มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ปฐมศึก (2)

“คิดว่าไงบ้าง”

ซาโต้เอ่ยถามสหายอีกสองคนซึ่งมีรูปร่างผิดแผกกันลิบลับ หนึ่งสูงใหญ่อีกหนึ่งสันทัด ขณะนี้ทั้งสามเดินอยู่ในปราสาทนีโอกลาดมุ่งหน้าไปยังลานฝึกทหารซึ่งมีกองกำลังของอัศวินและ นินจากำลังฝึกซ้อมรบกันอยู่

“คงไม่มีปัญหา องค์หญิงปรีชาสามารถกว่าที่พวกเราคิดนัก” ชิกตอบ “ที่จริงเธอเป็นทั้งเสนาธิการ ทั้งแม่ทัพ ทั้งเจ้าครองแคว้นแล้วก็นักการทูตได้ในคนเดียวเลยด้วยซ้ำ ไม่ต้องมาตั้งข้าให้เป็นผู้ช่วยในสองตำแหน่งเลย”

เขาหมายถึงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการทหารและการราชการภายใน ทั้งนี้เนื่องจากยังไม่มีเสนาบดีอสูรผู้ดูแลด้านการต่างประเทศโดยตรง ชิกกับเสนาบดีอสูรอีกผู้หนึ่งจึงช่วยกันดูแลด้านนี้ ไปด้วยพลาง ๆ ก่อน

“เรื่องนั้นข้าเห็นด้วย แต่อย่างไรก็ตามนี่เป็นศึกแรกขององค์หญิงนะ” ซากิฟอนเอ่ยขัดขึ้น “จะให้ไปคนเดียวเลยหรือ อย่างน้อยเอาเจ้าชิกไปเป็นกุนซือด้วยก็ยังดี การสงครามกับการฆ่าฟันกันในหอคอยสเปกตรัลน่ะมันเทียบกันไม่ได้หรอก”

“เป็นห่วงเป็นไยเสียจริ๊ง” ซาโต้ประชด แต่สีหน้าไม่ได้จริงจังนัก “ห่วงพวกเราเองจะดีกว่า มีกำลังแค่ร้อยห้าสิบนี่จะไหวรึเปล่า ถึงแม้เจ้าชิกบอกว่าให้ตั้งรับในปราสาทได้ก็เถอะ ตามประวัติศาสตร์ของนีโอกลาดไม่เคยยอมให้ใครมาเหยียบย่างบนกำแพงปราสาทนะ”

“ชิชะ มาอยู่เมืองอสูรได้ไม่ทันจะสามปีทำตัวอย่างกับว่าเป็นเจ้าของที่นี่เสียเต็มประดาอย่างนั้นแหละ” อัศวินหนุ่มยิงฟันขาว แล้วแขวะเข้าให้

“พอทีเถอะสองคน” ชิกรีบปราม “ข้าไม่ได้มองแค่การศึกในสัปดาห์นี้หรอก ข้ามองเลยไปถึงครั้งหน้าแล้วล่ะ พูดกันตรง ๆ นะ”

“เอ๊ะ!” สองเสียงอุทานขึ้นพร้อมกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นอัศวินกับนินจานั่นเอง

“หลังจากที่เราผนวกแคว้นโททัสบูร์กกับบาร์ฮาราเข้ากับเราแล้ว เป้าหมายต่อไปจะทำอย่างไร นี่จึงจะเป็นเรื่องใหญ่ล่ะ”

“…”

“…ถึงตอนนั้น” ซาโต้พูดพลางใช้มือลูบคางอย่างตรึกตรอง “ก็เท่ากับว่าเรามีตัวเลือกเป็นสามตัว… ก็เท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ แคว้นนาฮารี, ซิกโรดแล้วก็ซิลเวสเตอร์” ชิกเสริม “แต่มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ เพราะทั้งสามแคว้นเป็นแคว้นของมนุษย์เหมือนกันและที่สำคัญ ครั้งหนึ่งในศึกธรรมะ-อสูร ราชากิวฟิ, ราชาซิกมาและราชาแห่งซิลเวสเตอร์เคยเป็นพันธมิตรร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาก่อน…ถึงแม้ว่าตอนนี้สองคนหลังจะตายไปแล้วก็ตามเถอะเจ้าครองแคว้นคนใหม่ของทั้งสองแห่งก็เป็นทายาท ของเจ้าครองแคว้นคนเดิม” ชิกหมายถึง ราชากิวฟิที่ 2 และราชินีมิวรา

“เรามีสิทธิ์โดนรุม ว่างั้นเถอะ” ซาโต้สรุป

“ข้าไม่ได้มองประเด็นนั้นหรอก เพียงแต่เสนอว่าหากเราจะแผ่แนวรบไปทุกทิศทุกทางย่อมมีแต่เสียเปรียบ นอกเสียจากว่าเราจะสามารถหาแม่ทัพคนใหม่ ๆ พร้อมกับกำลังพลเข้ามาเสริมได้ทันนะ” ชิกเฉลย “แต่ความเห็นของข้าก็คือ เราคงจะหวังในประเด็นดังกล่าวไม่ได้เพราะฉะนั้นข้าเสนอว่าเราควรจะกำหนดแนวรบเพียงทิศทางเดียวไปเลย ว่าจะไปทางตะวันตก หรือจะลงทางใต้”

“ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของท่าน ท่านอยากให้ลงทางใต้ก่อนใช่ไหมล่ะ” ซากิฟอนาม

“ซึ่งมันควรจะตรงกับความเห็น ‘ส่วนตัว’ ของท่านด้วยใช่ไหมล่ะ” เป็นคำตอบย้อนกลับของชิก

“อย่างนี้นี่เอง อุตส่าห์เสียเวลาพูดอ้อมค้อมมาตั้งนาน” ซาโต้ส่ายหน้า “แล้วถ้าความเห็น ‘ส่วนรวม’ ล่ะ?”

“ความเห็นซึ่งสรุปกลั่นกรองออกมาจากเหตุและผลบนพื้นฐานของข้อมูลที่ครบทุกด้านเหรอ” ชิกทำท่าทางมั่นอกมั่นใจเต็มประดา แต่แล้วก็พูดต่อหน้าตาเฉยว่า

“ยังไม่มีหรอกของพรรณนั้นน่ะ”

“อ้าว!” “อุวะ” สหายทั้งสองอุทานพร้อมกันอย่างผิดหวัง

“แต่ถ้าเป็นความเห็น ‘ส่วนตัว’ ขององค์หญิง เธอคงอยากไปทางตะวันออก ไปให้ถึงแคว้นอิปซิลอยเออร์เลย หรือถ้าไปถึงมุโระมะจิได้ยิ่งดี”

“มุโระมะจิหรือ” ซาโต้ทวนคำ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าขอบายว่ะ ถ้าให้ไปมุโระมะจิอีก ข้าขอสนับสนุนให้ไปทางใต้ดีกว่า”

“นั่นก็ความเห็น ‘ส่วนตัว’ นะซาโต้ อย่างไรก็ตามคนตัดสินใจขั้นสุดท้ายคือองค์หญิงนั่นแหละ ซึ่งเธอจะไม่ตัดสินใจผิดหรอก เชื่อเถอะ” ชิกสรุปอย่างมั่นใจ เขาเชื่อว่าเขาเลือกนายไม่ผิด

“พูดแล้วก็นึกขึ้นได้” หัวหน้านินจาหันขวับไปจ้องเสนาธิการทหาร “ที่พูดมาทั้งหมดนี่พูดกับองค์หญิงมาแล้วรึยัง”

“จะว่ายังก็ยังนะ” หนุ่มร่างเล็กตอบ พลางเอามือขยับแว่นตากรอบสีดำที่สวมอยู่ “เพียงแต่องค์หญิงเปรยไว้ว่า ต้องถนอมกำลังพลไว้ให้มากที่สุด ก็เท่านั้นเอง”

“เท่านั้นก็พอแล้ว” ซาโต้พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วก็ตัดบทการสนทนาด้วยการตรงดิ่งเข้าไปสมทบกับลูกน้องของตนที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ เสียงโหวกเหวกโวยวายของซาโต้ดังแว่วมาเป็นระยะ

“ข้าก็ขอตัวล่ะ” ซากิฟอนแยกตัวไปทางเหล่าอัศวินบ้าง

เวลาขณะนั้นคือ เดือนสอง ปีอสุรศักราชที่ 997

…

เดือนสามปีเดียวกัน ทัพอสูรสายเลือดใหม่ หรือที่ภายหลังเรียกกันติดปากว่า ‘ทัพอสูรใหม่’ ก็เคลื่อนพลอันเกรียงไกรออกจากปราสาทนีโอกลาดตรงไปยังแคว้นโททัสบูร์ก หากเทียบกับทัพจอมราชันย์อสูรในอดีต กองทัพผีโครงกระดูกสเกลตันจำนวน 850 ตนนั้นย่อมไม่อาจจัดว่า ‘เกรียงไกร’ ได้ หากแต่สภาพของเนฟเวอร์แลนด์หลังจากผ่านช่วงเวลาของสงครามอันยาวนานมา และมีการแตกแยกดินแดนเป็นแคว้นเล็ก ๆ ถึงสี่สิบแคว้น (ข้อมูล ณ ขณะนั้น) แล้ว โอกาสที่แม่ทัพคนหนึ่งจะมีกำลังพลถึง 850 นั้นนับว่าน้อยมาก ยิ่งเมื่อมาเห็นสภาพอันพรั่งพร้อมในการเดินแถว ความเข้มแข็งของเหล่านายหมู่ปิศาจและทหารเลวซึ่งเป็นผีโครงกระดูกภายใต้แสงจันทรายามสนธยาเช่นนี้ย่อมเพียงพอที่จะทำให้ผู้พบเห็นต้องขวัญหนีดีฝ่ออย่างแน่นอน

เหลียวมองไปทางต้นขบวน ร่างของเจ้าหญิงอสูรฮิโระทรงม้านำหน้าเหล่าปิศาจอย่างสง่างาม มือข้างซ้ายกุมบังเหียนม้าไว้ ในขณะที่มือข้างขวาถือเคียวเกทออฟเฮฟเว่นพาดบ่าไว้อย่างน่าเกรงขาม เคียวเกทออฟเฮฟเว่นอันเป็นสัญลักษณ์ของยมทูตแห่งความตาย ช่างเป็นกองทัพปิศาจผู้นำความตายมาสู่ผู้พบเห็นโดยแท้

และเป้าหมายของพวกเขาก็คือ กองกำลังอัศวินโรซ่า แห่งแคว้นโททัสบูร์ก

ด้วยอัตราเร็วในการเดินทัพเช่นนี้ ทัพอสูรใหม่จะเข้าสู่เขตแดนของโททัสบูร์กในอีกสองวัน และอย่างช้าที่สุดหากทางฝ่ายทัพอัศวินโรซ่าคิดจะตั้งรับในป้อมปราการของตัวเองทั้งสองฝ่ายก็จะประทะกันในค่ำของอีกหนึ่งวันถัดไป

...

“ท่านโดฟาน”

ชายวัยกลางคนผู้ไว้หนวดเหนือริมฝีปาก แต่งกายในชุดสีดำท่าทางทะมัดทะแมง เดินอย่างรีบเร่งพลางส่งเสียงเข้ามาตั้งแต่ยังไม่เห็นตัวผู้ที่เขาเรียก “เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ”

“มีอะไรรึ ลูเซย์เดอร์” หนุ่มฉกรรจ์หน้าตาดี ไว้ผมสีทองยาวสลวย เงยหน้าขึ้นจากแก้วไวน์ที่เขาประคองอยู่ในมือหันไปถามขุนพลคนสนิทผู้ภักดีของเขา

“สายสืบของเรารายงานมาว่า…” ขุนพลลูเซย์เดอร์หยุดยืนตรงต่อหน้านายเหนือ สูดลมหายใจเข้าปอดเล็กน้อยก่อนจะเฉลยต่อ “ทัพอสูรของนีโอกลาดยกพลเข้ามาสู่เขตแดนของแคว้นเราแล้วขอรับ”

“อืมห์ มากันแล้วหรือ” โดฟานยกไวน์ขึ้นจิบก่อนจะวางลงบนโต๊ะเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างตัวแล้วลุกขึ้นยืนเอามือไขว้หลัง “ผู้นำทัพล่ะ แล้วกำลังมีเท่าไร”

“ตามข่าวของเรา เป็นกองทัพผีโครงกระดูกประมาณเก้าร้อยตน ทัพใหญ่ทัพเดียวขอรับ ผู้นำทัพนั้นยังทราบไม่แน่ชัด แต่คาดว่าเป็นธิดาจอมอสูรฮิโระ”

“เด็กน้อยฮิโระหรือ” โดฟานยิ้ม “ไม่สิตอนนี้คงโตเป็นสาวแล้วกระมัง”

“ท่านโดฟาน!” ฝ่ายผู้ใต้บังคับบัญชาติง

“ฮึฮึ ท่านไม่ต้องห่วง ข้าไม่ประมาทคู่ต่อสู้หรอก เพียงแต่ว่าข้าดีใจที่จะได้มีโอกาสเสริมสร้างโรมานซ์ให้กับชีวิตอีกแล้วเท่านั้นเอง” โดฟานยิ้มเหมือนเด็กถูกจับได้ตอนแอบกินขนมในห้องเรียน “ท่านก็รู้ปรัชญาชีวิตของข้านี่”

“เกียรติยศจากสนามรบในฐานะอัศวิน โรมานซ์ของชีวิตจากไวน์ล้ำค่าและ…หญิงงาม ใช่ไหมขอรับ” เป็นคำตอบจากริมฝีปากใต้หนวดงาม

“ใช่ แต่ถึงยังไงนางก็เป็นอสูรร้าย ข้าจะไม่ประมาทหรอกถึงแม้ว่าตอนที่ข้าออกรบครั้งแรกในศึกปลดแอกโททัสบูร์กนี้ ตามข้อมูลของพวกเรานางยังเป็นเด็กอายุห้าขวบอยู่ก็ตาม”

โดฟานออกรบครั้งแรกในศึกธรรม-อสูรเมื่อเขาอายุได้เพียงสิบแปดปีเท่านั้น แต่นั่นเป็นการผันชะตาชีวิตของเขาอย่างใหญ่หลวงเมื่อเขาประกอบความดีความชอบไว้มหาศาลจนทำให้ได้มาซึ่งตำแหน่งหัวหน้ากองอัศวินโรซ่าและเป็นผู้ครองแคว้นโททัสบูร์กไปด้วย โดยที่ลูเซย์เดอร์ซึ่งเดิมเป็นเสมือนพี่เลี้ยงในสนามรบของเขาก็ได้กลายมาเป็นองค์รักษ์และขุนพลคู่ใจของเขาในแคว้นโททัสบูร์ก

แน่นอน-ถ้าเขาไม่แน่จริงย่อมไม่ได้มาซึ่งเกียรติยศสูงส่งเหล่านี้

“เอาล่ะ ข้าจะจัดทัพเตรียมต้อนรับ ‘แขกพิเศษ’ ของเราสักหน่อย วานท่านช่วยไปจัดการงานธุรการให้ข้าสักสองสามเรื่องนะ”

“แจ้งข่าวใช่ไหมขอรับ”

“ใช่” เจ้าครองแคว้นตอบ “ก่อนอื่นขอบคุณไปทางองค์จักรพรรดิโดริฟานที่ได้กรุณาส่งข่าวเตือนมาให้เรา ทางเราได้รับทราบแล้วและมันเป็นไปตามคำทำนายของท่านทุกประการ”

“ขอรับ”

“ที่เหลือก็ แจ้งข่าวไปยังท่านราชาราดิวอิแล้วก็เพื่อนบ้านของเราทั้งสองประเทศแล้วก็แคว้นซิลเวสเตอร์ด้วยว่าเราถูกโจมตี” เพื่อนบ้านในที่นี้หมายถึงแคว้นนาฮารีและแคว้นซิกโรดที่อยู่ติดกัน

“ขอรับ” ลูเซย์เดอร์รับคำก่อนจะถามว่า “แล้วการจัดทัพนี่ท่านจะจัดอย่างไรขอรับ”

“ทัพหลวงกองกำลังอัศวินโรซ่าหกร้อยนายจะยกไปยันกับพวกมันไว้ก่อนที่ทุ่งด้านตะวันตก แล้วท่านระดมพลทัพหนุนเตรียมพร้อมไว้ก็แล้วกัน คิดว่าจะได้อีกเท่าไร”

“ตอนนี้ที่เรียกพลได้เลยก็มีอีกหนึ่งร้อยนายขอรับ ถ้าจะระดมเพิ่มอีกจากพวกแนวป้องกันปราสาทก็คงได้ราว ๆ สามร้อย… แต่นั่นหมายความว่าเราจะไม่มีกำลังเหลือไว้ป้องกันปราสาทเลยนะขอรับ”

“ท่านลองดูสถานการณ์เอาก็แล้วกัน ว่าจะยกทัพออกไปเสริมกับทางข้าหรือไม่” โดฟานหรี่ตาเล็กน้อยอย่างใช้ความคิด “เก้าร้อยต่อหกร้อยหรือ ก็ไม่ถึงกับเลวร้ายนะถ้ารบกันจริง ๆ กว่าจะรู้ผลแตกหักก็คงต้องเป็นสัปดาห์ล่ะ”

“ระวังการรบตอนกลางคืนด้วยนะขอรับ พวกผีโครงกระดูกมันจะมีพลังมากเป็นพิเศษในที่ความมืดมิด”

“ข้าไม่ลืมหรอก ขอบใจที่เตือน”

…

ย้อนกลับไปสามสัปดาห์อันเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ฮิโระเข้าสู่ปราสาทจอมราชันย์อสูรเพื่อสถาปนากองทัพอสูรใหม่ได้แล้วหนึ่งสัปดาห์ ทุกเขตแคว้นที่เป็นพันธมิตรของฝ่ายมนุษย์-เฉพาะที่ร่วมรบในศึกธรรมอสูร-ต่างก็ได้รับสารจากจักรพรรดิโดริฟานแห่งแคว้นศักดิ์สิทธิ์โคเรียสะทีน เนื้อหาในสารนั้นมีความว่า “ในนามแห่งพระผู้เป็นเจ้าขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า บัดนี้กระแสแห่งความชั่วร้ายได้ก่อตัวขึ้นอย่างหนาแน่นที่บริเวณนีโอกลาด จึงขอส่งคำเตือนมายังเขตแดนของมนุษย์ทุกเขตให้ช่วยกันระวังสถานการณ์ด้วย”

ความหมายในสารคือ ได้มีการส้องสุมกำลังของเหล่าอสูรขึ้นอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่กองทัพอสูรได้ถึงแก่กาลอวสานพร้อม ๆ กับวาระสุดท้ายของจอมราชันย์อสูร

ทางฝ่ายมนุษย์เองถึงแม้ว่าจะได้มีการวางสายสืบไว้รอบ ๆ เขตแดนนีโอกลาด –ซึ่งประเทศที่รับบทหนักที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นโททัสบูร์กนั่นเอง- แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงแค่สืบความเคลื่อนไหวจากภายนอกเท่านั้น หากแต่ภายในแคว้นนั้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้างย่อมไม่มีสายสืบใดสามารถเล็ดลอดเข้าไปหาข่าวมาได้ ข่าวที่ออกจากแคว้นศักดิ์สิทธิ์โคเรียสะทีนจึงย่อมเป็นข่าวที่มีค่ามหาศาลทีเดียว เพราะเป็นการหยั่งรู้ความเป็นไปในแคว้นอสูรโดยอาศัยญานพิเศษของจักรพรรดิโดริฟานซึ่งดำรงตำแหน่งประมุขนิกายศักดิ์สิทธิ์โคเรียด้วย แม้ว่าเนื้อหาของการ ‘หยั่งรู้’ นั้นจะเป็นเพียงสาระคร่าว ๆ ก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ ทันทีที่ฮิโระเคลื่อนพลพ้นจากนีโอกลาดเข้าสู่เขตของโททัสบูร์ก ทางฝ่ายอัศวินโรซ่าซึ่งได้จัดวางกำลังลาดตระเวณเข้มงวดอยู่แล้วจึงสามารถสืบทราบได้ทันที

และด้วยการตัดสินใจของโดฟานซึ่งยกพลออกมาตั้งรับที่ทุ่งด้านตะวันตก ทำให้กำลังของทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากันในเวลาที่เร็วกว่าที่ฮิโระคาดไว้

…


back index next
1