มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ฝ่าวิกฤติ: เงามืดแห่งภัยพิบัติ

ตีพิมพ์ครั้งแรก 17 พ.ย 45

ตัวละครใหม่ :
kaldina.jpg
คาลดิน่า (แพทย์, จอมขมังเวทย์- เฉพาะเวทย์แสงสว่าง)


บรรยากาศอันอบอวลด้วยกลิ่นเหม็นสาบ หมอกอึมครึมปกคลุมทั่วบริเวณเห็นเป็นสายควันบาง ๆ ทั้งที่ขณะนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว แสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านเมฆครึ้มบนท้องฟ้าลงมามีเพียงแสงอ่อน ๆ เท่านั้น เสียงนกแร้งและนกอีกหลายชนิดที่บินวนบนท้องฟ้าดังกระทบโสตประสาทเป็นระยะ ๆ สัตว์เล็ก ๆ ที่กินซากศพเป็นอาหารวิ่งไปมาทางนั้นทางนี้ให้เห็นประปราย

ขบวนคนกลุ่มนั้นที่นำหน้าด้วยสตรีสาวหน้าตาสดใส ผมสีเงินยาวถึงกลางหลังผูกรวบไว้เป็นเปียเส้นโตอย่างประณีต สายตาที่เธอมองไปรอบข้างทอประกายความเศร้าสลดและสังเวช ด้านหลังเธอ เป็นคณะติดตามซึ่งประกอบด้วยชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เปลือยกายท่อนบนซึ่งประดับไว้ด้วยสร้อยเส้นโตเส้นเดียว และที่เอวสะพายดาบเล่มใหญ่ไว้เล่มหนึ่ง ซึ่งเขาเป็นผู้เดียวที่สามารถสะพายดาบเช่นนี้ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในอาณาเขตวัง หรืออยู่นอกสถานที่ดังเช่นวันนี้ก็ตาม นอกจากผู้นี้ ยังมีชายชราท่าทางผอมบางอีกคนหนึ่ง และที่เหลือเป็นขบวนทหารอัศวิน บนเกราะหน้าอกของบรรดาทหาร มีตราแผ่นดินของแพลททิเซลเวอร์ประดับอยู่เห็นอย่างชัดเจน

เบื้องหน้าของทุกคน หมู่บ้านซึ่งมีลักษณะเป็นกระท่อมเล็ก ๆ ที่ปลูกไว้เรียงรายอย่างไม่หนาแน่นนัก ปรากฏให้เห็นต่อสายตา หากแต่ทุกคนรับรู้ได้ด้วยสัมผัสทั้งหกว่า บรรยากาศวังเวงเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและความสิ้นหวังอย่างเต็มที่

ตามทางเดินและหน้าประตูบ้านของบ้านบางหลัง มีร่างอันทรุดโทรมของหญิงชายชาวบ้าน นอนระเกะระกะอยู่ทั่วไป บรรดาคนเหล่านี้มีสีผิวเหลืองซีด สภาพร่างกายขมุกขมอม มองดูก็รู้ว่ากำลังนอนรอความตายกันแท้ ๆ

“โรคระบาดหนักจริง ๆ นะนี่ ท่านผู้ใหญ่บ้าน”

“ขอรับ...” ชายชราที่ทำหน้าที่ต้อนรับคณะอาคันตุกะตอบ “มันเป็นโรคประหลาดจริง ๆ องค์ราชินี ข้าเองก็เกือบไม่รอด ถ้าไม่ได้อาศัยว่ามีท่านหมอมาพักอยู่ในหมู่บ้านนี้ด้วยพอดีละก็...”

“อืม เป็นหมู่บ้านแรกที่เราตรวจเยี่ยมมา ที่มีผู้รอดชีวิตนะนี่.... ท่านพาเราไปพบนายแพทย์ผู้นั้นได้ไหม?”

“ขอรับ”

ทั้งคณะเริ่มเคลื่อนขบวนอีกครั้ง ขุนพลเอกแห่งแพลททิเซลเวอร์เปรยกับราชินีของเขาว่า

“ตรวจมาถึงหมู่บ้านที่หก เพิ่งได้เจอคนรอดชีวิตนะขอรับ นี่มันเกิดอาเพทใดขึ้นนี่?”

“อืม อาจจะไม่ใช่อาเพทก็ได้ ท่านบ๊ากแบท”

“เอ๊ะ หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”

“เราสอบถามข้อมูลเพิ่มจากนายแพทย์ท่านนั้นก่อนเถิด...”

ราชินีศักดิ์สิทธิ์ตอบพลางทอดสายตาไปข้างหน้าอย่างเลื่อนลอย บ๊ากแบทสังเกตได้ว่าเธอกำลังเข้าสู่ภวังค์ความคิดอีกครั้ง

...

ตั้งแต่เข้าปีใหม่ คือ อสุรศักราชที่ 997 มา หลังจากทั่วเนฟเวอร์แลนด์ตื่นตระหนกกับข่าวการสถาปนากองทัพอสูรสายเลือดใหม่ของเจ้าหญิงฮิโระแล้ว สำหรับทางแพลททิเซลเวอร์เองก็ประสบเหตุอาเพทประหลาดคือ มีรายงานว่าหมู่บ้านตามแนวชายแดนทิศเหนือเกิดโรคระบาด ทำให้ชาวบ้านล้มตายเป็นจำนวนมาก กว่าข่าวนี้จะมาถึงเมืองหลวง ซึ่งราชินีลิตเติลสโนว์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบรุดไปตรวจดูเหตุการณ์ด้วยตนเองทันทีนั้น สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงหมู่บ้านรกร้างว่างเปล่า เต็มไปด้วยซากศพเหม็นเน่า จวบจนกระทั่งวันนี้เอง ที่คณะตรวจข้อเท็จจริงอันนำด้วยประมุขสาวของแคว้นได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านนี้และพบคนรอดชีวิตจากโรคระบาดเป็นครั้งแรก

สำหรับหมู่บ้านที่ผ่าน ๆ มา ลิตเติลสโนว์ไม่มีทางเลือก ได้กำหนดบรรดาที่ตั้งหมู่บ้านเดิมเหล่านั้นเป็นเขตห้ามเข้า แล้วสั่งฌาปนกิจทั้งศพและทั้งหมู่บ้านไปพร้อมกันด้วย เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่ยังเหลืออยู่จะแพร่ระบาดต่อไป โดยเขตห้ามเข้าเหล่านั้นยังคงมีต่อไปอีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แน่นอนว่าบรรดาคณะติดตามมีนายแพทย์หลวงมาด้วยและทุกคนได้ทานยาป้องกันต่าง ๆ รวมทั้งมีการตรวจเช็คร่างกายทุกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจสำรวจแต่ละหมู่บ้าน

...

ชายชราหัวหน้าหมู่บ้าน พาคณะของราชินีมาถึงโบสถ์กลางหมู่บ้านซึ่งเป็นโบสถ์ในลัทธิโคเรียนั่นเอง ที่นั่นบัดนี้แปรสภาพกลายเป็นสถานพยาบาล บรรดาผู้รอดตายล้วนได้รับการรักษาและพักฟื้นที่นี่...

ท่ามกลางกลุ่มคนไข้ที่กำลังนอนรอการตรวจรักษา ที่มีอาการดีหน่อยก็ลุกขึ้นเดินเหินช่วยงานของหมอได้บ้าง ลิตเติลสโนว์กวาดสายตาหาร่างของนายแพทย์ได้ไม่ยาก....ไม่ใช่นายแพทย์หรอกแต่เป็นแพทย์หญิง

สตรีสาวร่างสูงโปร่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าพื้นบ้านของแพลททิเซลเวอร์ ผมสีม่วงยาวปรกต้นคอ กำลังจัดยาให้ผู้ป่วยมือเป็นระวิง หากแต่ทางนั้นก็รับรู้ถึงการมาของอาคันตุกะคณะใหม่นี้ได้ทันทีเช่นกัน สายตาของสองสาวสบกันแวบหนึ่ง ก่อนที่ฝ่ายที่อยู่ก่อนจะวางมือจากงานของตนลุกขึ้นเดินเข้าหา พลางมองไปทางหัวหน้าหมู่บ้านเป็นเชิงถาม

“แม่หมอ ลำบากท่านแล้ว หมู่บ้านเราเป็นหนี้บุญคุณท่านจริง ๆ”

“หามิได้ การช่วยเหลือชีวิตผู้อื่นเป็นหน้าที่ของผู้มีวิชาแพทย์เช่นข้าอยู่แล้ว” เสียงค่อนข้างห้าวกว่าสตรีทั่วไปตอบมา

“เอ่อ ท่านนี้คือ ราชินีแห่งแคว้นแพลททิเซลเวอร์เรา ท่านเร่งรุดมาตรวจสถานการณ์เรื่องโรคระบาดนี่”

“อ้อ ที่แท้เป็นท่านราชินีนั่นเอง ข้าคาลดิน่า ขอน้อมคารวะ” แม่หมอ นามคาลดิน่ายอบกายลงแสดงความเคารพทันที

“ไม่ต้องพิธีรีตองไปหรอก ท่านคาลดิน่า” ลิตเติลสโนว์รับยื่นมือไปพยุงให้อีกร่างยืนขึ้นตรงเหมือนเดิม “เราต่างหากต้องขอบใจท่าน ที่ช่วยชีวิตประชาชนของเรา”

“เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว...”

“ท่านมิใช่คนที่นี่กระมัง?”

คาลดิน่าสบตากับลิตเติลสโนว์อีกครั้ง สายตาสองสาวประสานกันอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้นานกว่าเดิม ก่อนที่คาลดิน่าจะตอบว่า

“ข้าเป็นคนของแพลททิเซลเวอร์นั่นแหละ องค์ราชินี ข้าเกิดที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปทางตะวันออกของที่นี่ หลังจากที่ข้าสำเร็จวิชาแพทย์และ... เวทย์มนต์บ้างตามที่ข้าตั้งใจไว้ ข้าก็เดินทางกลับบ้านแต่ระหว่างทางที่แวะมาหมู่บ้านแห่งนี้ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน .... ท่านราชินีมีอะไรสงสัยข้ากระมัง?”

“หึ หามิได้....” ลิตเติลสโนว์ตอบพลางยิ้มให้อย่างอ่อนหวาน แต่สายตาที่ยังคงจับจ้องอีกฝ่ายบ่งบอกให้เห็นว่า เธอกำลังพิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วนทีเดียว “เราทราบว่าท่านเชื่อใจได้ คาลดิน่า... เราสัมผัสถึงพลังเวทย์บริสุทธิ์ในตัวท่านได้...”

‘?!!!’ บ๊ากแบทที่ยืนอยู่ห่างไปสองก้าวขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ หากเป็นพลังเวทย์บริสุทธิ์หรือเวทย์แห่งแสงสว่างจริง เขาน่าจะสำเหนียกได้บ้าง แต่นี่เขาไม่รู้สึกอะไรเลย... แต่แล้วเขาก็หาคำตอบให้ตนเองว่าคงเพราะหมอสาวผู้นี้มีเวทย์น้อยเกินไปนั่นเอง

“ถูกแล้ว ข้าสามารถใช้เวทย์แสงสว่างได้ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

“อืม... เอาล่ะ เราอยากให้ท่านช่วยเล่ารายละเอียดของโรคระบาดนี้ให้เราและหมอหลวงฟังด้วย” ลิตเติลสโนว์กล่าวต่อ พลางกวักมือเรียกให้หมอหลวงที่มากับคณะตนเดินไปสมทบ “จากนี้ คณะหมอหลวงจะช่วยงานนี้เอง ลำบากท่านมาหลายวันต้องขออภัยด้วย”

“หามิได้...ได้หมอหลวงจากในวังมาช่วย ย่อมเป็นบุญของชาวบ้านแล้ว” คาลดิน่ายิ้มออกมา แต่แล้วก็เหมือนกับนึกอะไรได้ “หากแต่... เอ้อ... ”

“มีอะไรหรือ? พูดไปเถิดไม่ต้องเกรงใจ”

“ไม่ทราบว่า หมอที่มาด้วยนี้ มีพลังเวทย์แสงสว่างด้วยหรือไม่?”

ราชินีหันไปมองทางแพทย์หลวงเป็นเชิงให้อีกฝ่ายตอบเอง ซึ่งที่จริงเธอก็ทราบคำตอบอยู่แล้ว

“ข้ามิได้เป็นจอมขมังเวทย์หรือนักบวช ย่อมไม่อาจใช้เวทย์มนต์ได้ แม่หญิงถามเช่นนี้หมายความว่ากระไรหรือ?”

“อืม... เรียนพวกท่านตามตรง โรคระบาดครั้งนี้ร้ายแรงนัก เท่าที่ผ่านมา นอกจากต้องให้ยาสมุนไพรแล้ว ข้าต้องใช้พลังเวทย์รักษากำกับเข้าไปด้วยจึงสามารถช่วยทรงอาการให้บรรดาคนไข้ได้...” หมอหญิงกวาดสายตาไปทางบรรดาคนไข้ที่โบสถ์นั้น แล้วก็ลดเสียงลง “และก็แค่ทรงอาการไว้เท่านั้น หาได้สามารถรักษาให้หายขาดไม่”

“ท่านว่ากระไรนะ?” ทั้งลิตเติลสโนว์, หมอหลวง รวมทั้งบุคคลที่เหลือล้วนตระหนกกับความจริงที่ได้รับฟังไปตาม ๆ กัน

“เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะเล่าอาการของโรคนี้ พร้อมด้วยวิธีรักษาที่ข้าได้ทำมาก็แล้วกัน”

ลิตเติลสโนว์หันไปสบตากับบ๊ากแบทอย่างหนักใจ สิ่งที่เธอสงสัยดูท่าจะเป็นจริงเสียแล้ว ฝ่ายหลังเองหลังจากได้รับฟังคำเปรยของเธอมาบ้างก่อนหน้า ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเรื่องราวคงใหญ่หลวงกว่าที่คิด

...

เท่าที่สรุปจากปากของคาลดิน่า โรคระบาดในหมู่บ้านนี้เริ่มเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อน อันเป็นวันก่อนหน้าที่เธอจะเดินทางมาถึงหมู่บ้านนี้เป็นเวลาสองวัน ชาวบ้านมีอาการอ่อนระโหยโรยแรงโดยไม่ทราบสาเหตุแล้วก็เริ่มล้มหมอนนอนเสื่อกันเป็นแถว เริ่มจากเด็กและคนชราก่อน แล้วตามด้วยหนุ่มสาวในวัยทำงานที่มีร่างกายแข็งแรงก็ยังคงล้มป่วยจนได้ในที่สุด ช่วงสามวันแรก อาการเพียงเป็นอาการอ่อนเพลียอย่างหาสาเหตุไม่ได้ แต่เริ่มขึ้นวันที่สี่ ก็เริ่มปรากฏว่าร่างกายผู้ป่วยทรุดโทรมลงทุกขณะ ระบบทางเดินอาหาร ระบบหายใจ ระบบขับถ่ายเริ่มไม่ทำงาน ผิวกายสีเหลืองซีด แล้วในที่สุดก็ตายไป... โดยไม่มีใครรู้เลยว่ามันเป็นอาการของโรคใด และมีสาเหตุจากอะไร

คาลดิน่าเองซึ่งเดินทางมาถึงหมู่บ้านนี้ในวันที่สามหลังจากเริ่มเกิดโรคระบาด ก็ได้ทดลองรักษาดูตามวิชาแพทย์ที่ตนเองเรียนมา แต่ไม่สามารถทำให้อาการกระเตื้องได้แม้แต่น้อย ผ่านไปอีกสองวัน ขณะที่ดูใจของเด็กชายหญิงกลุ่มหนึ่งที่กำลังตัวเหลืองซีดและมีลมหายใจแผ่วลงทุกขณะ คาลดิน่าก็ได้ลองใช้เวทย์รักษาดู ที่จริงมันเป็นเพียงบทอำนวยพรเพื่อเสริมสร้างพลังชีวิตและความแข็งแรงให้อีกฝ่ายเท่านั้น แต่ปรากฏว่ามันได้ผลเกินคาด อาการของเด็กเหล่านั้นดีขึ้นทันตาเห็น หมอหญิงจึงเริ่มรักษาด้วยสมุนไพรควบคู่กับการให้เวทย์แสงสว่างตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งก็ช่วยยืดอายุของคนที่เหลือในหมู่บ้านได้ส่วนใหญ่...

“แต่ พลังเวทย์ของข้าก็มีจำกัด และข้าก็ใช้มันทั้งวันทั้งคืน จนเกือบหมดแล้วด้วย....” เป็นรายงานคำสุดท้ายของคาลดิน่า

บ๊ากแบทนึกในใจทันทีว่า มิน่าเล่า เขาจึงหยั่งรู้ถึงพลังเวทย์ของอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะเธอใช้มันไปจนตอนนี้แทบไม่เหลือในกายแล้วนั่นเอง ตามปกติการใช้พลังเวทย์ย่อมไปบั่นทอนพลังเวทย์ที่สะสมในกายของผู้ใช้นั้นลงไป จะมากจะน้อยขึ้นกับระดับตบะของผู้ใช้และระดับความรุนแรงของเวทย์ที่ใช้ไปนั้น หากแต่ได้พักฟื้นเสียหน่อยก็ย่อมฟื้นฟูพลังเวทย์กลับมาได้ เพียงแต่ในกรณีของคาลดิน่า เธอคงไม่มีโอกาสทำเช่นนั้น

“อืม” ลิตเติลสโนว์รับฟังรายงานทั้งหมดแล้วก็หลับตานิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง

หมอหลวงมีสีหน้าทอประกายหนักใจ นี่มันโรคประหลาดอะไรกันนี่?....

ไม่มีใครรู้ว่า ลิตเติลสโนว์กำลังติดต่อกับซิลเวียสนั่นเอง

“ท่านคิดว่าอย่างไรบ้าง เทพมังกรเงิน?”

“ข้าคิดว่ามันไม่ใช่โรคหรอกเด็กน้อย.... อาการแบบนี้เป็นอาการของคนโดนคุณไสยมากกว่า”

“อืม ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน หากเป็นคุณไสยจริง ก็ต้องมีผู้อยู่เบื้องหลัง และ... การเล่นงานคนหมู่มากด้วยคุณไสย ต้องมีพาหะ”

“ใช่แล้ว ไม่เสียที ที่เจ้าดูดซับองค์ความรู้ทั้งมวลเกี่ยวกับเนฟเวอร์แลนด์ไปตั้งมาก ระหว่างที่เจ้าเดินทางผ่านมิติมา ข้าคิดว่าเจ้าวิเคราะห์ถูกต้องแล้ว”

“หากแต่ แม้ข้าวิเคราะห์สาเหตุที่มาของโรคระบาดครั้งนี้ได้แล้ว แต่ข้ากลับไม่ทราบวิธีแก้ไข”

“เพราะเจ้ายังขาดเพียงประสบการณ์เท่านั้นเอง ไม่ต้องคิดมากหรอก แก้ตามสาเหตุ ก็ใช้ได้แล้ว... อ้อ.. ชายแดนที่เจ้าอยู่ตอนนี้ เป็นเขตที่ติดกับแคว้นเอจูสิท่า...”

“ท่านหมายความว่า.... อืม เข้าใจแล้ว”

ลิตเติลสโนว์หยุดการติดต่อกับเทพพิทักษ์ของตนผ่านทางไม้เท้าปัญญาเพียงเท่านั้น เธอลืมตาขึ้น แล้วก็สั่งงานว่า

“เอาล่ะ เราเข้าใจแล้ว ท่านหมอหลวง ท่านจงจัดยารักษาอาการของผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้เถิด เราหวังว่าท่านคงมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าจะทำอย่างไร”

“ขอรับ ข้าก็คงจัดยากระตุ้นเลือดลม ยาฟื้นฟูและยาบำรุง เพื่อให้ร่างกายผู้ป่วยสามารถกลับเป็นปกติได้ แต่ว่า.... เรื่องที่ต้องใช้เวทย์แสงสว่างช่วยด้วยนี่สิ ข้า...”

“เรื่องนั้นเราจัดการเอง ท่านเตรียมทำงานของท่านไปเถิด... ส่วนท่านคาลดิน่า... เราขอบใจท่านอีกครั้งหนึ่ง บัดนี้ขอให้ท่านพักผ่อนให้เต็มที่เถิด มิฉะนั้นท่านอาจจะต้องสูญเสียพลังเวทย์ของท่านไปอันเนื่องจากการหักโหมใช้มันเกินกำลัง”

“โอ ท่านทราบด้วย.... ขอบคุณองค์ราชินีที่เป็นห่วงข้า แต่...หากไม่ใช้พลังเวทย์ช่วยดึงอาการไว้...”

“ท่านช่างห่วงใยชีวิตคนอื่นนัก เราดีใจที่ได้มีโอกาสพบคนดี ๆ เช่นท่าน... เอาเช่นนี้เถิด ท่านตามเรามาก็แล้วกัน”

“.... ค่ะ”

หมอหญิงรับคำโดยยังอ่านความคิดอีกฝ่ายไม่ออก ลิตเติลสโนว์สั่งให้ทหารที่เหลืออยู่คุ้มกันหมอหลวงและคอยช่วยหมอหลวงทำงาน ส่วนเธอพร้อมด้วยบ๊ากแบทและคาลดิน่า ก็ออกเดินไปทางลานกว้างกลางหมู่บ้าน

ณ ที่นั้น ราชินีสาว หยุดยืนกวาดสายตามองไปรอบด้าน แล้วเธอก็เดินไปหยุดห่างจากบ่อน้ำใหญ่ซึ่งดูท่าจะเป็นบ่อน้ำประจำหมู่บ้านสองสามเมตร ก่อนจะเริ่มสำรวมสมาธิ

หมอกควันในบริเวณนั้นหนาแน่นขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป ในที่สุด ลิตเติลสโนว์ก็ยื่นมือออกไปเบ้องหน้า หันฝ่ามือไปทางบ่อน้ำนั้น ลำแสงสีขาวบริสุทธิ์พวยพุ่งจากฝ่ามือเธอตรงไปยังเป้าหมายทันที

“วี้ด วี้ด..............อ๊ากกกกกกกกกกกกกกก ทรมาน ทรมานเหลือเกิน!”

เสียงหวีดร้องดังลั่นมาจากทั่วทุกทิศทาง แล้วก็พลันปรากฏเงาสำดำนับหลายสิบสายพุ่งขึ้นจากบ่อน้ำ แล้ววนบินฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศ บรรดาทหารจำนวนเล็กน้อยที่ติดตามมาตื่นตระหนก หน้าถอดสีไปตาม ๆ กัน มีเพียงบ๊ากแบท และคาลดิน่าที่ยังยืนได้อย่างสงบ สายตาจับจ้องที่ ‘ภูติ’ เหล่านั้นไม่กระพริบตา

“อย่างนี้นี่เอง” สองชายหญิงร้องครางออกมาเกือบจะพร้อมกัน

“ใครส่งพวกเจ้ามา วิญญานพเนจรเอย?” เสียงราชินีศักดิ์สิทธิ์

เงาดำทั้งหลายนั้นยังคงบินฉวัดเฉวียนไปมา ไม่ยอมตอบคำถาม แล้วมันก็พุ่งเข้าหาร่างของราชินีสาวพร้อมกันราวกับนัด ด้วยอาการมุ่งร้ายเต็มที่!

“ระวัง!” บ๊ากบาทกระชากดาบออกมาทันที อย่าได้ประมาทขุนพลผู้นี้ไป ถึงแม้นเขาไม่มีพลังเวทย์แสงสว่างก็จริง แต่ดาบของเขาก็มีฤทธิ์เป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพร้ายแรงพอสมควรเลยทีเดียว สมกับเป็นอดีตมือขวาของราชารูเนจจู

“เคนมะเรนซัน” ดาบเล็บมังกรขั้นสูงถูกใช้ออกมาอย่างเร่งรีบ เพื่อปลดปล่อยพลังคลื่นดาบสุญญากาศพุ่งตรงไปยังบรรดาภูติร้ายที่กำลังมุ่งหน้าเข้าหาราชินีลิตเติลสโนว์อย่างกระหายเลือด

ฉัวะ ๆ ๆ ๆ พลังคลื่นดาบกระทบกับเงาดำเหล่านั้นก่อนที่พวกมันจะบรรลุเป้าหมาย เงาดำหลายเงาถูกตัดขาดเป็นริ้ว ๆ แล้วสลายหายไป ด้วยคลื่นดาบนี้เป็นพาหะนำพลังเวทย์ศักดิ์สิทธิ์จากดาบของบ๊ากแบทมาด้วย แต่อย่างไรก็ตามบรรดาเงาดำที่ยังเหลืออยู่ก็เพียงชะงักไปวูบหนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันพุ่งเข้าหากลุ่มของบ๊ากแบทและคาลดิน่าที่ยืนอยู่กับพวกทหาร บางส่วนของเงาดำ ตั้งหลักพุ่งหมายเข้าจู่โจมต่อลิตเติลสโนว์อีกครั้ง

“บ๊ากแบท คุ้มครองคาลดิน่าด้วย!”

เป็นเสียงสั่งการของราชินี ขาดคำรอบกายเธอก็มีแสงสว่างสีนวลเปล่งประกายออกมา แสงสว่างนั้นขยายพื้นที่ออกไปเรื่อย ๆ โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ตัวของเด็กสาวผมเงิน ภูติร้ายในร่างของเงาดำประมาณเกือบสิบสายที่กำลังพุ่งเข้าหาเธอล้วนแต่ประทะกับแสงสว่างนี้แล้วเกิดเป็นอัคคีสีขาวบริสุทธิ์ลุกพรึบขึ้นทั่วร่าง

“โอ๊วววววววววววว”

เสียงร้องโหยหวนดังร่างร่างดำเหล่านั้น ก่อนที่พวกมันจะสลายร่างหายไป

อีกทางหนึ่ง บ๊ากแบทควงดาบยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้าของนายแพทย์หญิงและทหารของตนที่ยังตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ดาบของบ๊ากแบทกวัดแกว่งเป็นวงกว้าง ฟาดฟันเข้าใส่บรรดาเงาดำที่พุ่งเข้ามาอย่างกระหายเลือด เสียงดังฉัวะ ๆ สลับกับเสียงหวีดร้องของภูติพรายดังแสบแก้วหู ภูตร้ายส่วนหนึ่งบินอ้อมไปถึงตัวคาลดิน่าและทหารจนได้ แต่...

“เวทย์ไล่ผี!” คาลดิน่าซึ่งเมื่อครู่หลับตาลงได้ลืมตาขึ้นแล้วประกบมือทั้งสองข้างเป็นรูปตัวอักขระโบราณ ก่อนจะยื่นชี้ไปทางเงาดำสี่ห้าสายที่กำลังวิ่งมาทางตนทันที ที่แท้เธอหลับตาสำรวมจิตและท่องคาถาตั้งแต่เมื่อตอนที่เห็นบรรดาเงาดำเริ่มพุ่งเข้าโจมตีลิตเติลสโนว์ในระลอกแรกแล้วนั้นเอง

วี้ด ๆ ๆ เสียงหวีดแหลมดังลั่นอีก แสงประกายสีขาวจากปลายนิ้วชี้ของคาลดิน่าพุ่งตรงเข้าใส่บรรดาเงาดำที่พุ่งตรงเข้ามา ปรากฏไฟศักดิ์สิทธิ์ลุกพรึบขึ้นท่วมร่างพวกมันคล้ายกับที่เป็นผลจากเวทย์จากลิตเติลสโนว์ แล้วร่างเงาดำสายสุดท้ายก็สลายตัวไป

...

“...”

ลิตเติลสโนว์มองไปรอบกายก่อนที่จะร้องถามมา

“พวกท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ไม่มีใครได้รับอันตราย ราชินี” บ๊ากแบทหันกลับไปสำรวจความเสียหายฝ่ายตนแล้วร้องตอบ ก่อนที่จะหันไปทางคาลดิน่าอีกครั้ง “ดีที่ท่านคาลดิน่ายังคงเหลือพลังเวทย์พอจะคุ้มกันกายได้บ้าง มิฉะนั้นคงแย่แน่...”

“ก็โชคดีที่ท่านบ๊ากแบทอยู่ด้วยเช่นกัน ลำพังข้าคนเดียวคงไม่มีเวลาร่ายคาถาได้ทันหรอก...” คาลดิน่ากล่าวตอบ

ลิตเติลสโนว์เดินช้า ๆ ไปยังบ่อน้ำ ซึ่งมีลักษณะเป็นบ่อก่อปูนเป็นรูปทรงกระบอกใหญ่ ขอบบ่อสูงจากพื้นดินราวเมตรเศษ ด้านบนมีกว้านไม้และเชือกม้วนผูกไว้ คงเป็นอุปกรณ์สำหรับตักน้ำในบ่อขึ้นมา

“ราชินี สรุปว่าโรคระบาดนี่เป็นฝีมือพวกภูติเหล่านั้นหรือ?” ขุนพลเอกเดินเข้าใกล้จากด้านหลัง พลางส่งเสียงถามมา

“ภูติพวกนั้นเป็นเพียงผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นเท่านั้น... สาเหตุที่แท้จริงของโรคระบาดนี้ เป็นคำสาปแช่ง หรือ มนต์ไสยดำต่างหาก”

“ไสยดำหรือ?” บ๊ากแบททวนคำอย่างงุนงง

“คงมีใครที่ประสงค์ร้ายต่อแคว้นเรา ลอบปล่อยมนต์ดำเข้ามา .... และมันก็อาศัยน้ำในบ่อน้ำนี้ เป็นตัวพาหะนำคำสาปแช่งเหล่านั้นไปสู่ชาวบ้าน”

เสียงราชินีศักดิ์สิทธิ์อธิบาย ในชนบทที่ห่างจากแม่น้ำ น้ำในบ่อย่อมเป็นสาธารณูปโภคที่ชาวบ้านใช้ร่วมกัน หากจะประสงค์ร้ายต้องการแพร่พิษ หรือในที่นี้เป็นมนต์ไสยดำให้กับชาวบ้าน ก็แพร่ผ่านน้ำนี้ ย่อมเป็นหนทางที่เร็วที่สุด บ๊ากแบทคิดตามอย่างรวดเร็วและเริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์ได้ พลางเขาก็นึกชื่นชมราชินีผู้รอบรู้ของเขามากขึ้น เสียงใส ๆ ของเธออธิบายต่อ

“ภูติพวกเมื่อครู่เป็นเพียงผลข้างเคียงจากอาถรรพ์ของมนต์ดำนี้ พวกมันเป็นผีตายโหงที่ยังไม่สามารถไปสู่สุขคติ เมื่อได้กระแสแห่งมนต์ดำและกลิ่นอายความตายที่กำลังจะปกคลุมหมู่บ้านที่ต้องคำสาปนี้ พวกมันก็แห่กันมาสูดกระแสความชั่วร้ายเข้าไป เพื่อหวังว่าตัวเองจะมีตบะแข็งพอที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการในโลกนี้ได้... แต่ อนิจจาช่างเป็นความหลงผิดแท้ ๆ พวกมันยังคงไม่สามารถหลุดพ้นความทรมานในภพนี้ได้ และกลับเป็นตัวเร่งให้อาถรรพ์ของคำสาปแช่งนั้นรุนแรงขึ้นด้วย... หรือพูดง่าย ๆ ลำพังมนต์ดำนั้นยังแรงไม่พอที่จะทำให้ชาวบ้านล้มตายได้หรอก หากไม่มีพลังชั่วร้ายจากเหล่าภูติพวกนี้มาเสริม”

“อืม... ใครกันนะที่เป็นตัวการปล่อยไสยดำใส่แคว้นของเรา...” บ๊ากแบทสำเหนียกได้ถึงสิ่งที่ลิตเติลสโนว์กล่าวเป็นนัยทันที ที่จริงแล้ว เป้าหมายการโจมตีในตอนนี้อยู่ที่บรรดาหมู่บ้านแนวชายแดนต่างหาก... ชายแดนที่ติดกับแคว้น.... โอ๊ะ เขานึกได้แล้ว “แคว้นเอจูของบรรดาชนเผ่าลึกลับที่นิยมไสยศาสตร์นั่นนะหรือ?”

“เรายังไม่มีหลักฐานนะบ๊ากแบท... เพียงแต่รูปการณ์เป็นเช่นนั้น... แคว้นเราขาดการติดต่อทางการทูตกับเอจูมานานเท่าไรแล้ว?”

“อ่า... ก็ประมาณไม่ต่ำกว่าร้อยปีแล้วขอรับ เท่าที่ข้าทราบ...”

“อืม...” ราชินีหรุบตาลงอย่างครุ่นคิด แต่แล้วเมื่อเอ่ยปากกลับสั่งไปอีกอย่างหนึ่งว่า “มีทหารคนไหนกล้าพอจะลงไปสำรวจก้นบ่อนี้บ้าง... เรารับรองว่าไม่มีภูติร้ายอีกแล้วแหละ”

บ๊ากแบทหันไปสั่งการทหารที่ติดตามมา แล้วก็ได้ทหารผู้หนึ่งอาสา (แกมโดนเพื่อน ๆ ผลักออกมา) ลงไปสำรวจในบ่อ คานไม้ที่พันเชือกสำหรับหย่อนถังน้ำนั้น ดูไม่แข็งแรงพอจะรับน้ำหนักตัวเขาได้ จึงเป็นบ๊ากแบทที่กระโดดขึ้นไปยืนบนขอบบ่อแล้วใช้แขนอันทรงพลังค่อยปล่อยเชือกหย่อนตัวทหารผู้นั้นลงไป

สักพักใหญ่ก็มีเสียงตะโกนจากในบ่อ หากแต่มันสะท้อนไปมาฟังไม่ได้ศัพท์ อย่างไรก็ตามก็พอจับความได้ว่าให้ดึงเขาขึ้นมาได้แล้ว

บ๊ากแบทสาวเชือกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนในที่สุด ร่างของทหารผู้นั้นซึ่งใช้มือหนึ่งจับเชือกไว้แน่น ก็ถูกดึงพ้นขอบบ่อขึ้นมา เขาก้าวขาไปเหยียบขอบบ่อ แล้วกระโดดลงไปคุกเข่าอยู่ข้างบ่อ ต่อหน้าราชินีทันที

“ข้าแต่ราชินี ข้าฯน้อย พบแต่สิ่งนี้ขอรับ” พลางยื่นถุงผ้าที่เขาติดตัวลงไป เปิดปากถุงออก

กบเป็น ๆ ตัวหนึ่งกระโดดออกมาทันที มันมาหมอบนิ่งบนพื้นท่ามกลางบรรดาผู้คนกลุ่มนั้นอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วก็ส่งเสียงร้อง อ๊อบ ๆ อ๊อบ ๆ

ยังไม่ทันที่ใครจะคิดอย่างไรต่อ ปลายไม้เท้าปัญญาก็ถูกชี้ไปหยุดต่อหน้าเจ้ากบนั้นเพียงคืบเดียว เสียงราชินีศักดิ์สิทธิ์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่ทรงอำนาจว่า

“ใครใช้ให้เจ้ามา เจ้ากบเอย”

“...” เงียบไปอึดใจใหญ่ ก่อนที่จะบังเกิดควันพวยพุ่งขึ้นปกคลุมกบตัวนั้น บรรดาทหารที่ล้อมวงอยู่ใกล้ ๆ ถึงกับวงแตก กระโดดถอยหลังกันจ้าละหวั่น เว้นแต่ราชินี, ขุนพลซึ่งบัดนี้มายืนบนพื้นแล้ว และหมอหญิงเท่านั้นที่ยังคงดูเหตุการณ์อย่างสงบ

ควันสีขาวที่ปกคลุมร่างกบหายไป คราวนี้สิ่งที่ปรากฏอยู่แทนเป็นกบยักษ์ตัวหนึ่ง ซึ่งยืนด้วยเท้าหลังสองข้างและส่วนสูงของมันเวลายืนสองขาเช่นนี้ สูงใหญ่พอๆ กับบ๊ากแบทเลยทีเดียว

“ฮึ กบยักษ์เองหรือ” บ๊ากแบทพึมพำ ... คำว่ากบยักษ์ ในเนฟเวอร์แลนด์เป็นชนเผ่าชั้นสูงอีกเผ่าหนึ่ง ซึ่งมีวิวัฒนาการจากกบในสมัยโบราณ หากแต่ถิ่นที่อยู่อาศัยของชนเผ่ากบยักษ์อยู่บนคาบสมุทรโรกิออนทางเหนือของแคว้นเอเลซิตัท แม้จะมีกบยักษ์บางตัว (คน?) ที่ออกไปปักหลักตั้งรกรากอยู่แคว้นอื่นบ้าง ก็ไม่มากนัก

“เจ้าถามข้าว่าใครใช้ข้ามาหรือ อ๊บ ๆ” กบยักษ์นั้นกล่าวขึ้นด้วยภาษากลางของเนฟเวอร์แลนด์.... มันเป็นกบยักษ์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจริง ๆ ด้วย หาใช่กบที่ถูกเสกให้ใหญ่ขึ้นเฉย ๆ ไม่

“ใช่แล้ว ใครใช้เจ้ามา?” ลิตเติลสโนว์หรี่สายตามองผู้มุ่งร้ายของแคว้นของเธออย่างเย็นชา


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1