มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ฝ่าวิกฤติ: ฝ่าวิกฤติ

ตีพิมพ์ครั้งแรก 4 ธ.ค 45

ตัวละครใหม่ :
eltina.jpg
เอลทิน่า (นักบู๊, ผู้ใช้กังฟู)


“พวกเรา ระวัง!” คาลดิน่าฝืนใจตะโกน ทั้งที่รู้ว่ามันไม่จำเป็นและไม่มีประโยชน์

เหล่ากบยักษ์วิ่งตรงเข้ามาอย่างดุร้าย นี่คงจะเป็นการโจมตีระลอกสุดท้ายของพวกมัน แล้วกองกำลังของคาลดิน่าก็คงจะถึงการแตกสลาย ณ เพลานี้เอง

หากไม่เพราะ...

“เจ้าพวกโจรปล้นหมู่บ้านที่โหดเหี้ยม ในที่สุดข้าก็ตามมาทัน!” เสียงใส ๆ ของสตรีตวาดดังก้องมาจากชายป่าด้านตะวันตก ก่อนที่เงาร่างหนึ่งซึ่งเคลื่อนที่รวดเร็วราวลมพัดจะพุ่งเข้าหาบรรดากบยักษ์กระหายเลือดเหล่านั้น ในสายตาของกองกำลังเดนตายของคาลดิน่ามองเห็นแต่เงาดำ ๆ ที่เคลื่อนที่แทรกกายไปมาระหว่างร่างของบรรดากบยักษ์ และ ณ ตำแหน่งที่เงาดำนั้นไปปรากฏกาย ก็ปรากฏเสียงตุบตับดังขึ้น แล้วเงานั้นก็เคลื่อนย้ายตัวไปตำแหน่งใหม่ ปล่อยให้กบยักษ์ที่อยู่ตำแหน่งเดิมนั้น ค่อย ๆ ทรุดตัวลง นอนแน่นิ่งบนพื้น จากหนึ่งคน สองคน จนเป็นนับสิบคน

“ว้าก ใครกัน?” “เฮ้ย จัดการมัน” ฯลฯ

กองทัพกบยักษ์แตกตื่นโกลาหลทันทีหมดความสนใจต่อบรรดามนุษย์ตรงหน้าโดยสิ้นเชิง คาลดิน่าผ่อนลมหายใจ แต่แล้วก็ถามตัวเองในใจ -นี่ใครมาช่วยพวกเราหรือ? ทหารจากแพลททิเซลเวอร์? ไม่น่าจะใช่ เพราะตั้งแต่การรบเมื่อคืน หลังจากที่ผลักดันพวกผู้บุกรุกให้ออกจากเขตหมู่บ้านมารวมกันที่ลานกว้างนี้แล้ว (ที่จริงพวกมันมาด้วยความสมัครใจเองต่างหาก เพราะเปเป้ต้องการใช้ยะมิมง-ประตูแห่งความมืดฆ่าพวกกองกำลังป้องกันหมู่บ้านในคราวเดียว) หัวหน้าหมู่บ้านถึงจะมีโอกาสได้ดำเนินการอพยพลูกบ้านให้หนีไปตามแผนฉุกเฉินที่ได้ตกลงไว้ล่วงหน้า รวมทั้งการส่งม้าเร็วไปแจ้งข่าวแก่ทางวังหลวงแพลททิเซลเวอร์ด้วย แต่กำลังหนุนจากในวังคงไม่มาถึงเร็วขนาดนี้-

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นโอกาสดีแล้ว

“พวกเรา มีคนมาช่วยแล้ว แข็งใจหน่อย บุกเข้าไป! ป้องกันหมู่บ้านของเราไว้!”

เฮ! เสียงโห่ร้องตอบรับ แล้วบรรดาอาสาสมัครเดนตายก็ดาหน้าเข้าใส่ฝูงกองทัพกบยักษ์อย่างไม่คิดชีวิต ทั้งที่ฝ่ายตนกำลังน้อยกว่าครึ่งต่อครึ่ง

คาลดิน่าหลับตาลงสำรวมจิต เธอเริ่มท่องมนต์บทใหม่ทันที

“เวทย์เสริมกำลัง!”

คราวนี้ หมอสาวยื่นมือสองข้างออกไปข้างหน้าโดยไม่ลืมตาขึ้น เพราะเธอต้องใช้จิตในการจับกระแสถึงความคงอยู่ของพวกเดียวกัน เพื่อจะแผ่อำนาจเวทย์ของตนไปให้พวกเขาโดยตรง เวทย์ที่จะช่วยฟื้นฟูพละกำลังให้แก่บรรดานักรบผู้เหนื่อยล้าเหล่านี้ให้มีกำลังกายและกำลังใจขึ้นมาใหม่

การรบอันดุเดือดเริ่มขึ้นอีกระลอกหนึ่ง

...

ในขณะเดียวกัน ทางด้านของลิตเติลสโนว์ ก็กำลังเดิมพันครั้งสำคัญ

“ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งจาปิโตส ด้วยศักดิ์ศรีของท่านหากเราตอบถูกท่านคงไม่บิดเบือนคำตอบไปเป็นอื่นกระมัง” เด็กสาวถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

“แน่นอนอยู่แล้ว” ขุนพลหนวดตอบอย่างเย่อหยิ่ง “แต่หากท่านตอบผิด ข้าก็ต้องว่าไปตามความจริงแหละนะ”

“เรื่องนั้นเราทราบ... และเราก็มั่นใจว่าเราตอบถูกแน่ ดังนั้นเราจึงขอคำรับรองจากท่านประการหนึ่งก่อน”

“เชิญท่านกล่าวได้เลย” บาลโดสตอบอย่างไม่ยี่หระเท่าไรนัก ด้วยรู้ดีว่า ต่อให้อีกฝ่ายตอบน้ำหนักของกระบองเพชรมาเท่าไรก็ตาม เขาก็พลิกคำตอบได้เสมอ การณ์เป็นดั่งที่ลิตเติลสโนว์และซิลฟีดได้ปรึกษากันนั่นเอง แต่แล้วเขาก็กลับขมวดคิ้วเมื่อคำร้องขอของราชินีสาวกลับเป็นสิ่งที่ผิดคาด

“เราขอให้ท่านพิสูจน์ให้เห็นจริง หากท่านจะปฏิเสธว่าคำตอบของเราผิด จะได้หรือไม่”

แม่ทัพใหญ่ยกมือขึ้นลูบคาง หรี่สายตาครุ่นคิดอย่างเจ้าเล่ห์เพียงเล็กน้อย แล้วพยักหน้าทันที

“เรานึกว่าท่านจะขออะไรเสียอีก แน่นอนอยู่แล้ว หากคำตอบท่านผิดข้าย่อมจะพิสูจน์ให้ท่านเห็นจริงเสียก่อน และหวังว่าท่านคงจะเข้าใจด้วยว่าข้าจะต้องทำตามหน้าที่ต่อไป” คือ ยกพลเข้าประหัตประหารอีกฝ่ายนั่นเอง

ช่างโอหังเหลือเกิน ราวกับมันมั่นใจว่าราชินีต้องตอบผิดกระนั้นแหละ- ขุนพลฝ่ายแพลททิเซลเวอร์ล้วนนึกในใจ หากแต่พวกเขาก็ยังนึกไม่ออกว่า ราชินีของพวกเขาจะหยั่งรู้น้ำหนักของกระบองเพชรที่ว่าได้อย่างไร

“เป็นอันตกลงตามนี้!” ราชินีลิตเติลสโนว์ยิ้มอย่างใจเย็น “และคำตอบของเราก็คือ...”

บรรยากาศเงียบกริบราวกับไม่มีผู้คนอยู่ในบริเวณนั้น ไพร่พลทั้งสองฝ่ายรอฟังคำตอบกันแทบจะกลั้นหายใจ และแล้วคำพูดที่หลุดลอดออกจากริมฝีปากน้อย ๆ ของราชินีผมเงินคือ

“น้ำหนักของกระบองเพชรวิเศษนั้น หนักเท่ากับหัวใจของท่านแม่ทัพบาลโดสรวมกับหัวใจของแม่นางชาร่าพอดี ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่น้อย!”

“ฮา ๆ ๆ เป็นคำตอบที่เหลวไหลสิ้นดี หัวใจของข้าและชาร่ารวมกันจะหนักเท่ากับกระบองเพชรต้นนี้พอดีได้อย่างไร”

“ถ้าเช่นนั้นก็ขอรบกวนท่านช่วยพิสูจน์ให้เราประจักษ์เถิด”

“อ๊ะ...?!!!” บาลโดสเริ่มสำเหนียกถึงความพ่ายแพ้ของตนเอง... หากจะพิสูจน์ก็มีแต่ต้องควักหัวใจของตนและของชาร่าออกมาชั่งเทียบกับกระบองเพชรเท่านั้น ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นเขากับชาร่าก็ย่อมต้องพลีชีพ.... แต่ทำไมต้องพิสูจน์ล่ะ ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่ามันหนักไม่เท่ากันแน่ ๆ

“ใช่แล้ว หากท่านบังอาจกล่าวหาว่าคำของราชินีของพวกข้าไม่เป็นความจริง ท่านก็จงพิสูจน์ให้เห็นก่อนเถิด ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งจาปิโตส” บ๊ากแบทได้สติก่อนเพื่อนและก็ตามความคิดของลิตเติลสโนว์ทันในที่สุด

ใช่แล้ว ๆ เสียงสนับสนุนเริ่มดังจากฝ่ายแพลททิเซลเวอร์ตามลำดับ รอยยิ้มเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าของแต่ละคน ต่างกับทางด้านบาลโดสที่บัดนี้หน้าซีดเผือด ไม่มีแววหยิ่งอวดดีเหมือนเดิม ยิ่งคิดก็ยิ่งดิ้นไม่หลุดจากกับดักที่ลิตเติลสโนว์วางไว้กับเขา

“...” ชาร่านั่งนิ่งบนหลังอูฐของตน เธอเป็นผู้ถือกระบองเพชรย่อมรู้ดีว่ามันหนักเท่าไร และถึงอย่างไรคำตอบของราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์ก็ไม่ได้ใกล้เคียงความจริงเลยแต่.... น่าเสียดายที่มันเป็นคำตอบที่ปฏิเสธไม่ได้

“ของพรรณนี้ไม่ต้องพิสูจน์ก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้...” บาลโดสยังพยายามดิ้นรนต่อ

“ท่านแม่ทัพจะผิดคำพูดหรือ... ท่านบอกเองว่า หากจะปฏิเสธคำตอบของเราท่านจะพิสูจน์ให้เห็นจริงก่อน เพราะฉะนั้นก็ขอเชิญท่านทำความให้กระจ่างด้วยเถิด...” ลิตเติลสโนว์ยังคงรุกต่ออย่างใจเย็น “มิฉะนั้น เราจักได้รับรู้ว่า แม่ทัพใหญ่แห่งจาปิโตสไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของนักรบ คำพูดหาสัจจะมิได้!”

“ขะ... ข้าพิสูจน์ไม่ได้”

“ในเมื่อท่านพิสูจน์ไม่ได้ ว่าคำพูดของเราเป็นเท็จ ถ้าเช่นนั้น กระบองเพชรต้นนี้ ก็ย่อมหนักเท่ากับหัวใจของท่านและแม่นางชาร่ารวมกันพอดิบพอดี ไม่มีขาดไม่มีเกินแม้แต่น้อย.... ใช่หรือไม่?” สโนว์จงใจพูดช้า ๆ ยาวเหยียด ทุกคำพูดทิ่มแทงเข้าไปในความรู้สึก

“...” บาลโดสหันไปสบตากับหญิงสาวข้าง ๆ ก่อนจะกัดฟันตอบด้วยริมฝีปากที่สั่นระริก “ใช่แล้ว... ข้ายอมรับในคำตอบของท่าน”

และนั่นคือ วินาทีแห่งชัยชนะของลิตเติลสโนว์!

“ไชโย ราชินีลิตเติลสโนว์จงเจริญ ๆ ๆ”

เสียงโห่ร้องยินดี เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญสติปัญญาของราชินีสาวดังขึ้นไม่ขาดสาย

...

แฮ่ก ๆ ๆ

เสียงหอบหายใจดังขึ้นจากริมฝีปากบางเฉียบของใบหน้านวลผ่องที่แฝงแววเด็ดเดี่ยวแข้มแข็ง แสงอาทิตย์ที่ทอรัศมีแผดจ้ามากขึ้นในยามสาย ส่องร่างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อนั้นเป็นประกายประดุจเทพธิดาที่จุติลงสู่สมรภูมิรบ หญิงสาวแรกรุ่นวัยราวยี่สิบเศษ ผมสีแดงเพลิง ยืนย่อตัวด้วยท่าเตรียมพร้อมตามแบบฉบับของวิชากังฟู รอบกายมีกบยักษ์นับสิบล้มตายอยู่เกลื่อนกลาดบนพื้นดิน สนับมือที่สวมอยู่ในมือข้างขวาของหญิงสาวเปรอะเปื้อนเลือดสด ๆ ไหลหยดติ๋ง ๆ ลงบนพื้นที่ข้างเท้าของเธอ

เหล่ากบยักษ์และกองกำลังชาวบ้านที่รบกันอยู่ผละออกจากกันอีกครั้งหนึ่ง ขณะนี้กำลังฝ่ายมนุษย์เหลือประมาณเจ็ดสิบคน ขณะที่ฝ่ายบุกรุกเหลืออยู่ร้อยเศษ... กว่าครึ่งของกบยักษ์ที่ล้มตายในการประทะครั้งล่าสุดหลังจากรุ่งอรุณนี้ เป็นฝีมือของหญิงสาวผมแดงผู้มาใหม่นี้ทั้งสิ้น

“ฮึ่ม จะจะจะเจ้า... เจ้าเป็นใครกันบังอาจมาขัดขวางงานของเปเป้...” เด็กสาวชุดดำเต้นเร่า ๆ ด้วยความขัดใจยกมือขึ้นชี้หน้าผู้มาใหม่ “เปเป้ต้องบุกไปถึงวังแพลททิเซลเวอร์ให้ได้นะ เนี่ยมาติดอยู่ที่ตรงนี้เองยังไปไม่ถึงไหนเลย”

“เจ้าเป็นคนจากแคว้นใดกันแน่? คิดจะบุกยึดแพลททิเซลเวอร์เชียวรึ?” คาลดิน่าเดินคุมเชิงขึ้นมาเสมอกับสาวผมแดง บรรดากองกำลังของเธอพากันขยับตัวเป็นรูปขบวนอยู่รอบ ๆ หญิงสาวทั้งสองคน พลางมองไปยังข้าศึกอย่างระแวดระวัง

“ข้าคือ เปเป้ เป็นศิษย์เอกของท่านแม่มดเกรชัทโทร่าแห่งเอจู” เด็กสาวผู้บุกรุกประกาศตน “ท่านเกรชัทโทร่าอยากได้แคว้นแพลททิเซลเวอร์ ข้าเลยอาสามาทำความสะอาดแคว้นนี้เพื่อรอรับท่านเกรชัทโทร่า”

“ทำความสะอาดรึ?... อย่าบอกนะว่า.... ไร้เหตุผลสิ้นดี” แพทย์สาวแห่งแพลททิเซลเวอร์ขมวดคิ้วอย่างตระหนก รำพึงออกมาเป็นห้วง ๆ

“ฮึ เจ้านี่ร้ายกาจนัก ยังเด็กยังเล็ก ไฉนจึงเหี้ยมโหดนัก” หญิงสาวผมแดงผู้มาช่วยกู้สถานการณ์ฝ่ายเจ้าถิ่นเอ่ยขึ้น “เจ้าไม่เห็นชีวิตคนอื่นอยู่ในสายตาเลยรึไง?”

“ฮึ ชีวิตหรือ ก็ไม่เห็นมีอะไรสำคัญต้องใส่ใจนี่ กว่าเปเป้จะฝึกวิชากับท่านเกรชัทโทร่าสำเร็จ เปเป้ทดลองวิชากับคนไปตั้งเท่าไหร่แล้วไม่รู้” เด็กสาวตอบอย่างไม่ยี่หระ ผู้ฟังจินตนาการตามคำพูดของเธอแล้วก็ต้องสยิวกายด้วยความสะอิดสะเอียน

“ป่วยการจะพูดกับคนผู้นี้ ท่านนักสู้” คาลดิน่าพูดกับสาวผมแดง “ดูท่าทางคงจะได้รับการอบรมมาไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป.... พวกนอกรีตดี ๆ นี่เอง!”

“อืม... ข้าก็คิดเช่นนั้น” นักสู้สาวตอบ แล้วก็เหลือบตามามองทางหมอสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ข้าชื่อเอลทิน่า เพิ่งสำเร็จวิชากังฟูจากแคว้นคุนหลุน ตอนนี้อยู่ระหว่างเดินทางหาประสบการณ์ บังเอิญเมื่อคืนข้าพักแรมในป่าทางเหนือของที่นี่แล้วได้กลิ่นคาวเลือดลอยมากับสายลม พอตามไปก็พบว่ามีหมู่บ้านถูกโจมตี ฆ่าล้างหมู่บ้านไปแห่งหนึ่ง... ข้าจึงตามรอยมาจนถึงที่นี่”

“อืม เช่นนั้นหรือ?”

“ในฐานะนักบู๊แห่งคุนหลุน ปณิธานของสำนักกังฟูเราคือการผดุงคุณธรรม ข้าขอร่วมมือกับพวกท่านชาวแพลททิเซลเวอร์เพื่อขจัดภัยร้ายนี้”

“โอ ขอบคุณท่านมาก.... ข้าชื่อคาลดิน่า”

“ฮึ แนะนำตัวกันเสร็จแล้วใช่ไหม?” เปเป้ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เราจะได้มาสู้กันต่อ... พวกเจ้ามีอะไรไว้ไปคุยต่อในนรกเถอะนะ โอม.....ด้วยอำนาจแห่งอาจารย์ข้า แม่มดเกรชัทโทร่า.... สัตว์อาคมจงสำแดงตนออกมา ณ บัดนี้!!”

ขาดคำ เด็กสาวก็สะบัดมือไปรอบข้าง พลันปรากฏเม็ดทรายถูกซัดไปบนพื้นรอบ ๆ ตัวเธอ ทันทีที่ทรายเหล่านั้นตกบนพื้น ก็ปรากฏเป็นกลุ่มควันสีขาวหนาแน่นลอยคละคลุ้งอบอวลขึ้น เมื่อควันเหล่านั้นจางหายไป ก็กลายเป็น....

สัตว์อาคมจำนวนสามร้อยตัวยืนตระหง่านอยู่ด้วยขาหลังทั้งสองข้าง ดวงตาไร้แวว ปลายเล็บแหลมคมของเท้าหน้าสะท้อนแสงอาทิตย์เป็นวาววับชวนให้น่าสยดสยอง

“ฮะ ๆ ๆ โชคดีจริง ๆ ที่ท่านเกรชัทโทร่าให้ข้านำสัตว์อาคมพวกนี้มาด้วย.... พวกเจ้าเตรียมตัวตายได้แล้ว” เปเป้พูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง

ทัพเอจูสี่ร้อยเศษ กองกำลังแพลททิเซลเวอร์เจ็ดสิบเศษ!

เอลทิน่าขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงความหนักใจทันที...

คาลดิน่ายิ้มเครียด พูดขึ้นว่า

“เจ้ายังมีไม้ตายเก็บงำไว้อีกรึนี่... แต่ข้าก็มีเหมือนกัน ข้าสำรวมจิตท่องเวทย์บทหนึ่งไว้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

เธอยกมือขึ้นประสานกันที่ระดับอก แล้วก็สวดคาถาสั้น ๆ ตบท้ายด้วยคำประกาศ

“เวทย์ฟื้นฟู!”

ลำแสงสีขาวสาดส่องจากบนท้องฟ้าลงมาที่ตัวเธอ แล้วค่อย ๆ ขยายวงกว้างออก สำแสงนี้หากเทียบกับแสงจากมหาเวทย์กรีนโนอาห์ที่ลิตเติลสโนว์ใช้เมื่อคราวก่อน นับว่ามีรัศมีความเจิดจ้าและอำนาจห่างชั้นกันมาก แต่มันก็เพียงพอที่จะรักษาอาการบาดเจ็บ รวมทั้งฉุดดึงวิญญาณผู้ที่เพิ่งสิ้นลมในสนามรบนี้ให้กลับเข้าสู่ร่างเพื่อฟื้นชีวิตขึ้นมาใหม่ได้...

ร่างของอาสาสมัครป้องกันหมู่บ้านที่ล้มระเนระนาดจมกองเลือดบนพื้นมีบางส่วนที่กระดุกกระดิกได้แล้วก็ลุกขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า

กำลังฝ่ายแพลททิเซลเวอร์กลายเป็นสองร้อยคน

เอลทิน่ามองไปทางคาลดิน่าอย่างขอบคุณ นี่ย่อมดีกว่ามีพรรคพวกแค่เจ็ดสิบกว่าคนอย่างตอนแรก....

“ฮึ เวทย์แสงสว่างที่น่ารำคาญ เปเป้ล่ะเกลียดจริง ๆ” เปเป้บ่นอย่างขัดใจ “ฆ่ามัน!”

“พวกเรา สู้!” คาลดิน่าตะโกนสั่งการ

กำลังทั้งสองฝ่ายกรูเข้าหากันอีกครั้งหนึ่ง เอลทิน่าซึ่งได้รับพลังฟื้นฟูจนทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เริ่มใช้ท่าร่างอันรวดเร็วตามแบบฉบับของนักบู๊ กระบวนท่ากังฟูถูกร่ายรำประเคนหมัดที่ติดสนับมือเข้าใส่พวกข้าศึกอย่างรุนแรง ร่างของเธอเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนจับตำแหน่งไม่ถูก รู้เพียงแต่ว่า เงาดำปรากฏที่ใด ร่างของข้าศึกทั้งกบยักษ์และสัตว์อาคมก็ล้มลงดุจใบไม้ร่วง ณ ที่นั้น

การต่อสู้ ณ หมู่บ้านยุทธศาสตร์ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีทีท่าจะจบลงง่าย ๆ

ผ่านไปได้พักใหญ่ คาลดิน่าซึ่งยืนอยู่แนวหลังก็เริ่มหนักใจ

กำลังฝ่ายตน ตอนเริ่มแรกในการต่อสู้ระลอกล่าสุดนี้ ก็มีน้อยเป็นครึ่งหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว และก็ดูเหมือนจะเสียเปรียบยิ่งขึ้น เมื่อต้องตระหนักกับความจริงที่ว่าคมดาบคมศาสตราวุธของฝ่ายมนุษย์ดูจะทำอันตรายแก่พวกสัตว์อาคมได้น้อยมาก ด้วยผิวหนังอันแข็งเป็นเกล็ดหนา ๆ ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันให้พวกมันเป็นอย่างดี ต่างกับตอนที่สู้กับกบยักษ์ยังสู้ง่ายกว่า... สัตว์อาคมที่ถูกล้มลงแล้วสลายร่างกลับเป็นทรายเสก ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของนักบู๊เอลทิน่า ที่อาศัยหมัดลมปราณประเคนเข้าทำร้ายอวัยวะภายในของสัตว์อาคม จึงล้มพวกมันได้ทั้งที่มีเกราะหุ้มกายนั้น

ร่างของชาวบ้านที่ต้องอาวุธล้มลง มีจำนวนมากกว่าฝ่ายศัตรูที่ล้มลง และดูผลต่างนี้จะทวีความห่างขึ้นทุกขณะ...

และที่สำคัญ ถึงตอนนี้ พลังเวทย์ของคาลดิน่าก็แทบจะหมดสิ้นจากตัวแล้ว เธอใช้พลังเวทย์ในระดับสูงสุดเท่าที่ตัวเองจะใช้ได้ มาติดต่อกันหลายครั้งนับแต่เมื่อคืนนี้แล้ว...โดยที่ยังไม่มีโอกาสได้พักเลย

ดวงตาคู่งามของคาลดิน่าทอประกายเจ็บช้ำขึ้น บรรดาเพื่อนที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหลที่อุตส่าห์รอดชีวิตจนถึงบัดนี้ หากจะต้องล้มตายลงในคราวนี้ เธอก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกแล้ว...

“ไม่ไหวแล้ว ท่านคาลดิน่า หนีไปเถิด!”

หญิงสาวหันไปตามเสียงก็พบว่าชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งตลอดร่างโชกไปด้วยเลือดของทั้งฝ่ายศัตรูและของตนเอง กำลังหันมาพูดกับเธอ หลังจากที่ล้มกบยักษ์ได้คนหนึ่ง

“ซัน เจ้าเองหรือ?”

“ท่านคาลดิน่ารีบหนีไปเถิด ทางนี้คงต้านพวกมันไม่ไหวแล้ว... ป่านนี้พวกในหมู่บ้านก็คงอพยพหนีไปเรียบร้อยแล้วเหมือนกัน ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว”

“แต่...” หญิงสาวยังพะว้าพะวัง

“ข้าดีใจที่ได้ร่วมงานกับท่าน รีบไปซะ! ก่อนที่จะสายเกินไป!”

ซันหันกลับไปควงดาบใส่ศัตรูที่ดาหน้ากันเข้ามาอีกครั้งพลางตะโกนบอกเสียงลั่น

เงาดำสองสามเงาเคลื่อนที่เข้าทางซ้ายของคาลดิน่า เป็นพวกข้าศึกนั่นเอง หมอสาวก้าวเท้าถอยหลังอย่างตกใจ เธอไม่มีวิชาต่อสู้ติดตัวเลย เพราะเธอเป็นแพทย์และจอมขมังเวทย์ (เวทย์แสง) หาใช่นักสู้ไม่

ดาบในมือกบยักษ์และเล็บแหลมของสัตว์อาคมพุ่งเข้ามาเกือบจะพร้อมกัน คาลดิน่าหลับตาปี๋ นึกถอดใจในวาระสุดท้ายของตน

เสียงหนัก ๆ ดังขึ้น ความเจ็บปวดที่หญิงสาวคาดว่าจะได้รับกลับไม่บังเกิดขึ้นเสียที เมื่อคาลดิน่าลืมตาขึ้นก็พบว่า ร่างของข้าศึกทั้งสองล้มลงไปแล้ว โดยมีเอลทิน่าสาวผมแดงยืนหันหลังอยู่แทน ไหล่ทั้งสองข้างของนักบู๊กระเพื่อมขึ้นลงเป็นจังหวะตามการหอบหายใจ อันแสดงว่าฝ่ายนั้นกำลังเหนื่อยจากการต่อสู้ด้วยวิชากังฟูติดต่อกันนาน ๆ

“ท่านเอลทิน่า...”

“พวกเราแพ้แล้วล่ะ... ท่านหมอรีบหนีไปเถิด...” เอลทิน่าเหลือบตามองไปทางสมรภูมิรบที่เหลือกำลังฝ่ายมนุษย์น้อยคนเต็มที

“ไม่ ท่านนั่นแหละรีบหนีไปเถิด เพราะท่านยังมีโอกาสหนีรอดมากกว่าข้า และที่สำคัญ ท่านหาใช่ชาวแพลททิเซลเวอร์ไม่...”

ความหมายของหมอสาวคือ ท่านไม่จำเป็นต้องมาตายเพื่อพวกเรา... แต่ก็ไม่มีโอกาสได้พูดจบ ร่างของสัตว์อาคมสี่ห้าตัวก็ถลาเข้ามาหาเอลทิน่าเสียก่อน

“ไม่ต้องห่วงข้า ชีวิตแพทย์อย่างท่านสำคัญกว่า ไป๊!”

เอลทิน่าตวาดทั้งที่ยังหันหลังให้ พลางร่ายรำกังฟูเข้าใส่ศัตรูชุดใหม่

คาลดิน่ากัดริมฝีปากแน่น แล้วตัดสินใจหันหลังเตรียมวิ่งหนี แต่แล้วก็ต้องชะงัก

เบื้องหน้าของตนบัดนี้ หมู่บ้านเริ่มมีไฟลุกเป็นหย่อม ๆ เปเป้และสัตว์อาคมรวมทั้งกบยักษ์จำนวนหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างออกไปนัก ปิดทางหนีของเธอจนหมดสิ้น

“หุหุหุ อย่านึกว่าจะหนีเปเป้ไปพ้น พี่สาวคนสวย...” เด็กสาวชุดดำจากเอจูยิ้มอย่างไร้เดียงสา ตรงกันข้ามกับการกระทำของเธอโดยสิ้นเชิง

แพทย์สาวก้าวถอยหลังแล้วก็ไปชนกับใครบางคนที่กำลังถอยหลังมาเช่นกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างหันหน้ากลับไปก็พบว่าอีกฝ่ายคือ นักบู๊สาวผมแดงนั่นเอง

บัดนี้สองสาวตกอยู่ในวงล้อมของกองกำลังผสมสัตว์อาคม-กบยักษ์อย่างสิ้นเชิง (เป็นสัตว์อาคมเสียส่วนใหญ่)

เปเป้หรี่ตามองสองสาวอย่างพินิจ แล้วก็เปรยขึ้น

“หุหุหุ เอ จะฆ่าพี่สาวทั้งสองยังไงดีน้า........... ตัวแสบทั้งคู่เลย ทำให้เปเป้เสียเวลาไปนานเชียว...”

“...”

“...”

ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดจากริมฝีปากของเหยื่อสาวทั้งสองที่ตกอยู่ในวงล้อม อา.... พยายามมาครึ่งค่อนวัน ผลสุดท้ายก็เป็นเช่นนี้เองหรือ? - แพทย์สาวคิดในใจ

เหงื่อเม็ดโตไหลย้อยจากหน้าผากของเอลทิน่าลงมาถึงคาง แล้วก็หยดลงบนพื้น...

“หุหุหุ ฮะ ๆ ๆ ๆ” ร่างเปเป้สั่นน้อย ๆ แล้วก็รุนแรงขึ้นตามความดังของเสียงหัวเราะ

หญิงสาวในวงล้อมทั้งสองคนหน้าซีด เหงื่อแตกพลั่ก พยายามคิดหาทางหนีทีไล่สุดชีวิต แต่ก็ไม่มีความคิดใดเลย

และแล้วในทีสุด... เสียงประกาศิตจากเด็กสาวอันตรายก็ดังขึ้น

“พวกเจ้า ... ฉีกมันสองคนเป็นชิ้น ๆ เดี๋ยวนี้!”

แฮ่! เสียงคำรามดังกระหึ่มจากรอบทิศ หญิงสาวทั้งสองกำหมัดแน่น กลั้นหายใจเตรียมรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงในไม่กี่อึดใจข้างหน้า


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1