรามาฟังรายละเอียดพร้อมกันเถิด ยังไหวใช่ไหม?”

ท้ายสุดเขาหันไปถามทหารอัศวินในชุดเดียวกับกองกำลังอัศวินจากบาร์ฮาราซึ่งบัดนี้ชันตัวขึ้นนั่งบนเตียง เป็นชายหนุ่มวัยประมาณยี่สิบเศษ ใบหน้าซีดเซียว ท่อนแขนทั้งสองมีผ้าพันไว้อย่างแน่นหนาแสดงว่าได้รับบาดเจ็บ

“ข้ายังไหวขอรับ” เป็นคำกล่าวแรกจากชายผู้นั้น “พวกท่าน... ช่วยพวกของข้าฯ น้อยและ... ท่านโกรมิลด้วยเถิดขอรับ!!!”

“?!!!” “?!!!”

ชิกกับซากิฟอนหันมาสบตากันด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง ทั้งสองทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ที่ทหารรับใช้จัดเตรียมให้ ด้วยรู้สึกว่างานนี้ได้คุยกันยาวแน่

ซากิฟอนรับรู้ได้ถึงสายตาที่สหายร่างเล็กมองตน ในทำนองว่าให้ตนเป็นผู้สอบปากคำของเชลยรายนี้ในฐานะที่เป็นอัศวินด้วยกันอาจจะเข้าใจกันดีกว่า เขากระแอมเล็กน้อยก่อนถามว่า

“พวกเราอยู่ในฐานะศัตรูกัน ทำไมอยู่ ๆ ท่านต้องการให้ข้าช่วยเล่า”

“...” อีกฝ่ายนิ่งเงียบ ริมฝีปากสั่นระริกด้วยอาการที่อ่านได้ว่า เต็มไปด้วยความสับสนและไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดได้ถูก

“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ท่านเล่ามาสิ ทำไมท่านผู้กล้าโกรมิลถึงได้ไปอยู่ใต้อาณัติของพวกกอบบลินชั่วร้ายนั่น”

“เรื่องนั้น ข้าฯ น้อยก็ไม่ทราบละเอียดขอรับ ทราบแต่ว่า... ท่านโกรมิลสูญเสียความทรงจำไปตั้งนานแล้ว และก็มาอยู่กับพวกกอบบลิน ที่น่าแปลกคือ ท่านจะเชื่อฟัง..เอ้อ... ก็ไม่ถึงกับเชื่อฟังหรอกขอรับ แต่ท่านจะเชื่อทุกอย่างที่พวกกอบบลินมันพูดกรอกหูท่าน โดยเฉพาะ...คำพูดของจ่าฝูงกอบบลิน-บริโมรินนั่น ท่านโกรมิลจะเชื่อโดยไม่สงสัยเลย”

“งั้นหรือ...” ชิกเอ่ยขึ้นบ้าง “เมื่อเที่ยงวันนี้... คิดว่าคงไม่มีใครเห็นหรอกนะ แต่ข้าเห็นได้ว่า ตอนที่พวกท่านถอยทัพกลับไป เจ้าหัวหน้ากองกอบบลินคุยกับท่านโกรมิลอะไรก็ไม่ทราบ แล้วมันก็เอาสายสร้อยเส้นนึงคล้องคอท่านโกรมิล จนท่านสลบไป แต่แล้วมันก็ปลุกท่านโกรมิลขึ้นมาใหม่หน้าตาเฉย และก็ดูเหมือนว่าท่านโกรมิลจะไม่รู้เรื่องที่มันทำกับท่านเลยด้วย”

“จริงหรือขอรับ?” ทหารเชลยเบิ่งตาโพลงอย่างตื่นตะลึง ขณะที่ฝ่ายนีโอกลาดทราบเรื่องนี้จากปากของชิกเองอยู่แล้ว ในห้วงความคิดของซาโต้และซากิฟอนนึกภาพชิกกำลังยืนบนเชิงเทินและถืออุปกรณ์ที่ชิกเรียกว่า “กล้องส่องทางไกล” แนบกับดวงตาซึ่งสวมแว่นสายตาสั้นอยู่แล้วชั้นหนึ่งอย่างทุลักทุเล

กล้องส่องทางไกลอันเป็นผลผลิตจาก “วิทยาศาสตร์” ของสหพันธ์รัฐโดมนั่นเอง ทั้งอัศวินและนินจาต่างก็ทราบภูมิหลังของชิกไม่มากนัก รู้เพียงว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มาจากสหพันธ์รัฐโดมจึงไม่แปลกใจที่เขาจะมีอุปกรณ์แปลก ๆ เหล่านี้ติดตัวมามากมาย หากแต่ลึก ๆ ลงไปแล้วก็ไม่มีใครถือความสนิทสนมถามความหลังของอีกฝ่าย เพราะพวกเขาทั้งสามคน นับตั้งแต่วันที่พบกันและได้พบกับเจ้าหญิงอสูรองค์น้อย พวกเขาก็เป็นสหายต่างชาติที่ไม่สนใจความหลังของแต่ละฝ่ายแล้ว

“พวกเจ้าไม่รู้เกี่ยวกับความเป็นมาของท่านโกรมิลเลยใช่ไหม?” ซากิฟอนถามย้ำอีกที

“ขอโทษด้วย ข้าฯ น้อย...เอ้อ และพวกข้าฯ น้อยด้วย ไม่มีใครรู้ชัดเลยขอรับ”

“เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น พวกเจ้าเองล่ะ มาจากไหนกัน ทำไมมาเป็นกองทหารอัศวินภายใต้ร่มธงบาร์ฮาราได้” นี่จึงเป็นคำถามที่ฝ่ายนีโอกลาดใคร่อยากรู้นัก

“...” ดวงตาของฝ่ายถูกถามทอประกายปวดร้าว ก่อนที่จะตอบเสียงสั่นว่า “พวกข้าฯ น้อยถูกบังคับขอรับ ครอบครัวของข้าฯ น้อยถูกกักขังไว้ในหอคอยบาร์ฮารา!!!”

“!!!”

ผู้ฟังพากันตกตะลึงกับความจริงที่ตนได้ค้นพบ

“เท่าที่ข้าฯ น้อยทราบ นับแต่เจ้าบริโมรินได้ท่านโกรมิลมาอยู่ใต้คำสั่งของมันแล้ว มันก็เริ่มส้องสุมกำลัง และรวมทั้ง...กำลังอัศวินอย่างพวกข้าฯ น้อยด้วย ส่วนใหญ่ของพวกเราเป็นเพื่อน ๆ กันขอรับ และเมื่อครอบครัว หรือคนรักของเพื่อนคนหนึ่งถูกพวกกอบบลินล่อลวงหรือลักพาตัวมากักขังไว้ที่หอคอยบาร์ฮาราแล้ว พวกเราก็ถูกพวกมันหลอกใช้ ให้พาเพื่อน ๆ มาติดกับดักอีกเป็นทอด ๆ กันมา... พูดไปก็น่าละอายนัก แต่... เมื่อพวกข้าฯ น้อยเสียท่าตกเป็นเบี้ยล่างของพวกมันแล้วก็ไม่มีทางที่จะขัดขืนได้เลยขอรับ ต้องทำตามคำสั่งของมันซึ่งตอนแรกพวกข้าฯ น้อยเองก็ตกใจปนประหลาดใจที่คำสั่งของพวกมันคือ ให้พวกข้าฯ น้อยเป็นไพร่พลในสังกัดของท่านโกรมิลแต่...”

“แต่โกรมิลก็ไม่ใช่โกรมิลที่พวกท่านรู้จัก... ใช่ไหม?” ซากิฟอนเริ่มเข้าใจสถานการณ์ได้

“...”

เงียบ ไม่มีคำตอบหากแต่อาการก้มหน้านั้นเป็นการยอมรับโดยดุษฎี

“ไม่เคยมีใครคิดจะแก้ไขท่านโกรมิลหรือ?” ชิกลองถามขึ้น “หากท่านโกรมิลรู้ตัวเสียคน ข้าเชื่อว่าท่านคนเดียวก็เพียงพอจะบุกเข้าหอบาร์ฮาราเพื่อช่วยพวกตัวประกันทั้งหมดออกมาได้อยู่แล้ว”

“ป่วยการขอรับ อย่างที่บอกแล้ว ท่านโกรมิลเชื่อแต่คำของพวกกอบบลิน” น้ำเสียงอีกฝ่ายตอบอย่างขมขื่น “จะว่าไปท่านโกรมิลก็เหมือนกับเป็นปกติดีทุกอย่าง ท่านดีกับพวกเรามาก แต่ยกเว้นเรื่องที่ขัดกับที่พวกกอบบลินบอกท่านไว้นะขอรับ เพราะฉะนั้นป่วยการที่พวกเราจะไปเล่าความจริงอะไรให้ท่านฟังในตอนนี้”

...

“ดีแล้วที่เราได้ทราบความจริงดั่งนี้เสียก่อน” ชิกกล่าว

ขณะนี้พวกเขาอยู่กันตามลำพังสามสหายชาวมนุษย์ “เป็นอันว่าแนวทางยุทธศาสตร์ของเราในการรบครั้งนี้ถูกกำหนดแน่นอนตายตัวล่ะ”

“อืมห์ เอาไงก็เอา บอกตรง ๆ ข้าไม่อยากทำศึกกับพวกที่ถูกบีบบังคับแบบนี้เลย” ซาโต้พูด

“อีกสามวัน! เราจะถ่วงเวลาอีกสามวัน” ชิกกล่าวอย่างมุ่งมั่น

“แล้ว... หลังจากนั้นล่ะ” ซากิฟอนถามขึ้นบ้าง

“ถึงตอนนั้นอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ท่านเองก็คงจะฟื้นฟูกำลังพอจะออกรบอีกครั้งได้แล้ว ใช่ไหม?”

“องค์หญิงไม่มีทางกลับมาเร็วกว่านี้หรือ?”

“บอกแล้วไง ว่าถ้าองค์หญิงกลับมาเร็วแปลว่า... เธอทำลายล้างโททัสบูร์กจนเป็นซากปรักหักพังอย่างราบคาบเลย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง พวกเราก็คงยอมรับไม่ได้ ไม่ใช่หรือ?”

“เฮ้อ เอาไงก็เอาวะ ท่านกุนซือ” สุดท้ายเป็นคำพูดเชิงถอนใจของซาโต้ หากแต่ทุกคนรู้ดีว่า เขาแกล้งพูดไปเช่นนั้นเอง

...

ด้วยเหตุนี้ เมื่อทัพบาร์ฮาราเดินขบวนมาด้วยความคลั่งแค้นที่ถูกปล้นค่ายไปเมื่อคืนวาน (ด้วยความรวดเร็วในการเคลื่อนทัพของโกรมิล ทำให้สามารถกลับมาทันและหยุดยั้งความเสียหายไว้ได้ในระดับหนึ่ง) พวกเขาก็พบว่า วันนี้ หน้าปราสาทอสูร มีเพียงกองกำลังนินจากองเดียว และเบื้องหน้าของกองกำลังนินจานั้น ยืนไว้ด้วยชายหนุ่มร่างเล็กที่ขนาบข้างไว้ด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่สองเครื่อง ด้านบนมีลักษณะเป็นปล่องปากบาน หันปากปล่องมาทางด้านหน้า ซึ่งคือทางลานกว้างอันกำลังจะเป็นสมรภูมิรบนั่นเอง

“มากันแล้วหรือ ลองดูอำนาจของวิทยาศาสตร์เสียบ้าง เดินเครื่องได้!”

ชิกสั่งทหารรับใช้ที่อยู่ประจำเครื่องทั้งสอง ให้ลงมือสับคันโยกข้างเครื่องทันที เสียงดังหึ่ง ๆ ครางออกจากเครื่องทั้งสอง อีกอึดใจถัดมา ก็ปรากฏควันสีขาวพวยพุ่งออกจากปากปล่องของเครื่องจักรทั้งสอง

“ไปเลย หมอกวิทยาศาสตร์ ไปปกคลุมให้ทั่วลานกว้างนี้เสีย”

ชิกสั่งเหมือนกับควันนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างนั้นแหละ ในเวลาไม่นานนัก ทัศนวิสัยของลานกว้างนั้นก็ถูกบดบังด้วยควันสีขาว

“อะไรกันเนี่ย” เจ้าบริกาโต้โวยวายใหญ่ “พวกมันมีคาถาเรียกหมอกด้วยเหรอ มองอะไรไม่เห็นเลย”

“...” โกรมิลนิ่งคิด คาถาเรียกหมอก เป็นคาถาที่น้อยคนนักจะใช้เป็น หากแต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขานี้ ไม่น่าจะเป็นอำนาจเวทมนต์ ยิ่งเมื่อประมวลเข้ากับพลุสัญญานที่พวกนีโอกลาดใช้ในการรบเมื่อวานซืน ก็ค่อนข้างจะมั่นใจได้ว่านี่เป็นอำนาจของวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า

‘ฮึ มีทั้งอัศวินศักดิ์สิทธิ์นอกรีตจากซิลีนิก, มีนินจาจากเกาะมุโระมะจิ แล้วก็มีนักวิทยาศาสตร์จากโดมหรือ ในโลกนี้ช่างมีคนหลงผิดที่เข้ากับพวกอสูรมากมายนัก’

เขาคิดอย่างดูแคลนในใจ หากแต่ประสบการณ์ของนักรบ ทราบได้เลยว่า เขาหมดโอกาสโจมตีปราสาทนีโอกลาดในวันนี้แล้ว กองกำลังนินจาที่ยืนจังก้าอยู่หน้าปราสาทให้พวกเขาเห็นก่อนที่จะ ปล่อยหมอกมากำบังทั่วลานกว้างนี้ ย่อมเป็นสัญญานเตือนภัยได้เป็นอย่างดีว่า หากทะเล่อทะล่าเข้าไปกลางสายหมอกแล้วละก็ ย่อมต้องตกเป็นเหยื่ออันโอชะของดาวกระจายและดาบนินจากระหายเลือดเหล่านั้น แน่นอน ทั้งอัศวินและกอบบลินก็ไม่ต่างกันนักในสถานการณ์เช่นนี้

‘เสียดายจริง ที่ทัพเราไม่มีคนที่มีคาถาเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ’

ทางแก้คือ ต้องใช้คาถาเหล่านี้ เช่น คาถาเรียกลม, หรือจะเรียกฝนก็ได้ ให้มาทำลายกลุ่มหมอกเหล่านี้ไปเสีย แม้ว่าหลังจากใช้คาถาเหล่านั้นแล้ว สมรภูมิจะเป็นสมรภูมิภายใต้กระแสลมแรงหรือพายุฝนกระหน่ำก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นสภาพที่พวกเขาจะทำการรบได้ ไม่ใช่สภาพที่เสียเปรียบตกเป็นฝ่ายถูกกระทำฝ่ายเดียวเช่นนี้

“พวกเรา ถอยออกมาตั้งหลัก”

ไม่มีทางเลือก เขาสั่งทหารของตนถอยห่างออกจากลานที่ปกคลุมด้วยหมอกนั้น ห่างออกไป พวกกอบบลินก็กำลังเลียนแบบเขาเช่นกัน

...

เวลาผ่านไปสามวัน เครื่องกำเนิดหมอกของชิกยังคงทำงานอย่างซื่อสัตย์ ส่งผลให้ฝ่ายบาร์ฮาราไม่สามารถบุกโจมตีเข้ามาได้ และในวันต่อมา คือวันที่หกนับจากประทะกันครั้งแรกนั้นเอง หมอกจากเครื่องกลทั้งสองก็มีปริมาณน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งชิกบอกว่า เป็นเพราะ ‘น้ำพิษสีดำสกัด’ ใกล้หมดแล้ว อนึ่ง สำหรับคำว่า ‘น้ำพิษสีดำสกัด’ นี้ ในภายหลังเมื่อราชินีศักดิ์สิทธิ์ลิตเติลสโนว์แห่งแคว้นแพลททิเซลเวอร์ได้มาพบมันเข้า เธอเรียกมันอย่างคุ้นเคยว่า ‘น้ำมัน’ และเธอยังเรียกสิ่งที่ชาวแคว้นโดมเรียกว่า ‘น้ำพิษสีดำ’ ว่า ‘น้ำมันดิบ’

ในวันนี้เองที่กองกำลังนินจาของซาโต้คึกคักเป็นพิเศษเพราะทราบว่าจะได้รบจริงแล้ว หลังจากที่ได้พักมาหลายวัน ซึ่งแน่นอนส่วนหนึ่งของพวกเขาต้องผลัดกันเฝ้ายาม คอยกบดานอยู่กลางสายหมอกนั้น เผื่อว่าพวกบาร์ฮาราจะบ้าบิ่นบุกฝ่าเข้ามาจะได้รับมือได้ทัน แต่ฝ่ายตรงข้ามก็ดูรอบคอบและระมัดระวังผิดคาดจึงไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้ชิกวิเคราะห์ว่า น่าจะเป็นเพราะโกรมิลนั่นเอง

นอกจากพวกนินจาแล้ว ซากิฟอนซึ่งเริ่มทุเลาจากอาการบาดเจ็บก็กำลังเตรียมตัวนำทัพอัศวินออกรบเช่นกัน ที่พิเศษกว่าปกติคือ เขาสวมแว่นตาอันโตไว้ด้วย ตอนแรกที่ชิกยื่นแว่นนี้ให้หัวหน้าอัศวินก็ทำหน้าเบ้ แต่แล้วก็จำต้องยอมรับมันมาคาดไว้บนใบหน้าเมื่อชิกบอกว่า

“สวมมันซะ นี่เป็นแว่นอินฟราเรด สำหรับมองในที่มืด มันจะช่วยให้ท่านมองฝ่าสายหมอกพวกนี้ได้ดี ท่านต้องรับผิดชอบชีวิตลูกน้องของท่านอีกนะ”

แน่นอน แว่นพิเศษแบบนี้ คงไม่สามารถแจกจ่ายให้กับทหารอัศวินฝ่ายนีโอกลาดได้ครบทุกคน แต่อย่างน้อยสำหรับระดับหัวหน้าที่ต้องสั่งการรบก็ได้รับการแจกจ่ายไปบ้าง เท่าที่ชิกมีอยู่

ขบวนทัพทั้งสองฝ่ายเคลื่อนตัวเข้าหากันช้า ๆ อย่างระมัดระวังท่าทีของอีกฝ่ายหนึ่ง แรกเริ่ม ทัพฝ่ายนิโอกลาดตั้งขบวนด้วยรูปปีกหงส์กลับข้างทั้งสองกอง ฝ่ายโกรมิลร้องสั่งให้ทัพของตนตั้งขบวนปีกหงส์ (รูปขบวนที่ถูกต้อง) ทันที ขณะที่ทัพบริกาโต้ก็เลียนแบบด้วยเช่นกัน ณ จุดนี้ ฝ่ายนีโอกลาดต้องตระหนักกับความสามารถในเชิงศึกของโกรมิลอีกครั้งหนึ่ง เพราะพวกเขาทราบดีว่า การทำลายรูปขบวนปีกหงส์กลับข้างนี้ ต้องอาศัยรูปขบวนปีกหงส์นั่นเอง แสดงให้เห็นว่าระยะเวลาหยุดรบทั้งสามวันนั้น ทำให้โกรมิลได้มีเวลาคิดจนพบวิธีทำลายขบวนทัพนี้จนได้ ชิกยิงพลุสัญญานเสียง บอกให้สหายทั้งสองเปลี่ยนรูปขบวนเป็นรูปภูผาทันทีทั้งสองขบวน

บรรยากาศในสมรภูมิรบท่ามกลางหมอกบาง ๆ นั้นทวีความตึงเครียดขึ้นทุกขณะ กองกำลังทั้งสองฝ่ายอยู่ในระยะที่จะวิ่งเข้าประจันบาญห้ำหั่นกันได้แล้ว รอแต่เสียงสั่งการจากหัวหน้ากองของแต่ละฝ่ายเท่านั้น ซึ่งนายทัพทั้งสี่ก็กำลังประเมินสถานการณ์อยู่อย่างถี่ถ้วนว่าจะสั่งการอย่างไรเมื่อไรดี

ฝ่ายนีโอกลาดย่อมต้องการประกบคู่กองทัพนินจากับกองทัพอัศวินของโกรมิล ขณะที่กองกำลังอัศวินของตนเข้ารับมือกับฝูงกอบบลิน แต่... แน่นอน ฝ่ายบาร์ฮาราย่อมมีจุดประสงค์ตรงกันข้าม ด้วยเพราะฝ่ายหลังต้องการเผด็จศึกโดยเร็วนั่นเอง

ยังไม่ทันที่เสียงสั่งตะลุมบอนจะหลุดออกจากปากของนายทัพคนใดคนหนึ่ง ณ เบื้องหลังทัพของกอบบลินก็บังเกิดความอลหม่านขึ้นในบัดนั้นเอง

“ช่วยด้วย ท่านบริกาโต้!!”

กอบบลินตนหนึ่งวิ่งออกจากชายป่าตรงเข้าหาเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของมัน เนื้อตัวของผู้มาใหม่มอมแมมมีร่องรอยบาดแผลถลอกปอกเปิกเต็มร่างกาย ชุดหนังสัตว์ที่สวมใส่ก็ขาดกระรุ่งกระริ่ง

“เกิดอะไรขึ้น?”

พลทหารในกองทัพพากันระล่ำระลักถามอาคันตุกะผู้โผล่มาอย่างไม่คาดฝัน ขณะที่เจ้าบริกาโต้ซึ่งยืนอยู่ค่อนข้างจะท้าย ๆ ของกองทัพหันตัวกลับวิ่งเข้าหาผู้มาใหม่ทันทีหลังจากที่ตะโกนสั่งสมุนมือขวาของตนสั้น ๆ ว่า “เฮ้ย ฝากดูด้วย”

“มีอะไร?” บริกาโต้ตะคอกถามอย่างแสดงอำนาจทันที

...

‘เกิดอะไรขึ้น?’

ซากิฟอน, ซาโต้ และโกรมิลถามคำถามเดียวกันในใจ หากแต่ลึก ๆ ลงไป สองคนแรกนั้นมีความประหลาดใจด้วยที่กุนซือฝ่ายตนไม่ให้สัญญานใด ๆ มา เพราะตามหลักการยุทธ์แล้ว เมื่อเกิดความสับสนขึ้น- แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม- ในทัพฝ่ายอริ ย่อมเป็นโอกาสอันดีที่พึงเข้าโจมตีได้ และบัดนี้ทั้งสองคนก็พร้อมอยู่แล้วที่จะเข้าบุกตะลุยรอเพียงสัญญานคำสั่งสุดท้ายเท่านั้น ขณะที่โกรมิลเองก็เกร็งไปเช่นกันเพราะคาดว่าศัตรูน่าจะฉวยโอกาสลงมือ แต่แล้วกลับเงียบนิ่ง

...


back index next
1