มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

ปฐมศึก: ผู้บุกรุก

“พ้นชายป่านี้ไปก็จะถึงลานกว้างหน้าปราสาทนีโอกลาดแล้ว ท่านอัศวิน”

เสียงห้าว ๆ ที่ดังขึ้นข้างตัว ทำให้อัศวินวัยฉกรรจ์ละสายตาจากเบื้องหน้าหันไปมองทางต้นเสียง ฝ่ายที่ชวนสนทนาก่อนเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายมนุษย์แต่มีโครงร่างใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไป ผิวหยาบกร้าน มือเท้าโต ศีรษะค่อนข้างโต แต่งกายในชุดหนังสัตว์ ที่คอห้อยสร้อยเส้นใหญ่ซึ่งทำจากกระดูกและกระโหลกศีรษะของสัตว์ ในมือถืออาวุธคู่กายซึ่งเป็นกระบอกหนามเหล็กขนาดใหญ่ ชาวเนฟเวอร์แลนด์มองแวบเดียวก็ต้องรับทราบได้ทันทีว่า นี่คือ กอบบลิน หรือมนุษย์ป่า อันเป็นสิ่งมีชีวิตพันธุ์หนึ่งบนเนฟเวอร์แลนด์นี้

ถิ่นฐานของกอบบลินนั้นได้พากันยึดเอาบริเวณรอบ ๆ หอคอยบาร์ฮาราเป็น ‘รัง’ ใหญ่ของพวกมัน หอคอยบาร์ฮาราหนึ่งในสี่หอคอยเก่าแก่ที่มีมาแต่ก่อนประวัติศาสตร์ยุคของจอมราชันย์อสูรจาเนสจะเริ่มขึ้นเมื่อ 997 ปีก่อน เป็นหอคอยที่สร้างขึ้นในยุคอารยธรรมเก่าและมีความลับของอารยธรรมยุคนั้นซ่อนอยู่มากมาย- พอ ๆ กับหอคอยสเปกตรัลอันลือชื่อนั่นเอง หากแต่เมื่อหอคอยนี้กลายเป็นที่ซ่องสุมของชนเผ่ากอบบลินเสียแล้ว บรรดานักสำรวจต่าง ๆ ก็พากันขยาดไม่กล้ามาที่นี่ หลาย ๆ คนรู้จักนามของหอคอยแห่งนี้ในนามหอคอยกอบบลินเสียด้วยซ้ำ แน่นอน ถึงแม้ชาวกอบบลินจัดเป็นสิ่งมีชิวิตชั้นสูงในฐานะที่พวกมันมีมันสมองสามารถพูดจาสื่อสารได้ด้วยภาษาของเผ่ากอบบลินเองและภาษากลางของเนฟเวอร์แลนด์ รวมทั้งอย่างน้อยที่สุดพวกมันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยืนด้วยขาสองข้าง–เหมือนเช่นมนุษย์ หากแต่จากสายตาของมนุษย์แล้วยังคงมองพวกกอบบลินเป็นพวกต่ำชั้นกว่าตนนั่นเอง ด้วยความป่าเถื่อนไร้อารยธรรมของเผ่ากอบบลินเอง และด้วยธรรมชาติของพวกมันที่มีนิสัยดุร้าย ชอบระดมกำลังกันเข้าปล้นสดมภ์หมู่บ้านชาวมนุษย์ รวมทั้งนักเดินทางที่พลัดหลงเข้ามาในบริเวณหากินของพวกมัน ทำให้พวกมนุษย์ยิ่งมองพวกนี้เป็นศัตรูด้วยความดูถูกดูแคลนเข้าไปอีก

“อืมห์” อัศวินวัยราวสามสิบผู้นี้ไม่ได้ตอบอะไรแก่กอบบลินที่สนทนากับเขาเมื่อครู่ คงหันกลับไปมองเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย ในขณะที่เท้าของเขาก็ยังคงสาวก้าวต่อไปข้างหน้าในอัตราเร็วคงเดิม

บริกาโต้ –กอบบลินที่สาวเท้าเดินเคียงข้างอัศวินผู้นี้ –ลอบสังเกตท่าทีอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง หากแต่มันบอกตัวเองว่า มันไม่สามารถอ่านความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เลยว่า ดวงตาทั้งคู่ที่อยู่ใต้ระดับผ้าคาดศีรษะและกำลังหรี่ตาอยู่นั้น กำลังจับจ้องไปที่อะไรกันแน่

กอบบลินหนุ่มนึกถึงคำสั่ง ‘ลับ’ ที่บริโมริน ราชา- หรือถ้าตามคำพูดที่พวกมนุษย์ใช้จิกหัวเรียกพวกมันก็คือ จ่าฝูง-ของมันสั่งไว้ ทำให้มันต้องถามตรง ๆ ว่า

“คิดอะไรอยู่? ท่านอัศวิน”

“ข้าเองรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่า ครั้งหนึ่งข้าก็เคยผ่านมาทางนี้” เป็นคำตอบซื่อ ๆ จากอีกฝ่าย “ตอนนั้น – คงนานมาแล้วแหละ – ข้าก็เดินทัพแบบนี้ ตรงไปรบกับพวกอสูรเช่นกัน…. กระมังนะ ข้าจำอะไรไม่ได้เลย”

ท้ายประโยค คนรำพึงตอบอดยกมือขวาขึ้นตบหน้าผากตัวเองแล้วกดฝ่ามือแนบหน้าผากไว้อย่างนั้นไม่ได้

“…” ไม่มีคำตอบจากเจ้าบริกาโต้

“เมื่อไหร่หนอ ข้าจะสามารถนึกอดีตของตัวเองได้สักที ไม่ต้องคอยเป็นภาระให้พวกท่านแบบนี้”

หากมนุษย์คนใดได้ยินคำพูดเช่นนี้ คงต้องเดือดดาลหรือตกตะลึงอย่างแน่นอนที่มนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นถึงอัศวินเสียด้วย เรียกกอบบลินว่า ‘ท่าน’

“โอ๊ย ภารกภาระอะไรกัน พวกข้ายินดีด้วยซ้ำไปที่ท่านอัศวินให้เกียรติมาอยู่กับเรา” บริกาโต้โบกมือโบกไม้ประกอบคำตอบของตน “พวกเรามี ‘อุดมการณ์’ ร่วมกันด้วยนี่นา ก็ต้องช่วยกันจริงไหม”

“ใช่สินะ” ฝ่ายมนุษย์ตอบหนักแน่น ดวงตาทอประกายเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ได้ “พวกเราต้องร่วมมือกันกำจัดพวกอสูรร้ายให้หมดสิ้นจากแผ่นดินเนฟเวอร์แลนด์”

“ใช่ ๆ ๆ” กอบบลินหนุ่มรีบเสริม “ขนาดท่านเสียความทรงจำไป แต่ยังจำได้แต่เรื่องนี้แสดงว่า พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดภารกิจสำคัญนี้ให้ท่านอย่างแน่นอน พวกข้าช่วยท่านเต็มที่เลย”

“ขอบใจมาก ท่านบริกาโต้”

นั่นเป็นการสิ้นสุดการสนทนาระหว่างสองชีวิตต่างเผ่าพันธุ์เมื่อต่างฝ่ายต่างเร่งฝีเท้าและหันไปสั่งการแก่ลูกน้องในบังคับบัญชาของตน ซึ่งได้แก่ กองกำลังอัศวินชาวมนุษย์จำนวนสี่ร้อยและกองกำลังกอบบลิน (หรือภาษามนุษย์ก็คงจะเรียกอย่างดูถูกว่า ฝูงกอบบลิน) จำนวนร้อยห้าสิบ

‘หึ หึ ขนาดเสียความทรงจำไปยังอุตส่าห์จำได้อีกว่า ตัวเองตั้งตัวเป็นศัตรูกับพวกอสูร’ เจ้าบริกาโต้คิดในใจ ‘แต่น่าเสียดายเหลือเกิน ที่แกลืมไปว่า พวกข้ากอบบลินก็เป็นศัตรูของมนุษย์อย่างแกเหมือนกัน ผู้กล้าโกรมิลเอ๋ย! แต่จะว่าไป คงเป็นบุญของท่านบริโมรินด้วย กลับออกจากสเปกตรัลทาวเวอร์ได้สำเร็จ ก็มาได้ไอ้โกรมิลเป็นลูกสมุนอีก หึ หึ เนฟเวอร์แลนด์คงไม่พ้นมือท่านบริโมรินเป็นแน่’

สุดท้ายมันอดนึกกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่คนเดียวไม่ได้

…

“จะดีหรือขอรับองค์หญิง” ลูเซย์เดอร์ย้อนถาม ‘เจ้าชีวิต’ คนใหม่ของเขาอย่างตระหนก

“อืมห์” เป็นคำตอบสั้น ๆ จากฮิโระ ผู้เพิ่งพิชิตดินแดนโททัสบูร์กผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งใต้ร่มธงทัพอสูรสายเลือดใหม่

“แต่…”

“หรือเจ้ามีวิธีอื่นอีก” ฮิโระเลิกคิ้วถาม “ทัพของเราขณะนี้ ทั้งทหารสเกลตันของเรา กับอัศวินของเจ้าต่างก็เหนื่อยล้าจากการรบเมื่อวาน ขืนนำออกรบตอนนี้ก็ใช่ว่าจะรบได้ดั่งใจของแม่ทัพ”

คำว่ารบได้ดั่งใจแม่ทัพ หมายถึงการที่แม่ทัพสามารถคาดคำนวณสถานการณ์ในการศึกอย่างถูกต้อง สามารถใช้กำลังพลต่างแขนขาของตนเองได้ดั่งใจนึกนั่นเอง ซึ่งนั่นต้องประกอบด้วยปัจจัยสามประการคือ ความสามารถในการนำทัพของตัวแม่ทัพเองหนึ่ง สภาพความพร้อมและขวัญกำลังใจของไพร่พลหนึ่ง และระเบียบวินัยภายในกองทัพอีกหนึ่ง อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ฮิโระตัดสินใจไม่นำทัพกลับไปช่วยนีโอกลาดในทันที เธอสบตาลูเซย์เดอร์นิดหนึ่งก่อนกล่าวต่อเบา ๆ ว่า

“และอีกอย่าง…”

“ท่านยังไม่สามารถทิ้งที่นี่ไปได้ ใช่ไหมขอรับ” อัศวินเสริมคำพูดให้

“…”

ฮิโระไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่การนิ่งนั้นย่อมเป็นทีท่าที่ชัดเจนอยู่แล้ว โททัสบูร์กเพิ่งถูกยึดครองเป็นส่วนหนึ่งของนีโอกลาดเท่านั้น แน่นอน หากไม่มีการจัดระเบียบการปกครองภายในให้ดี ย่อมมีโอกาสเกิดความไม่สงบหรือการต่อต้านได้สูงมาก ด้วยเหตุนี้เองที่ฮิโระยังไม่สามารถผละออกจากปราสาทโททัสบูร์กได้ในเร็ววัน มิฉะนั้นการลงแรงมาตีโททัสบูร์กในตอนแรกก็จะกลายเป็นความสูญเปล่าไป แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า เธอจะนิ่งดูดายไม่ทำอะไรเลยกับข่าวที่ว่าทัพกอบบลินซึ่งมีกำลังพลอัศวินภายใต้การนำของโกรมิลหนึ่งในห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรร่วมอยู่ด้วยกำลังยกไปตีนีโอกลาดซึ่งขณะนี้มีกำลังรบเหลืออยู่เพียงหนึ่งร้อยสิบคนเท่านั้น

ลูเซย์เดอร์เองก็นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพูดว่า

“ห้าวัน เป็นอย่างน้อยนะขอรับ กว่าแผนขององค์หญิงจะดำเนินไปได้ กว่าจะถึงตอนนั้น ทางนีโอกลาดจะต้านอยู่หรือไม่…”

“เราเชื่อในมือของสามทหารเสือของเรา” เป็นคำตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “ขอเพียงพวกนั้นอย่าประมาทก็แล้วกัน”

ในใจเธอพูดต่อว่า ‘เพราะพวกนั้นคงไม่มีโอกาสรู้ตัวล่วงหน้าว่า คนนำทัพอัศวินในทัพกอบบลินคือใคร เหมือนกับที่เรารู้จากลูเซย์เดอร์’

“ถ้าองค์หญิงดำริเช่นนั้น ข้าก็คงไม่มีความเห็นใดอีกแล้ว ขอตัวไปเตรียมการตามแผนก่อนขอรับ”

“อืมห์”

คล้อยหลังอัศวินชาวมนุษย์ไปแล้ว ฮิโระอดยกมือขึ้นลูบคลำด้ามเกทออฟเฮฟเว่นที่กอดอยู่แนบอกไม่ได้ พลางรำพึงในใจว่า

‘ชิก ซากิฟอน ซาโต้ เราเชื่อมั่นในตัวของพวกเจ้านะ’

…


back index next
1