มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ฝ่าวิกฤติ: เงื่อนไขของผู้มาเยือน

ตีพิมพ์ครั้งแรก 4 ธ.ค 45

ตัวละครใหม่ :
baltoss.jpg
บาลโดส (แม่ทัพกองทัพนักรบทะเลทรายแห่งจาปิโตส)
shara.jpg
ชาร่า (พลเรือน)


แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณทอประกายเรื่อ ๆ จากขอบฟ้า ทั่วบริเวณเริ่มสว่างไสวขึ้นจนเห็นได้ลาง ๆ มันควรจะเป็นยามเช้าที่สดใสเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา หากแต่วันนี้ ณ หมู่บ้านยุทธศาสตร์ทิศเหนือของแพลททิเซลเวอร์ ภาพที่ปรากฏต่อสายตาคือ ซากศพทั้งมนุษย์และกบยักษ์จำนวนนับหลายร้อยศพที่นอนตายระเกะระกะอยู่บนพื้น โลหิตสาดกระเซ็นทั่วลานกว้างตรงบริเวณทางเข้าหมู่บ้านซึ่งกลายเป็นสมรภูมิเลือด ผู้รอดชีวิตทั้งสองฝ่ายปรับขบวนทัพแล้ว ยืนคุมเชิงกันอยู่คนละฟากของลานโลหิต ฝ่ายมนุษย์เหลือจำนวนร้อยคนเศษ ส่วนฝ่ายผู้บุกรุกจำนวนสามร้อยคน ....

คาลดิน่าซึ่งอยู่ด้านหลังของบรรดาอาสาสมัครป้องกันตนเองกำหมัดทั้งสองแน่น ที่จริงสภาพการรบเมื่อคืนค่อนข้างสูสีทีเดียวในตอนต้น ด้วยกำลังฝ่ายข้าศึกซึ่งประมาณได้สามร้อยเศษกับกองกำลังของเธอจำนวนสามร้อยเศษเช่นกัน อีกส่วนหนึ่งการรบก็เกิดขึ้นในหมู่บ้าน เมื่อกองกำลังอีกกองหนึ่งของข้าศึกจำนวนเกือบสองร้อยลอบบุกเข้าโจมตีถึงภายในหมู่บ้านจากด้านข้าง และก็ผจญกับการตั้งรับของชาวบ้านที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว บวกกับความพยายามของกองกำลังป้องกันตนเองอีกส่วนหนึ่งที่นำโดยทหารหนุ่มที่ชื่อซัน ... ในที่สุด ก็ดูเหมือนการณ์จะดีขึ้น เมื่อซันซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าสามารถผลักดันและหลอกล่อให้พวกกบยักษ์ที่บุกเข้าไปในหมู่บ้านมารวมกันที่ลานกว้างนี้ได้ ซึ่งขณะนั้นกลายเป็นลานละเลงเลือดไปแล้ว...

แต่นั่นกลับเป็นความมุ่งหมายของฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน

“ฮะ ๆ ๆ พวกเจ้ามารวมกันก็ดีแล้ว... ประตูแห่งความมืดเอย จงเปิดขึ้นเพื่อนำศัตรูของข้าไปสู่ดินแดนที่ไม่มีวันหวนกลับเถิด โอม เวทย์แห่งความมืด ยะมิมง

เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความมืดของรัตติกาล แล้วฉับพลันนั้นเอง เหนือศีรษะของบรรดาไพร่พลทั้งสองฝ่ายที่กำลังพันตูกันอยู่นั้น พลันปรากฏบานประตูศิลารูปสี่เหลี่ยมขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ รังสีสีดำที่แผ่ออกมาจากประตูนั้นเต็มไปด้วยความน่าหวาดสะพรึงกลัวชวนขนหัวลุก แล้วบานประตูก็แง้มเปิดออกช้า ๆ พร้อมกับที่... ในสายตาของคาลดิน่า สามารถหยั่งรู้ได้ว่า... วิญญาณของไพร่พลฝ่ายตนถูกดูดออกจากร่างกายหยาบแล้วพุ่งหายเข้าไปในประตูแห่งความมืดนั้น ทีละคน ทีละคนเรียงจากผู้มีที่ภูมิคุ้มกันตนเองจากพลังเวทย์ความมืดต่ำก่อน ... น่าแปลกที่บรรดากบยักษ์ซึ่งอยู่ใต้ประตูนั้นด้วย และกำลังโรมรันพันตูกับกองกำลังชาวบ้านอยู่ กลับไม่มีคนไหนถูกดูดวิญญาณไปเลย หากแต่พวกมันก็หยุดชะงักการเคลื่อนไหวไปชั่วขณะเหมือนกันราวกับว่า หากเคลื่อนที่จะพลอยถูกลูกหลงไปด้วย.... ซึ่งก็นับว่ายังเป็นโชคดีของฝ่ายชาวแพลททิเซลเวอร์ เพราะหากพวกกบยักษ์สามารถฉวยโอกาสสังหารผู้ที่ยังต้านทานต่อพลังเวทย์ดำนั้นได้ละก็ กองกำลังของคาลดิน่าก็คงถึงกาลดับสูญไปในตอนนั้นเอง

‘อย่างนี้นี่เอง พวกมันเปลี่ยนแผนจากที่เข้าไปจู่โจมหมู่บ้าน เป็นให้พวกเรามารวมพลกันที่ตรงนี้เพื่อกำจัดเสียทีเดียว’

คาลดิน่าคิดในใจ จะว่าไป หากเธอเป็นผู้นำการรบฝ่ายตรงข้าม คงไม่เปลี่ยนแผนเช่นนี้แน่ เพราะทราบดีว่าการเข้าจู่โจมหมู่บ้านเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุดในการลดขวัญและกำลังใจของกองกำลังป้องกันตนเอง เพราะทำให้ต้องพะวักพะวนกับบรรดาครอบครัวของตนที่อยู่ในหมู่บ้านนั้น... หากแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ได้คิดเช่นนั้น เพราะ

“ฮะ ๆ ๆ สวย สวยจริง ๆ เปเป้ชอบที่สุดเลย เวลาเห็นตอนที่วิญญาณโดนดูดเข้าไปในประตูแห่งความมืดนี่ ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

เสียงหัวเราะอย่างลิงโลดของเด็กสาวดังแว่วมาอีกราวกับเจ้าตัวไม่ได้อยู่ในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการฆ่าฟันกันนั้น หากแต่เมื่อพิจารณาเนื้อความในคำพูดของเด็กสาวก็เข้าใจได้ทันทีว่า เจ้าหล่อนจะเป็นใครไม่ได้ นอกจากผู้ใช้เวทย์ประตูแห่งความมืดนั่นเอง

‘ฮึ่ม น้ำเสียงยังเด็กแท้ ๆ ทำไมจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้ เห็นชีวิตคนอื่นเป็นก้อนกรวดหินดินทรายหรืออย่างไร?’

หมอสาวคิดในใจ พลางหลับตาท่องบริกรรมคาถาอย่างเร่งรีบ อีกอึดใจถัดมาก็ลืมตาขึ้นแล้วโบกมือไปรอบข้างพลางตวาดเสียงห้าว

“เวทย์คุ้มกันแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์!”

แสงสว่างพลันบังเกิดจากสองมือที่คาลดิน่าโบกไปรอบข้างนั้น กองกำลังชาวบ้านที่รับแสงสว่างนั้นพลันมีภูมิต้านทานต่อเวทย์มืดสูงขึ้น จำนวนวิญญาณที่หลุดออกจากร่างหยาบลดลงทันตาเห็น และอีกครู่ใหญ่ถัดมา ประตูแห่งความมืดก็อันตรธานหายไป พร้อมกับที่แสงจากตัวคาลดิน่าก็หายไปเช่นกัน .... มิใช่เพราะเวทย์ของฝ่ายหลังหักล้างกับฝ่ายแรก หากเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างหมดพลังที่จะรักษาเวทย์ของตนให้ดำเนินอยู่ต่างหาก

ผลความเสียหาย กองกำลังมนุษย์ที่สิ้นชีพ ‘วิญญาณหลุดออกจากร่าง’ มีถึงร้อยห้าสิบคน ส่วนอีกฝ่าย แน่นอนว่าไม่ได้รับผลเสียหายจากการนี้

และการโรมรันพันตูระหว่างกบยักษ์จำนวนกว่าสี่ร้อยกับกองกำลังป้องกันหมู่บ้านซึ่งบัดนี้เหลือเพียงสองร้อยเศษก็เปิดฉากอีกครั้ง...

และบัดนี้ก็เป็นยามเช้าแล้ว กองกำลังชาวบ้านที่เหลืออยู่ต่างอิดโรยไปตามกัน การต่อสู้ที่ผ่านมาสี่-ห้าชั่วโมง ยาวนานเหมือนกับตกนรกมาเป็นวัน... คาลดิน่าได้แต่คิดครุ่นแค้นในใจว่า หากมิเพราะเวทย์ประตูแห่งความมืดของฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายเธอคงไม่สูญเสียมากขนาดนี้

ท่ามกลางเหล่ากบยักษ์ที่ยังคงยืนจังก้าอยู่ ร่างในชุดสีดำของเด็กผู้หญิงที่ดูจากรูปกายภายนอกก็เป็นชาวมนุษย์ เดินตรงออกมาช้า ๆ

“พวกเจ้าบังอาจมากจริง ๆ มาขัดขวางเปเป้คนนี้ได้... เปเป้ชักไม่สนุกแล้วนะ”

“?!!!” คาลดิน่าถึงกับอึ้งไป ก่อนจะขยับตัวร้องตอบออกไปว่า “แล้วเจ้าคิดว่าการฆ่ากันเป็นเรื่องสนุกรึไง? เจ้ายังเป็นเด็กแท้ ๆ ทำไมใจอำมหิตนัก?”

“หึ สนุกสิ พี่สาวไม่คิดว่าสีแดง ๆ นี่ไม่สวยเหรอ?” มือชี้ไปที่กองโลหิตบนพื้น

“....เจ้า....” แพทย์หญิงถึงแก่หมดคำพูดที่จะเอ่ย

“เอาล่ะ เรามาสนุกกันอีกรอบนะ เปเป้หวังว่าคราวนี้จะเป็นรอบสุดท้ายละนะ พี่สาวคนสวย...”

เสียงกุกกักดังขึ้นเมื่อบรรดากบยักษ์ขยับดาบให้เข้าที่เข้าทาง พร้อมจะบุกเข้าโจมตีในระลอกต่อไป คาลดิน่าหรี่ตามองอย่างหนักใจ เธอทราบดีว่า พละกำลังของบรรดาคนฝ่ายเธอที่เหลืออยู่ถึงขีดจำกัดแล้ว และคงต้านทานการโจมตีครั้งใหม่นี้ไม่ไหวแน่...

มือน้อย ๆ ของเด็กสาวนามเปเป้ถูกยกขึ้นสูงเหนือศีรษะ...

“ระวังให้ดี มันมาอีกแน่” คาลดิน่ากัดฟันพูด แต่ไม่ต้องบอกบรรดาสมัครพรรคพวกของเธอก็พากันย่อตัวลงในท่าเตรียมพร้อม มือที่ถืออาวุธกระชับแน่นขึ้นอย่างตึงเครียดกันอยู่แล้ว

และแล้ว มือของเปเป้ก็ถูกลดลง

“ย้ากกกกกกกกกก!” “ฆ่ามันนนนนนนน!”

...

ในเวลาเดียวกัน

“ท่านนี้หรือคือ ประมุของค์ใหม่แห่งแพลททิเซลเวอร์ ช่างยังเยาว์นัก ข้าฯน้อยบาลโตส แม่ทัพใหญ่แห่งจาปิโตสขอคารวะ” ชายหนวดครึ้ม ผิวคล้ำในชุดนักรบทะเลทรายโค้งตัวให้แก่เด็กสาวผมเงินที่ปรากฏกายขึ้น โดยที่เขายังคงอยู่บนหลังอูฐไม่ได้ลงจากพาหนะของเขาแม้แต่ก้าวเดียว บ่งบอกให้เห็นถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเนื้อความในคำพูด

“อืม เป็นท่านแม่ทัพบาลโดสเอง เราออกมาต้อนรับท่านช้าไป ต้องขออภัยด้วย” ลิตเติลสโนว์ตอบรับเสียงเรียบ ๆ เธอก็ยังคงนั่งอยู่บนรถม้าเปิดประทุนเช่นกัน

เบื้องหลังของทั้งสองคน กองกำลังแต่ละฝ่ายยืนประจันหน้ากันอย่างเคร่งเครียด บ๊ากแบทขมวดคิ้วจนหน้าผากย่น มองการกระทำของผู้อ้างตัวว่าเป็นทูตจากทะเลทรายอย่างไม่สบอารมณ์ ข้างกายเขา เซลเอ็ดอะดลัสและยิปสีดก็ยืนอยู่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดเช่นกัน เพราะบาลโดสผู้นี้เองเป็นผู้ที่ทำลายล้างชนเผ่าของทั้งสองจนย่อยยับ

“หามิได้ ท่านราชินีมิต้องเกรงใจไป” บาลโดสยังคงตอบอย่างโอหัง พลางหันไปเรียกหญิงสาวผมทองที่มาด้วย “ชาร่า”

“เจ้าค่ะ” ฝ่ายนั้นขานรับแล้วกระตุ้นอูฐของตนให้ก้าวขึ้นมาเสมอกับบาลโดส พลางยื่นมือออกมาข้างหน้าเล็กน้อยชูกระถางต้นไม้ที่มีต้นกระบองเพชรปลูกอยู่ให้ทุกคนเห็นได้ชัด ๆ เสียงของบาลโดสกล่าวต่อ

“พวกข้าเดินทางมารบกวนพวกท่านแต่เช้า ต้องขออภัยด้วย องค์กาหลิบมีบัญชาให้ข้านำต้นกระบองเพชรวิเศษ ของคู่บ้านคู่เมืองของจาปิโตสมามอบให้แก่องค์ราชินี เพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรี และถือเป็นการร่วมแสดงความยินดีย้อนหลังในโอกาสที่ท่านรับตำแหน่ง”

สายตาทุกคู่ของฝ่ายแพลททิเซลเวอร์มองไปทางของบรรณาการนั้นทันที หากแต่มองอย่างไรมันก็เป็นต้นกระบองเพชรธรรมดา จะว่าไป ก็ดูสีของมันเป็นสีเขียวประหลาด เหมือนกับว่ายามมองสะท้อนแสงต่างมุมแล้วสีมันจะเปลี่ยนโทนสีไป .... แต่ก็เท่านั้น

--นี่เป็นถึงของวิเศษคู่บ้านคู่เมืองของจาาปิโตสเชียวหรือ?--

เป็นคำถามที่บังเกิดขึ้นในใจ แต่อย่างไรก็ตาม ลิตเติลสโนว์ก็ปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม กล่าวตอบว่า

“โอ องค์กาหลิบของพวกท่านช่างมีน้ำใจนัก แต่เกรงว่าของมีค่าเช่นนี้ เราไม่อาจจะรับไว้ได้”

“ท่านกรุณารับไว้เถิด ราชินี เพราะองค์กาหลิบของข้ากำชับมาเป็นมั่นเหมาะ เพียงแต่ว่า...” บาลโดสชะงักคำพูดไว้ เพื่อดึงดูดความสนใจ แล้วก็พูดต่อ “ท่านจะรับกระบองเพชรนี้ไปได้ก็ต่อเมื่อ ตอบคำถามที่มาคู่กับกระบองเพชรนี้ได้อย่างถูกต้องเสียก่อน!”

“อืม เราไม่อาจเอื้อมรับของสำคัญเช่นนี้แต่ต้นอยู่แล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีขององค์กาหลิบ เพราะในเมื่อท่านปฏิเสธน้ำใจของนายเหนือของข้า ก็เท่ากับว่าไม่ให้เกียรติแก่พวกข้า”

“....” บ๊ากแบทขมวดคิ้วอีก ทั้งที่เดิมก็หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่แล้ว พลางชำเลืองสายตามองบรรดาไพร่พลของฝ่ายตรงข้ามอย่างหนักใจ นี่พวกมันจงใจหาเรื่องทำสงครามกันชัด ๆ เจ็บใจจริง ๆ ทำไมพวกทหารตามรายทางปล่อยให้กองทัพจำนวนมากขนาดนี้ล่วงล้ำเข้ามาได้ในคืนเดียวนะ โดยไม่มีรายงานเสียด้วย หากรอดพ้นจากวิกฤติการณ์ตอนนี้ได้จะต้องสะสางความจริงกันหน่อยละ.... แน่นอนเขาไม่เชื่อว่าทหารของตนบกพร่องต่อหน้าที่ แต่มันต้องมีเบื้องหลังอะไรสักอย่างแน่

เสียงลิตเติลสโนว์กล่าวต่อไป

“หามิได้ เราเพียงแต่ไม่กล้ารับของสูงค่าของประเทศท่านเท่านั้น แต่เอาเถิด หากกาหลิบของพวกท่านต้องการมอบของนี้ให้เราจริง ๆ เราก็ยินดีรับไว้... แต่นั่นหมายความว่าเราต้องตอบคำถามของท่านได้ก่อนด้วย ใช่หรือไม่”

“ฮา ๆ ราชินีเข้าใจเรื่องราวได้กระจ่างรวดเร็วนัก” พูดกลาย ๆ ว่าอีกฝ่ายรู้สถานการณ์ของตัวเองดีนั่นเอง “และข้าขอบอกก่อนว่าท่านราชินีมีโอกาสตอบคำถามนี้ได้เพียงครั้งเดียว และหากตอบผิด ก็แสดงว่าท่านไม่คู่ควรกับของวิเศษนี้ และข้าก็จำต้องรักษาเกียรติของนายข้า” ... ด้วยการกำจัดพวกท่านเสีย- ประโยคหลังสุดนี้แม้จะไม่ได้หลุดออกจากริมฝีปากของอาคันตุกะผู้นี้แต่... ทุกผู้ในที่นั้นก็ย่อมสำเหนียกได้

บรรยากาศตึงเครียดขึ้นเป็นทวีคูณ บรรดาพวกแพลททิเซลเวอร์พากันกัดฟันกรอด ๆ หากราชินีของพวกเขาตอบคำถามผิด ก็ไม่พ้นต้องสู้กันอยู่ดี- โดยมีประชาชนอยู่ด้านหลังนี้ด้วยซึ่งคงไม่แคล้วต้องรับภัยสงครามเข้าไปอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

“พวกเจ้ายังคงเล่นสกปรกเหมือนเดิมนะ แม่ทัพเฒ่า!” ยิปสีดสอดคำขึ้นอย่างเหลืออด “หากราชินีตอบถูกแต่ท่านจงใจบอกว่าผิดอย่างนั้นเล่า?”

“หึหึ นึกว่าใคร ที่แท้ท่านยิปสีดนั่นเอง หนีมาอยู่ที่นี่สบายดีหรือ?” บาลโดสตอบพลางมองอีกฝ่ายจากมุมสูงด้วยสายตาเหยียดหยาม “เจ้าวางใจเถิด คำตอบนั้นหากถูกข้าก็ว่าตามถูก และผิดข้าก็ย่อมต้องพิสูจน์ให้ทุกคนในที่นี้ประจักษ์ได้แน่นอน ว่าเป็นคำตอบที่ผิด!”

“ยิปสีด เจ้าอย่าเสียมารยาทสิ แม่ทัพใหญ่ผู้มีศักดิ์ศรีย่อมไม่พูดคำโกหกแน่ จริงไหม?” ราชินีสาวโบกมือเป็นเชิงห้ามขุนพลของตน แล้วตอนท้ายก็หันไปถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง หากแต่ผู้ฟังถึงกับสะอึกและมีสีหน้าโกรธแวบหนึ่ง ก่อนจะปรับสีหน้าเป็นปกติ

“แน่นอน เอาล่ะ ท่านพร้อมจะฟังคำถามแล้วหรือไม่?”

“เราพร้อมแล้ว เชิญ!” เป็นคำตอบแทบจะในทันที

สายตาสองคู่ประสานกันอย่างแน่วแน่ ก่อนที่ฝ่ายบนหลังอูฐจะทำลายความเงียบขึ้น

“ดี คำถามก็คือ....” เขาจงใจกระแอมสองสามคำ ก่อนจะประกาศด้วยเสียงอันดังกว่าเดิมเล็กน้อย “น้ำหนักของต้นกระบองเพชรวิเศษนี้ เป็นเท่าไร ท่านจงตอบมาให้ถูกต้องพอดิบพอดี อย่าได้ขาดเกินแม้แต่เพียงเล็กน้อย มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นคำตอบที่ผิด”

เสียงกระหึ่มดังจากฝ่ายเจ้าของบ้านทันที ด้วยความไม่พอใจคำถามที่เป็นไปไม่ได้เลย ในการจะตอบให้ถูกต้อง เสียงของแม่ทัพทะเลทรายยังคงประกาศต่อ

“ระหว่างที่ท่านราชินียังไม่ตอบ ต้นกระบองเพชรจะต้องอยู่ในมือของผู้ติดตามของข้า- ชาร่า ไม่มีการให้พวกท่านยืมไปถืออย่างเด็ดขาด อนุญาตให้ท่านชมดูได้เท่านั้น!”

“ท่านบาลโดส มันจะมากไปหน่อยแล้วนะ” บ๊ากแบทเอ่ยปากขึ้นอย่างเหลืออด “ข้าว่า หากพวกท่านจงใจจะยกทหารมารุกรานแคว้นเราก็ไม่ต้องทำเป็นเรื่องมากดอก ประกาศสงครามกันซึ่งหน้าเลยจะดีกว่า คำถามไร้เหตุผลอย่างนี้ ใครจะตอบได้”

“เหอะ ๆ ๆ ใจเย็น ๆ พวกข้าไม่ได้มีเจตนาจะมาทำสงครามถ้าไม่จำเป็น” บาลโดสยังคงตอบอย่างใจเย็น พลางยิ้มเหี้ยมเกรียม “หากราชินีของท่านตอบได้ถูกต้อง ข้าจะถอนทหารกลับไปทันที”

คราวนี้สายตาทุกคู่หันไปรวมกันอยู่ที่ร่างน้อยบนรถม้าอีกครั้ง ราชินีเพ่งมองกระถางกระบองเพชรในมือของหญิงสาวนามชาร่านิ่ง แล้วก็เปรยขึ้น

“เรายินดีทำตามเงื่อนไขของกาหลิบของท่าน คำถามนี้ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลนี่นะ... เพราะน้ำหนักของต้นกระบองเพชรนั้นอย่างไรก็ตามก็ต้องมีคำตอบที่ถูกต้อง จริงหรือไม่?”

“ใช่แล้ว ฮาฮา ท่านราชินีช่างเข้าใจเรื่องราวได้ดียิ่งนัก ผิดกับบรรดาขุนพลของท่านเลย น่าเสียดายจริง ๆ”

“ฮึ่ม” บรรดาขุนพลของแพลททิเซลเวอร์พากันกัดฟันกรอด ๆ อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น

-- เจ้าจะตอบอย่างไร เด็กน้อย --

เสียงของซิลฟีดดังขึ้นในใจของราชินีสาวโดยไม่ต้องให้ฝ่ายหลังถามก่อนเช่นทุกครา

‘ฮิฮิ ดูเหมือนท่านซิลฟีดจะสนใจปัญหานี้มากนะคะ’

-- อืม เจ้าพูดถูกที่ว่าคำตอบมันมีเพียงหนนึ่งเดียว แต่ปัญหาคือเจ้าจะทราบได้อย่างไรว่าคำตอบนั้นคืออะไรต่างหาก --

‘ท่านซิลฟีดลองใจข้าอีกแล้ว.... ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่คำตอบที่ถูกต้องสักหน่อย จริงไหมคะ?’

-- หึหึหึ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ --

‘คำถามมันมีกลลวงตั้งแต่แรกแล้ว... เพราะไม่ระบุชัดเจนว่า ต้องการคำตอบคือน้ำหนักเฉพาะต้นกระบองเพชร หรือ รวมทั้งกระถาง’

-- ถึงเราจะคิดว่าเฉพาะตัวกระบองเพชรก็ดี มันก็ยังมีปัญหาอีกนั่นแหละ ... ตรงนี้เจ้าก็คงรู้แล้วสินะ --

‘ค่ะ กระบองเพชรเป็นต้นไม้ที่มีรากยาวอยู่แล้วตามธรรมชาติ ถึงแม้ข้าจะประเมินน้ำหนักของต้นกระบองเพชรได้ จากส่วนที่มันโผล่พ้นขอบกระถางขึ้นมา แต่ข้างในข้าคาดว่า รากของมันคงจะงอกยาวขดไปขดมาอยู่ในทรายแน่เลย’

-- อันนี้เจ้าผิดแล้ว เด็กน้อยเอ๋ย ในสภาพพที่มันไม่ต้องดิ้นรนหาน้ำ รากของมันอาจจะไม่ยาวนักก็ได้ --

‘แต่เอาเถอะค่ะ ถึงยังไง เราก็ไม่มีทางตอบคำตอบที่ถูกต้องได้อยู่ดีว่า น้ำหนักของมันเป็นเท่าไร’

-- ใช่ เพราะอีกฝ่ายก็เล่นแง่อยู่ดี ว่าจะะรวมน้ำหนักกระถางหรือไม่รวม หรือจะคิดเฉพาะต้น รากไม่คิด--

‘แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่ข้าต้องสนใจอยู่ดี ขอเพียงข้าตอบให้เขาปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นคำตอบที่ถูกต้องก็พอแล้ว มิใช่หรือ?’

-- อืม เรื่องนั้นข้าก็คิดเช่นกัน หากแต่ขข้าอยากรู้ว่า หากจะประเมินน้ำหนักจริง ๆ เจ้าผู้มาจากต่างภพจะมีวิธีคิดเช่นไร?--

‘ที่โลกของข้า มีการนิยามคุณสมบัติทางกายภาพของวัตถุ ที่เรียกว่าความถ่วงจำเพาะหรือความหนาแน่น หากเราทราบความหนาแน่นของวัตถุ และทราบปริมาตรของมัน... ก็เอาความหนาแน่นคูณปริมาตร ก็จะออกมาเป็นน้ำหนัก’

-- เข้าใจแล้ว ซึ่งเจ้าก็พอจะกะปริมาตรได้้จากการมองด้วยสายตาแล้วใช่ไหม แล้วความหนาแน่นล่ะ?--

‘พืชส่วนใหญ่ลอยน้ำทั้งนั้นแหละค่ะ และความหนาแน่นของน้ำ ข้าก็ทราบดีว่ามันเป็นเท่าไร’

-- อืม เข้าใจล่ะ แล้วกรณีนี้เจ้าจะตอบอย่่างไรให้อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้--

ลิตเติลสโนว์บอกความคิดของเธอแก่ซิลฟีดทันที

-- ไม่เลว แต่ข้าเสนอว่า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แลล้ว เจ้าเพิ่มอีกอย่างหนึ่งเข้าไปด้วยจะดีกว่านะ --

เทพมังกรเงินถ่ายทอดความคิดของตนเช่นกัน ราชินีชำเลืองมองสองชายหญิงจากทะเลทรายที่ขี่อูฐอยู่เคียงข้างกันเบื้องหน้าตน แล้วก็ตกลงใจ

หลังจากบรรยากาศตกอยู่ในสภาวะเงียบงันมาครู่ใหญ่ เนื่องจากบุคคลสำคัญที่สุดในที่นั้นนิ่งเงียบไป ในที่สุด เสียงใส ๆ เปี่ยมด้วยความมั่นใจก็ประกาศก้อง

“ท่านแม่ทัพผู้มาจากทะเลทรายเอย เราจักตอบคำถามของท่าน ณ บัดนี้!”

...

ปล. (จากผู้เขียน) ตั้งแต่บทนี้ไป ขอแก้ชื่อของซิลเวียสเป็นซิลฟีด ให้ถูกต้องตามข้อมูลในเกมต้นฉบับนะครับ เพราะตอนที่เขียนถึงซิลฟีดครั้งแรก เขียนด้วยความจำ และก็จำผิดครับ เลยกลายเป็นซิลเวียสไป


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1