มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ปฐมศึก (1)

“สรุปว่า เป้าหมายแรกของเราคือ แคว้นโททัสบูร์ก… ใช่ไหม?” ฮิโระถาม

ขณะนี้ บรรดาผู้นำระดับสูงของนีโอกลาด รวมทั้งสามสหายต่างเผ่าพันธุ์กำลังอยู่ในห้องประชุมยุทธศาสตร์ ทุกคนนั่งเรียงรายตามที่นั่งรอบโต๊ะยาว มีฮิโระนั่งเด่นเป็นประธานอยู่หัวโต๊ะ กลางโต๊ะมีแผนที่ขนาดใหญ่ของทวีปเนฟเวอร์แลนด์จัดวางอยู่ จากแผนที่นั้นทำให้เห็นได้ว่า แคว้นนีโอกลาดตั้งอยู่ทางสุดขอบทวีปด้านตะวันตกเฉียงเหนือ มีแคว้นที่มีอาณาเขตติดกันอยู่เพียงสองแคว้นคือ ทางตะวันออกเฉียงเหนือจรดแคว้นโททัสบูร์ก และทางตะวันออกจรดแคว้นบาร์ฮารา

“ครับ องค์หญิง” ชิก ในฐานะเสนาธิการใหญ่แห่งแคว้นนีโอกลาดเป็นผู้ตอบ “อย่างที่ได้บรรยายไปเมื่อครู่นี้ว่า โททัสบูร์กมีกำลังอ่อนแอกว่าบาร์ฮาราอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้จำนวนแม่ทัพที่สามารถคุมทัพใหญ่ได้ก็มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น ในขณะที่ทางบาร์ฮารา มีแม่ทัพสามคน”

การศึกในเนฟเวอร์แลนด์ จำนวนทหารมีความสำคัญน้อยกว่าจำนวนแม่ทัพ เพราะพลังยุทธ—หรือพลังเวทย์ในบางกรณี---เป็นปัจจัยสำคัญที่จะตัดสินผลแพ้ชนะของการศึกนั้นได้ จำนวนแม่ทัพย่อมหมายถึง จำนวนครั้งที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถใช้ “ท่าไม้ตาย” อันร้ายกาจได้นั่นเอง

“ฮึ เจ้าพวกกอบบลินที่กลับกลอกพวกมันลืมคำสัตย์ปฏิญานที่ได้มอบให้พ่อข้าไปแล้วนะสิ” ฮิโระทำเสียงฮึดฮัดอย่างที่เธอชอบทำเวลาไม่สบอารมณ์

ทั้งนี้เธอกำลังหมายถึงแคว้นบาร์ฮาราซึ่งเป็นถิ่นฐานของพวกมนุษย์ป่ากอบบลิน สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์หนึ่งที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ แต่มีนิสัยดุร้าย ชอบอาศัยตามท้องทุ่งและที่สำคัญเป็นศัตรูไม้ เบื่อไม้เมากับมนุษย์ ครั้งหนึ่งบริโมรินจ่าฝูงของกอบบลินเคยนำทัพเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อจอมราชันย์อสูรจาเนส แต่อย่างไรก็ตามจาเนสไม่ได้ให้ความสำคัญกับบริโมรินมากไปกว่าแม่ทัพนายกองคนหนึ่ง ทั้งนี้เมื่อเทียบกับห้าขุนพลแห่งทัพอสูรแล้วก็นับว่าเป็นการปฏิบัติที่สมควรอยู่

“ตามข่าวของเรา พวกมันกำลังส้องสุมกำลังเพื่อคิดการใหญ่ซะด้วย” ซาโต้หัวหน้านินจา ซึ่งทำหน้าที่เป็นกองสอดแนมด้วยกล่าวเสริมขึ้น

“ใจจริงเราคิดจะบุกไปสั่งสอนเจ้าพวกทรยศก่อน แต่เอาเถิดถ้าพวกเจ้าเห็นพร้องกันว่าควรบุกโททัสบูร์กก่อนก็เอาตามนั้นก็ได้” ฮิโระตัดสินใจ

ชิกพยักหน้ารับคำของเจ้าชีวิตของเขา แล้วหันไปสบตากับเสนาบดีอสูรตนหนึ่ง ฝ่ายนั้นรู้หน้าที่ดีรีบกล่าวเสริมขึ้นว่า

“พวกข้าพเจ้าก็เข้าใจองค์หญิงขอรับ แต่ในแง่ที่เราจะประกาศสงครามกับมนุษย์ การบุกยึดโททัสบูร์กเป็นแคว้นแรกย่อมมีความหมายใหญ่หลวงนัก เพราะมันเป็นดินแดนสุดท้ายที่เผ่าพันธุ์อสูรเสียให้กับพวกมนุษย์ไป”

เขาหมายถึงเหตุการณ์ในศึกธรรมะ-อสูรเมื่อปี 985

“ฮึ” ฮิโระทำเสียงในลำคออีก คราวนี้ไม่มีใครในห้องนั้นเดาออกว่า เธอกำลังคิดอะไรอยู่

“และนี่ถือเป็นการให้โอกาสเจ้าพวกคนทรยศด้วย หากพวกมันยังคงหลงตัวเอง คิดอาจหาญจะตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ต่อไปละก็ ถึงตอนนั้นเราค่อยให้บทเรียนพวกมันอย่างสาสมก็ยังไม่สายขอรับองค์หญิง” เสนาบดีอสูรกล่าวต่อ

“หึ ๆ” ฮิโระหัวเราะเบา ๆ “ไม่ต้องพูดยาวเหมือนกับจะเกลี้ยกล่อมเราอย่างนั้นหรอก เราตกลงใจตามที่พวกเจ้าเสนอมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

เสนาบดีอสูรทำหน้ากระดากก้มหน้าพึมพำขออภัย ขณะที่ชิกเองก็หัวเราะเก้อ ๆ

“เอาล่ะ ทีนี้ก็มาถึงเรื่องจัดทัพล่ะ” ฮิโระพูดต่อ “เราจะคุมทัพใหญ่ทั้งแปดร้อยห้าสิบไปเอง”

“องค์หญิง!” “เจ้าหญิง!” สองเสียงดังขึ้นประสานกัน เป็นเสียงของซากิฟอนกับเสนาบดีอสูร

“ช่วยไม่ได้ ตอนนี้อสูรชั้นสูงที่สามารถเป็นแม่ทัพได้ไม่มีเลยนี่” ฮิโระแค่นหัวเราะ “เพราะยุทธนาวีเมื่อปีก่อนแท้ ๆ เชียว เพราะฉะนั้นเราจะนำทัพไปเอง”

“แต่ก็น่าจะพาพวกข้าไปบ้าง องค์หญิงคนเดียว…”

“เราคนเดียวแล้วทำไมรึ ซากิฟอน” ฮิโระย้อนถาม

หัวหน้าอัศวินอึ้งไป ฝ่ายผู้สูงศักดิ์กว่าเอ่ยต่อว่า

“พวกเจ้าไม่ต้องห่วง เตรียมฉลองข่าวดีได้เลย แต่… พวกเจ้าก็มีงานสำคัญเหมือนกันนะ”

“???” ซากิฟอนกับซาโต้หันขวับไปทางเจ้าหญิงอสูรทันที มีเพียงชิกที่ยิ้มอย่างรู้ทันพูดขึ้นเสียงเรียบ ๆ ว่า

“งานป้องกันปราสาทใช่ไหมครับ”

“สมกับเป็นชิก” ฮิโระตอบ หัวหน้านินจาและหัวหน้าอัศวินตาเบิ่งโพลงทันทีเมื่อเข้าใจความหมาย

“ในระหว่างที่เรายกทัพใหญ่ไปตีแคว้นโททัสบูร์ก ไม่มีหลักประกันอะไรนี่ว่าทางบาร์ฮาราจะไม่ฉวยโอกาสบุกมา” ฮิโระอธิบายต่อ “และหากเป็นเช่นนั้นจริง แน่นอนว่า เจ้าคนทรยศบริโมรินจะต้องชดใช้ความผิดของมันด้วยชีวิต … แต่นั่นจะต้องเป็นหลังจากที่พวกเจ้าป้องกันปราสาทไว้ได้จนกว่าเราจะเสร็จศึกกลับจากโททัสบูร์กนะ”

หยุดนิดหนึ่งจึงกล่าวสำทับต่อว่า “ว่าไง ทำได้ไหมล่ะ ดีไม่ดีนี่เป็นงานที่ยากกว่างานของเราเสียอีก”

กำลังของนีโอกลาดที่เหลืออยู่มีเพียงกองนินจาหนึ่งร้อยคนและกองอัศวินห้าสิบคนเท่านั้น รวมกำลังพลเรือนอย่างชิกและบรรดาอสูรอื่นอีกก็คงเป็นกำลังรบขึ้นมาได้ไม่มาก

“ไม่ต้องมายั่วยุพวกข้าหรอก ข้ารับรองว่ามีปราสาทนีโอกลาดให้องค์หญิงกลับมาจัดงานฉลองชัยชนะแน่นอน” ซาโต้ตอบอย่างหนักแน่น

“หน้าปราสาทนีโอกลาดเป็นลานกว้าง” ซากิฟอนเสริมขึ้น “ซึ่งเป็นสมรภูมิที่พวกอัศวินอย่างข้าถนัดที่สุดซะด้วย ไอ้การได้สู้กันบนที่แจ้งซึ่ง ๆ หน้านี่”

“อย่างที่ซากิฟอนว่าครับองค์หญิง” ชิกเสริมขึ้น “อัศวินห้าสิบคนหากได้รบในที่แจ้งก็มีค่าเหมือนกับอัศวินร้อยคนนั่นเอง รวมกับนินจาอีกร้อยคน คงพอที่จะรับมือข้าศึกได้ระยะหนึ่ง หากคับขันจริง พวกเรายังสามารถตั้งรับในปราสาทได้อีก ป้อมกำแพงของนีโอกลาดแข็งแรงพอที่รับมือข้าศึกจำนวนครึ่งพันได้สบายอยู่แล้ว”

กำลังของบาร์ฮารามีเท่าไรไม่ทราบ แต่คาดการณ์ไว้ว่าไม่เกินเจ็ดร้อยอย่างไรก็ตาม บริโมรินก็คงไม่โง่หรือบ้าบิ่นถึงขนาดจะยกกำลังมาหมดโดยไม่เหลือกำลังไว้ป้องกันที่มั่นของแคว้นตนเอง ทั้งนี้แคว้นบาร์ฮารานอกจากจะติดกับนีโอกลาดด้านตะวันตก ติดโททัสบูร์กด้านเหนือแล้ว ทางด้านตะวันออกยังติดกับแคว้นซิกโรด และทางใต้ติดกับแคว้นซิลเวสเตอร์ ซึ่งทั้งสามแคว้นหลังนี้ล้วนแต่เป็นเขตแดนของมนุษย์ แน่นอนว่าอยู่ในฐานะศัตรูกับพวกกอบบลินทั้งสิ้น ข้อมูลทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในรายงานที่ชิกรายงานสรุปให้กับที่ประชุมฟังก่อนหน้านี้ไปแล้ว

“เป็นอันว่าตกลงตามนี้” ฮิโระสรุป “เรื่องต่อไปที่เราจะพิจารณากันในวันนี้ด้วยคือ เรื่องของสัมพันธภาพทางการทูต”

“ครับ ตอนนี้แคว้นนีโอกลาดเรามีการเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นเชมบะเท่านั้น องค์หญิงมีดำริว่าจะผูกสัมพันธมิตรกับแคว้นใดอีกไหมครับ” ชิกรายงานแล้วถามต่อ

“แคว้นของแวมไพร์หรือ” ฮิโระทวนคำ พลางนึกในใจว่า ‘เมย์มี ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้างนะ แล้วก็…คลาอุสด้วย’

แต่ที่พูดออกมาคือ “ที่จริงแล้ว ไบอาตที่ 13 เป็นขุนพลของท่านพ่อ การที่เขาจะให้ความร่วมมือกับเราก็สมควรอยู่ แต่… อืมห์ เอาเถิด ยังไม่ใช่เวลา”

“พูดถึงห้าขุนพลทัพอสูร ตอนนี้เหลือเพียงสองคนเท่านั้นคือ ไบอาตที่ 13 กับรุโดร่า” เสนาบดีอสูรกล่าวขึ้นลอย ๆ

“รุโดร่าหรือ ท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย” ฮิโระแสดงอาการรังเกียจเจ้าของนามนั้นอย่างออกนอกหน้า ในห้วงความคิดของเธอนึกถึงลักษณะเด่นของรุโดร่า นายทวารแห่งยมโลก ซึ่งมีดวงตาดวงที่สามปรากฏอยู่ที่หน้าผาก “เงียบหายไปตั้งแต่ปีก่อนแล้ว”

“จะลองส่งทูตไปหยั่งเชิงไหมขอรับ” เสนาบดีอสูรถามต่อ

“… ไม่ล่ะ” ฮิโระสรุป “ช้าเร็วยังไงก็ต้องพบกับมันอยู่แล้ว”

“แล้วก็พวกกองกำลังที่เคยเป็นพวกจอมราชันย์อสูรมาก่อนละครับ” ชิกถามต่อ “มีทัพของอัศวินดำไกเซอร์กับกองกำลังเอลฟ์ดำ”

“…เอลฟ์ดำคงกำลังเตรียมรบพุ่งอยู่กับพวกเอลฟ์นะแหละ” ฮิโระวิเคราะห์ “ส่วนไกเซอร์นั้น… ไม่รู้สิ อ่านไม่ออกจริง ๆ เอาไว้รอข่าวจากเจ้าสเกลต้าก็แล้วกัน”

“สเกลต้าหรือ?” เสนาบดีอสูรทวนคำ “เงียบหายไปจนคิดว่าแปรพักตร์ไปเป็นพวกไกเซอร์จริง ๆ แล้วเสียอีก”

“นั่นคงต้องคอยดูกันต่อไป หลังจากเราชนะศึกแรกแล้ว สิ่งต่าง ๆ หลาย ๆ อย่างก็คงจะชัดเจนขึ้นมาเองแหละ”

ฮิโระสรุป และนั่นเป็นการปิดประชุมยุทธศาสตร์ในครั้งนี้นั่นเอง

และคำว่า ‘สิ่งต่าง ๆ หลาย ๆ อย่างก็คงจะชัดเจนขึ้นมาเองแหละ’ นั้น ก็กลายเป็นความจริงขึ้นในอีกสองเดือนให้หลัง

…


back index next
1