มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ดวงวิญญานต่างภพ: ชีวิตเดิม ๆ ที่ไร้ค่า

เขียนครั้งแรก 30 ส.ค 45
แก้ไขครั้งแรก 14 ต.ค 45

“หากแม้นเนฟเวอร์แลนด์ต้องถึงการดับสูญแล้วละก็...ข้าขอขายวิญญานให้ซาตานเสียยังดีกว่า”

“จงวางใจเถิด ข้าจะรับฝากเนฟเวอร์แลนด์ไว้เอง ราชารูเนจจูเอย”

...

โลกมนุษย์ ปีพ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) หรือ ปีเฮย์เซย์ที่ 12

ณ มหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

บนดาดฟ้าของตึกแห่งหนึ่ง

“เธอนี่มันซื่อบื้อจริง ๆ บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วไม่เข้าใจรึไง ว่าโรงเรียนเราไม่ต้องการเด็กไม่มีพ่ออย่างเธอ” เสียงแจ๋น ๆ เสียงหนึ่งตะคอกขึ้น แล้วเสียงเซ็งแซ่สนับสนุนก็ดังตามขึ้นมา กลุ่มเด็กวัยรุ่นหญิง ในชุดแต่งกายที่ดูปุ๊บเดียวก็ทราบได้เลยว่าเป็นนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่งจำนวนประมาณหกเจ็ดคน กำลังยืนล้อมรอบเด็กผู้หญิงในเครื่องแบบเดียวกันอยู่ ผู้ถูกล้อมหน้าซีดเผือด แววตาฉายแววเจ็บช้ำน้ำใจที่ถูกเพื่อน ๆ ร่วมห้องตะคอกใส่ด้วยปมด้อยของตนเอง

ใครบางคนที่มือบอนไปสืบรู้มาจนได้ว่า หล่อนมาจากครอบครัวเดี่ยวที่เรียกว่า คุณแม่โดดเดี่ยว คือ เป็นสตรีที่ท้องโดยไม่ผ่านการแต่งงานและเจ้าตัวก็ยอมรับกับคนรอบข้างแล้วคลอดลูกออกมาในที่สุด

ที่จริง ในญี่ปุ่นปัจจุบัน แนวโน้มการคลอดบุตรนอกสมรสของสตรีมีมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก แต่... โดยทั่วไป มักจะมีชายที่แสดงตนว่าเป็นบิดาของเด็กอย่างเปิดเผย... ถึงแม้ว่าด้วยเหตุจำเป็นบางอย่าง ที่จะทำให้เขาไม่สามารถอยู่ร่วมรับผิดชอบในการเลี้ยงดูลูก... รวมทั้งเลี้ยงดูภรรยาก็ตาม

แต่ไม่ใช่กรณีของเด็กสาวนาม ไซโต้ โคะยุกิ เจ้าของผมยาวสลวยสีน้ำตาลยามแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องกระทบเช่นนี้

ตั้งแต่จำความได้ หล่อนก็มีเพียงมารดาเท่านั้น และไม่เคยได้รับรู้เลยว่าบิดาของตนเป็นใคร

มารดาของหล่อนทำงานเป็นฟรีแลนซ์เกี่ยวกับการออกแบบตกแต่งภายใน และมักมีถิ่นที่อยู่ไม่ติดที่สักเท่าไรนัก เด็กน้อยโคะยุกิจึงต้องย้ายโรงเรียนตามมารดาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว...

และก็ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ของการถูกรังแก หรือที่ในภาษาญี่ปุ่นมีศัพท์เฉพาะว่า ‘อิจิเมะ’ มาตั้งแต่เรียนประถมแล้วเช่นกัน...

ทุกครั้ง จะต้องมีใครสักคนปล่อยข่าว ว่าโคะยุกิจังมีแต่แม่...ไม่มีพ่อ เป็นเด็กไม่มีพ่อ แล้วในที่สุด ด้วยปมด้อยนี้หล่อนก็จะถูกล้อเลียน และขยายความรุนแรงไปจนกระทั่งเป็นเด็กที่ตกเป็นเป้าของการรังแกในที่สุด

รวมทั้ง ในชั้นเรียนมัธยมปลายปีที่สอง (เทียบกับม. 5 ในไทย) ก็เช่นกัน หล่อนถูกหมายหัวจากบรรดาเด็กหัวโจกในห้องตั้งแต่ตอนย้ายโรงเรียนเข้ามากลางเทอมแล้ว...

และเมื่อวันที่โรงเรียนจัดให้ผู้ปกครองมาดูการเรียนการสอน วันนั้นเองที่เพื่อน ๆ เริ่มรับทราบว่า โคะยุกิมีแต่แม่...

แล้ววงจรอุบาทว์ก็ซ้ำรอยเดิมอีก....

“ตอบอะไรซะมั่งสิ ยัยโคะยุกิ” เด็กสาวหัวโจกตรงเข้ามาจับไหล่น้อย ๆ ของโคะยุกิเขย่าอย่างแรงจนหล่อนหัวสั่นหัวคลอน แต่ก็ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดปากเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายออกมา ท่าทางแบบนี้ เป็นที่ขัดใจบรรดา “ผู้รังแก” เป็นอย่างยิ่ง แต่ยังไม่ทันที่พวกนี้จะทำรุนแรงขึ้นเหมือนทุกวันที่ผ่านมา

“พวกเธอทำอะไรกันน่ะ!” เสียงอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากประตูดาดฟ้า บรรดานักเรียนสาวบนดาดฟ้าหันไปมองก็พบว่า เป็นอาจารย์ชายคนหนึ่งนั่นเอง เขาคงมาเดินตรวจตราสถานที่ในตอนเย็นหลังเลิกเรียน

เด็กสาวรอบตัวโคะยุกิ ปรับสีหน้าเป็นหน้าระรื่นทันที

“ไม่มีอะไรค่ะ อาจารย์ พวกเรามีเรื่องปรึกษากันนิดหน่อย แล้วก็เสร็จแล้วค่ะ” ใครคนหนึ่งเป็นตัวแทนตอบ

“...” อาจารย์ชายผู้นั้น ซึ่งไม่ได้สอนห้องนักเรียนกลุ่มนี้โดยตรงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างครุ่นคิด บรรยากาศแบบนี้มันเป็นการอิจิเมะชัด ๆ แต่สุดท้ายที่เขาเอ่ยปากก็คือ “ถ้าคุยกันเสร็จแล้วก็ไป รีบกลับบ้านซะ พ่อแม่เป็นห่วง!”

“ค่า” ทุกคนรับคำเป็นเสียงเดียว ยกเว้นเด็กสาวโคะยุกิที่ไม่ปริปากใด ๆ หากก็ไม่ได้เอ่ยปากฟ้องครู เพราะรู้ดีจากประสบการณ์ของตนเองว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ครูของโรงเรียนไม่ใช่ที่พึ่งของหล่อนได้เลย และมันก็เป็นจริง

“พรุ่งนี้อย่าให้เราเห็นแกอีกนะ!” เสียงจากใครคนหนึ่งกระซิบขึ้น ขณะเดินผ่านตัวโคะยุกิไป เด็กสาวมองแผ่นหลังเพื่อน ๆ ร่วมห้องที่ร่วมกันข่มขู่หล่อนเมื่อครู่ แล้วก็ก้มตัวลงหิ้วกระเป๋าเดินตามหลังพวกนั้นไปด้วย โดยทิ้งระยะห่างพอสมควร

อาจารย์ผู้ชายผู้นั้นเดินตามมาห่าง ๆ เด็กสาวผู้เคราะห์ร้ายนึกโล่งใจที่เขาไม่ได้เรียกเธอไว้ซักถาม เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกอีกเช่นกันว่า หากเป็นเช่นนั้น รังแต่จะทำให้พวกเด็กเกเรเหล่านี้ ระแวงสงสัยและมีข้ออ้างมากขึ้นไปอีกว่า หล่อนทำตัวเป็นเด็กขี้ฟ้องรึเปล่า? และการรังแกหรืออิจิเมะในวันต่อ ๆ มาก็จะทวีความรุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตาม การที่อาจารย์ชายผู้อยู่ต่างห้องนี้ เดินตามมาห่าง ๆ จนกระทั่งเด็กสาวทั้งหมดเดินพ้นประตูใหญ่ของโรงเรียนออกไป ก็แสดงว่า เขาตระหนักในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และตามมาคุ้มครองเด็กผู้เป็นเหยื่ออิจิเมะ เท่าที่เขาจะทำได้ ก็คือ ป้องกันไม่ให้พวกนั้นลากตัวหล่อนไปที่ไหนอีก...

เมื่อพ้นโรงเรียน การจราจรที่พลุกพล่าน ผู้คนที่เดินกันขวักไขว่ในช่วงเวลาเย็นหลังเลิกงานเช่นนี้ ทำให้เด็กซ่ากลุ่มนั้นหมดพิษสงโดยอัตโนมัติ โคะยุกินึกยิ้มในใจ สุดท้ายพวกนี้ก็เก่งเฉพาะเวลาอยู่ด้วยกันเท่านั้นแหละ ต่อหน้าสาธารณชนแล้วก็เป็นลูกแมวเซื่องดีดีนี่เอง...

เด็กสาวถอนหายใจอย่างสมเพช แต่จะสมเพชโชคชะตาตัวเอง หรือสมเพชต่อพฤติกรรมของเพื่อนร่วมชั้นเรียนก็บอกไม่ถูกหล่อนเดินตรงมุ่งหน้าไปทางป้ายรถบัสประจำทางเพื่อโดยสารกลับบ้านของตนต่อไป

อาจารย์ชายผู้นั้นมองเหล่าเด็กสาวเดินไปคนละทิศละทางจนพ้นสายตา แล้วก็พึมพำกับตนเองเบา ๆ

“เด็กห้องอาจารย์แก่นั่นนี่นา.... มิน่าล่ะ”

เขาเพิ่งนึกออกว่าเด็กพวกนี้เป็นเด็กห้องไหน แล้วก็เข้าใจสถานการณ์อย่างปรุโปร่ง อาจารย์ประจำชั้นห้องนั้นเป็นอาจารย์แก่ ๆ ที่ใกล้เกษียณแล้วนั่นเอง และนี่คือปัญหาล่ะ เพราะอาจารย์แก่ผู้นั่น ได้แต่พยายามรักษาสถานภาพของตนไม่ให้มีประวัติด่างพร้อย อันจะส่งผลกระทบต่อเงินบำเหน็จหลังเกษียณ หากมีใครบอกว่าในชั้นเรียนของเขาที่รับผิดชอบ มีการรังแกหรืออิจิเมะขึ้นละก็... ย่อมไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร... และที่สำคัญ ครูใหญ่โรงเรียนนี้ก็บ้าจี้เสียด้วย... ไม่เคยคิดแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง แต่กลับพยายามปกปิด ปีแล้วปีเล่าที่มีคดีอิจิเมะเกิดขึ้น หากแต่ด้วยความกลัวโรงเรียนจะเสียชื่อเสียง คดีเหล่านั้นจึงถูกลบหายไปกับสายลม...

วิถีชีวิตญี่ปุ่นปัจจุบัน เต็มไปด้วยความเครียดและการแข่งขันตั้งแต่วัยเด็ก ต้องเรียนเพื่อสอบเข้าโรงเรียนประถมดี ๆ เพื่อจะได้ใบรับรองจากทางโรงเรียนให้ไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมต้นที่มีชื่อเสียง แล้วก็โรงเรียนมัธยมปลาย จนเข้ามหาวิทยาลัยในที่สุด... จบออกมาก็ต้องมาแย่งหางานกันทำอีก

ภาวะการแข่งขันสูงเหล่านี้ แง่หนึ่งมันทำให้สังคมสร้างคนที่เข้มแข็งและเก่งกาจขึ้นมาได้ก็จริง แต่ในอีกแง่หนึ่ง การผ่อนคลายความเครียดก็เป็นสิ่งจำเป็น.... วิธีที่ง่ายที่สุด ที่บรรดาเด็ก ๆ ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ จนกระทั่งเด็กวัยรุ่นนิยมใช้ คือ หาแพะรับบาปมาตัวหนึ่ง

เพื่อนในห้องคนที่ดูท่าทางอ่อนแอที่สุด หาพวกได้ยากที่สุด มีปมด้อย นั่นแหละจะเป็นเป้าหมายในการรังแก

รังแกเพื่อระบายความเครียดของผู้รังแก

โดยไม่สนใจว่าผู้ถูกรังแกจะเป็นเช่นไร

แต่ละปี เด็กที่เกิดอาการของโรคกลัวโรงเรียน โรคหวาดวิตก ไม่อยากไปโรงเรียนเพราะจะถูกรังแก มีจำนวนไม่น้อย... แต่เมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนต่อจำนวนเด็กวัยเรียนทั้งหมด ก็ยังเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก จนไม่มีใครคิดแก้ปัญหาอย่างจริงจัง...

โคะยุกิก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น

...

เด็กสาวลงจากรถบัส แล้วเดินไปตามบาทวิถีอย่างเนือย ๆ

เฮ้อ รู้สึกเบื่อไปหมด ชีวิตแบบนี้ นี่กลับบ้านไป คุณแม่ก็ยังไม่กลับจากที่ทำงานอีก บางคืน กว่าแม่จะกลับหล่อนก็หลับไปก่อนแล้ว...

ชีวิตที่โรงเรียนก็น่าเบื่อ ถูกกลั่นแกล้งได้ทุกทีสิน่า ไม่ว่าจะย้ายโรงเรียนกี่ครั้งก็ตาม

จนบัดนี้ที่หล่อนอายุได้ 17 ปีแล้ว ก็ยังไม่เคยรู้จักกับคำว่าเพื่อนหรือมิตรภาพเลย.. .ยกเว้นจากคนคนเดียว ซึ่งกลับไม่ใช่คนญี่ปุ่นด้วยซ้ำ... หากแต่ตอนนี้พี่ชายที่แสนดีคนนั้นไม่อยู่ใกล้ตัวเสียแล้ว

ที่โรงเรียนปัจจุบันก็เช่นกัน ... อิจิเมะที่โรงเรียนนี้เริ่มเกิดขึ้นกับหล่อนเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เสียอีก...

เบื่อ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

น่าเบื่อจริง ๆ

--อยากหนีไปให้พ้น ๆ จากชีวิตแบบนี้จังเลย--

แวบหนึ่งที่หล่อนคิดเช่นนั้นอย่างจริงจัง

เบื่อชีวิตเดิม ๆ ที่เป็นวัฏจักรซ้ำ ๆ กันนี้เหลือเกิน

--โลกนี้ไม่มีใครไยดีเราเลย--

อารมณ์ชั่ววูบที่ทำให้คิดน้อยใจไปได้ขนาดนั้น

sp2koyuki.jpg

“หากเจ้าเบื่อชีวิตที่โลกนั้น ก็จงมาทางนี้เถิด โลกนี้ต้องการเจ้าเป็นอย่างยิ่ง....”

“เอ๊ะ?!!!” เด็กสาวสะดุ้งสุดตัว หยุดเดินแล้วเหลียวมองรอบตัวเลิ่กลั่ก

ใครกันที่ทักหล่อนด้วยประโยคแปลก ๆ ราวกับอ่านใจหล่อนได้กระนั้น? น้ำเสียงเป็นชายสูงอายุที่ฟังดูทรงอำนาจเหลือเกิน หากแต่รอบข้างหล่อนมีเพียงคนเดินเท้าไม่กี่คน ที่ต่างก็ไม่ได้สนใจคนอื่นเลย คงก้มหน้าก้มตาจ้ำอ้าว ๆ อยู่เช่นนั้น บางคนเพียงแค่เหลือบสายตามามองหล่อนเล็กน้อย ว่าจู่ ๆ ทำไมหยุดเดิน แต่ก็ไม่ได้สนใจหล่อนมากไปกว่านั้น

“เจ้าได้รับสัญญานของข้าแล้วใช่ไหม สาวน้อย” เสียงประหลาดนั้นดังขึ้นอีก น่าแปลกที่มันเหมือนกับดังก้องอยู่ในรูหูทั้งสองข้างของหล่อนนี่เอง

‘ใครกัน?’ ไซโต้ โคะยุกิร้องตอบในใจ พลางก้าวขาโดยอัตโนมัติ เริ่มออกเดินอีกครั้งช้า ๆ ไปตามเส้นทางกลับบ้านของตน แต่ในหัวสมองเต็มไปด้วยความฉงนฉงาย สายตากวาดมองไปรอบข้างเผื่อว่าจะเจอคนที่กำลังคุยกับหล่อนอยู่

“จงมาที่นี่เถิด เด็กเอย จงมา ที่นี่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”

‘???’ เด็กสาวหลับตาลง แล้วก็ลืมตาขึ้นใหม่ คราวนี้เสียงประหลาดนั้นหายไปแล้ว

หล่อนได้แต่ทำสีหน้างุนงง แล้วพาตัวเองกลับบ้าน

...

ในฝันนั้น

ภาพสงครามแบบยุคโบราณระหว่างกองทหารเดินเท้าที่ถืออาวุธดาบเข้าห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด

ภาพทหารฝ่ายตรงข้ามของทัพมนุษย์ เป็นภาพของเหล่าปิศาจโครงกระดูก

ภาพพื้นดินแตกระแหง ด้วยความแห้งแล้งจากภัยอัคคี อันเป็นผลพวงจากไฟสงครามที่เผาลามบ้านเมือง และผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์

ภาพของซาตานผู้ยิ่งใหญ่ ที่ถูกโค่นล้มโดยมนุษย์ตัวเล็ก ๆ

ภาพกองทัพปิศาจโครงกระดูกที่อยู่ในมุมมืดแห่งอาณาจักรอสูร

ภาพเด็กหญิงชาวอสูรผู้ถือเคียวซาตานเล่มยาวเป็นอาวุธ ยืนอยู่ภายในกองเพลิงแห่งความพยาบาท

ภาพการนองเลือดที่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

sp2_war.jpg

-- จงมาเถิด สาวน้้อย จงมา

โลกแห่งนี้ต้องการเจ้านัก

เจ้าคือผู้ที่จักช่วยกู้วิกฤติของมวลมนุษย์แห่งดินแดนต้องคำสาปแห่งนี้ได้

ดินแดนเนฟเวอร์แลนด์ --

...

ภาพอันเลื่อนลอยประดุจตกอยู่ในดินแดนแห่งจินตนาการหายวับไป พร้อมกับเสียงเรียกร้องให้หล่อนไปยังดินแดนนั้นค่อย ๆ เลือนหายไป

สิ่งที่แทนที่คือ เสียงขับไล่จากบรรดาเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียน

เพื่อนสมัยประถม...

    เพื่อนสมัยมัธยมต้น...

        เพื่อนสมัยมัธยมปลาย....

            กลุ่มเพื่อนร่วมห้องล่าสุด... กลุ่มที่เพิ่งห้อมล้อมข่มขู่รังแกตนเมื่อตอนเย็นนี้เอง...

-- ไปซะ โคะยุกิ ไม่มีใครต้องการเธอเลย ---

-- ขาดเธอไปสักคน ที่นี่ก็ไม่มีใครเสียใจจ --

...

เด็กสาวสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก รู้สึกถึงความเปียกชื้นทั่วทั้งร่างกายที่เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ราวกับไปวิ่งออกกำลังกายมากระนั้นแหละ

หล่อนยกมือขึ้นลูบคลำใบหน้าของตนเอง แล้วเหลือบมองนาฬิกาหัวเตียงด้วยความเคยชินทุกครั้งที่ตื่นนอน

-- ตีสามเศษ --

หล่อนนึกทบทวนภาพในฝัน ทุกอย่างดูพร่าเลือนไปบ้างในความจำยามตื่นนิทรา หากแต่จำได้ว่า ขณะฝันนั้น หล่อนเห็นมันชัดเจนราวกับเคยเห็นด้วยตาของตัวเองมาก่อนเลยจริง ๆ

‘เนฟเวอร์แลนด์หรือ?...’ โคะยุกิรำพึงในใจ หล่อนตกอยู่ในภวังค์ความคิดชั่วครู่ ก็ตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงนอน

คว้าเสื้อแจ๊กเกตสวมทับชุดนอนซึ่งเป็นเสื้อแขนยาวกางเกงขายาว แล้วก็เดินออกจากห้องตนเองไป

แวะบิดประตูห้องข้าง ๆ ซึ่งเป็นของมารดา ปรากฏว่ายังไม่กลับบ้าน...

หล่อนทำท่าจะเดินกลับไปห้องตนเอง แต่แล้วภาพของแดนลึกลับนามว่า เนฟเวอร์แลนด์ก็โผล่ในภวังค์อีก

“ฉันไปแล้วจะทำอะไรได้... เนฟเวอร์แลนด์เอ๋ย” คราวนี้ หล่อนถึงกับพูดพึมพำออกมาอย่างเย้ยหยันตนเอง ก็ขนาดในโลกนี้หล่อนยังเป็นเพียงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกรังแกเท่านั้นเอง

‘ได้สิ’ มีเสียงตอบดังขึ้นในใจหล่อนทันที

“เอ๊ะ!” โคะยุกิสะดุ้งสุดตัว

‘จงออกมายังสะพานข้ามแม่น้ำที่อยู่ใกล้เจ้าที่สุดเถิด แล้วเจ้าจะเข้าใจ’

เด็กสาวผู้มีนามอันมีความหมายว่า “หิมะน้อย” เดินตรงไปที่ประตูบ้านทันที หล่อนสวมรองเท้าอย่างสะลึมสะลือ แล้วก็เปิดประตูเดินออกจากบ้านไป

อากาศภายนอกเย็นเฉียบ หากแต่ยังไม่หนาวนัก ด้วยเป็นฤดูใบไม้ผลิ แสงไฟจากโคมไฟตามถนนสาดส่องให้แสงสว่างเป็นระยะ ๆ เด็กสาวก้าวเท้าไปตามบาทวิถีอย่างเลื่อนลอย เมื่อรู้สึกตัวก็มาหยุดยืนอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำที่อยู่ไม่ห่างจากอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ของตนเองนัก

“เอ๊ะ เรามาอยู่นี่ได้ไง?” วูบหนึ่งที่หล่อนได้สติ แต่แล้วความทรงจำทุกอย่างในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านมา ก็ปรากฏชัดเจนในมโนทัศน์

‘มาเถิด สาวน้อย ที่นี่ต้องการเจ้า’

“ไม่.... ฉันกลัว...” โคะยุกิเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ปากก็พร่ำรำพึงออกมาเสียงสั่น

‘ณ ที่นี้ เจ้าจะเป็นคนสำคัญ จะมีพลังและอำนาจล้นฟ้าอยู่ในมือ เจ้าจะกลัวสิ่งใดไปเล่า’

“พลัง...อำนาจหรือ?...”

‘ภารกิจของเจ้าก็คือ ช่วยกอบกู้ดวงชะตาของมวลมนุษย์ที่กำลังจะถึงกาลวิบัติ มาเถิด เรารอเจ้าอยู่’

วาบ! บนท้องฟ้าพลันปรากฏสายฟ้าแลบขึ้นสองสามสาย เด็กสาวมองมันด้วยอาการสงบนิ่ง หล่อนทราบว่านั่นคือสัญญานบอกเหตุว่า สิ่งเหนือธรรมชาติกำลังจะปรากฏขึ้น... กับตัวของหล่อน

‘มาเถิด จงมา’

ฟ้าแลบติดต่อกันอีกหลายครั้ง โดยไม่มีเสียงฟ้าร้องตามมาแต่อย่างใด และแล้ว ท้องฟ้าเบื้องบน ณ ตำแหน่งเหนือศีรษะของโคะยุกิพอดี ก็ปรากฏเป็นลำแสงสว่างสีขาวโพลน มีเส้นผ่านศูนย์ราวสามเมตรพวยพุ่งลงมาฉายลงบนตัวหล่อนให้อยู่ในใจกลางลำแสงนั้นอย่างเหมาะเหม็ง

น่าประหลาดนักที่หล่อนไม่รู้สึกแสบตากับแสงอันเจิดจ้านั้นเลย ยังคงลืมตามองสวนลำแสงนั้นกลับขึ้นไปบนท้องฟ้าได้อยู่เช่นนั้น

ร่างของเด็กสาวค่อย ๆ เลือนหายไปในลำแสงสีขาวนั้น

sp2shoukan0.jpg
    sp2shoukan1.jpg
        sp2shoukan2.jpg
สำนึกในวูบสุดท้ายของหล่อน บอกว่า

‘อา.. ไม่ ฉันกลัว ฉันไม่อยากไป ช่วยด้วย .... ช่วยด้วยค่ะ..... พิจิโตะนี้จัง!!! (พี่ชายที่ชื่อ พิจิโตะ)’

อีกหนึ่งอึดใจถัดมา แสงประหลาดนั้นก็หายไป ท้องฟ้าไม่ปรากฏสายฟ้าแลบอีกต่อไป กลับเป็นฟ้าสงบของคืนในฤดูใบไม้ผลิตามปกติ

บนสะพานไม่มีร่างของเด็กสาวยืนอยู่อีกแล้ว!!!

ไม่มีแม้แต่สิ่งมีชีวิตใด ๆ ที่จะมาเห็นเหตุการณ์นี้

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1