มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ดวงวิญญานต่างภพ: วิถีมาร


ความเกลียดชัง ความโกรธ ความกลัว ความอาฆาตแค้นพยาบาท ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความเห็นแก่ตัว ฯลฯ

ข้าจำความได้ว่า ข้าเกิดมาพร้อมความรู้สึกเหล่านี้...

...

ข้าเป็นอสูรนอกคอกที่มีชาติกำเนิดผิดธรรมดา ในภายหลัง ด้วยญานตบะของข้าเอง ข้าหยั่งรู้ได้ในที่สุด ว่าข้าคือร่างที่เกิดจากการแบ่งภาคของมันผู้นั้น--จอมราชันย์อสูรจาเนส

ชาวเนฟเวอร์แลนด์ที่รู้จักข้าต่างถือเสมือนว่า ข้าเป็นบุตรชายของจาเนส แต่ที่จริงแล้ว ข้าคือ ‘ตัวจริง’ ของมันต่างหากเล่า

มันตัดเอาความรู้ฝ่ายต่ำทั้งหลายทั้งมวล-- ความรู้สึกที่มันเองก็เกรงว่าหากเกิดกับมัน จะทำให้มันสูญเสียเจตนารมย์ไป-- มาใส่ในตัวข้าทั้งสิ้น แล้วมันก็ทิ้งข้าไปโดยไม่เหลียวแล

ที่จริง หากข้าต้องตายเสียตั้งแต่ยังแบเบาะ ก็คงเป็นการดีไม่น้อย ที่จะไม่ต้องเติบใหญ่มารับรู้ความเจ็บปวด ความเลวร้ายเหล่านี้ แต่... สตรีชาวมนุษย์ผู้หนึ่งก็เป็นผู้ที่ต่อชีวิตข้าไว้

ณ ป่าแห่งนั้น หลังจากที่ร่างของผู้ยิ่งใหญ่แห่งเนฟเวอร์แลนด์ได้จากไปแล้ว บรรดาฝูงนกและแมลงก็เริ่มส่งเสียงร้องระงมป่าอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่พวกมันถูก ‘รังสีอำมหิต’ ที่เปล่งออกจากร่างของ ‘มันผู้นั้น’ ข่มจนแทบจะต้องหยุดหายใจ สัตว์ใหญ่น้อยที่เริ่มรวบรวมความกล้า คืบคลานเข้ามาใกล้ร่างทารกของข้าเข้าไปทุกที ๆ และอีกไม่นาน ข้าก็คงตกเป็นเหยื่ออันโอชะของพวกมันหลังจากที่พวกมันตระหนักว่าข้าไม่อาจทำการใด ๆ ที่เป็นภัยต่อพวกมันได้ หากมิเพราะนางผู้นั้น...ข้ายังจำได้ด้วยจิตใต้สำนึกของข้าถึงสายตาที่นางมองข้าในครั้งแรก...ความเวทนา, ความกรุณา, ความเมตตาที่มีเปี่ยมล้นในดวงตาคู่นั้น ยากที่ข้าจะลบมันออกจากก้นบึ้งของจิตใจได้

--อา! ไม่! ข้าไม่ต้องการความเวทนาจากใครร ข้าร่ำร้องในใจ--

แต่นางก็ก้มลงมาช้อนตัวข้าซึ่งยังเป็นทารกอยู่ขึ้นไปในอ้อมแขนของนาง แล้วข้าก็ตกอยู่ภายใต้การดูแลของนางนับแต่บัดนั้น...

ข้าอยู่กับนางเพียงลำพังสองคนในบ้านเล็ก ๆ ริมชายป่า ห่างไกลจากหมู่บ้านของพวกมนุษย์ออกมาพอสมควร นางมนุษย์ที่เก็บข้ามาเลี้ยงดูเป็นหญิงสาวแสนโสภาทีเดียว ผิวของนางขาวผ่องราวจะเย้ยหิมะที่ตกมาสุมบนพื้นหญ้าและบนกิ่งไม้ในป่ายามฤดูหนาวให้ได้อาย ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงมีชื่อว่า “สโนว์ไวท์”

นางไม่ยอมให้ข้าออกไปนอกบ้านตามลำพัง ด้วยนางเกรงจะมีมนุษย์ผู้อื่นมาพบเห็นข้า...ซึ่งแม้ว่าข้าจะเป็นเด็ก แต่รูปร่างภายนอกก็บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าข้าเป็นอสูร -- เป็นปิศาจร้ายในสายตาของชาวมนุษย์ นางผู้มีนามว่า ขาวราวหิมะนี้กลับไม่รังเกียจเดียดฉันท์ข้า กลับทุ่มเทให้ความรักข้าเป็นอย่างดี จนข้าคิดว่า บรรดาความรู้สึกฝ่ายต่ำ ความรู้สึกในทางลบทั้งหลายทั้งมวลที่อัดแน่นอยู่ทุกอณูของตัวข้า คงจะถูกลงยันต์สะกดด้วยความรักของนางผู้นี้เป็นแม่นมั่น หากเวลาผ่านไปโดยสงบสุขเช่นนี้ได้ตราบนานเท่านาน ก็คงจะดีไม่น้อย

เพียงแวบหนึ่ง...แวบเดียวที่ข้ามีความคิดเช่นนั้น ทุกสิ่งที่ข้าคาดฝันก็พังทลาย

เหล่ามนุษย์-โดยเฉพาะมนุษย์เพศชายนั่นเอง ที่เพียรพยายามเวียนวนมาหานางผู้เลี้ยงดูข้า พวกมันล้วนเป็นทาสสเน่หาของนางอย่างถอนตัวไม่ขึ้น หากแต่นางมิได้มีจิตปฏิพัทธ์กับชายผู้ใดเป็นพิเศษ แล นางย่อมไม่ยอมให้บุคคลใดก้าวล้ำเข้ามาในชายคาบ้านเช่นกัน ด้วยนางเกรงว่าพวกมันจะพบเห็นตัวข้า...

หลังจากข้ามีชีวิตร่วมกับนางได้ถึงปีที่สิบ ในปีนั้นเอง ที่ข้าเริ่มแฝงกายออกไปนอกบ้านได้บ้าง ในยามที่นางเข้าสู่นิทรา ข้าเรียนรู้ว่า ความมืดของรัตติกาล คือ เพื่อนของข้าอย่างแท้จริง มันช่วยปกปิดตัวข้าจากภัยรอบข้างได้เป็นอย่างดี ข้าเรียนรู้ว่า พวกมนุษย์คือ ศัตรูของข้า หากพวกมันพบเห็นข้า มันจะกรูเข้าทำร้ายข้าทันที...

ข่าวลือที่เริ่มแพร่สะพัดในหมู่บ้านว่า มีอสูรตัวเล็ก ๆ มาป้วนเปี้ยนแถบถิ่นที่อยู่ของพวกมนุษย์...

ความขัดข้องหมองใจที่บรรดาชายทั้งหนุ่มและแก่มีต่อนางสโนว์ไวท์ที่ปฏิเสธไมตรีของทุกผู้อย่างไร้เยื่อใย...

ข้าคิดมิถึงเลยว่า สองสิ่งนี้จะทำให้ข้าสูญเสียสิ่งที่ข้ารักเพียงสิ่งเดียวในชีวิตได้...

อา...ความรัก...ใช่สิ ร่างที่กำเนิดขึ้นจากอารมณ์ฝ่ายเลวร้ายนี้ก็รู้จักความรักอันงดงามได้ด้วย แต่มันก็แค่ช่วงเวลาสิบปีที่แสนสั้นเท่านั้น...

คืนนั้น พวกมันยกพวกมานับสิบคนบุกเข้ามาในบ้านของ ‘เรา’

หนึ่งแรงของอิสตรี ไหนเลยจะสู้แรงมหาศาลของบุรุษได้...

‘กิจ’ ของพวกมันที่ย่ำยีบนเรือนร่างของนางดำเนินไปจนครบถ้วนตัวคน...

ข้าเล่า ข้าทำอะไรอยู่ในตอนนั้น... ช่างน่าละอายเหลือเกินที่จะต้องบอกว่า ข้าไม่สามารถขยับเขยื้อนกายได้เลย คงซ่อนตัวอยู่ในมุมห้องด้านใน ร่างสลายกลมกลืนไปกับความมืด เหล่ามนุษย์ที่กรูกันเข้ามาในห้องของข้า เพียงสอดส่ายสายตาสามสี่ครั้งก็สรุปว่าข้าไม่อยู่ พวกมันจึงกลับออกไป ‘สอบสวน’ นางในห้องด้านนอก อำนาจมืดหรืออะไรบางอย่างทำให้ข้าไม่อาจขยับเขยื้อนกายได้ หากแต่สามารถรับรู้เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นในห้องข้างนอกทั้งหมด...

กระแสแห่งความชั่วร้ายไหลจากทุกอณูของอากาศเข้าสู่ตัวข้าอย่างน่าพิศวง ข้ารู้สึกได้ถึงพลังตบะและพลังเวทย์ของตนที่เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ จนตัวเองก็แปลกใจ แต่ข้าก็รับรู้ได้ว่า ความชั่วร้ายที่บรรดามนุษย์กำลังกระทำต่อมนุษย์ด้วยกันนั้นเอง ที่กำลังหล่อเลี้ยงให้ข้าเติบใหญ่เข้าสู่ ‘วิถีมาร’ โดยสมบูรณ์ อำนาจชั่วร้ายเหล่านี้เองที่ทำให้ร่างกายข้าเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน...และก็ยอมรับมันในที่สุด แต่มันก็ทำให้ข้าไม่เป็นตัวของตัวเองไปพักใหญ่

สุดท้าย เมื่อข้าสามารถขยับเขยื้อนตัวได้แล้ว ข้าจึงเคลื่อนกายออกไปนอกห้อง เพื่อพบกับภาพที่ข้าไม่อยากเห็นเลย...

“อสูร!” ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ยังคงเปลือยกายอยู่ เหลือบมาเห็นข้าเป็นคนแรกแล้วก็ตะโกนขึ้นสุดเสียง

ข้าตกเป็นเป้าสายตาของพวกมันทันที รวมทั้งของนางที่ผงกศีรษะขึ้นมาอย่างยากเย็นด้วย

“ออกมาทำไม? หนู...” เสียงแผ่ว ๆ ที่ดังจากริมฝีปากสั่นระริกคู่นั้น

“นางสโนไวท์ เจ้าให้ที่พักพิงแก่อสูรจริง ๆ ด้วย” ชายไว้หนวดท่าทางเป็นผู้นำกลุ่ม และเป็นผู้เดียวที่มิได้ร่วมใน ‘กิจ’ ที่ผ่านมากล่าวขึ้น มันชักดาบเล่มยาวออกจากฝักช้า ๆ

ชายฉกรรจ์อีกหลายคนที่เปลือยกายท่อนบน พากันชักดาบกระชับมั่นในมือ หากแต่สภาพของพวกมันบ่งบอกว่าพวกมันก็ประกอบ ‘กิจ’ นั้นมาแล้วเช่นกันกับพวกที่ยังเปลือยกายยืนล้อมรอบร่างอันบอบช้ำยับเยินของนาง

“ฮึ ๆ ๆ ถ้างั้นพวกเราก็มีข้ออ้างฆ่านังนี่แล้วสิ” ชายคนหนึ่งถึงกับเปรยออกมาอย่างลำพองใจ

“หึหึหึ เจ้าพวกสวะเอ๋ย” ข้าแค่นเสียงต่ำออกมา หากแต่ตอนนั้นอายุของข้าเพียงสิบปี และยังมีรูปร่างเหมือนเด็กชายตัวเล็ก ๆ อยู่ย่อมไม่ทำให้พวกมันหวาดกลัวแต่อย่างใด

“หนีไป...” สตรีผู้เคราะห์ร้ายรวบรวมกำลังอีกเฮือกหนึ่งส่งเสียงออกมา แต่ก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงดัง ฉาด! เมื่อมืออันหยาบกร้านของชายผู้หนึ่งกระหน่ำลงบนแก้มขาว ๆ ของนาง

“ฆ่ามัน!” เสียงสั่งการดังขึ้น ชายผู้มีอาวุธในมือตรงดิ่งเข้าหาข้าทันที

ใบดาบเล่มแล้วเล่มเล่าที่ฟาดฟันกระหน่ำเข้ามาหาตัวข้า หากแต่ไม่มีดาบใดที่จะระคายผิวข้าได้ เนื่องเพราะ...

จากไหล่ของข้าปรากฏอาวุธคู่กาย คือ หนอนแส้ (วิปส์วอร์ม) ทั้งสองเส้นงอกออกไปคล้ายเส้นเถาวัลย์เส้นอวบยาว เลื้อยไปมาในอากาศคอยปิดป้องคมดาบเหล่านั้น มิให้ล่วงเข้ามาทำอันตรายแก่ข้าได้

แต่ข้าก็สายไปก้าวหนึ่ง เสียงกุกกักดังขึ้นจากตำแหน่งที่สโนว์ไวท์นอนอยู่ เมื่อข้าหันสายตาไปทางนั้น ก็พบว่าชายคนเดิมที่เป็นผู้ตบหน้านางกำลังคร่อมตัวบนร่างนาง สองมือของมันบีบคอนางอย่างแน่นพลางกดน้ำหนักตัวของตนเองทั้งหมดลงไป...

ความรู้สึกของข้าบอกว่า ข้าได้สูญเสียนางไปแล้ว...ชั่วนิรันดร์

“พวกเจ้า...” ข้าคำรามได้เพียงแค่นั้น

พลังเวทย์ที่ก่อตัวแน่นในกายข้าก็ระเบิดออกโดยมิพักต้องอาศัยการร่ายมนต์ใด ๆ ข้าควบคุมและส่งผ่านอาคมออกไปโดยตรง ด้วยจิตใจที่เคียดแค้นของข้าเอง...

“...” แววตาที่เริ่มส่อถึงความหวาดกลัวของพวกมันสร้างความสาแก่ใจให้ข้าเป็นอย่างดี... พวกมันคงจะเริ่มรู้สึกได้แล้วถึงบรรยากาศรอบข้างที่เยือกเย็นจนต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง...ความหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจของพวกมันทุกผู้ เว้นแม้ตัวหัวหน้าที่ดูท่าทางสุขุมที่สุดที่ยังไม่ตกในอำนาจเวทย์ของข้า... ร่างของพวกมันเริ่มแข็งจนกระดุกกระดิกไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว...ด้วยตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความกลัวและ...อำนาจแห่งความเย็นของมนต์น้ำแข็ง

“...” ชายฉกรรจ์ผู้เป็นผู้นำเหล่ามนุษย์ต่ำช้าพวกนี้ เริ่มท่องเวทย์ออกมา หึ ข้ารับรู้ได้เลยว่ามันเป็นเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นจุดอ่อนของข้าเสียด้วย แต่น่าเสียดายที่พลังตบะของมันไม่แข็งพอ

“พลังเวทย์พิฆาตมาร” มันหันฝ่ามือยื่นมาทางข้า แสงสีขาวพุ่งใส่ข้าทันที ขับไล่บรรยากาศความมืดที่ห้อมล้อมรอบกายข้าอยู่...แต่ก็เพียงชั่วขณะเท่านั้น

“หึ หึ หึ พลังของเจ้ามีเพียงเท่านี้เองหรือ เศษสวะเอย” ข้าย่างเท้าเข้าหามันช้า ๆ ผ่านท่ามกลางซากน้ำแข็งของพวกมนุษย์คนอื่นที่ยังไม่ถึงกับตาย ได้แต่ทำตาปริบ ๆ มองการประทะกันระหว่างข้ากับมนุษย์คนสุดท้ายในที่นี้อย่างใจจดใจจ่อ

“ย้ากกกกกก” คู่ต่อสู้ชิงลงมือก่อน มันฟาดฟันดาบใส่ข้าอย่างรวดเร็วสมกับเป็นระดับผู้นำ...แต่ ก็ไม่ไวไปกว่าปฏิกิริยาป้องกันตัวของวิปส์วอร์มทั้งสองเส้นที่พุ่งเข้ารับคมดาบนั้นไว้

“?!!!” ข้าขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ คมดาบนั้นจมลึกเข้าไปกว่าครึ่งของเนื้อวิปส์วอร์มทั้งสองเส้น แต่แล้วก็เข้าใจ “หึ ดาบศักดิ์สิทธิ์รึ?”

“ใช่แล้ว เจ้าอสูรร้าย ตายซะเถอะ” มันยิ้มกระหยิ่ม “พลังเวทย์พิฆาตมาร!”

มันเร่งเร้าพลังเวทย์ผ่านตัวกลางคือดาบศักดิ์สิทธิ์ที่มันถืออยู่ คราวนี้ พลังเวทย์แทรกซึมเข้าร่างกายข้าทางคมดาบ

“อั๊ก” ข้าอุทานออกมาอย่างเจ็บปวดเพียงคำเดียวเท่านั้น ความโกรธก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุด “บังอาจนัก เจ้าเศษสวะ”

พลังมนต์ดำระเบิดออกจากตัวข้าโดยไม่ต้องออมมือกันอีกแล้ว...

สิบวินาทีต่อมา....รอบกายข้าก็เหลือแต่ความว่างเปล่า...ซากศพเหล่ามนุษย์...ดาบศักดิ์สิทธิ์...บ้านหลังน้อยที่ข้าเคยอาศัยอยู่...แม้กระทั่งหิมะบนพื้นดินรอบตัวข้า...ทุกอย่างในรัศมีห้าเมตรรอบตัวข้าหายไปหมดสิ้น คงเหลือแต่ความว่างเปล่า...

หึ เศษสวะก็คือเศษสวะ ไม่ได้เรื่อง

แต่...ศพของนางก็พลอยหายไปด้วย!

ข้าฉุกคิดถึงเรื่องนี้ได้แต่แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น ดีเหมือนกัน...ไม่มีศพนางให้เป็นเครื่องเตือนใจข้าอีก...

นับแต่วันนั้นเองที่ข้าเข้าสู่ ‘วิถีมาร’ โดยสมบูรณ์

นามของข้าที่ข้าใช้ นับจากวันนั้นคือ “จาโด้” (มาจากคำว่า จะโด จะ = มาร, ความชั่วร้าย โด = วิถีแห่ง, ถนน)

...

ข้าใช้ชีวิตอยู่ในความมืด ท่องเที่ยวไปในเนฟเวอร์แลนด์ โดยหลีกเลี่ยงที่จะพบปะผู้คนไม่ว่าจะเป็นอสูร หรือมนุษย์ ร้อยกว่าปีผ่านไป จวบจนข้าเริ่มคิดว่าพลังตบะของข้าแข็งกล้าขึ้นมากแล้ว และเริ่มมั่นใจในแนวคิดของตัวเองที่ว่า เผ่าอสูรสมควรเป็นผู้ปกครองเนฟเวอร์แลนด์ หาใช่เผ่ามนุษย์ที่ครอบครองดินแดนส่วนใหญ่อยู่ในขณะนี้ไม่

ตอนนั้นเอง ข้าก็ได้ข่าว...

จอมราชันย์อสูรจาเนสให้กำเนิดบุตรีกับสาวชาวมนุษย์

บ้าที่สุด มันคิดอะไรของมันนะ แทนที่จะนำเผ่าอสูรให้กลับสู่ความเกรียงไกรเหมือนเดิม มันกลับมีลูกกับสาวชาวมนุษย์ที่ต่ำต้อยนั้นเล่า...

ข้าตกลงใจ ณ บัดนั้นว่าข้าจะฆ่า ‘น้องสาว’ คนนี้ด้วยมือของข้าเอง...

ห้าปีต่อมา เกิดศึกใหญ่ซึ่งถูกขนานนามภายหลังว่า ‘ศึกธรรม-อสูร’ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นสงครามที่ดุเดือดและสร้างความเสียหายแก่ทุกเผ่าพันธุ์หนักหนาสาหัสที่สุดในช่วงที่ข้าลืมตาดูโลกนี้ขึ้นมา ศึกนี้กลับจบลงในเวลาสั้นเกินคาด ด้วยการเจรจาสงบศึกที่เสนอโดยจาเนสผ่านทางนางมนุษย์ผู้นั้น

ข้าหมดความอดทนต่อแนวทางของจาเนสทันที เสียดายที่กว่าข้าจะทราบข่าวนั้น ก็ล่วงไปอีกหนึ่งเดือน และขณะนั้นข้าอยู่ในดินแดนที่ห่างไกลจากนีโอกลาดมากเสียด้วย

อย่างไรก็ตามเดือนแปดปีนั้น ข้าก็เดินทางไปถึงนีโอกลาด ระหว่างทาง ข้าก็ได้พบกับ ‘น้องสาว’ โดยบังเอิญ กำลังจะถูกพวกมนุษย์ฆ่าเลยล่ะ...แต่มันก็สามารถใช้เวทย์เพลิงได้ทั้งที่ยังไม่รู้จักการท่องมนต์คาถาเสียด้วยซ้ำ... ช่วยไม่ได้ จะปล่อยให้มันตายด้วยน้ำมือเศษสวะได้อย่างไรกัน ข้าจึงตัดสินใจสอดมือเข้าไปช่วยชีวิตมันไว้...

และในวันรุ่งขึ้น ข้าก็ได้เผชิญหน้ากับจาเนสสมความตั้งใจ...

ความเห็นของเราเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบกันได้ ข้าจำได้ว่าประโยคสุดท้ายที่เราพูดกันคือ

“ทำไมกัน เจ้าคิดอะไรอยู่แน่ บอกให้ข้ากระจ่างด้วยเถิด!” แน่นอนไม่มีคำตอบจากมัน

การสู้รบระหว่างเราสองคนจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...

...

ร่างอันมีผิวสีขาวโพลนในชุดม่วงทึมที่ยืนนิ่งอยู่ในความมืดนั้น ขยับตัวเหมือนจะตื่นจากภวังค์

ใช่ ตื่นจากภวังค์ความคิด...เพราะเขาคิดมากเกินไปเสียแล้ว...

“จาเนสสิ้นชีพแล้วหรือ?” ริมฝีปากบนหน้าขาวซีดดูน่ากลัวพึมพำพูดกับตนเองเบา ๆ “หึ สุดท้ายเจ้าก็เป็นฝ่ายผิด จาเนสเอ๋ย คนที่ตายไปจะทำอะไรต่อได้เล่า?”

บนไหล่ของชายหนุ่มผู้นี้ เริ่มปรากฏเงายาวคล้ายงูงอกขึ้นไปเหนือศีรษะแล้วมันก็ม้วนตัวพับทบลงมาครึ่งหนึ่ง ดูเผิน ๆ เหมือนกับเครื่องเกราะพิเศษที่ติดกับเสื้อของชายหนุ่มผู้นี้...แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาต่างหาก ร่างกายของเขาตื่นจากการถูกสะกดไว้ถึงสิบเอ็ดปีอย่างเต็มที่แล้ว!!

‘หึ ในที่สุดข้าก็พ้นจากยันต์สะกดของเจ้าจนได้’ เขา- จาโด้ ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยหาญกล้าเข้าต่อสู้กับบุรุษที่ทรงพลานุภาพสูงสุดบนผืนดินเนฟเวอร์แลนด์อย่างสูสี จนต้องใช้เวลาการตัดสินแพ้ชนะถึงหนึ่งร้อยวัน- รำพึงในใจ ‘ข้าจะทำตามสิ่งที่ข้าเคยใฝ่ฝันไว้บ้างละนะ’

ชายหนุ่ม-แต่เพียงรูปกายภายนอก หากแต่แท้จริงแล้ว ณ บัดนั้น ปีอสุรศักราชที่ 996 อันเป็นปีที่สิ้นจอมราชันย์อสูรจาเนส เขาอายุถึง 155 ปีแล้ว- หันไปมองทางทิศตะวันตก ซึ่งเขารู้ดีแก่ใจว่าเป็นที่ตั้งของปราสาทนีโอกลาด สายตาครุ่นคิดจับจ้องไปทางทิศนั้นอยู่นาน ก่อนจะทิ้งถ้อยคำไว้ว่า

“รอข้าก่อนเถิด ข้าจักกลับมาแน่ ในฐานะจอมราชันย์อสูรคนใหม่”

แต่ตอนนี้ ขอเวลาไปเตรียมการหลาย ๆ อย่างก่อนเถิด- เขาคิดต่อในใจ

‘จะไม่มีคำว่า พลาด หรือ แพ้ สำหรับข้าอีกต่อไป!!!’

...

ปีอสุรศักราชที่ 841 จาเนสให้กำเนิดบุตรชาย ซึ่งภายหลังใช้นามว่า จาโด้

ปีอสุรศักราชที่ 851 หญิงสาวนามสโนว์ไวท์ผู้ดูแลจาโด้ ถูกพวกมนุษย์ในหมู่บ้านเดียวกันสังหาร และนั่นเป็นครั้งแรกที่จาโด้ใช้เวทย์มนต์อันมีฤทธิ์เป็นไสยดำและน้ำแข็งของตน จาโด้-เจ้าชายแห่งความมืดเข้าสู่วิถีมาร นับตั้งแต่บัดนั้นเอง

และเรื่องราวหลังจากนั้นก็เป็นที่ทราบกันดีแล้ว

ปี 985 เกิดศึกธรรม-อสูร ซึ่งจบลงด้วยการเจรจาระหว่างมาเรียและห้าผู้กล้า

เดือนแปด ปีเดียวกัน ฮิโระสูญเสียแขนซ้าย และเกิดศึกร้อยวันระหว่างจาเนสกับจาโด้ รวมทั้งเหตุการณ์อื่น ๆ อีกมากมาย

ปี 996 จาเนสสิ้นชีวิตภายใต้ดาบอสูรฟ้าของซิฟอน และปีเดียวกันนั้นเองที่จาโด้ก็ฟื้นจากการถูกลงยันต์สะกดเนื่องเพราะผู้ลงยันต์คือ จาเนสได้สูญจากโลกไปแล้ว

วิถีมารเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง...ก่อนหน้าที่ฮิโระจะสถาปนาทัพอสูรสายเลือดใหม่เสียด้วยซ้ำ...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1