มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ฝ่าวิกฤติ: ภัยที่ผ่านพ้นไป

ตีพิมพ์ครั้งแรก 13 ธ.ค 45

ฝูงสัตว์อาคม รวมทั้งกบยักษ์นับสิบถาโถมเข้าหาสองสาวอย่างกระหายเลือด ทั้งคาลดิน่าและเอลทิน่าต่างเกร็งตัว คาลดิน่านั้นหมดหวังจะรอดชีวิตจากการศึกครั้งนี้ไปแล้ว เพราะเธอเองไม่มีวิชาการต่อสู้ติดตัวเลยแม้แต่น้อย ส่วนสาวนักบู๊เอลทิน่าก็เกร็งกำลังเฮือกสุดท้าย พลางนึกหนักใจว่าคงต้านได้ไม่กี่มากน้อย เพราะเธอเองก็เหนื่อยอ่อนเต็มทีแล้วเช่นกัน เด็กสาวอันตรายจากแคว้นเอจู ยืนยิ้มอย่างสะใจอยู่ห่างออกไป จบสิ้นจากการละเลงเลือดครั้งสุดท้ายสำหรับสมรภูมินี้แล้ว ตัวเองก็จะได้เดินทัพต่อไปยังวังหลวงของแพลททิเซลเวอร์เสียที

ดาบในมือกบยักษ์และคมเล็บของสัตว์อาคมที่ใกล้ตัวเข้ามาทำให้หมอสาวพยายามก้าวถอยหลังไปแต่ทำไม่ได้ เพราะขณะนี้เธอก็หันหลังชนกันกับหญิงสาวผมแดงกันแนบแน่นอยู่แล้ว อา... วาระสุดท้ายแล้วสินะ ขอโทษด้วยราชินีลิตเติลสโนว์ ข้าคงมีบุญได้ช่วยงานท่านเพียงเท่านี้ วูบหนึ่งที่คิดอย่างนั้น

แต่แล้ว...

“เคนมะเรนเซัน! (ดาบเล็บมังกรขั้นสูง)” เสียงใครคนหนึ่งร้องตะโกนมาแต่ไกล

ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!

“อ๊าก” ฯลฯ

เสียงต่ำ ๆ เหมือนของมีคมฟันฉับเข้ากับเป้าหมายดังขึ้นรอบข้าง ตามด้วยเสียงร้องไม่เป็นศัพท์ของบรรดากบยักษ์ที่จู่ ๆ ก็เสมือนถูกฟันด้วยดาบเล่มใหญ่ที่มองไม่เห็น ร่างกายขาดเป็นสองส่วนทันที เลือดสีเข้ม ๆ สาดกระจายเต็มพื้น สัตว์อาคมอีกหลายตัวเช่นกันที่ถูกฟันฟาดสองท่อนแล้วร่างกายท่อนบนก็ร่วงไปบนพื้นด้วยแรงเฉื่อยจากการที่พวกมันกำลังวิ่งเข้ามา แต่สำหรับสัตว์อาคมเหล่านี้ เมื่อเสียชีวิตก็กลับไปเป็นเม็ดทรายอาคมอีกครั้ง กองอยู่บนพื้นนั้นเอง

“?!!!” สองสาวผู้รอดตายหวุดหวิดหันไปมองทางต้นเสียง แล้วคาลดิน่าก็อุทานขึ้นอย่างดีใจ เหมือนตายแล้วได้เกิดใหม่

“ท่านบ๊ากแบท!”

ไกลออกไป ในสายตาของเปเป้ และเอลทิน่าที่มองไปทางเดียวกัน ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ผู้หนึ่งกำลังกระโจนลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว ในมือถือดาบที่เมื่อครู่เขาคงใช้กวัดแกว่งเพื่อส่งคลื่นดาบสุญญากาศเข้าจู่โจมหยุดความเคลื่อนไหวของไพร่พลในอาณัติของเปเป้นั่นเอง เขายังอยู่ห่างไกลออกไปถึงร้อยเมตรทีเดียว แต่กลับใช้ท่าไม้ตายให้คลื่นสุญญากาศวิ่งมาโจมตีฝ่ายศัตรูได้อย่างแม่นยำ สมแล้วที่เป็นอัศวินมือหนึ่งแห่งแคว้น มือขวาของอดีตราชารูเนจจูและของราชินีคนปัจจุบัน .... บ๊ากแบทนั่นเอง

ม้าของบ๊ากแบท ยืนซอยเท้ากุบกับอยู่สองสามที ก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงหมอบราบกับพื้นราวกับหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรงทั้งปวง

“ท่านคาลดิน่า ข้ามาช่วยแล้ว!”

...

ย้อนหลังกลับไป ประมาณสองชั่วโมงก่อนหน้า

จู่ ๆ ลิตเติลสโนว์ก็สะดุ้งกายขึ้นเล็กน้อย ขมวดคิ้วเรียวงามเข้าหากัน พลางยกมือขวาขึ้นบริเวณระดับสายตา หันฝ่ามือเข้าหาตนเอง

บนฝ่ามือของเธอ ปรากฏแผ่นน้ำแข็งใส ๆ ขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ และบนนั้น จารึกไว้ด้วยอักษรภาษาเนฟเวอร์แลนด์

เด็กสาวอ่านข้อความจบ น้ำแข็งนั้นก็พลันหายไป ดุจมันสลายตัว ระเหิดเป็นไอแล้วมลายไปกับอากาศ ราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์มองไปทางอาคันตุกะต่างแคว้นแวบหนึ่งก่อนจะตัดสินใจ

“ขออภัย ท่านแม่ทัพบาลโดสและท่านชาร่า เรามีธุระต้องสะสางสักเล็กน้อย ขออย่าได้ถือสา”

“หามิได้ แต่...” บาลโดสยกมือทำท่าคารวะพลางก้มศีรษะให้เล็กน้อย

“เรายังอยู่ที่นี่... ” ลิตเติลสโนว์ตอบด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายกังวลเรื่องใด จากนั้นเธอก็หันกายไปทางขุนพลคู่ใจ แล้วสั่งขึ้นเบา ๆ พอได้ยิน... แน่นอน ว่าทุกคนในที่นั้นจ้องมองเธอเป็นจุดเดียวและก็ได้ยินคำพูดของเธอด้วย รวมทั้งบรรดาอาคันตุกะจากทะเลทรายก็เช่นกัน แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

“ท่านบ๊ากแบท เราขอออกคำสั่งให้ท่านนำกำลังทหารม้าสองร้อย เร่งฝีเท้าไปช่วยท่านคาลดิน่าด่วนที่สุด เดี๋ยวนี้!”

“?!!!” สีหน้าของยอดขุนพลแสดงความพิศวงอย่างที่สุด แต่แล้วก็คุมสติได้ เขากลับชำเลืองไปทางทัพจาปิโตสอย่างหนักใจแวบหนึ่ง

“ท่านไม่ต้องห่วงทางนี้หรอก เราเชื่อว่าจะไม่มีเหตุนองเลือดเกิดขึ้น ท่านรีบไปเถิด ช้าจะไม่ทันการณ์” ลิตเติลสโนว์สำทับ

“ขอรับ” บ๊ากแบทประสานมือคารวะ พลางก้มศีรษะต่ำ จากนั้นก็หันกายไปสั่งการอย่างรวดเร็ว

“กองทหารม้าที่หนึ่งและที่สอง ติดตามข้าไปเดี๋ยวนี้!”

“ขอรับ!”

ช่างสมกับเป็นทหารที่ปรึกปรือมาอย่างดีเยี่ยม เสียงขานรับดังพร้อมเพรียงเป็นเสียงเดียวกันดังกระหึ่มชวนให้น่าเกรงขาม ลิตเติลสโนว์พลันยกมือขวาขึ้นหันฝ่ามือไปทางบรรดากองทหารม้าเหล่านั้น แล้วเปล่งแสงสีขาวบริสุทธิ์ออกจากฝ่ามือ ฉายไปบนร่างของกองทหารเหล่านั้น... หรือจะกล่าวให้ถูกต้องคือ... บนร่างของม้าที่เป็นพาหนะของทหารเหล่านั้น

“เวทย์เสริมกำลัง!”

เด็กสาวประกาศนามของเวทย์ที่ตนใช้ บ๊ากแบทสบตาราชินีของเขาแวบหนึ่งก็เข้าใจจุดประสงค์อีกฝ่ายได้ทันที เขาน้อมกายแสดงความขอบคุณอีกครั้งหนึ่ง แล้วหันม้าไปพลางสั่งการเสียงลั่น ให้ทหารในสังกัดควบม้าตามมาเต็มกำลังม้า แล้วตัวเองก็วิ่งนำออกไป ตัดผ่านถนนกลางชุมชนหน้าปราสาทแพลททิเซลเวอร์ขึ้นเหนือไปทันที ทหารม้านับสองร้อยควบม้าตามไปอย่างร้อนรน ในสายตาทุกผู้ย่อมรู้สึกได้ถึงความเร็วของม้าที่ผิดปกติ และย่อมตระหนักได้ว่านี่เป็นผลของเวทย์เสริมกำลังที่ราชินีศักดิ์สิทธิ์ร่ายใส่บรรดาม้าเหล่านั้นนั่นเอง ร่างของบรรดากองทหารม้าเหล่านั้นหายวับไปกับสายตาอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงกลุ่มควันโขมงอันเกิดจากฝุ่นที่คลุ้งขึ้นเนื่องจากฝีเท้าม้าเหล่านั้น

“หึหึหึ ดูท่า แคว้นแพลททิเซลเวอร์จะมีแขกมาเยือนพร้อมกันหลายคณะนะ” เสียงของนักรบทะเลทรายเปรยขึ้น

“ขออภัย ที่แสดงอาการไม่สมควร” ลิตเติลสโนว์หันกลับมาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย

บาลโดสอดหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างพินิจไม่ได้... นี่นางไม่กลัวข้าฉวยโอกาสนี้บุกแพลททิเซลเวอร์เลยหรือนี่? ที่ผ่านมา กองทหารนักรบทะเลทรายเรือนพันของเขา หากประทะกับทหารของอีกฝ่ายก็คงทำได้สูสีเท่านั้น เพียงแต่เขารู้ดีว่า อีกฝ่ายตกอยู่ในภาวะเสียเปรียบ เพราะไม่ต้องการให้ไฟสงครามลุกลามเข้าไปถึงในชุมชนของราษฎร หากแต่ตอนนี้... ทหารม้านับสองร้อยคน...ซึ่งก็คงเป็นกองกำลังหลักที่เข้มแข็งที่สุด ถูกแบ่งออกไปอีกทางหนึ่งเสียแล้ว พร้อมกับยอดอัศวินบ๊ากแบทเสียด้วย กำลังของแพลททิเซลเวอร์ที่เหลือประจันหน้ากับเขาอยู่ อ่อนด้อยลงไปในทันที

--หรือว่า แม้แต่สภาพนี้ก็ตาม นางก็มั่นใจจว่าข้าทำอะไรนางไม่ได้?--

ความคิดของบาลโดสมาสะดุดอยู่ตรงนี้ เขามองสีหน้าเรียบเฉยของราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์อีกครั้งหนึ่ง แล้วกวาดตามองบรรดาไพร่พลที่เหลืออยู่ของฝ่ายนั้น พลางคำนวณในใจ...

‘เอาเถิด ภารกิจที่แท้จริงของข้าไม่ใช่การยกทัพมารบซะหน่อยนี่นะ ทำตามแผนเดิมก็แล้วกัน’

พอดีกับที่ลิตเติลสโนว์ก็เอ่ยปากเร่งมาพอดีเช่นกัน

“ท่านแม่ทัพบาลโดส ในเมื่อทางเราทำตามเงื่อนไขของท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านก็จงดำเนินการต่อไปเถิด หรือว่า ท่านยังมีเหตุผลอื่นในการมาเยือนแคว้นเราอีก?”

ตอนท้ายของน้ำเสียง เต็มไปด้วยความมั่นใจ เหมือนหนึ่งท้าทายอยู่ในทีว่า หากสุดท้ายแล้ว ต่อให้ทางจาปิโตสดึงดันจะเปิดสงคราม ฝ่ายตนก็รับมือได้อยู่ดี...

“หามิได้ ท่านราชินี ภารกิจของข้าคือ คุ้มกันตะบองเพชรวิเศษนี้มามอบให้แก่ท่านเท่านั้น ในเมื่อท่านได้แสดงให้ประจักษ์แล้วว่าท่านสมควรเป็นผู้ครอบครองมัน ข้าก็จะส่งมอบให้ท่าน ณ บัดนี้ ... ชาร่า!”

“เจ้าค่ะ”

หญิงสาวนาม ชาร่า เอี้ยวกายกระโดดลงจากหลังอูฐอย่างคล่องแคล่ว ทั้งที่สองมือยังประคองกระถางต้นกระบองเพชรวิเศษนั้นอยู่ เธอก้าวเดินตรงมายังรถม้าของลิตเติลสโนว์อย่างสำรวม

“ซากุโระ”

เสียงราชินีศักดิ์สิทธิ์เรียกหาเบา ๆ หญิงสาวแสนงามก้าวเยื้องกายออกจากกลุ่มข้าราชบริพารที่ติดตามลิตเติลสโนว์ออกมาจากวังในชุดหลัง (หลังจากที่บ๊ากแบทคุมทหารชุดแรกออกมา) เธอคือซากุโระนั่นเอง ชาร่าส่งมอบกระถางกระบองเพชรให้ซากุโระ แล้วตนก็ก้าวถอยหลังสองก้าวก่อนจะหันหลังกลับ ในขณะที่เสนาบดีสาวเป็นฝ่ายส่งมอบกระถางนั้นยื่นมาตรงหน้าของลิตเติลสโนว์

“เป็นกระบองเพชรที่งามสมบูรณ์มาก ท่านแม่ทัพ... ว่าแต่ความวิเศษของมันอยู่ที่ใดหรือ?” ลิตเติลสโนว์พินิจของบรรณาการอยู่สองสามอึดใจ แล้วก็เงยหน้าขึ้นถามอาคันตุกะ

“ฮา ฮา หากราชินีต้องใจในของบรรณาการนี้ ข้าก็ดีใจ แต่ต้นกระบองเพชรนี้มีความวิเศษเพียงใด ก็ขอเชิญท่านราชินีค่อย ๆ ค้นหาด้วยตัวเองเถิด... หมดภารกิจของข้าแล้ว ข้าขอลาก่อนล่ะ”

“ขอบคุณท่านมาก เราคงขอส่งท่านเพียงเท่านี้แหละนะ”

“มิต้องเกรงใจไป ราชินี ขออภัยที่พวกข้ามารบกวนแต่เช้า... หวังว่าเราจะได้พบกันอีก” บาลโดสยกมือขึ้นประสานแล้วก้มศีรษะคำนับอย่างนอบน้อมเป็นครั้งแรก เมื่อเขายืดตัวขึ้น ก็หันหลังกลับไปทางไพร่พลของตน สั่งการว่า “ทัพจาปิโตส เคลื่อนทัพกลับ!”

เสียงโห่ร้องสั้น ๆ รับคำสั่งนั้น แล้วบรรดาไพร่พลของจาปิโตสก็เริ่มถอนตัว เคลื่อนทัพบ่ายหน้ากลับไปทางชายแดนทันที โดยมีแม่ทัพหนวดเข้มยืนรั้งท้าย

พวกลิตเติลสโนว์ยังคงยืนปักหลักอยู่เช่นนั้น เหมือนยืนส่งแขกจนกระทั่งฝ่ายหลังเดินลับหายไปจากสายตา เสียงถอนหายใจดังขึ้นจากหลาย ๆ คนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

“ซากุโระ ฝากเจ้าถือต้นนั่นกลับไปด้วยนะ” ลิตเติลสโนว์หันไปสั่ง

“เจ้าค่ะ... กลับเข้าวังแล้วจะให้วางไว้ไหนเจ้าค่ะ?”

“เจ้าปรึกษากับเสนาบดีการวังก็แล้วกัน ว่าตามธรรมเนียมแล้ว ของบรรณาการเช่นนี้จะเก็บหรือจะตั้งแสดงไว้ที่ใด”

“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”

จากนั้น ลิตเติลสโนว์สั่งการให้กองกำลังทั้งหมดกลับเข้าฐานที่ตั้ง และที่สำคัญ เธอให้นายทหารผู้หนึ่งคุมกองลาดตระเวณจำนวนร้อยนายออกไปตรวจสอบตามเส้นทางไปสู่ชายแดนด้านจาปิโตส...

พวกจาปิโตสสามารถยกทัพล่วงล้ำเข้ามาประชิดวังได้ในเวลาคืนเดียวเช่นนี้ ออกจะเป็นเหตุผิดปกติ บรรดายามบอกเหตุและกองทหารลาดตระเวณที่เฝ้าอยู่ตามรายทางเหล่านั้นหายไปไหนเล่า? เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา จึงปล่อยให้กองทัพ ‘ศัตรู’ ผ่านเข้ามาง่ายดายเช่นนี้ โดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะส่งข่าวแจ้งเข้ามา? นี่เป็นสิ่งที่เธอจะต้องหาคำตอบให้ได้.... เด็กสาวใช้สายตาส่งกองลาดตระเวณที่เพิ่งแต่งตั้งขึ้นใหม่ จนพวกนั้นลับสายตาไป

‘แล้วยังพวกคาลดิน่าอีก...’ คราวนี้ราชินีสาวหันไปมองทางทิศเหนือบ้าง ดวงตาคู่งามทอแววกังวลใจ

‘หวังว่าท่านจะไปทันเวลานะ ท่านบ๊ากแบท’

...

“เคนมะเรนซัน! (ดาบเล็บมังกรขั้นสูง)”

เสียงตวาดก้องดังจากปากของบ๊ากแบทพร้อมกับที่เขากวัดแกว่งดาบคู่มืออย่างหนักหน่วงทั้งที่ยังวิ่งอยู่ คลื่นสุญญากาศพุ่งเข้าหาบรรดาไพร่พลของฝ่ายตรงข้ามที่เขาเห็นว่าเป็นกองกำลังผสมระหว่างสัตว์อาคมและกบยักษ์ ร่างของพวกนั้นถูกคลื่นดาบตัดขาดเป็นสอง-สามท่อน ล้มตายลงระเนระนาดนับได้สิบกว่าราย ในขณะที่ขุนพลแห่งแพลททิเซลเวอร์ยังคงวิ่งเข้าไปโดยไม่ลดความเร็ว

“ใครน่ะ?” หญิงสาวนักบู๊หันหน้ามาถามแพทย์สาว

“ท่านบ๊ากแบท แม่ทัพใหญ่ของแคว้นนี้” เป็นคำตอบของคาลดิน่า

“โอ งั้นเราก็รอดแล้วสิ โอย....เหนื่อย” เอลทิน่าแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า พลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

ระหว่างนั้นบ๊ากแบทก็บุกเข้ามาสมทบกับสองสาวได้พอดี

“ท่านบ๊ากแบท!” เป็นคาลดิน่าที่ร้องทักอย่างดีใจ

“ปลอดภัยดีใช่ไหมท่าน.... ขออภัยที่มาช้า”

“ไม่หรอก ข้า... ข้าไม่คิดว่าจะมีคนมาช่วยเสียด้วยซ้ำ พวกมันบุกมากระทันหันเหลือเกินจนไม่มีเวลา.......”

--ไม่มีเวลาส่งข่าว--

เธอตั้งใจจะพูดเช่นนั้น แต่แล้วก็กลืนคำพูดตนเองลงเมื่อนึกถึง... เพื่อนพ้องร่วมชะตากรรมที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันตั้งแต่เมื่อคืน... บัดนี้ล้วนล้มหายตายจากไปหมดแล้วเหลือเพียงเธอ และนักบู๊สาวที่มาทีหลังเพียงสองคนเท่านั้น...

“ท่านทำดีที่สุดแล้ว”

ขุนพลผู้ห้าวหาญเข้าใจอากัปกริยาของอีกฝ่ายได้ทันที จากประกายหม่นหมองในดวงตาอีกฝ่าย เขาเอื้อมมือซ้ายไปตบบ่าอีกฝ่ายอย่างปลอบใจพลางหันหลังให้ ราวกับจะใช้ร่างของตนกำบังภัยให้อีกฝ่ายพ้นจากพวกข้าศึก

“เฮ้อ... ท่านแม่ทัพใหญ่... มาทั้งทีทำไมมาคนเดียวล่ะ... อย่าบอกนะว่าจะรับมือพวกมันด้วยตัวท่านเพียงคนเดียวนะ”

น้ำเสียงใส ๆ ดังขึ้นจากด้านหลังของเขา ไม่ต้องหันไปดูก็รู้ว่าเป็นเสียงของสาวผมแดงที่เขายังไม่รู้จักนั่นเอง

“ก็ทำนองนั้นแหละ... ท่านยังพอมีแรงหรือไม่ ช่วยคุ้มกันท่านคาลดิน่าด้วย ข้าจะจัดการพวกมันเอง!”

“หา? อะไรนะ?....” เอลทิน่าร้องเสียงหลง รู้สึกหมดแรงอีกครั้ง จะว่าไปต่อให้เธอยังมีแรงอยู่ แต่การคุ้มกันแพทย์สาวที่ไม่มีฝีมือต่อสู้เลย ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธออยู่ดี เพราะตามธรรมชาติแล้ว นักบู๊เช่นเธอถนัดการต่อสู้แบบประชิดตัวมากกว่า ซึ่งไม่เหมาะกับกรณีที่ต้องคอยคุ้มกันใครอีกคนเช่นนี้

“ฮึ่ม ........ เจ้าบ้า! เจ้าบ้า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ” เสียงแหลมปี๊ดดังขัดจังหวะขึ้นจากเด็กสาวชุดดำที่บัดนี้หน้าตาเหยเกเหมือนเด็กถูกขัดใจ “ตาแก่ล่ำบึ๊กโผล่มาอีกทำไมละเนี่ย ทำไมทุกคนชอบขัดขวางเปเป้กันนักนะ หา?”

‘ตาแก่....’

‘...ล่ำบึ้ก...เหรอ?’

หญิงสาวผมม่วงและผมแดงคิดทวนคำในใจ ทั้งสองคนต้องอาศัยเวลาถึงเกือบนาทีกว่าจะเข้าใจว่าเปเป้หมายถึงใคร?

“ฮะ ๆ..อุ๊บ” เสียงหัวเราะหลุดจากปากสองสาวพร้อมกัน แต่แล้วก็พยายามกลั้นหัวเราะไว้

ส่วนเจ้าตัวคนถูกเรียกเช่นนั้นเล่า ยังคงยืนสีหน้าเคร่งเครียด ถลึงตามองเด็กสาวเสียงแหลมด้วยสายตาเย็นชา พลางครางเสียงต่ำ ๆ เป็นเชิงถาม “นางเป็นใคร? (มาเรียกข้าแก่...)” แน่นอนประโยคหลังไม่ได้พูดออกไป

“นางคือ เปเป้ ... เห็นว่าเป็นศิษย์เอกของแม่มดเกรชัทโทร่าแห่งเอจู” เสียงคาลดิน่าตอบเบา ๆ

“อ้อ ที่แท้ศัตรูจากทางเหนือก็คือ เอจู จริง ๆ ด้วยรึ? ดี... เข้ามาเลย ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด ย๊ากกกกก”

ขาดคำ บ๊ากแบทก็กระโจนเข้าหากลุ่มข้าศึกทันที ดาบของเขาฟันฉัวะเข้าตรงไหน ร่างของกบยักษ์หรือสัตว์อาคมเคราะห์ร้าย ก็มีอันขาดเป็นท่อน ๆ ณ ที่นั้น เสียงอื้ออึงอลเวงดังขึ้นอีกครั้ง

“ฆ่ามัน ๆ จัดการมันให้ได้” เปเป้สั่ง... แต่ถึงไม่สั่งพวกไพร่พลของเธอก็ดาหน้าเข้าหาศัตรูผู้มาใหม่อยู่แล้ว อย่างไม่กลัวตาย ด้วยความถือดีว่าตัวเองพวกมากกว่า

เอลทิน่าค่อย ๆ หันตัวมามองการตะลุมบอนระหว่างหนึ่งต่อร้อยอย่างสนใจ พลางนึกว่า โชคดีที่พวกมันหันเหความสนใจจากตัวเธอไปแล้วโดยสิ้นเชิง หากเป็นการรบกับทหารอาชีพละก็... ยังไงเสียเธอก็คงไม่รอดแน่... นึกพลางก็คิดไม่เข้าใจในตัวเปเป้

-- เด็กคนนี้ ตกลงเป็นคนโหดเหี้ยมหรือไม่กกันแน่นะ?--

จังหวะที่เริ่มมีสัตว์อาคมบางตัวหันมาจ้องจะทำร้ายแก่สองสาวนั่นเอง... เสียงหนึ่งก็ดังมาจากอีกฟากของหมู่บ้าน

เสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากกำลังวิ่งใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว...

เมื่อเจ้าของเสียงปรากฏตัวขึ้นในระยะที่เห็นกันได้ เสียงใครบางคนในกลุ่มนั้นก็สั่งการขึ้น

“ช่วยท่านบ๊ากแบท ลุย!”

น่าแปลกที่พวกเขาล้วนลงจากหลังม้าเมื่อควบเข้ามาได้ระยะหนึ่งแล้วต่างดาหน้าวิ่งเข้ามา

“โอ้... มาแล้วหรือพวกเจ้า” บ๊ากแบทหันหน้าไปมองบรรดาทหารของตนที่วิ่งเข้ามาสมทบ ดาบในมือของเขาเพิ่งฟันผ่าร่างของสัตว์อาคมตัวหนึ่งเป็นสองซีกสด ๆ ร้อน ๆ ร่างของสัตว์อาคมสลายเป็นทรายอาคมกองอยู่บนพื้นเบื้องหน้า...

ลุย! ฆ่ามัน! ฯลฯ เสียงโห่ร้องของฝ่ายที่มาใหม่ดังขึ้นอย่างฮึกเหิม การตะลุมบอนครั้งสุดท้าย ณ หมู่บ้านนี้เปิดฉากขึ้น ณ บัดนั้นเอง...

แล้วก็ปิดฉากอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง...

ขณะที่สัตว์อาคมเหลืออยู่ยี่สิบตัวสุดท้าย... กบยักษ์ตายเรียบไปแล้ว เสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในใจของเปเป้

-- เด็กโง่ รีบหนีกลับมาเร็ว เจ้าอยากตายรรึไง? --

‘ท่านอาจารย์!’

-- ที่จริงเข้ายามสายแล้ว เวทย์มนต์ของข้าาก็เสื่อมลง ต่อให้เจ้าบุกไปก็ไม่มีประโยชน์ เด็กโง่เอ๊ย....... กลับมา!--

‘.... ค่ะ อาจารย์’

พลันที่สัตว์อาคมตัวสุดท้ายล้มลง และทหารของแพลททิเซลเวอร์ขยับวงล้อมอยู่รอบเด็กสาวชุดดำ ... โดยที่ยังไม่กล้าผลีผลามเพราะ หนึ่ง ทางพวกเขาเองต้องการจับเป็นบุคคลระดับหัวหน้าของฝ่ายตรงข้าม และสอง คำว่าเอจูเป็นเกราะคุ้มกันให้กับเปเป้อยู่.... แม่มดแห่งเอจู มีชื่อเสียงในด้านผู้เชี่ยวชาญเวทย์ด้านมืดรวมทั้งคำสาปแช่งต่าง ๆ นั่นเอง...

“ฮึ ฝากไว้ก่อนเถอะ เปเป้จะต้องมาเอาคืนแน่!”

“ว่าไงนะ... ทหาร จับนางไว้!” บ๊ากแบทสำเหนียกถึงความหมายในคำพูดนั้น แต่ก็สายไปแล้ว

ก่อนที่จะมีใครขยับตัว ร่างของเด็กสาวพลันมีกลุ่มหมอกหนาลอยขึ้นจากพื้นมาบดบังไว้จนหมดสิ้น แล้วหมอกนั้นก็สลายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงความว่างเปล่าเหนือพื้นดินบริเวณนั้น ... ร่างของเปเป้หายไปอย่างไร้ร่องรอย!


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1