มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ปฐมศึก: ขุนศึกใหม่และข่าวร้าย

เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่เรียกประชุมตัดสินเชลยสงครามของโททัสบูร์กในคืนที่พวกเธอเข้าปราสาทได้นั้นเอง ด้วยเห็นความจำเป็นที่จะต้องจัดการความเรียบร้อยภายในโททัสบูร์ก-ดินแดนที่เพิ่งจะผนวกมาเข้ากับแคว้นนีโอกลาดหมาด ๆ นี้-โดยด่วน

“เราไว้ชีวิตพวกเจ้าทุกคนตามสัญญา แต่หากใครที่คิดว่าไม่สามารถทนอยู่ในโททัสบูร์กที่มีฐานะเป็นเมืองขึ้นของนีโอกลาดได้ก็จงรีบเดินทางออกจากแคว้นนี้ไปภายในวันพรุ่งนี้เถิด”

แน่นอนสัญญาที่ว่า คือสัญญาที่ให้ไว้เพื่อแลกกับการเปิดประตูปราสาทให้ทัพอสูรเข้ามานั่นเอง

“สำหรับลูเซย์เดอร์ ว่ายังไง เจ้าจะให้คำตอบเราได้แล้วกระมัง”

คราวนี้ เธอหันมาถามลูเซย์เดอร์ซึ่งยืนสำรวมอยู่รวมกับพวกเชลยศึกอื่น ๆ

“ข้าขอฝากชีวิตไว้กับองค์หญิงขอรับ” เป็นคำตอบตรง ๆ ยังความฮือฮาให้แก่บรรดามนุษย์ที่อยู่รวมกันในที่นั้น

“แต่ข้ามีสัญญาหนึ่งข้อและมีคำขอร้องอีกหนึ่งข้อที่จะขอจากองค์หญิง จะได้ไหมขอรับ”

“ว่ามา”

“หากข้าพบกับท่านโดฟานและท่านยังต้องการข้าอีก ข้าขอกลับไปรับใช้ท่านโดฟานตามเดิม”

“ฮึ ช่างจงรักภักดีจริงนะ ได้เราให้สัญญาเจ้า”

“ส่วนคำขอร้องก็คือ หากเป็นไปได้ กรุณาหลีกเลี่ยง อย่าให้ข้าต้องรบกับประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรกับโททัสบูร์กด้วยขอรับ แต่สำหรับแคว้นอื่น ๆ แล้วแม้จะให้บุกน้ำลุยไฟ ข้าก็ไม่เกี่ยงจักรับใช้องค์หญิงสุดความสามารถขอรับ”

เขาหลีกเลี่ยงที่จะไม่พูดว่า พันธมิตรสมัยศึกธรรม-อสูร

“…”

ฮิโระนิ่งหรี่ตาอย่างใช้ความคิดสักพักก่อนจะเอ่ยปากในที่สุดว่า

“ได้ เราจะพยายามจัดการให้เป็นไปตามคำขอเจ้า”

“ขอบพระคุณมากขอรับ”

ลูเซย์เดอร์ทรุดกายลงคุกเข่าข้างหนึ่งแสดงความเคารพต่อเจ้าชีวิตคนใหม่ของเขา

“สำหรับไพร่พลรบของ ‘อดีต’ กองกำลังโรซ่าที่เหลือ”

ผู้รุกรานกล่าวต่อ เธอหมายถึงทหารอัศวินของทัพโรซ่าที่ยังเหลืออยู่เป็นเชลยทั้งห้าสิบกว่านายนั้น

“หากพวกเจ้าจะสวามิภักดิ์กับเรา เราก็ยินดีรับไว้และให้อยู่ใต้การนำของลูเซย์เดอร์ แต่หากมิเช่นนั้น พวกเจ้าก็จงกลับเป็นพลเรือนเถิดหรือจะอพยพไปแคว้นอื่นก็ตามใจ แต่จงตัดสินใจทุกอย่างให้เสร็จในวันนี้!”

เสียงพึมพำดังขึ้นจากเหล่าเชลยอีกครั้ง ลูเซย์เดอร์ใช้เวลาคิดเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยกับเจ้านายคนใหม่ของเขาว่า

“ข้าแต่องค์หญิงอสูร ขออนุญาตข้ากล่าวอะไรกับ ‘อดีตเพื่อนร่วมรบ’ ของข้าสักหน่อยได้ไหมขอรับ”

ฮิโระไม่ตอบ เพียงแต่พยักหน้า อดีตอัศวินแห่งทัพโรซ่าจึงหันหลังกลับไปทางกลุ่มเชลยนั้น ความเงียบบังเกิดขึ้นอึดใจหนึ่งก่อนที่ลูเซย์เดอร์จะกล่าวขึ้นว่า

“พวกเจ้าอาจจะมองว่าข้าเป็นคนขี้ขลาด หรือคนทรยศที่ไปเข้ากับทัพอสูร แต่ข้าอยากจะบอกพวกเจ้าว่า ถ้าคิดให้ดี พวกเราทุกคน-แน่นอนข้าพูดเช่นนี้ย่อมหมายถึงข้ากับพวกเจ้าทุกคนด้วย-ได้ทำดีที่สุดแล้วในการรบในวันนี้ ท่านโดฟานพ่ายแพ้แก่องค์หญิงฮิโระอย่างหมดจดทุกประการ พวกเจ้าคงเห็นแล้ว และพวกเราก็ได้ช่วยกันรบอย่างเต็มที่เปิดโอกาสให้ท่านโดฟานสามารถมีชีวิตรอดไปได้ นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีแล้วมิใช่หรือ และสำหรับพวกเราเองการประทะกับทัพอสูรในการยุทธช่วงหลังพวกเราก็พ่ายแพ้อย่างหมดจดอีกเช่นกัน เช่นเดียวกับท่านโดฟานสำหรับข้าเอง ข้าไม่ถือว่านื่เป็นเรื่องน่าอัปยศเลย ในเมื่อพวกเราได้สู้อย่างเต็มความสามารถแล้ว ฝ่ายตรงข้ามเองก็มิได้ใช้เล่ห์กลทุบายใด ๆ เลย พวกเจ้าก็คงตระหนักดีแล้ว การยุทธในวันนี้ประวัติศาสตร์จักได้จารึกไว้-น่าเสียดายเหลือเกินที่มันเป็นการจารึกในฐานะของอวสานของทัพอัศวินโรซ่า แต่มันเป็นบทเริ่มต้นของทัพอสูรใหม่ภายใต้การนำขององค์หญิงฮิโระ สำหรับข้าเอง-ลูเซย์เดอร์ผู้นี้ยังไม่ปรารถนาจะจบบทบาทของข้าบนประวัติศาสตร์ของเนฟเวอร์แลนด์เพียงเท่านี้ ถึงแม้ว่าการฝากชื่อไว้ต่อไปจะเป็นในฐานะของขุนพลคนหนึ่งแห่งทัพอสูรใหม่ก็ตาม และสุดท้ายนี้ สำหรับพวกเจ้าแล้ว ข้าอยากจะขอให้พวกเจ้าลองไตร่ตรองให้ดีเถิด หากพวกเจ้าเห็นด้วยกับข้า เราก็คงจะได้ร่วมรบกันอีก”

ความเงียบบังเกิดขึ้นอีก ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นว่า

“ข้าขอติดตามท่านลูเซย์เดอร์”

อัศวินคนหนึ่งก้าวออกจากกลุ่มตรงไปยืนต่อหน้าลูเซย์เดอร์ เป็นคำตอบอันชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แล้ว ลูเซย์เดอร์พยักหน้ารับ อีกอึดใจถัดมา ก็มีเสียง “ข้าด้วย” “ข้าด้วยคน” ดังขึ้นและจำนวนของผู้ที่แสดงความจำนงจะร่วมรบกับลูเซย์เดอร์ภายใต้ธง ‘ทัพอสูรสายเลือดใหม่’ ต่อไปก็มีเกือบห้าสิบคน คงมีเพียงบางคนเท่านั้นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแนวคิดทัศนคติของตนได้กระทันหันจึงไม่ยอมให้คำตอบรับ

“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนหาคำตอบให้กับอนาคตของตนได้แล้ว ก็แยกย้ายกันไปได้ รายละเอียดการจัดการปกครองในโททัสบูร์ก เราค่อยมาคุยกันในวันพรุ่งนี้” ฮิโระกล่าวปิดการประชุม

บรรดาไพร่พลทั้งฝ่ายอสูรและฝ่ายมนุษย์ค่อย ๆ ล่าถอยออกจากท้องพระโรงของปราสาทโททัสบูร์ก ฮิโระทำท่าจะก้าวออกไปบ้างเป็นคนสุดท้ายแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าลูเซย์เดอร์ยังคงรออยู่ที่ประตู

“มีอะไรรึ?”

“ข้าขออนุญาตถามอะไรบางอย่างได้หรือไม่ องค์หญิง”

“… ว่ามา”

“ท่านยกพลมาครั้งนี้เป็นกำลังทั้งหมดของนีโอกลาดหรือไม่?”

“…” ผู้ถูกถามนิ่ง มองหน้าผู้ถามอย่างอ่านใจอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า

“เราเหลือกำลังอยู่ที่นีโอกลาดพอสมควร มีอะไรรึหรือว่า…”

“…”

ลูเซย์เดอร์เองก็สบตากับอีกฝ่ายตรง ๆ ก่อนที่จะตัดสินใจพูดว่า

“ขอเรียนตามตรง ที่จริงแล้ว การรบในวันนี้หากข้าทำตามที่ตกลงไว้กับท่านโดฟานแต่แรก ข้าจะได้ประมือกับท่านในศึกป้องกันปราสาทที่นี่ ไม่ใช่ ณ ท้องทุ่งด้านตะวันตกนั้นหรอก แต่ ข้าก็ติดตามไปสมทบกับท่านโดฟานเร็วกว่าที่กำหนดไว้ เพราะว่า…”

เขาเว้นวรรคไว้นิดหนึ่งเมื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังฟังอย่างตั้งใจจึงพูดต่อ

“ข้าได้รับรายงานด่วนจากกองลาดตระเวณของเราที่จับตามองการเคลื่อนไหวของบาร์ฮารามาว่า พวกกอบบลินยกทัพใหญ่ออกจากฐานที่มั่นของพวกมันเช่นกันเมื่อเช้าตรู่นี้เอง”

“จริงรึ?” ดวงตาทั้งคู่ของฮิโระฉายประกายขึ้นแวบหนึ่ง

“ขอรับ ทิศทางของพวกมันไม่สามารถอ่านได้ว่าตรงมาที่โททัสบูร์กหรือตรงไปยังนีโอกลาดกันแน่ แต่ตอนนั้นข้าเองก็ไม่ทราบว่า พวกท่านยังเป็นพันธมิตรกับพวกกอบบลินหรือไม่ ดังนั้นข้าจึงต้องคิดประมวลสถานการณ์เลวร้ายที่สุดไว้ก่อนนั่นคือ…”

“เรากับพวกกอบบลินร่วมมือกันจะบุกพวกเจ้าใช่ไหม” ฮิโระชิงดักคอ

“ขอรับ ตอนนั้นข้าจึงรีบตรงไปสมทบกับท่านโดฟานเพราะคิดว่าหากสถานการณ์เป็นเช่นนั้นจริง คงจะต้องถอนกำลังกลับมาตั้งรับที่ปราสาทแห่งนี้”

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือพวกเขาไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น-ลูเซย์เดอร์ละประโยคนี้ไว้ในใจเพราะไม่มีความจำเป็นต้องพูดอีก

“อืมห์ แต่ในที่สุดพวกกอบบลินก็ไม่ได้มาโผล่ให้เห็นในแดนของโททัสบูร์กนี่” ฮิโระยกมือทั้งสองข้างขึ้นกอดอกโดยโอบเอาเคียวเกทออฟเฮฟเว่นไว้แนบอกด้วย “ฮึ เจ้าพวกกอบบลินที่ไม่รักดีฉวยโอกาสที่เราไม่อยู่ยกไปตีนีโอกลาดล่ะสิ ไม่มีทางสำเร็จหรอก!”

“โอ ท่านทราบอยู่แล้วหรือขอรับ” ลูเซย์เดอร์อุทาน ในใจก็นึกชื่นชมในปัญญาของอีกฝ่าย

“อืมห์ สรุปว่าเรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง ‘สหาย’ ทั้งสามของเราที่นีโอกลาดรับมือพวกมันได้แน่”

“แต่…องค์หญิงคงยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้นำทัพของกอบบลินในครั้งนี้?”

“แม่ทัพฝ่ายกอบบลินมีอยู่ไม่กี่คน ถ้าไม่ใช่เจ้าบริโมรินเองก็คงเป็นขุนพลรองลงไป” ฮิโระตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

นามบริโมรินคือเจ้าครองแคว้นบาร์ฮารา หรือกล่าวกันอย่างไม่เกรงใจก็คือ จ่าฝูงของเผ่ากอบบลินนั่นเอง

“ข้าเอง-ในฐานะขุนพลของท่าน-ก็หวังให้เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่…”

ลูเซย์เดอร์หยุดชั่งใจนิดหนึ่ง ก่อนกล่าวต่อว่า “มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเลย แต่…เอ้อ ข้าไม่ทราบจะพูดยังไงดี หัวหน้ากองลาดตระเวณของเราเป็นสหายรบเก่าแก่ของข้าเองตั้งแต่สมัยศึกธรรม-อสูร เขายืนยันว่าทัพของพวกกอบบลิน มีกองกำลังอัศวินชาวมนุษย์อยู่ด้วยสี่ร้อยคนและที่สำคัญ… คนนำทัพคือ…”

“?!!!”

ฮิโระเองทำท่าประหลาดใจเหมือนกัน ในใจอุทานว่า ‘มีอัศวินชาวมนุษย์ร่วมในทัพกอบบลิน เป็นได้อย่างไรกัน’ เธอมองหน้าอีกฝ่ายเร่งให้พูดต่อ

“เอ้อ บอกตรง ๆ ข้าเองไม่อยากเชื่อรายงานนี้เลย” ลูเซย์เดอร์ออกตัว “ผู้นำทัพอัศวินที่อยู่กับกอบบลินก็คือ โกรมิล หนึ่งในห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรเมื่อสิบสองปีก่อนขอรับ!”

“อะไรนะ!”

คราวนี้ฮิโระเองก็อดอุทานด้วยความประหลาดใจไม่ได้เช่นกัน กิตติศัพท์ของห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรเป็นที่แพร่กระจายไปทั่วทวีปเนฟเวอร์แลนด์มีหรือที่เธอจะไม่รู้จักพวกเขาผ่านทางคำเล่าลือเหล่านี้

ปัญหาก็คือ คนอย่างโกรมิลซึ่งได้ชื่อว่าเลือดร้อนที่สุดในบรรดาห้าผู้กล้าและเป็นคนขวานผ่าซาก ตรงไปตรงมาที่สุด เกลียดชังฝ่ายอสูรที่สุด จะไปร่วมมือกับพวกกอบบลินซึ่งได้ชื่อว่าเป็นศัตรูตลอดกาลของพวกมนุษย์ได้อย่างไร? ถึงแม้ว่าจุดมุ่งหมายของการร่วมมือนั้นจะเป็นการร่วมสู้กับทัพอสูรก็ตาม หากเป็นโกรมิลแล้วไซร้ สิ่งที่เขาจะเลือกคือ “สู้กับมันทั้งสองฝ่ายเลย ทั้งพวกกอบบลินทั้งทัพอสูรด้วย” ฮิโระเข้าใจความรู้สึกของลูเซย์เดอร์ได้ทันทีว่าทำไมเขาจึงไม่อยากเชื่อข่าวนี้ อย่างไรก็ตาม ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนยืนยันเองว่า ข่าวนี้ได้จากบุคคลที่เคยร่วมศึกธรรม-อสูร นั่นหมายความว่า เป็นบุคคลที่เคยเห็นหน้าค่าตาของโกรมิลมาบ้าง ย่อมมีโอกาสน้อยที่ข่าวนี้จะผิดพลาดไปได้ และนั่นย่อมหมายถึง ทัพนินจาหนึ่งร้อยและทัพอัศวินห้าสิบของซาโต้และซากิฟอนจะต้องเผชิญหน้ากับทัพอัศวินสี่ร้อยที่นำโดยโกรมิล และยังมีทัพกอบบลินที่ร่วมไปอีกจำนวนหนึ่งล่ะ?

อา! นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว!

ทำไมชื่อของโกรมิลต้องมาโผล่ตรงนี้ด้วยและพวกกอบบลินไปหาไพร่พลอัศวินชาวมนุษย์มาจากไหนถึงสี่ร้อยคน?

ฮิโระนึกเจ็บใจ พลางก็ประมวลความเป็นไปได้และทางเลือกที่มีอยู่ตอนนี้อย่างรวดเร็วในใจที่เริ่มจะร้อนระอุของเธอ

นีโอกลาดตกอยู่ในวิกฤติเสียแล้ว!

…


back index next
1