มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

มารผยอง: คืนเดือนมืดของผืนทะเลทราย

ตีพิมพ์ครั้งแรก 8 ก.พ 46

ตัวละครใหม่ :
jamitos.jpg
จามิโตส
(พลเรือน, มารดาของกาหลิบแห่งจาปิโตส)
sharon.jpg
ชารอน
(ซิสเตอร์, ผู้ช่วยของกรีเซอร์)


ฟ้าคืนนี้มืดสลัวด้วยไร้ซึ่งแสงจันทรา ดวงดาวใหญ่น้อยล้วนแข่งขันกันอวดโฉมทั่วหน้า ณ เบื้องล่างของผืนผ้าสีดำที่แต่งแต้มด้วยประกายระยิบระยับ กระโจมชั่วคราวของค่ายทหารอันเกรียงไกรแห่งทัพนักรบทะเลทรายเรียงรายอยู่เป็นบริเวณกว้าง หากแต่ ยกเว้นทหารยามแล้ว ที่เหลือล้วนอยู่ในนิทราอันสงบ

รอวันรุ่งที่จะมาถึง... ซึ่งอาจจะเป็นวันสุดท้ายของพวกเขาบางคนก็ได้ ใครจักอาจหยั่งรู้!

แม่ทัพบาลโดสยังมิได้หลับดั่งเช่นทหารผู้น้อยอื่น ๆ หลังจากสั่งการกำชับทหารยามและตรวจตราความเรียบร้อยต่าง ๆ เสร็จแล้ว เขาก็หลบออกมายังมุมหนึ่งของค่ายทหาร ยืนนิ่งแหงนหน้าขึ้นมองฟ้าอยู่เงียบ ๆ

“ท่านแม่ทัพ” เสียงเรียกอ่อย ๆ อย่างเกรงใจดังขึ้นจากเบื้องหลัง

“...” แม่ทัพบาลโดสขยับตัวเล็กน้อย แต่ยังไม่ละสายตาจากฟากฟ้า

“ชมดาวอยู่หรือคะ?”

“หึหึ” คราวนี้ แม่ทัพหนวดงามท่าทางน่าเกรงขามแค่นเสียงหัวเราะอย่างขื่น ๆ พลางไหวไหล่เล็กน้อย ก่อนจะหันร่างกลับมามองผู้มาทีหลัง และตอบว่า “เจ้ายังคิดว่าข้าจะมีอารมณ์สุนทรีย์พอจะชมดาวได้อีกรึ ชาร่าเอย”

“...ข้า...” หญิงสาวผมทองอับจนถ้อยคำ

ช่วงเวลาหลายปีที่เธอติดตามอยู่ข้างกายเขาในฐานะผู้ช่วยแม่ทัพ มีหรือจะไม่รู้ความในใจของอีกฝ่าย

“ข้ากำลังอ่านวิถีของดวงดาวต่างหากเล่า”

“...” ผู้ช่วยสาวไม่ตอบอะไรอีก สีหน้าเต็มไปด้วยความลังเล ทางฝ่ายบาลโดสจึงแค่นเสียงหัวเราะอีกคำหนึ่งเบา ๆ ในลำคอ แล้วพูดต่อเสียเอง

“น่าขำดีไหม ชาร่าเอย ที่ข้าทำในสิ่งที่ตัวเองก็มีความรู้เพียงหางอึ่งเท่านั้น”

“ท่านแม่ทัพ...”

“แต่กระนั้นก็เถิดนะ ชาร่า... แม้ข้าจะมีความรู้ในการทำนายดวงดาวเพียงงู ๆ ปลา ๆ ก็ตาม แต่สิ่งที่ข้าอ่านได้ มันก็ชัดเจนและสอดคล้องกับสิ่งที่นางผู้นั้นประกาศเหลือเกิน”

“ฤกษ์มารผยองหรือคะ?....”

“เฮ้อ...” ผู้สูงวัยกว่าถอนใจอีกครั้งหนึ่ง “ใช่แล้ว ฤกษ์มารผยอง...”

หญิงสาวชาร่าอดมองขึ้นฟ้าบ้างไม่ได้ ในสายตาของเธอ ดวงดาวระยิบระยับบนฟ้าส่องแสงมัว ๆ อย่างไรชอบกล และ ณ ฟากฟ้าตะวันตก หมู่ดาวกลุ่มใหญ่ทอประกายเจิดจ้าอยู่แถบนั้น หากแต่... ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก นาน ๆ ครั้ง ก็มีปรากฏดาวตก หรือดาวหางสักดวงวิ่งตัดผ่านม่านฟ้าจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่ง เป็นระยะ ๆ

“ความเป็นไปในภพนี้ ยากจะหยั่งถึงนัก แม้แต่จอมขมังเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ อย่างเช่น อัจฉริยภาพแห่งธาตุธรรมชาติทั้งสี่ หรือแม้แต่แม่มดผู้ยิ่งใหญ่อายุยืนยาวนับหลายร้อยปีอย่างท่านแม่มดเกมลิสแห่งเกากาเบิล ก็ยังไม่เคยมีใครกล้าเอ่ยทำนายความเป็นไปในอนาคตเลย...ในรอบร้อยปีให้หลังมานี้.. เรื่องพวกนี้เจ้าคงได้ฟังมาบ้างกระมัง...”

“ค่ะ ข้าทราบ”

“แต่นางผู้นั้นกลับอาศัยข่าวที่องค์หญิงอสูรสถาปนากองทัพอสูรใหม่ขึ้น และบุกถล่มโททัสบูร์กจนราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว มาผนวกกับศาสตร์แห่งการทำนายเสียได้....”

“และนางก็ทำนายว่า ขณะนี้ทั่วแดนเนฟเวอร์แลนด์ตกอยู่ภายใต้ ‘ฤกษ์มารผยอง’ ... ข้าไม่เห็นด้วยเลย เรากำลังจะเข้าสู่ยุคสงบอันปราศจากจอมราชันย์อสูรที่ชั่วร้ายนั้นแล้ว มิใช่หรือคะ?”

“อืม... แต่เจ้าก็เห็นกับตาอยู่ .... เมื่อคืนนี้ ไอเท่มอาถรรพ์ของนางให้ผลอย่างไร...”

“...”

“และข่าวที่ว่า ทัพอสูรใหม่ยึดโททัสบูร์กแล้ว ก็ไม่ใช่ข่าวโคมลอย”

“... ค่ะ”

“และถึงยังไง หากค่ำคืนนี้ ไอเท่มอาถรรพ์นั้นทำงานสำเร็จ พรุ่งนี้ คำสั่งบุกแพลททิเซลเวอร์ก็คงมาถึงล่ะ หึ” เสียงหัวเราะท้ายคำพูดเต็มไปด้วยแววเยาะเหยียด หากแต่ผู้ที่รู้จักอีกฝ่ายดี อย่างชาร่า ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากว่า แม่ทัพวัยกลางคนกำลังหัวเราะเหยียดหยามตัวเองอยู่ต่างหาก

กองทัพอันเกรียงไกร ผู้ชนะสิบทิศแห่งทะเลทราย กลับต้องพึ่งพาอำนาจของไอเท่มอาถรรพ์ชิ้นหนึ่ง เพื่อการรบขยายอาณาเขตเช่นนี้หรือ... ถึงแม้นได้ชัยชนะมา ก็ไม่เป็นที่น่าภูมิใจแม้แต่น้อยเลย รังแต่จะกัดกร่อนเกียรติยศและศักดิ์ศรีของชนเผ่าทะเลทรายจาปิโตสลงอย่างน่าหดหู่ที่สุด

“ข้าไม่เข้าใจเลย ทำไมเราต้องขยายอาณาเขตด้วย” หญิงสาวเปรย

“เพราะ ‘นาง’ ต้องการให้เกิดสงครามขยายอาณาเขตนะสิ” อีกฝ่ายตอบ “ชาร่าเอย จุดประสงค์ของนางนั้น เราก็รู้ ๆ กันอยู่ แต่...”

เขาหยุดไปชั่วอึดใจ เหลือบตามองไปทางค่ายทหารของตน ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ

“... จะทำอย่างไรได้เล่า แม้พวกเราเป็นถึงระดับแม่ทัพก็จริง แต่ก็ไม่มีค่าแตกต่างอะไรกับบรรดาไพร่พลเหล่านั้นหรอก เมื่อยามอยู่ต่อหน้าองค์กาหลิบและนางผู้นั้นในวังหลวง... บางครั้งเองข้ายังเคยคิด สู้เป็นเพียงไพร่พลที่มีหน้าที่รบกับทหารข้าศึกตรงหน้า โดยไม่ต้องรับรู้เรื่องราวใด ๆ ให้มากความ ยังจะมีความสุขมากกว่ากระมัง”

“ท่านบาลโดส!” น้ำเสียงผู้ช่วยแม่ทัพมีแววตำหนิ

“หึ เราเลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า หากพวกทหารได้ยินเข้า จะเสียขวัญกำลังใจกันหมด ยิ่งพรุ่งนี้...”

“ค่ะ...”

ผู้สูงวัยกว่า ไล่ให้ฝ่ายอ่อนวัยไปพักผ่อนก่อน โดยรับปากว่าตนจะเข้าพักผ่อนเช่นกันโดยเร็ว

เมื่อเหลืออยู่คนเดียว เขาก็แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าอีกครั้ง พึมพำว่า

“ต่อให้ท่านทำสงครามไปเรื่อย ๆ ก็แค่เบี่ยงเบนความสนใจไปได้ชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง ความจริงก็ต้องเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ พระนางจามิโตสเอย...”

-- ความจริงที่ว่า ท่านสมคบกับกาหลิบองค์ปัจจุบัน ฆ่ากาหลิบองค์ก่อนซึ่งเป็นสามีของท่านเอง และเป็นบิดาของกาหลิบองค์ปัจจุบันด้วยนั่นแหละ!!!—

แน่นอน ข้อความหลัง เขาไม่กล้าที่จะปล่อยให้มันหลุดพ้นริมฝีปากของตนออกมาแม้แต่น้อย ต่อให้มั่นใจว่ารอบข้างไม่มีใครได้ยินก็ตาม คงได้แต่พร่ำรำพึงอยู่แต่ในใจเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม บาลโดสก็ไม่มีทางที่จะหยั่งรู้อนาคตได้ว่า

เมื่อเวลาล่วงไปถึงตอนเช้าตรู่ คำสั่งที่ม้าเร็ว (อูฐเร็ว) นำมาให้กลับเป็น

“ยกเลิกแผนโจมตีแพลททิเซลเวอร์ ถอนทัพ กลับวังหลวงโดยด่วน!”

และคำสั่งนั้น ลงนามโดยจอมทะเลทราย คาร์มา เลอ ลู

...

...

... นายท่าน เจ้าชายอสูรไปพ้นจากเขตแพลททิเซลเวอร์แล้วขอรับ ...

... อืมห์ ในวังหลวงแพลททิเซลเวอร์ เหลือใครที่เป็นขุนพลอีกบ้าง ...

... มีเพียงเซลเอดอะดลัส และยิปสีดขอรับ แต่สองคนนี้ไม่มีปัญหา เพราะพักอยู่ที่มุมปราสาท ...

... แล้วรอบข้างนางผู้นั้นล่ะ? ...

... เข้าใจว่ามีนางกำนัลผู้หนึ่งอยู่ด้วยเท่านั้นเองขอรับ ...

... ดี ถ้างั้น ลงมือได้ ...

... ขอรับ นายท่าน ...

... อย่าทิ้งร่องรอยไว้นะ อิลฮาร์ต ...

... รับทราบ ...

...

...

วี้ดดดดดดดดดดดดดดด

วี้ดดดดดดดดดดดดดดด

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นแสบแก้วหู สตรีสาวแต่งกายด้วยชุดสวยงามฉูดฉาดที่นั่งหน้าซีดอยู่กลางห้อง สะดุ้งสุดตัว แล้วก็สำเหนียกได้ถึงภัยที่กำลังมาถึงตน

-- มาแล้วรึ --

ดีที่ตนเองยังคงนั่งสำรวมสมาธิและเตรียมพร้อมอยู่แล้ว สตรีผู้นี้คิดในใจ

บรรยากาศในห้องซึ่งมืดสลัวมีแต่แสงไฟจากเทียนไขที่ปักอยู่บนเชิงเทียนรอบห้องเท่านั้น ดูจะทวีความมืดขึ้นไปอีก เหมือนแสงเทียนอ่อนแรงลงกระนั้น เบื้องหน้าของสตรีผู้นั้นพลันปรากฏเงาสีดำสี่สายพุ่งออกจากอากาศธาตุตรงเข้าหาเธออย่างรวดเร็ว แต่พลันที่เงาเหล่านั้นใกล้จะกระทบร่าง หญิงสาวก็โบกมือวูบหนึ่ง เงาสีดำอีกสี่สายพุ่งแยกออกจากพื้นรอบตัวที่เธอนั่งอยู่ ตรงเข้าประทะกับเงาเหล่านั้น เสียงวี้ด ๆ ดังสนั่นทั่วห้อง ซึ่งเธอทราบดีว่ามันเป็นเสียงจากการต่อสู้ประลองกำลังเวทย์กันระหว่างภูติสี่ตนที่บัดนี้หันกลับมาทำร้ายเธอด้วยเหตุผลใดก็ตาม กับภูติอีกสี่ตนที่ยังเป็นพวกตนอยู่- ไม่สิเรียกให้ถูกคือ ภูติที่ยังอยู่ในอำนาจบังคับของตน- ต่างหาก

สีเลือดจางหายจากใบหน้าของสตรีผู้นี้อย่างรวดเร็ว พลังเวทย์ที่เธอต้องคอยป้อนเสริมให้ภูติของตนดูจะเป็นเพียงน้ำขวดเล็ก ๆ ที่ถูกเทลงบนผืนทราย แล้วก็ถูกดูดซึมหายไปอย่างไร้ร่องรอย ตบะของฝ่ายตรงข้ามสูงกว่าตนมากนัก

และในที่สุด เงามืดทั้ง ‘แปด’ สายก็พุ่งเข้าชนร่างของเธอแล้วหายเข้าไปข้างในพร้อมกัน

“โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ร่างของเธอหงายหลังไปนอนกลิ้งบนพื้น บิดตัวไปมาอย่างทรมาน เลือดสด ๆ ทะลักออกจากปากเป็นลิ่ม ๆ

บริเวณปลายเท้าของเธอ พลันปรากฏเงาดำของใครอีกคนผุดขึ้นจากอากาศธาตุ

น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นว่า

“สุดท้ายพลังตบะของมนุษย์ก็มีเพียงเท่านี้เอง หึ ช่างน่าขำนัก เจ้าคิดว่าเจ้าจะใช้พลังอำนาจเวทย์แห่งความมืดสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตนเองได้เช่นนั้นรึ?”

จาโด้นั่นเอง เขาเดินทางจากวังหลวงแพลททิเซลเวอร์ ตามรอยกระแสของภูติซึ่งก็วิ่งย้อนกระแสจิตของอีกฝ่ายกลับมา (ทั้งที่ฝ่ายหลังตัดการติดต่อไปก่อนหน้าแล้ว) ด้วยความเร็วสูง นับเวลานับจากเขาร่ายเวทย์ “มะไคโช โคะคุเรียวจิน (ค่ายกลอาถรรพ์วิญญานสีดำแห่งภพอสูร)” แล้วพาตนเองทะยานออกจากห้องนอนของลิตเติลสโนว์แล้ว ถึงตอนนี้เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่แน่นอน หากมิใช่เพราะภูติที่ถูกส่งตัวไปลอบสังหารสโนว์เป็นผู้นำทางกลับมา ไหนเลยเขาจะเหาะมาถึงที่นี่ได้รวดเร็วปานนี้

“จะ....เจ้า....” น้ำเสียงกระท่อนกระแท่น หลุดจากลำคออีกฝ่ายอย่างเต็มกลืน ยามนี้ หญิงสาวผู้นั้นเผ้าผมยุ่งเหยิง หมดซึ่งราศี หากแต่ในห้องนั้นพื้นห้องได้รับการปัดกวาดอย่างสะอาด ตามเนื้อตัวและเสื้อผ้านอกจากรอยเลือดแล้วจึงไม่มีร่องรอยสกปรกแม้แต่นิดเดียว ทั้งที่ลงไปนอนเกลือกกลิ้งกับพื้นอยู่ได้พักใหญ่ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครมาเห็นในตอนนี้ ย่อมสังเกตได้โดยง่ายว่าเธอผู้นี้มิใช่หญิงสาว หากแต่เป็นสตรีวัยราวสี่สิบเศษคนหนึ่งต่างหาก... และยิ่งหากคนของจาปิโตสมาเห็น จะยิ่งไม่เชื่อว่านี่คือ พระนางจามิโตส ผู้เป็นมารดาของกาหลิบองค์ปัจจุบัน-คาร์มา เลอ ลู

“ดูท่าทั้งชีวิต เจ้าจะผูกพันกับเวทย์ดำมากกว่าที่ข้าคิดนะนี่.... ต่ำทรามจริง ๆ”

จาโด้เอ่ยปากเหยียดหยามอีก เขาอ่านออกทันทีว่า สตรีเบื้องหน้าใช้เวทย์ไสยดำเพื่อคงความสาวและความงามให้กับตน ซึ่งแน่นอน นางคงทำอะไรต่อมิอะไรมากกว่านั้น สมองของจาโด้ประมวลถึงบรรดาความชั่วร้ายที่มนุษย์ผู้เชี่ยวชาญเวทย์ดำคนหนึ่งจะทำได้ในทันที แล้วความเกลียดชังที่มีต่อบุคคลผู้นี้ก็เพิ่มขึ้นอีก

ดวงตาของอสูรหนุ่มหรี่ลง วิปส์วอร์มบนไหล่ขยับตัวทำท่าจะพุ่งเข้าทะลวงหัวใจของผู้อยู่เบื้องเท้าของตนให้ตาย แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ... นางผู้นี้ต่ำเกินกว่าที่จะให้เลือดนางเปื้อนอาวุธของตนเสียอีก

ว่าแล้ว จาโด้ก็ทำท่าจะยกมือขึ้นเพื่อร่ายเวทย์น้ำแข็งเข้าสังหารอีกฝ่ายแทน แต่...คราวนี้เขาก็มีอันต้องชะงักการกระทำของตนอีกเช่นกัน

ใครบางคนกำลังใกล้เข้ามา ... ไม่ใช่คนธรรมดาเสียด้วย หากแต่มีพลังอำนาจในตัวมากนัก แม้จะห่างชั้นจากเขาอยู่ก็ตาม

ใครกัน? หรือว่าจะเป็น...

มุมปากของเจ้าชายแห่งความมืดกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย วงจรความคิดในสมองทำงานอย่างรวดเร็ว แล้วก็พึมพำกับตนเอง

“หึหึ ท่าทางจะสนุกล่ะ”

-- สงสัยจริง ข้าติดนิสัยของ “มนุษย์ผู้ปรระเสริฐ” มาตั้งแต่เมื่อไรนี่? --

...

ในราตรีเดียวกันนั้นเอง ใต้ผืนฟ้าผืนเดียวกับที่บาลโดสเฝ้ามอง “วิถีแห่งดวงดาว” บุคคลอีกผู้หนึ่งก็กำลังอ่านวิถีแห่งดวงดาวจากบนผืนดินซีลีนิกซึ่งตนปกครองอยู่

เขาคือ จอมอัศวินกรีเซอร์ เจ้าของฉายา สิงโตเผือกแห่งซีลีนิก อัศวินมือขวาของจักรพรรดิโดริฟานแห่งแคว้นศักดิ์สิทธิ์โคเรียสะทีน

‘เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน...’ เขารำพึงในใจ

นับจากที่ท่านผู้กล้าซิฟอนสังหารจอมราชันย์อสูรจาเนสได้สำเร็จ ก็เกือบปีแล้วหรือนี่?

เนฟเวอร์แลนด์น่าจะเข้าสู่สภาวะสงบสุขได้แล้ว... แต่...

‘นี่อะไรกัน? ทำไมวิถีแห่งดาวบนฟ้า จึงบ่งบอกถึงลางหายนะที่ปกคลุมอยู่เหนือแผ่นดินเนฟเวอร์แลนด์เช่นนี้เล่า?’

เขาขมวดคิ้ว ขณะที่จ้องมองบนฟ้าอย่างหนักใจ

‘ข่าวจากท่านจักรพรรดิโดริฟาน บอกว่าเด็กน้อยฮิโระนั่นสถาปนาทัพอสูรสายเลือดใหม่ขึ้นมาก็จริง แต่ก็แค่กองทัพเล็ก ๆ...’

ลางร้ายที่ทำให้เขาไม่อาจจะนิ่งนอนใจได้ ก่อตัวประดุจมรสุมลูกใหญ่ที่ทวีกำลังแรงขึ้นทุกวัน ๆ

“อยู่ที่นี่เองหรือคะ ท่านกรีเซอร์”

grezer&sharon-.jpg
“ชารอนหรือ... เจ้าก็รู้สึกได้เหมือนกันรึ? ถึงลางวิบัติบนฟากฟ้านี้...”

สีหน้าของหญิงสาวผู้มาสมทบ บ่งบอกถึงความในใจของเธอเป็นอย่างดี จอมอัศวินแห่งซีลีนิกจึงได้ถามไปเช่นนั้น

“ค่ะ วิถีแห่งดวงดาวบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ความวิบัติกำลังจะมาเยือน...”

“... อืม เจ้าก็อ่านได้เช่นนั้นหรือนี่...”

“กรีเซอร์! ท่านกรีเซอร์!”

เสียงเรียกของขุนพลมือขวาของกรีเซอร์ดังมาแต่ไกล ก่อนที่เจ้าตัวจะปรากฏต่อสายตาของสองหนุ่มสาว เขาคือ รีไกน์นั่นเอง

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว มีม้าเร็วส่งสารมาจากโคเรียสะทีน!”

“?!!!” ม้าเร็วที่ส่งมากลางดึก ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างแน่นอน

“โททัสบูร์กแตกแล้ว!... นี่เป็นข่าวกรองล่าสุดที่เชื่อถือได้!”

“อะไรนะ?”

“นี่ครับ” อัศวินหนุ่มยื่นม้วนกระดาษให้อีกฝ่าย

สิงโตเผือกแห่งซีลีนิกรับไปอ่าน แล้วก็ขมวดคิ้วในทันที

ภายในสาส์นฉบับนั้น ตอนแรกบรรยายถึงข่าวโททัสบูร์กและทัพอสูรใหม่ของเจ้าหญิงฮิโระซึ่งได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้ว ส่วนในตอนท้ายเขียนด้วยรหัสที่อ่านเข้าใจกันเฉพาะเขาและจักรพรรดิโดริฟานเท่านั้น และข้อความของมันคือ

“จงระวังให้ดี กรีเซอร์เอย
ดูเหมือนว่าหลังสิ้นภัยคุกคามใหญ่ไปแล้ว ทั่วดินแดนเนฟเวอร์แลนด์ก็หมดศัตรูร่วมกันอีกต่อไป
แต่ละแคว้นล้วนเริ่มคิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตนด้วยกันทั้งสิ้น
และบัดนี้ ฤกษ์งามยามดีสำหรับผู้คิดก่อการร้ายก็มาถึงแล้ว... ‘ฤกษ์มารผยอง’
โดยอาศัยข่าวที่เจ้าหญิงอสูรนำทัพตีโททัสบูร์กแตก แปลความได้ว่า ขณะนี้ดวงของฝ่ายอสูรกำลังขึ้น...
ผู้ที่อยู่ใต้ร่มธงของอสูร ล้วนสามารถอาศัยดวงชะตาอันกล้าแข็งและได้เปรียบนี้ก่อสงครามได้ชัยชนะกันทั้งสิ้น ภายในเดือน-สองเดือนนี้ ข้าเชื่อว่าจะต้องมีข่าวสงครามเกิดขึ้นแทบจะไม่เว้นวัน
ขอเจ้าจงเตรียมไพร่พลไว้ให้พร้อมเพื่อรอรับสถานการณ์เถิด...จักรพรรดิโดริฟาน”

“ฮึ่ม...”

กรีเซอร์กัดฟันแน่น สายตาที่แข็งกล้าประดุจเพลิงลุกโหม อีกอึดใจหนึ่งเขาก็สั่งการว่า

“กลับปราสาทกันเถิด รีไกน์ ชารอน... ท่าทางเราจะต้องออกศึกกันอีกครั้งหนึ่งล่ะ!”

“ครับ”

“...”

ระหว่างทางเดินกลับปราสาทซีลีนิก กรีเซอร์อดไม่ได้ที่จะต้องใช้มือซ้ายลูบคลำด้ามดาบเทพที่สะพายอยู่ข้างเอวตนเบา ๆ ดาบเทพที่หักกลาง อันเป็นผลจากการประทะกับเจ้าชายอสูรผู้นั้นนั่นเอง

‘จาโด้เอย ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน มีส่วนร่วมกับทัพอสูรใหม่หรือไม่... ถ้ามีก็ดีสินะ ข้าจักได้ชำระหนี้แค้นของดาบเทพแลงกูทกับเจ้าเสียด้วยทีเดียวเลย!’

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1