มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ปฐมศึก : ยุติศึก

“ท่านบริกาโต้ บาร์ฮาราใกล้แตกแล้ว รีบกลับไปช่วยท่านบริโมรินด่วน!!!”

คำบอกเล่าที่มีอานุภาพดั่งสายฟ้าฟาดลงมากลางกระหม่อมของบริกาโต้และเหล่าไพร่พลกอบบลินที่อยู่ใกล้ส่งผลให้พวกมันตะลึงไปทันที เจ้าตัวหัวโจกได้สติก่อนเพื่อนรีบระล่ำระลักทวนถามให้แน่ใจว่าตนมิได้ฟังผิด

“อะไรนะ แกว่าใหม่ซิ!”

“ทัพเจ้าหญิงอสูร...อ้าก!!!” ไม่ทันจะได้กล่าวจบ มันก็ทะลึ่งพรวดขึ้นสุดตัวก่อนจะคว่ำหน้าลงกองกับพื้น ด้านหลังของมันปักไว้ด้วยหอกซัดด้ามดำทะมึน บริกาโต้หันขวับไปทางชายป่าเบื้องหน้าไกลออกไปทันที เพื่อจะพบว่า อัศวินชาวมนุษย์ในชุดสีดำบนหลังม้าผู้หนึ่ง พร้อมผู้ติดตามอีกสามสี่นายบนหลังม้าเช่นกัน กำลังเพ่งมองมาทางนี้

“ฮึ่ม! ไม่ทันจนได้” ชายไว้หนวด-อัศวินชุดดำสบถเสียงไม่ดังนัก หากแต่มนุษย์ป่าอย่างกอบบลินย่อมได้ยินเต็มหูทีเดียว นี่ย่อมเป็นที่ประจักษ์ได้ว่า เขาเป็นเจ้าของหอกซัดเล่มนั้นเอง

“ถอย!” ยังไม่ทันที่ฝ่ายกอบบลินจะมีปฏิกิริยาใด อาคันตุกะรายล่าสุดก็สั่งถอนตัว และแล้ว อัศวินบนหลังม้าสี่-ห้านายนั้นก็หันหัวม้ากลับหลังวิ่งหายเข้าไปในป่า

เจ้าบริกาโต้ประมวลสถานการณ์ทันที นี่หมายความว่าอะไรกัน ไพร่พลกอบบลินที่วิ่งกระเซอะกระเซิงมานี่เพื่อที่จะมาบอกข่าวมันอย่างนั้นหรือ ข่าวที่ว่า ‘บาร์ฮารากำลังถูกโจมตี’ นี่นะ แล้วพวกนั้น... เดี๋ยวก่อนพวกนั้นคือ อัศวินในสังกัดกองกำลังโรซ่าแห่งโททัสบูร์กนี่นา บริกาโต้มั่นใจว่าตัวเองจำไม่ผิดแน่ เพราะในฐานะแคว้นที่มีอาณาเขตติดกันย่อมต้องมีเหตุกระทบกระทั่งกันบ่อย ๆ สุดท้ายมันนึกถึงคำพูดก่อนสิ้นใจของผู้ส่งข่าวที่ว่า

‘ทัพเจ้าหญิงอสูร...’

“ให้ตายสิ แย่แล้ว” มันตัดสินใจทันที “พวกเราถอยทัพกลับบาร์ฮาราเดี๋ยวนี้!”

หากในสถานการณ์อื่นคงเป็นการกระทำที่โง่เขลาสิ้นดีที่จะถอยทัพต่อหน้าทัพข้าศึกที่เตรียมพร้อมประจันบาญเช่นนี้ บริกาโต้เองก็รู้แก่ใจดี แต่มันยังคงทำได้ เพราะถือดีว่า ผู้กล้าโกรมิลยืนคุมเชิงให้มันอยู่ แน่นอน ในที่สุดทัพของผู้กล้าโกรมิลก็ต้องถอนตัวตามมันมาเช่นกัน แต่ในตอนนั้น เขาจะถอนทัพมาเช่นใด จะรับการโจมตีจากฝ่ายนีโอกลาดตามหลังมาหรือไม่ ไม่ใช่ธุระที่เจ้าบริกาโต้ต้องไปคำนึงถึง

...

ซากิฟอนมองพวกกอบบลินวิ่งหน้าตั้งหายลับพ้นชายป่าเข้าไปจนหมด ก่อนที่จะพาตัวเองขึ้นมายืนแนวหน้าและมองไปที่ทัพอัศวินฝ่ายตรงข้ามซึ่งบัดนี้โกรมิลก็เดินขึ้นมาแนวหน้าเช่นกัน หากแต่ฝ่ายหลังไม่ได้หยุดที่ทัพของตนเอง กลับเดินออกมาเรื่อย ๆ จนเข้ามาในรัศมีที่สามารถมองเห็นหน้าของซากิฟอนได้ชัด ท่ามกลางหมอกควันจากอำนาจวิทยาศาสตร์ที่เริ่มคลายความหนาแน่นลงตามเวลาที่ผ่านไปและ... ตามแสงอาทิตย์ที่แรงจ้าขึ้น

“...” หัวหน้าอัศวินแห่งนีโอกลาดเดินออกไปจากทัพของตนบ้าง นัยน์ตาจับจ้องที่อัศวินไร้ความทรงจำไม่คลาคลาด ห่างออกไป เขารู้สึกได้ว่า ซาโต้พาตัวเองมาปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน

“รู้สึกว่า ศึกครั้งนี้จะต้องพักไปก่อนละนะ เจ้าอัศวินนอกรีตเอ๋ย”

“อืมห์ ก็รู้สึกจะเป็นเช่นนั้น” ซากิฟอนตอบ

“...”

“...” อัศวินผู้อ่อนวัยกว่ายืนนิ่งชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ คำพูดที่หลุดจากปากในที่สุดคือ “ท่านถอนทัพตามพวกนั้นกลับไปเถิด”

“...” โกรมิลยังนิ่งไม่ยอมพูดอะไรต่อ “หรือจะสู้กับพวกข้าสองกองทัพพร้อมกันก็ได้นะ!”

เสียงหนึ่งดังสอดแทรกขึ้นมา เป็นซาโต้นั่นเอง

“สามหาวนัก!” ผู้กล้าสวนกลับมาทันที แต่แล้วก็เค้นน้ำเสียงกล่าวต่อ “แต่... พวกเจ้าก็แน่มากจริง ๆ ที่ต้านรับทัพของพวกเราได้เพียงนี้”

“หามิได้ ข้าเกือบจะจบชีวิตด้วยน้ำมือท่านแล้ว” ซากิฟอนถ่อมตน

“...” โกรมิลมองหน้าซากิฟอนทีหนึ่ง ก่อนหันไปมองซาโต้แล้วก็กลับมามองซากิฟอนใหม่ “เอาเถิด เก็บรักษาศีรษะของเจ้าทั้งสองไว้ให้ดี ข้าจะต้องมาเยือนที่นี่อีกแน่”

“...”

ทั้งซากิฟอนและซาโต้เงียบ ไม่ได้ตอบอย่างไร แต่ขณะที่โกรมิลทำท่าจะหันกลับนั้นเอง ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางกองทัพนีโอกลาดว่า

“มิต้องลำบากท่านหรอก อัศวินผู้ไร้อดีตเอย อีกสามเดือนพวกข้าจะไปเยือนท่านเอง!”

นายทัพทั้งสามที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ต่างหันขวับไปทางต้นเสียงทันที แน่นอนว่าฝ่ายนีโอกลาดทราบดีจากน้ำเสียงนั้นอยู่แล้วว่าเป็นใคร

ในสายตาของโกรมิล ชายร่างเล็กสวมแว่นตาเดินพ้นกองกำลังทหารของนีโอกลาดออกมา ท่าทางแบบบางและคงแก่เรียนจนไม่สมกับที่จะมาปรากฏกายในสมรภูมิรบเช่นนี้เลย เขาได้แต่ถามว่า

“ท่านเป็นใคร?”

“ขอแนะนำตัว ข้าคือ ชิก ที่ปรึกษาทางการทหารขององค์หญิงฮิโระ” กุนซือหนุ่มแห่งนีโอกลาดนั่นเอง

“อืมห์ ท่านเองหรือที่อยู่เบื้องหลังการตั้งรับอันแข็งแกร่งนี้” เป็นคำชมจากใจจริงของโกรมิล และดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบกล่าวต่อว่า “หมอกนี่ก็เป็นฝีมือของท่าน ผู้มาจากสหพันธรัฐโดมสินะ”

“สายตาแหลมคมนัก” ชิกก้มศีรษะยอมรับ “ศึกในครั้งนี้ ถือว่าเสมอกันก็แล้วกัน ท่านรีบกลับไปเถิด ข้ายืนยันว่า อีกสามเดือนเราได้พบกันที่บาร์ฮาราแน่นอน”

“หมายความว่า... อืมห์ เข้าใจล่ะ” โกรมิลขยับปากจะถามย้ำเพื่อยืนยันสิ่งเขาฉุกคิดได้จากคำพูดของอีกฝ่าย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่ถาม คงทำตามที่ได้รับการเสนอแต่โดยดี “ตกลง วันนี้ข้าจะถอยทัพกลับไปตามคำของท่าน”

และนั่น คือสัญญานแห่งการสิ้นสุด ศึกโจมตีนีโอกลาดของทัพบาร์ฮารา

...

“โผล่มาจากไหนนี่ เร็วจริง” หัวหน้ากองนินจาเอ่ยถามขึ้น หลังจากเฝ้ามองดูทัพอัศวินผู้บุกรุกถอนทัพกลับไปแล้ว

“ก็วิ่งลงมาจากบนเชิงเทินนั่นแหละ” กุนซือร่างเล็กตอบ “เป็นไง พอจะเป็นนินจาได้ไหม” ว่าแล้วก็ยักคิ้วแผลบ

“หึ หึ” อีกฝ่ายไม่ตอบ

ชิกบอกให้สหายทั้งสองสั่งให้ทหารฝ่ายตนกลับเข้าไปในปราสาท ส่วนตัวเขาเองกลับจ้องมองไปทางชายป่าที่อยู่ลิบ ๆ นั้น

เมื่อทหารทั้งสองกองเดินกลับเข้าไปในประตูปราสาทหมดแล้ว หัวหน้ากองทั้งสองก็เดินมาสมทบกับกุนซือหนุ่มอีกครั้ง

“อืมห์ น่าจะมาได้แล้วนะ” ชายสวมแว่นเปรยขึ้นลอย ๆ

“มาแล้วมั้ง” นินจาตอบ เขาได้ยินเสียงของผู้ที่กำลังเดินทางมาก่อนสหายทั้งสอง

อีกอึดใจเดียว ม้าห้าตัวก็นำพาอัศวินจำนวนเท่ากันวิ่งออกจากแนวชายป่ามาหยุดที่ตรงหน้าของสามสหาย

ผู้นำหน้าคืออัศวินหนวดชุดดำที่เป็นผู้ซัดหอกปลิดชีพกอบบลินที่วิ่งมาส่งข่าวเมื่อสักครู่นั่นเอง

“พวกท่านคือกุนซือชิก และนายกองซากิฟอนและซาโต้ใช่หรือไม่?” ผู้มาใหม่เอ่ยถามหลังจากกระโดดลงจากหลังม้ามายืนอยู่เบื้องหน้าบุคคลทั้งสามแล้ว

“ถูกต้องแล้ว” ชิกเป็นผู้ตอบ “ท่านคือ...?”

“ขอแสดงความนับถือ องค์หญิงมองคนไม่ผิดจริง ๆ” ผู้มาใหม่ตอบ “ข้าคือ ลูเซย์เดอร์ อดีตอัศวินแห่งทัพโรซ่า ปัจจุบันเป็นขุนพลภายใต้อาณัติขององค์หญิงฮิโระ”

“โอ แสดงว่าองค์หญิง...”

ชิกทั้งสามก้มศีรษะทักทายตอบ โดยชิกยังคงเป็นตัวแทนเจรจากับผู้มาใหม่ต่อไป

“นางชนะพวกเรา...ชนะอย่างราบคาบทีเดียว” ลูเซย์เดอร์ตอบพลางแค่นยิ้ม “คาดว่าวันมะรืนนี้ นางจะเดินทางกลับมาพร้อมกับกองทัพอสูรของนาง ทุกอย่างเป็นไปตามที่นางคาดการณ์และวางแผนไว้จริง ๆ”

“เอ่อ ขอความกรุณาท่านช่วยให้รายละเอียดพวกข้าหน่อยจักได้ไหม?” ซากิฟอนอดไม่ได้ต้องถามขึ้น

“แน่นอนอยู่แล้ว พ่อหนุ่มเอ๋ย”

“พวกเราเดินไปคุยไปเถิด” ชิกสรุป พลางชักชวนให้พวกที่อยู่ด้วยกันทั้งหมดรวมทั้งผู้มาใหม่เดินมุ่งหน้ากลับเข้าไปยังปราสาทนีโอกลาด

...

จากคำบอกเล่าของลูเซย์เดอร์ พวกของชิกได้ทราบอย่างตื่นตะลึงว่า องค์หญิงของพวกเขาตีโททัสบูร์กแตกในวันเดียว จากนั้นก็สามารถเกลี้ยกล่อมให้ศัตรูเดิมคือลูเซย์เดอร์กลับใจมาพวกได้ พร้อมกับได้รับทราบข่าวการเดินทัพของบาร์ฮารารวมทั้งเรื่องโกรมิลด้วย (แต่ยังไม่ทราบละเอียดถึงเรื่องที่โกรมิลเสียความทรงจำ) และการณ์ก็เป็นไปตามที่ชิกคาดไว้คือ เธอไม่สามารถปลีกตัวจากโททัสบูร์กได้ แต่ก็ได้วางแผนลับเฉพาะที่จะทำให้ทัพบาร์ฮาราต้องถอนตัวกลับจากนีโอกลาดเอง นั่นคือ การสร้างสถานการณ์ให้เชลยชาวกอบบลินที่อยู่ในคุกของโททัสบูร์กเข้าใจผิดว่า ทัพผสมของนีโอกลาดและโททัสบูร์กบุกไปตีบาร์ฮาราและจวนจะสำเร็จอยู่แล้ว โดยฉวยโอกาสที่กองกำลังส่วนใหญ่ของบาร์ฮารากำลังบุกไปตีนีโอกลาดนั้นเอง จากนั้นก็ทำทีเปิดโอกาสให้เชลยเหล่านั้นแหกคุกหนีไปได้เนื่องจากทหารในโททัสบูร์กออกรบกันหมด แน่นอน พวกเชลยเลือกที่จะหนีไปขอความช่วยเหลือจากกองทัพของตนที่กำลังตีนีโอกลาด มากกว่าจะหนีกลับไปบ้านเกิดของตน

ระหว่างทางเชลยถูกตามล่าไปได้ทีละตนสองตน จนเหลือเฉพาะตนสุดท้ายที่มาถึงกองทัพของบริกาโต้ได้ พอมันมีโอกาสได้ถ่ายทอดข่าวลวง (ซึ่งมันเข้าใจว่าเป็นความจริง) ก็เป็นหน้าที่ของลูเซย์เดอร์ต้องปลิดชีพมันเสียก่อนจะเปิดโอกาสให้บริกาโต้ได้มีโอกาสซักถามจนเกิดพิรุธได้

แผนนี้สำเร็จได้ด้วยการวางแผนและประมวลสถานการณ์อย่างเหนือชั้นของเจ้าหญิงอสูรเอง รวมทั้งการอาศัยธรรมชาติของชาวกอบบลินที่เป็นพวกมีเล่ห์อย่างตรงไปตรงมา ย่อมไม่ทันคิดยอกย้อนจับผิดในข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของข่าวลวงที่ฝ่ายทัพอสูรใหม่สร้างขึ้น อย่างไรก็ตาม แผนนี้ก็กินเวลาห้าวันกว่าที่จะจัดให้ข่าวลวงนี้ถ่ายทอดมาถึงหูของบริกาโต้และนำไปสู่การถอยทัพในที่สุด ก่อนหน้านั้นย่อมต้องเป็นความรับผิดชอบของสามสหายที่จะยันทัพที่นำโดยผู้กล้าโกรมิลไว้ให้ได้

...

เดือนสาม ปีอสุรศักราชที่ 997 ข่าวก็แพร่สะพัดไปทั่วเนฟเวอร์แลนด์ว่า ทัพอสูรใหม่กรีฑาเข้าตีโททัสบูร์กแตกในวันเดียว รายละเอียดของข่าวนี้มีค่อนข้างละเอียดเนื่องจากแหล่งข่าวคือ อดีตทหารและพลเรือนของโททัสบูร์กที่ตัดสินใจอพยพออกจากแคว้นเดิมของตนในวันที่โททัสบูร์กแตกนั่นเอง

ข่าวนี้ย่อมนำความตระหนกมาสู่มวลมนุษย์อย่างหาที่เปรียบมิได้ เพราะการตีโททัสบูร์กอันเป็นดินแดนล่าสุดที่มนุษย์ช่วงชิงมาจากร่มธงของทัพจอมราชันย์อสูรนั้น ย่อมเป็นการประกาศสงครามกับมวลมนุษย์ซึ่ง ๆ หน้านั่นเอง

พร้อม ๆ กันกับข่าวการล่มสลายของกองกำลังอัศวินโรซ่า ข่าวการตั้งรับที่นีโอกลาดก็กระจายไปทั่วเช่นกัน หากด้วยรายละเอียดที่น้อยกว่าข่าวแรกมากนัก ทราบเพียงว่า ทัพของกอบบลินจำนวนกว่าหกร้อยไม่สามารถตีนีโอกลาดให้แตกได้ทั้งที่ฝ่ายรับมีกำลังน้อยกว่ากันถึงสี่เท่า และสุดท้ายก็ต้องเป็นฝ่ายล่าถอยเสียเอง แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งทรงพลานุภาพของทัพอสูรใหม่ทั้งในแง่รุกและรับ แน่นอน รายละเอียดของการศึกที่นีโอกลาดครั้งนี้ไม่มีโอกาสหลุดลอดไปถึงคนภายนอกแคว้นทั้งสอง รวมทั้งเรื่องของผู้กล้าโกรมิลด้วย

ขณะที่บรรดาแคว้นต่าง ๆ ในเนฟเวอร์แลนด์อลหม่านด้วยการเตรียมรับมือกับสถานการณ์สงครามที่ส่อเค้าจะคุกรุ่นและลามไปทั่วผืนปฐพีนี้เอง สิ่งที่เจ้าหญิงฮิโระเคยทำนายไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ ก็ คงจะชัดเจนขึ้นเอง” หลังจากจบปฐมศึกของเธอแล้วนั้นก็เริ่มเป็นความจริง

เดือนสี่ ปีเดียวกัน ปราสาทนีโอกลาดก็ได้มีโอกาสต้อนรับอาคันตุกะสองคณะ คือ ท่านหญิงเมย์มีแห่งราชวงศ์แวมไพร์ซึ่งเดินทางมาพร้อมกับขุนพลคู่ใจ- คลาอุสจากแคว้นเชมบะ และขุนพลปิศาจสเกลต้าจากแคว้นไกเซอร์โอนในฐานะทูตจากเจ้าครองแคว้นคืออัศวินดำไกเซอร์

...


back index next
1