มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ฝ่าวิกฤติ: แผนมรณะอริราช

ตีพิมพ์ครั้งแรก 19 ม.ค 46

ตัวละครใหม่ :
jamitos.jpg
??? ผู้อยู่เบื้องหลังที่จาโด้เพ่งเห็นในภวังค์


ทหารของบ๊ากแบทสำรวจความเสียหายของหมู่บ้านนั้นทันที หลังจากที่เด็กสาวนามเปเป้หายไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย ระหว่างนั้น เอลทิน่าก็แนะนำตัวเองกับบ๊ากแบท และได้รับคำขอบคุณจากฝ่ายแม่ทัพเสียยกใหญ่ หากนักบู๊สาวไม่ปรากฏตัวเข้ามาช่วยแล้วละก็ แพทย์สาวคาลดิน่าก็คงสิ้นชีพไปตั้งแต่การประทะในตอนเช้าแล้ว ไม่เหลือรอดมาถึงบัดนี้

หากแต่ตัวแพทย์สาวผู้รอดชีวิตนั้นเล่า นับแต่รู้ว่าสิ้นสุดการต่อสู้นองเลือดที่น่าสยดสยองนี้แล้ว เธอก็ทรุดกายลงนั่งขัดสมาธิ สำรวมจิตอยู่ครู่ใหญ่ จนเมื่อทหารของบ๊ากแบทมารายงานความเสียหายนั่นแหละ เธอจึงลืมตาขึ้น

ผลความเสียหาย... กองกำลังอาสาสมัครชาวหมู่บ้านตายเรียบ เหลือเพียงผู้นำคือ คาลดิน่าเพียงคนเดียว ทหารอัศวินของบ๊ากแบท เสียชีวิตไปสามสิบนาย ส่วนซากศพของกบยักษ์ที่นับได้ มีจำนวนเกือบห้าร้อยศพ ซึ่งคาดว่าเป็นจำนวนที่เปเป้พามา... ในณะที่จำนวนของสัตว์อาคมที่เสียชีวิตในการสู้รบนั้นไม่สามารถสำรวจได้ เพราะสลายร่างกลับเป็นทรายหมดแล้ว แต่ก็นับเป็นการศึกที่ดุเดือดยิ่งนัก เพราะทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในการรบตั้งแต่แรกสูญเสียกำลังพลทั้งหมด

คาลดิน่ากัดฟันแน่น เมื่อฟังรายงานจบ เธอยกมือขึ้นประสานกันเหนืออก พยายามสำรวมจิตท่องอาคม ‘เวทย์ฟื้นฟู’ หากแต่ไม่มีพลังแสงสว่างใด ๆ สาดส่องจากท้องฟ้าดังเช่นเคย จนแล้วจนรอด....

บ๊ากแบทเอื้อมมือไปตบบ่าของหมอสาวหนัก ๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“ตัดใจเถิด ท่านคาลดิน่า... ท่านไม่เหลือพลังเวทย์พอจะทำ ‘อะไร’ ได้อีกแล้ว”

“แต่.... ถ้าไม่รีบใช้เวทย์ฟื้นฟูเดี๋ยวนี้ คนที่ยังมีโอกาสคืนชีพได้ก็จะต้อง.....” ตายไปตลอดกาล- เธอไม่สามารถพูดประโยคท้ายจนจบได้

ใต้ฝ่ามือของบ๊ากแบท ขุนพลผู้ห้าวหาญรับรู้ได้ถึงร่างของหญิงสาวที่สั่นสะท้านด้วยความสะเทือนใจอย่างยิ่งยวด หมอสาวกัดฟันแน่น แต่แล้ว... น้ำตาก็ไหลพรากลงมาอาบแก้มอย่างสุดจะฝืนได้

เหล่าทหารที่มาสมทบใหม่ และบ๊ากแบทกับเอลทิน่า ได้แต่ยืนคอตก อยู่ในภวังค์เงียบนิ่งเช่นนั้น...

...

ท้องฟ้าเหนือแพลททิเซลเวอร์ คลี่ม่านสีดำลงปกคลุมเหนือดินแดนนี้อย่างช้า ๆ ห้วงนภาไร้ซึ่งแสงจันทร์ดั่งคืนก่อน ๆ ด้วยคืนนี้เป็นคืนกาฬปักษ์

ภายในวังหลวงแพลททิเซลเวอร์ บรรยากาศยามวิกาลอยู่ในความเงียบสงัดชวนให้วังเวงใจ หลังจากที่วันนี้ทั้งวัน ชาวแพลททิเซลเวอร์เฝ้าจับกลุ่มพูดคุยถึงเหตุการณ์เมื่อตอนช่วงเช้าอย่างตื่นเต้นปนสยดสยอง และสรุปท้ายด้วยความชื่นชมต่อปัญญาของราชินีลิตเติลสโนว์ หากเหตุการณ์เมื่อเช้าผิดพลาดไปเพียงน้อยก็ตาม ป่านนี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์คงได้ถูกพรมด้วยหยาดโลหิตของมนุษย์ที่เข้าห้ำหั่นทำสงครามกันแล้วเป็นแม่นมั่น

อย่างไรก็ดี พวกเขาก็เข้าสู่นิทราตามธรรมชาติของมนุษย์ หากแต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดค้างในใจทุกคนคือ เรื่องราวเกี่ยวกับ กองทหารที่ลิตเติลสโนว์ส่งไปสำรวจเส้นทางเดินทัพที่พวกจาปิโตสใช้เมื่อคืนก่อน ได้กลับมารายงานว่า บรรดาทหารยามและกองลาดตระเวณล้วนหลับไหลไม่ได้สติ จนแม้ปลุกก็ไม่ตื่น ทำให้ทางวังหลวงต้องออกคำสั่งส่งทหารชุดใหม่ไปผลัดเปลี่ยนหน้าที่อย่างฉุกละหุก รถเทียมม้าที่ขนร่างที่สลบไสลของเหล่าทหารเหล่านั้น วิ่งเข้ามายังบริเวณเรือนพักทหารเป็นระยะ ๆ ตลอดช่วงบ่าย

...

ณ ท้องพระโรงที่ออกว่าราชการของประมุขแห่งแคว้น บริเวณมุมห้องมุมหนึ่งถูกจัดเป็นโต๊ะตั้งประดับอย่างงดงาม และมีเครื่องประดับ ของมีค่าตั้งแสดงไว้อวดสายตาผู้มาเยือน... ในบรรดาของเหล่านั้น ก็มีกระถางตะบองเพชรศักดิ์สิทธิ์- ของบรรณาการใหม่ล่าสุดจากแคว้นจาปิโตสรวมอยู่ด้วย

เงามืดเห็นเป็นตะคุ่ม ๆ หลายเงาค่อย ๆ แผ่ขยายออกจากต้นกระบองเพชรนั้นช้า ๆ ประหนึ่งต้นไม้หนามนั้นพ่นควันออกมากลุ่มใหญ่

เงาดำเหล่านั้นค่อย ๆ ทวีขนาดขึ้น แล้วทอดเงายาวไปตามผนัง และในที่สุด มันก็เคลื่อนตัว ‘ไหล’ ไปตามผนังตรงไปยังประตูท้องพระโรง

พลันที่เงาดำที่แนบผนังเหล่านั้นหายลับไปจากประตูท้องพระโรง อีกมุมหนึ่งของท้องพระโรงก็พลันปรากฏเงามืดเงาใหม่ขึ้นมา หากแต่เงานี้เป็นของร่างบุรุษผู้หนึ่งในชุดแต่งกายสีดำสนิทกลมกลืนประดุจจะละลายหายกับความมืดรอบข้าง

“ฮึ่ม... สัมผัสของนางผู้นั้นถูกต้องรึนี่? เจ้าพวกจาปิโตส ไฉนเล่นวิธีโสมมเช่นนี้...”

คำพูดพึมพำเบาจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ดังลอดริมฝีปากบางได้รูปนั้น แล้วร่างของเขาก็กลืนหายไปกับความมืดอีกครั้งหนึ่งอย่างไร้สุ้มเสียง เฉกเช่นกับเมื่อตอนปรากฏตัว

...

เงาบนผนังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ตรงดิ่งไปยังจุดหมายของพวกมัน... ห้องนอนของลิตเติลสโนว์นั่นเอง!

ระหว่างทางพวกมันสวนกับบรรดาทหารเดินยามบ้าง แต่ก็ไม่เป็นที่สังเกตเห็น และในที่สุด เงาเหล่านั้นก็มาถึงหน้าห้องลิตเติลสโนว์แล้ว

หน้าห้องมีทหารยามเฝ้าอยู่ถึงสี่คน จากศักดิ์ศรีของผู้ครองแคว้นควรจะมีทหารมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ หากแต่ลิตเติลสโนว์เองที่ไม่ประสงค์เช่นนั้น จึงลดทหารยามหน้าห้องยามกลางคืนเหลือเพียงสี่นาย

และทั้งสี่นายนั้นก็มีอันล้มพับลงนอนสลบไสลกับพื้นแทบจะพร้อมกัน!

เงาดำทั้งหมดซึ่งบัดนี้เห็นได้ชัดว่ามีถึงหกเงา แยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละสามเงา อยู่ซ้ายขวาของประตูห้อง พวกมันรีรอเพียงเล็กน้อย มิใช่เพราะประตูห้องปิด หากแต่เหมือนพวกมันรออะไรบางอย่าง...

และแล้วเงาดำทั้งหกก็แทรกร่างกับช่องว่างของวงกบประตู หายเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว!

--ลอบสังหารลิตเติลสโนว์ซะ--

นี่คือคำสั่งที่ผู้ควบคุมพวกมันสั่งมา!

และบัดนี้พวกมันก็กำลังจะลงมือปฏิบัติการ...

เงาสองเงาในบรรดาผู้บุกรุกกลายร่างเป็นภูติร่างสีดำยืนตัวลอยเหนือพื้นอยู่ปลายเตียง เล็บแหลมเริ่มงอกยาวออกจากนิ้วทั้งสิบนิ้วของพวกมัน และเมื่อพร้อม พวกมันก็กระโจนร่างขึ้นกลางอากาศแล้วถาโถมลงมาพร้อมจิกเล็บแหลมของมันอย่างแรง หมายไปที่ร่างน้อย ๆ ที่ยังนอนหลับไหลอยู่บนเตียงนั้น ... ทุกการเคลื่อนไหวไร้ซึ่งสุ้มเสียงที่จะทำให้เหยื่อสำเหนียกภัยได้... ด้วยเล็บของพวกมัน ซึ่งเล็งไปที่ลำคอและหัวใจ สาวน้อยผู้ตกเป็นเหยื่อคงยากจะพ้นความตายเป็นแน่แท้...

หากไม่เพราะ...

กำแพงน้ำแข็งผลุดขึ้นจากอากาศธาตุ กางกั้นระหว่างร่างของหญิงสาวกับอาวุธเพชฌฆาต เล็บทั้งสิบของผู้ปองร้ายหักเป๊าะทันทีที่กระแทกถูกกำแพงน้ำแข็ง และดูเหมือนว่าไอน้ำแข็งที่เย็นลามขึ้นจากเบื้องล่างจะทำให้ร่างของมันทั้งสองเย็นตัวเป็นน้ำแข็งอย่างเฉียบพลัน ... ลอยค้างอยู่กลางอากาศนั่นเอง!

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

เงาไหว ๆ ของงูสองตัวพุ่งเข้าฉกร่างของภูติซึ่งบัดนี้มีสภาพเป็นก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่อย่างรุนแรง ก้อนน้ำแข็งประหลาดทั้งสองพลันแตกสลายระเบิดในทันที พร้อมกับที่คร่าวิญญาณภูติทั้งสองให้ดับสูญไปตลอดกาล... เบื้องล่าง กำแพงน้ำแข็งที่เป็นโล่ป้องกันภัยให้ราชินีลิตเติลสโนว์ ได้อันตรธานหายไปแล้ว สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเหลือเพียงร่างของเด็กสาวผมเงินที่ลุกขึ้นนั่งบนเตียง ทอดสายตาไปยังเงาสีดำอีกสี่เงาที่เหลืออยู่อย่างเย็นชา

งูสองตัวที่ฉกกัดภูติสองตนแรกจนแตกสลายเลื้อยฝ่าอากาศกลับไป ที่แท้มันไม่ใช่งู แต่เป็นอาวุธประจำตัวของเจ้าชายอสูรจาโด้- วอร์มวิปส์ นั่นเอง

“ใจเย็นจริงนะ สโนว์ หากข้าไม่มาช่วยเจ้าตามที่ตกลงไว้ล่ะ” จาโด้เอ่ยขึ้นพลางส่งสายตาไปยังอีกฝ่าย โดยไม่แสดงท่าทียี่หระต่อเงาภูติอีกสี่ตนที่ยังเหลืออยู่แม้แต่น้อย

“ข้าก็คงตายไปแล้วนะสิ ถามได้” เป็นคำตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ จากปากเด็กสาว

“ฮึ” เจ้าชายอสูรแค่นเสียงได้คำเดียวแล้วก็หันสายตาไปยังผู้บุกรุกยามวิกาล สายตาอันเย็นเฉียบผิดกับที่เขาใช้มองลิตเติลสโนว์ ทำให้ภูติทั้งสี่ถึงกับผงะไปพร้อมกัน แล้วกลายร่างเป็นร่างภูติในชุดสีดำเหมือนกับสองตนแรก

“นึกไม่ถึงเลยว่า ในจาปิโตสก็มีคนที่ใช้ไสยดำเป็นด้วย... บรรพบุรุษชาวทะเลทรายรู้เข้าคงต้องน้ำตาตกในเป็นแน่” ฝ่ายแรกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม เขาไม่ได้เอ่ยกับภูติทั้งสี่หรอก แต่กำลังส่งความไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังต่างหาก

“ฮึ เจ้าเป็นใคร ดูท่าทางจะเป็นอสูรกระมัง... น่าขันนัก อสูรหนุ่มอยู่ในห้องนอนของราชินีลิตเติลสโนว์รึนี่ รู้ไปถึงไหน...”

เสียงของอิสตรีที่ฟังดูบาดหู- หากแต่ก็ซ่อนแววตระหนกไว้ไม่มิด- ดังขึ้นจากร่างของภูติตนหนึ่ง แต่ตอนท้ายเสียงนั้นก็ไม่มีโอกาสได้พูดจบ เมื่อจาโด้หรี่ตาลงแล้วเค้นเสียงอย่างน่ากลัวว่า

“หุบปากสกปรกของเจ้าเดี๋ยวนี้!”

บรรยากาศในห้องทวีความวังเวงน่าสะพรึงกลัวขึ้นเป็นทวีคูณ เหมือนอุณหภูมิลดลงจนถึงจุดเยือกแข็ง ร่างของภูติทั้งสี่ไม่อาจจะขยับตัวได้อีกต่อไป สายตาที่จาโด้มองพวกมันเต็มไปด้วยความเหยียดหยามและชิงชัง

“เจ้าคนที่อยู่เบื้องหลังน่ะ ข้าจะสอนให้เจ้ารู้เองว่า มนุษย์ไม่บังควรยุ่งเกี่ยวกับศาสตร์ของไสยดำ และหากฝ่าฝืนกฎของเนฟเวอร์แลนด์ข้อนี้ เจ้าจักได้รับผลเช่นใด!”

ร่างของเจ้าชายอสูรก้าวตรงไปยังภูติทั้งสี่ช้า ๆ ทีละก้าว ทีละก้าว และพลังตบะแห่งความมืดอันกล้าแข็งก็ส่งผ่านสายใยของภูติทั้งสี่ตรงไปยังผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

ไกลออกไป ร่างของสตรีผู้หนึ่งซึ่งดูจากรูปโฉมภายนอก ดูเหมือนจะมีวัยสามสิบเศษและกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในวงกลมอาถรรพ์ในห้องของตนที่วังจาปิโตส ถึงกับเหงื่อกาฬแตกพลั่ก

อสูรตนนี้เป็นใคร สามารถส่งผ่านคลื่นสังหารย้อนกระแสจิตของนางกลับมาทำร้ายนางได้....?

หญิงสาวผู้นี้เพ่งสมาธิใส่กองไฟเบื้องหน้าของตนอีก ภาพที่ปรากฏในกองไฟเป็นภาพที่ถ่ายทอดจากสายตาของภูติตนหนึ่งที่นางส่งไปนั่นเอง และแล้ว นางผู้นี้ก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้ตัวว่า.... จาโด้ก็กำลังเพ่งย้อนกระแสกลับมา และสามารถมองเห็นนางได้แล้วเช่นกัน

‘ไม่ได้การ! ตบะของมันกล้าแข็งเหลือเกิน...’

ความรู้สึกกลัวตายแล่นเข้าจับจิต นางตัดสินใจโบกมือข้างขวาวูบหนึ่ง

กองไฟเบื้องหน้าดับสนิททันที และนั่นหมายถึงนางตัดหางปล่อยวัด ทิ้งให้ภูติซึ่งเป็นสมุนของตนทั้งสี่ตน เผชิญกับชะตากรรมในอุ้งมือศัตรูตามลำพัง

--ช่างร้ายกาจนัก แผนของเราล้มเหลวโดยสิ้นนเชิงหรือนี่?--

วูบหนึ่งที่นึกในใจเช่นนั้น ‘รู้อย่างนี้ กำชับให้ตาเฒ่านั่นรบกับพวกมันให้แตกหักไปทันทีที่มีโอกาสจะดีกว่า ไม่น่าเลย’

รายงานจากทหารสื่อสารที่ส่งล่วงหน้ามาจากกองทัพของบาลโดสซึ่งขณะนี้ยังคงตรึงกำลังอยู่บริเวณชายแดน ทำให้นางทราบถึงเรื่องที่เกิดเมื่อตอนช่วงเช้าทั้งหมด รวมทั้งประเด็นที่บาลโตสรักษาคำสั่งของนางอย่างเคร่งครัด มิได้บุกเข้าเปิดฉากสู้รบกับแพลททิเซลเวอร์ ทั้งที่มีโอกาสแล้ว ... โอกาสที่อีกฝ่ายหยิบยื่นให้เสียด้วย โดยการที่แบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปทางอื่น

...

“พวกเจ้าโดนนายทิ้งเสียแล้วสิ เหอะ ๆ” น้ำเสียงเย็นชาของจาโด้ดังขึ้น เป็นการกล่าวตรง ๆ กับภูติผีทั้งสี่ครั้งแรกนับแต่ทั้งสองฝ่ายปรากฏตัวขึ้นในห้องนี้

“...”

ไม่มีคำตอบจากพวกมัน หากแต่อาการลนลานก็แสดงให้เห็นชัดว่า พวกมันตระหนักถึงชะตากรรมของตนอย่างไร

“หือ? ... มาแล้วหรือ” จาโด้ย่นหัวคิ้วเข้ามากันแวบหนึ่ง แล้วก็ผ่อนออก พึมพำกับตัวเองก่อนจะร้องออกไปทางประตูห้องว่า “เข้ามาได้ นางมนุษย์เอย”

แอ๊ด... ประตูห้องเปิดออก แสงไฟจากเทียนที่ระเบียงส่องเข้ามาทำให้ห้องสว่างขึ้นแวบหนึ่ง ก่อนที่มันจะถูกปิดลง ส่งให้ห้องตกอยู่ในความมืดสลัวดังเดิม

ผู้เข้ามาใหม่คือ ซากุโระ ผู้ปวารณาตนเป็นนางกำนัลกิตติมศักดิ์ของลิตเติลสโนว์นั่นเอง ในมือของเธอประคองถือกระถางตะบองเพชรมาด้วย

“อา! ที่แท้ตะบองเพชรนี้...” ลิตเติลสโนว์เข้าใจทุกอย่างในทันทีที่เห็นต้นตะบองเพชรนั้น

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ตะบองเพชรนี่เป็นสื่อกลางในการส่งกระแสจิตและพลังเวทย์ดำมาจากแดนไกลเจ้าค่ะ” ซากุโระยอบกายคำนับราชินีของตนเล็กน้อยแล้วตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

...

ย้อนกลับไปยามพลบค่ำ ร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งเดินวนเวียนไปมาอยู่หน้าห้องที่จัดเป็นที่พำนักของ ‘แขกรับเชิญคนพิเศษ’ ของวังแพลททิเซลเวอร์ เหมือนจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างแต่ก็ยังลังเล จนในที่สุด เธอก็หมุนตัวครั้งสุดท้าย ทำท่าจะก้าวเดินจากไป หากไม่เพราะ...

ร่างร่างหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเธอกระทันหัน ร่างในชุดดำ และแส้หนอนที่งอกอยู่บนไหล่ทั้งสองข้าง บอกให้รู้ว่าร่างนี้จะเป็นใครไปมิได้ นอกจาก...

“ท่านจาโด้...”

“มาด้อม ๆ มอง ๆ อะไรแถวห้องพักของข้า นางมนุษย์เอย”

“ข้า ... เอ่อ... ” ซากุโระจ้องสายตาอีกฝ่ายนิ่งทั้งที่ขาของตนเริ่มสั่นพั่บ ๆ จาโด้มองตอบเธอด้วยสายตาเย็นชา แต่กระนั้นอสูรหนุ่มรออย่างใจเย็น จนในที่สุด คำพูดตะกุกตะกักก็หลุดออกจากปากหญิงสาว

“ข้า... มีเรื่องอยาก... ปรึกษาท่าน...”

“ปรึกษารึ?” เจ้าชายอสูรเลิกคิ้วสูงข้างหนึ่งพลางย้อนถามเสียงแหลม อาการแบบนี้ของเขาทำให้หญิงสาวค่อยผ่อนคลายความประหม่าลงได้

“ค่ะ เอ้อ เจ้าค่ะ วันนี้ท่านคงทราบแล้วว่า เราได้รับตะบองเพชรต้นหนึ่งจากจาปิโตส”

“อืม ข้าทราบ...” จาโด้ยกมือขึ้นลูบคาง เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังจ้องตนนิ่งทั้งที่ตัวยังไม่หยุดสั่น เขาก็พูดต่ออีก “และข้าก็เพิ่งโดนราชินีของเจ้าต่อว่าไปหยก ๆ เมื่อครู่นี้เอง”

ราชินีต่อว่าเจ้าชายอสูร?!!!

ซากุโระทำตาโต ความแปลกใจในสิ่งที่เพิ่งได้รับฟัง บดบังความรู้สึกเกรงกลัวต่ออีกฝ่ายหนึ่งเสียแทบสนิท ... อย่าว่าแต่จะต่อว่าเลย สำหรับมนุษย์เช่นเธอ แค่การเดินเฉียด หรือ พูดคุยกับเจ้าชายอสูรผู้นี้ก็เป็นเรื่องที่พึงหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่งแล้ว หากยังไม่อยากหัวใจวายตาย แต่นี่... ราชินีของเธอถึงกับ... กล้าต่อว่าต่อขานใส่บุคคลผู้น่ากลัวผู้นี้เชียวหรือนี่!

“ฮึ่ม! เพราะวันก่อนข้ารับปากนางไว้แท้ ๆ ทีเดียว ว่าจะสืบข่าวทางเอจูมาให้ทันการณ์ แต่แล้ว...”

อ้อ อย่างนี้นี่เอง - ซากุโระลืมตัวพยักหน้าโคลงใหญ่ เธอพอทราบมาเหมือนกันจากการสอบถามลิตเติลสโนว์ในยามที่เธอเฝ้าปรนนิบัติอีกฝ่ายว่า จาโด้รับปากจะสืบข่าวด้านเอจูให้ แต่อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมา การเตรียมการป้องกันศึกจากเอจูก็เป็นภาระของคาลดิน่า จนกว่าทางวังหลวงจะมีข้อมูลเพียงพอและกำหนดการส่งทหารออกไปประจำแนวรบได้ แต่...

เมื่อคืนนี้เอง ทัพกบยักษ์ของเอจูก็บุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว และจาโด้เป็นผู้ทราบเรื่องนี้จากเวทย์มนต์แจ้งข่าวของตนที่แอบร่ายทิ้งไว้ที่หมู่บ้านของคาลดิน่า ทำให้เขาส่งข่าวเรื่องนี้ต่อให้ลิตเติลสโนว์ในช่วงที่ลิตเติลสโนว์กำลังรับมือกับบาลโดสอยู่... แน่นอนว่า เป็นการแจ้งข่าวโดยไม่มีใครเห็นจาโด้ เพราะการดำรงอยู่ในแคว้นนี้ของเจ้าชายอสูรยังคงถูกเก็บเป็นความลับอยู่เฉพาะภายในวังหลวงเท่านั้น และจาโด้เองก็ยังคงรักษากติกาข้อนี้เป็นอย่างดี

และนี่คือ ต้นเหตุที่ลิตเติลสโนว์ต่อว่าจาโด้ ด้วยข้อหา สืบข่าวมา ‘ไม่ทันการณ์’

และจนบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวกลับมาจากกองทหารของบ๊ากแบทว่า เร่งรุดไปช่วยกู้สถานการณ์ได้ทันหรือไม่... ทั้งนี้เพราะม้าทุกตัวที่ขี่ไปนั้น ป่านนี้คงยังล้มนอนแอ้งแม้งอยู่เป็นแน่ ด้วยผลข้างเคียงจากการใช้เวทย์เสริมกำลัง... เวทย์ที่สามารถเสริมกำลังได้จริง แต่หากผู้ใช้กำลังนั้น ออกแรงจนเกินตัว เมื่อเวทย์หมดฤทธิ์ก็ย่อมต้องหมดซึ่งเรี่ยวแรงตามไปด้วยและต้องพักฟื้นนานกว่าปกติ

“ค่ะ...”

“... แล้วเจ้าล่ะ มีอะไรกับข้ารึ?”

“ก็เรื่องตะบองเพชรที่เราได้รับมาแหละเจ้าค่ะ ตอนที่ข้าถือมันกลับมา ข้าได้กลิ่นของเวทย์แห่งความมืดจากตะบองเพชรนั่น...”

“เวทย์แห่งความมืด?” จาโด้ทำสีหน้าครุ่นคิดแต่แล้วก็จ้องหน้าหญิงสาวพลางถามว่า “เจ้าได้ ‘กลิ่น’ มันจริง ๆ รึ?”

“เจ้าค่ะ...เอ้อ คือ ไม่เชิงเรียกว่ากลิ่นหรอก คือ ข้าสัมผัสได้ถึง...”

“พอ! เข้าใจแล้ว... ทำนองเดียวกับที่เจ้าจะได้กลิ่นอายอสูรจากสโนว์ หลังจากที่สโนว์สนทนากับข้านาน ๆ ใช่ไหม?”

“เอ๊ะ.... อะ...ท่าน....” ซากุโระหน้าแดงก่ำ ข้อความที่เธอเคยนินทาถึงเจ้าชายอสูรถูกล่วงรู้ไปถึงเจ้าตัวด้วยรึนี่

“ฮึ ไม่ต้องกลัวไป...ข้าไม่ใส่ใจเรื่องพรรณนั้นหรอก... สรุปก็คือ... เจ้าเป็นคนมีสัมผัสพิเศษต่อพลังเวทย์มืด หรือเวทย์แห่งอสูร ว่าเช่นนั้นเถิด”

“ใช่แล้วเจ้าค่ะ”

“อืม... และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงจะไม่ค่อยดีเสียแล้ว... เอาล่ะ เข้าใจแล้ว”

และนั่นคือ บทสนทนาระหว่างซากุโระกับจาโด้

...

และบัดนี้ กระถางตะบองเพชรต้นเหตุก็ถูกวางไว้บนพื้นเบื้องหน้าภูติร้ายทั้งสี่ ที่ต่อหน้าจาโด้แล้วพวกมันก็เป็นได้แค่เพียงแมวเซื่อง ๆ สี่ตัวเท่านั้นเอง

“ท่านจะทำอย่างไรต่อ?” เป็นลิตเติลสโนว์ที่หันไปถามแขกเมืองของตน หลังจากที่เธอปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว สมองของเธอเชื่อมโยงข้อมูลต่าง ๆ ได้ทันที การที่ทัพของบาลโดสล่วงล้ำเข้ามาโดยไม่มีทหารฝ่ายเธอรู้ตัวเลย ก็เพราะเวทย์สะกดที่แผ่ซ่านออกมาโดยอาศัยตะบองเพชรนี้เป็นศูนย์กลางนั่นเอง ทำให้ทหารของเธอหลับไหลไปตลอดเส้นทางการเดินทัพของบาลโดสได้ โดยที่ผู้ร่ายเวทย์ดำนั้นไม่ต้องก้าวออกจากห้องของตัวเองแม้แต่ก้าวเดียวด้วยซ้ำ และจุดมุ่งหมายสุดท้ายของจาปิโตสในครั้งนี้ คือการส่งตะบองเพชรให้มาอยู่ใกล้ ๆ กับตัวสโนว์ เพื่อให้ภูติทั้งหกที่แฝงกายมาด้วย ลงมือลอบสังหารเธอนั่นเอง.... และรุ่งขึ้นทัพของบาลโดสที่ถอนตัวกลับไปครั้งหนึ่ง แต่ยังคงปักหลักอยู่บริเวณแนวชายแดน ก็จะกรีธาเข้าจู่โจมยึดดินแดนที่ไร้ผู้ปกครองแห่งนี้อย่างง่ายดาย...

ช่างเป็นแผนที่ลึกล้ำน่าสะพรึงกลัว และน่าขยะแขยงกระไรเช่นนี้!

“ดาบนั้นคืนสนอง!” จาโด้ตอบด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

ทั้งสโนว์และซากุโระรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิในห้องที่ลดลงอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่จาโด้ผ่อนคลายพลังเวทย์ของตนลงเมื่อพบว่าฝ่ายตรงข้ามตัดการติดต่อกับภูติของตนไปแล้ว คราวนี้ แม้แต่ลิตเติลสโนว์ยังรู้สึกเย็นสะท้านไปถึงในทรวง

“นาน ๆ จะมีคนทำให้ข้ารู้สึกอยากปลดปล่อยพลังเวทย์ให้เต็มที่ได้สักทีนะ เห็นทีจะต้องละเลงเลือดครั้งใหญ่ข้าจึงจะสงบจิตสงบใจได้กระมัง...... เหอะ ๆ ๆ ๆ” น้ำเสียงเย็นยะเยียบพูดพึมพำกับตนเองด้วยข้อความที่ชวนขนหัวลุก ภูติทั้งสี่เริ่มร้องโหยหวนแล้วส่ายร่างไหวไปมา พวกมันค่อย ๆ กลายร่างกลับเป็นเงาดำอีกครั้งหนึ่ง

koku1.jpg

   koku2.jpg

      koku3.jpg

         koku4.jpg

            koku5.jpg

               koku6.jpg

“มะไคโช โคะคุเรียวจิน!!! (魔界粧・黒霊陣 - ค่ายกลอาถรรพ์วิญญานสีดำแห่งภพอสูร)” และนั่นเป็นคำประกาศชื่อเวทย์มนต์ที่จาโด้กำลังใช้

วี้ดดดดดดดดดดดด!!!

เสียงหวีดร้องแหลมยาวดังลั่นห้อง ประดุจใบมีดคมกริบที่กรีดผ่านภวังค์ความสงบแห่งรัตติกาล เงาร่างสีดำทั้งสี่สายพุ่งหายเข้าไปในต้นตะบองเพชร แล้วพลันตะบองเพชรนั้นก็เกิดเพลิงลุกไหม้... เพลิงสีดำสนิท!

จากเปลวเพลิงสีดำที่ไหม้ท่วมตะบองเพชรสื่อมรณะ เงาสีดำใหญ่สายหนึ่งพุ่งวูบออกไปทางหน้าต่างห้องตรงดิ่งขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว ร่างของจาโด้พุ่งตามเงาดำสายนั้นไปทันที ทิ้งไว้เพียงคำพูดว่า

“ข้าไปละเลงเลือด เดี๋ยวกลับมา!”

บนพื้นห้อง ไม่เหลือร่องรอยของเครื่องบรรณาการจากจาปิโตสแม้แต่น้อย

ร่างของสาวโสภาสองคนอิงร่างแนบกันในห้องนั้น คนที่ยืนกำลังตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เธอรู้อยู่หรอกว่าอสูรนั้นน่ากลัวนัก แต่... เจ้าชายอสูรผู้นี้ยามสำแดงเดชนั้นสุดที่จะหาคำบรรยายได้ คำว่าน่ากลัวไม่เพียงพอเสียแล้ว... ส่วนเด็กสาวผมสีเงินซึ่งนั่งห้อยขาอยู่บนขอบเตียง ได้แต่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อย่างสงบ มือข้างหนึ่งกุมมืออันสั่นเทาของฝ่ายแรกไว้ ราวกับจะปลอบประโลมให้หายหวาดกลัว ขณะที่ตนเองก็รำพึงในใจว่า

เจ้าชายอสูร... ร้ายกาจและน่าสะพรึงกลัวเพียงนี้เชียวหรือนี่?

...

(จบบทที่สอง ฝ่าวิกฤติ)

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1