มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

มารผยอง: ตราบาป

ตีพิมพ์ครั้งแรก 8 ก.พ 46

ตัวละครใหม่ :
karmalelu.jpg
คาร์มา เลอ ลู (กาหลิบ, นักรบทะเลทราย)


“ท่านแม่! ท่านแม่!”

ร่างของชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณผ่องใส แต่งกายในชุดสูงศักดิ์วิ่งเข้ามาในห้องนั้นอย่างรีบร้อน พลางส่งเสียงเรียกหาใครบางคนที่เขาคาดหวังว่าจะพบในห้อง เมื่อพบว่า “ท่านแม่” ของเขานอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น ก็ถลาตรงเข้าไปทรุดกายนั่งคุกเข่าข้างหนึ่ง แล้วประคองร่างนั้นขึ้นมาในท่านั่งทันที

“ท่านแม่... เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”

“... คาร์มา...ลูกรัก... ช่วยแม่...”

น้ำเสียงขาดห้วงดังออกจากร่างผู้บาดเจ็บอย่างตะกุกตะกัก คาร์มา เลอ ลู เจ้าชีวิตเหนือผู้คนนับหมื่นบนผืนทะเลทรายบรรจงกอดร่างแบบบางนั้นเข้าแนบอก พลางระล่ำระลัก

“ลูกอยู่นี่แล้ว ท่านแม่ ไม่ต้องกลัว”

แล้วเขาก็ชำเลืองสายตาไปข้าง ๆ เพื่อพบกับปลายเท้าของใครบางคนที่ยืนอยู่ในห้องตั้งนานแล้ว

อา... ความรู้สึกกดดันที่เขารู้สึกตั้งแต่ยังอยู่ในระยะไกล มาจากเจ้าของเท้าคู่นี้เอง

สายตาของกาหลิบหนุ่มไล่ขึ้นไปสูง และสุดท้ายก็ประสานเข้ากับสายตาของฝ่ายตรงข้ามที่จ้องมองมาก่อนแล้วอย่างเย็นชาเข้าอย่างจัง

“เจ้า?...”

“หึ เจ้าคือ กาหลิบองค์ใหม่แห่งจาปิโตสหรือ?”

“เจ้าเป็นใคร?”

“อสูรนามจาโด้!”

คำตอบเพียงสั้น ๆ แต่ได้ใจความ

คาร์มา เลอ ลูนิ่งคิดไปชั่วอึดใจ ก่อนจะสาวใยข้อมูลในสมองของตนพบว่า จาโด้ผู้นี้คือใคร

“เจ้าชายอสูรรึ? ... เจ้าชายอสูรมาทำอะไรแถวนี้...” ตอนท้ายเขาพูดเหมือนพึมพำกับตนเอง หากอีกฝ่ายเป็นเจ้าชายอสูรซึ่งเขาได้ยินข่าวมาอย่างเลือนลางแล้วจริง ก็เป็นอันเข้าใจได้ถึงความกดดันและรังสีอำมหิตที่เขารับรู้ได้ตั้งแต่เมื่อครู่ แต่อย่างไรก็ตาม กาหลิบหนุ่มผู้นี้ก็สมกับเป็นกษัตริย์ ยังคงไม่แสดงท่าทีหวาดหวั่นต่ออสูรชั้นสูงตรงหน้า แต่เมื่อเขานึกอะไรได้ ก็พูดเกือบตวาดว่า “เจ้าทำอะไรแม่ข้า?!”

“หึ เจ้าถามมันก่อนเถิด ว่ามันทำอะไรกับเจ้าและผืนแผ่นดินจาปิโตสอันมีเกียรติประวัติยาวนานในเนฟเวอร์แลนด์นี้ไว้บ้าง”

“?!!!”

คำตอบที่ไม่คาดฝันของอีกฝ่าย ทำเอากาหลิบหนุ่มอึ้งไป แล้วก้มลงมองใบหน้าของมารดาซึ่งกำลังอยู่ในอ้อมแขนตน

“เอ๊ะ?...”

ใบหน้านั้น... ใบหน้าอันสวยงามที่เขาลุ่มหลงบูชาเทิดทูนมาตลอด นับแต่จำความได้ บัดนี้ดูร่วงโรย แก่กว่าเดิมนับหลายสิบปี ร่างทั้งร่างขาดซึ่งความมีชีวิตชีวาซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของเขามาโดยตลอด

นี่... นี่คือท่านแม่หรือนี่? ไม่จริง! ไม่จริง! ไม่!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

“ท่าทางมนต์เสน่ห์ที่นางร่ายไว้กับเจ้าก็จะเสื่อมลงแล้วด้วยนะ กาหลิบเอย... นอกจากมนต์ต่าง ๆ ที่มันร่ายไว้กับตัวเอง”

น้ำเสียงเหยียดหยามดังมาจากร่างอสูรหนุ่มอีก เขาสำรวมตบะเพ่งมองร่างของมนุษย์ทั้งสองตรงหน้า แล้วก็จับกระแสเวทย์ไสยดำดังกล่าวได้

“มนต์เสน่ห์หรือ?... อา...” คาร์มา เลอ ลูทวนคำอย่างเลื่อนลอย

เหมือนมีเส้นใยอะไรบางอย่างขาดผึงในห้วงลึกของจิตใจเขา ภาพความหลังผุดขึ้นในความทรงจำ ชัดเจน แต่ก็ไหลผ่านห้วงมโนไปอย่างรวดเร็วประดุจสายน้ำเชี่ยวกราก

...

“คาร์มาลูกรัก เจ้าต้องโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง แล้วช่วยแม่ด้วยนะลูก”

ตั้งแต่เด็กแล้ว คาร์มาก็โตขึ้นมาพร้อมคำพูดเช่นนี้ของมารดาตน- นางสนมจามิโตส ในฮาเร็มของกาหลิบเลอลูองค์ก่อน ซึ่งเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในรอบหลายร้อยปีของจาปิโตส กษัตริย์ผู้วางรากฐานอันมั่นคง ด้วยแสนยานุภาพทางการทหาร-ซึ่งมีบาลโดสเป็นเสาหลัก- และทางการทูต- ซึ่งมีบิดาของชาร่าเป็นเสาหลัก

นับแต่โบราณ มีคำกล่าวว่า “วีรบุรุษย่อมเคียงคู่กับหญิงงาม” และสำหรับกษัตริย์เลอลูผู้นี้ ก็ดูจะเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของชาวจาปิโตส และห้อมล้อมด้วยบรรดานางสนมนับครึ่งร้อยในฮาเร็มของตน โดยที่มิได้ตั้งใครเป็นชายาเอก- ซึ่งความหมายของ ‘ชายาเอก’ ย่อมไม่เพียงเป็นคู่ชีวิตตัวจริงขององค์กาหลิบ หากแต่ทายาทอันเกิดแต่ชายาเอก ย่อมเป็นรัชทายาท-ผู้ได้สิทธิ์ครองบัลลังค์ต่อไป

ตัวจามิโตสเอง ก็เป็นบุตรีแห่งอดีตหัวหน้าเผ่าทะเลทรายเผ่าหนึ่งซึ่งถูกจาปิโตสกลืนชาติไปเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีใครเลยจักรู้ว่า ชนเผ่านี้ ได้ครอบครองตำราไสยดำหายากเล่มหนึ่ง ... ซึ่งคนในเผ่าเองก็คาดว่าตำรานี้มีที่มาจากแคว้นเอจู โดยอาจจะเป็นศิษย์คนใดคนหนึ่งของเอจูแอบนำตำรานั้นติดตัวมาด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ไสยดำเหล่านั้นถูกถ่ายทอดสู่เด็กสาวนามจามิโตส ผู้กำลังถูก “เชิญตัว” เข้าไปในวังหลวงจาปิโตส แน่นอน คำว่า “เชิญตัว” ในที่นี้ย่อมเป็นคำกล่าวของฝ่ายจาปิโตส หากแต่มองในมุมของฝ่ายถูกเชิญแล้ว คงกล่าวว่า มันเป็นการพรากตัวเสียมากกว่า

จามิโตสใช้ชีวิตอย่างขมขื่นอยู่ในฮาเร็มถึงสามปี เธอตระหนักถึงการแก่งแย่งชิงดีในฮาเร็มเพื่อที่ตนจะได้เป็นคนโปรดของกาหลิบ และจะได้มีโอกาสเป็นชายาเอก เพื่อเป็นหลักรับประกันความมั่นคงของชีวิตตน และในปีที่สามนั้นเอง กาหลิบก็อนุญาตให้นางสนมจำนวนหนึ่งมีบุตรกับตนได้- หนึ่งในจำนวนนั้นมีจามิโตสด้วย- ทั้งนี้ ในฮาเร็ม นางสนมย่อมมีหน้าที่เพียงบำเรอความสุขแก่กาหลิบเท่านั้น และไม่มีหน้าที่ที่จะต้องตั้งครรภ์เพื่อสืบสายเลือดกาหลิบแต่อย่างไร

และนี่คือโอกาสของจามิโตส แต่ในขณะเดียวกันมันก็มาพร้อมกับความริษยาและภัยมืดที่เริ่มคุกคามเธอเช่นกัน หากใครสักคนกำจัดเธอได้ คู่แข่งในการดำรงตำแหน่งชายาเอก คู่แข่งในการดำรงตำแหน่งรัชทายาท ก็น้อยลงไป แต่... ด้วยไสยดำของจามิโตสซึ่งบ่มตบะแข็งกล้าขึ้นทุกขณะ ทำให้เธอเอาตัวรอดมาได้ มิหนำซ้ำ ยังใช้ไสยดำกำจัดศัตรูไปทีละคน ๆ

แต่ปัญหาคือ ตัวกาหลิบเอง มีตบะเข้มแข็งและพลังเวทย์สูงส่งนัก สมกับเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งทะเลทราย จามิโตสรู้ดีว่า เวทย์ของตนใช้การกับกาหลิบผู้นี้มิได้ผล แต่กับทารกของตนที่ตนเป็นผู้เลี้ยงดูมาแต่แบเบาะนั้นเล่า...ย่อมใช้ได้ผลแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ คาร์มาจึงเป็นเด็กที่ติดแม่และเชื่อฟังแม่เป็นพิเศษในสายตาของคนทั่วไป ยกเว้นเวลาอยู่ต่อหน้าบิดา เด็กน้อยจะไม่แสดงอาการใกล้ชิดมารดาจนออกนอกหน้า ด้วยได้รับคำสั่งจากมารดาไว้ให้ทำเช่นนั้นนั่นเอง

เวลาผ่านไป...

องค์กาหลิบซึ่งชราภาพลง แต่ก็ไม่ได้มีพลังเวทย์และราศีร่วงโรยไปด้วยเลย กลับทำให้จามิโตสร้อนใจขึ้นทุกขณะ แม้ขณะนี้ ฐานะของนางในวังหลวงจาปิโตสจะเข้มแข็งแล้วก็ตาม รวมทั้งคาร์มาก็ดำรงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทด้วย แต่สภาพการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในวังหลวงนั้นก็หาได้สงบลงไม่ อีกทั้ง... องค์กาหลิบเลอ ลูเองก็เริ่มระแคะระคายถึงพลังเวทย์แห่งความมืดของนางแล้ว โดยคืนหนึ่งอันเป็นวันที่คาร์มาอายุครบ 18 ได้ไม่นาน คำกล่าวเปรยของกาหลิบที่ว่า

“เอ เจ้านี่สวยไม่สร่างเลยนะ จามิโตสเอย เจ้ามีเคล็ดลับในการรักษาความงามอย่างไรรึ?”

ก็กลายเป็นคำตัดสินประหารชีวิตของตนเอง!

คืนนั้น หลังจากองค์กาหลิบผู้ยิ่งใหญ่เสพรสกามารมย์ที่ชายาเอกของตน- ผู้มีรูปโฉมสวยงามหาได้ร่วงโรยไปตามวัยไม่- ปรนเปรอให้อย่างถึงใจแล้ว ท่านก็พบว่า หลังผ้าม่านของหน้าต่างห้องนั้นมีบุคคลผู้หนึ่งยืนแอบอยู่ และกำลังเขม็งมองมาทางตนด้วยความเคียดแค้น

“ใครกัน... เจ้าเองรึ?”

น้ำเสียงตวาด ต้องพลันเปลี่ยนเป็นงงงวย เมื่อพบว่าผู้ที่ซ่อนอยู่คือ บุตรชายของตนเอง

“เจ้า... เจ้าบังอาจ... บังอาจแย่งท่านแม่ไปจากข้า!!”

“คาร์มา?!!!”

“ท่านแม่เป็นของข้าเพียงผู้เดียว ข้าไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องท่านอีก!!!”

กว่ากาหลิบผู้ยิ่งใหญ่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็สายเกินไปเสียแล้ว ร่างของเขาถูกตรึงไว้ด้วยไสยดำที่ถูกร่ายมาจากด้านหลังตน... จากสตรีที่นอนข้างเคียงตนเมื่อครู่นี้เอง ส่วนด้านหน้านั้นเล่า บัดนี้มองต่ำลงไปเบื้องหน้าตน ร่างของหนุ่มน้อยที่เป็นบุตรชายแท้ ๆ กำลังกำด้ามมีดด้ามหนึ่งอย่างแน่นหนาและปลายมีดเล่มนั้นกำลังจมอยู่ในท้องขององค์กาหลิบนั่นเอง!

... คืนวิปโยคโดยแท้!

ขั้วอำนาจในจาปิโตสเปลี่ยนไปโดยทันที กลุ่มนางสนมที่เป็นปรปักษ์กับจามิโตสถูกจับประหารชีวิตแบบถอนรากถอนโคน ด้วยข้อหาลอบปลงพระชนม์องค์กาหลิบ และรัชทายาทคาร์มาก็ได้ขึ้นครองบัลลังค์แห่งจาปิโตส และใช้นามแห่งเกียรติยศว่า “เลอ ลู” ต่อท้ายนามของตน ดั่งเช่นกาหลิบองค์ก่อน ๆ

...

หลังจากผลัดแผ่นดินได้ไม่นาน...

ในคืนหนึ่ง มารดาผู้ยังสาวสะพรั่งของตนก็มาเคาะประตูเรียกหากาหลิบหนุ่มด้วยสีหน้าร้อนรน

“คาร์มา คาร์มาของแม่”

“ท่านแม่?... เชิญเข้ามาก่อนสิขอรับ มีธุระอันใดกับลูกหรือ จึงได้รีบร้อนมากลางดึกเช่นนี้”

“แม่ฝันร้าย”

“ฝันร้าย?”

“แม่ฝันว่าเลอ ลูคนก่อนกำลังจะมาเอาชีวิตของแม่ ไปอยู่กับมันในโลกอันมืดมิด ลูกเอ๋ย...”

“ท่านแม่...”

ร่างของทั้งสองกอดแนบแน่นเข้าหากัน... เป็นอากัปกริยาที่เกินกว่าความเป็น “แม่ลูก”!

“ลูกรัก คืนนี้ให้แม่นอนด้วยนะ อย่าทิ้งแม่ไปไหน!”

“ขอรับท่านแม่ ใจเย็น ๆ ลูกอยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องห่วง ลูกเคยสัญญาไว้แล้วนี่ขอรับว่า ลูกจะไม่ทิ้งท่านแม่ไปไหนเด็ดขาด”

“ดีมาก และลูกคงยังจำได้นะ ว่าลูกสัญญากับแม่ไว้นอกจากเรื่องนี้ว่าอย่างไร”

“... ขอรับลูกจำได้” นัยน์ตาของกาหลิบหนุ่มทอแววเลื่อนลอย เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ใน ‘คืนวิปโยค’ นั้น เหตุการณ์หลังจากที่เขาสังหารบิดาบังเกิดเกล้าด้วยมือของตนเอง และแย่งชิงเอาสตรีที่เขารักที่สุดในชีวิตมาเป็นของตน!

“ท่านแม่ไม่ต้องห่วง มือสองข้างของลูกเปื้อนเลือดไปแล้ว... จะเปื้อนอีกเท่าไรก็เหมือนกัน... ลูกจะทำสงครามขยายดินแดน ให้จาปิโตสเราเป็นเจ้าเหนือหัวของคนทั้งมวลบนเนฟเวอร์แลนด์ให้จงได้”

“ให้เราสองแม่ลูกต่างหาก... หาใช่จาปิโตสไม่”

“ขอรับ... เพื่อเราสองคน”

...

“... ขะ...ข้า... ข้าทำอะไรลงไปนี่?” น้ำเสียงแหบพร่าหลุดออกจากริมฝีปากของกาหลิบหนุ่มในที่สุด ร่างทั้งร่างสั่นเทา แต่ก็ยังประคองกอดร่างที่ไม่ได้สติไปแล้วของมารดาตนไว้ไม่ยอมปล่อย รังสีอำมหิตที่กดดันมาจากร่างของอสูรหนุ่มใกล้ ๆ เป็นสิ่งเดียวที่ช่วยดึงให้เขายังคงต้องยอมรับความจริงในชีวิตตนที่ผ่านมา...

ความจริงอันโหดร้าย!

“ท่าทางจะ ‘ได้สติ’ อย่างสมบูรณ์แล้วสินะ” จาโด้พูดเบา ๆ แล้วก็หันหลังกลับ

“ดะ... เดี๋ยวก่อน!” เป็นคาร์มา เลอ ลูที่หันขวับมาร้องเรียกไว้

“?”

“เจ้า...ท่านจะไปไหน?”

“หึ ข้าหมดอารมณ์ที่จะละเลงเลือดเสียแล้ว... ถึงอย่างไร บาปกรรมที่นางผู้นี้ทำไว้ก็หนักหนานัก จาปิโตสคงถึงกาลอวสานในคราวนี้เอง คาร์มา เลอ ลูเอย... น่าเสียดายจริง”

“...” คราวนี้กาหลิบหนุ่มเป็นฝ่ายอึ้งไปแทน ขณะที่เขาขยับปากจะเอ่ยอะไรออกมา เจ้าชายแห่งความมืดก็ยกมือปรามไว้

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น... ข้า ‘ขี้เกียจ’ ฟัง”

“...” คาร์มา เลอ ลูอึ้งไปเล็กน้อย แต่แล้วก็แค่นยิ้มขื่น ๆ “จริงสินะ ท่านไม่เกี่ยวกับเรื่องของข้ากับแม่ข้ามาแต่แรกแล้ว... และยิ่งไม่เกี่ยวกับจาปิโตส หึหึหึ เอาเถิด ถึงอย่างไร ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าสตรีผู้นี้เป็นแม่ของข้า และข้าก็ต้องรับผิดชอบสิ่งต่าง ๆ ที่นางทำขึ้น”

“เรื่องของเจ้า!”

ขาดคำ ร่างของเจ้าชายอสูรหายวับไปต่อหน้าทันที

กาหลิบหนุ่มเหม่อมองพื้นว่างเปล่าที่จาโด้เคยยืนอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะก้มลงมองร่างของมารดาตน เพียงเพื่อพบว่านางยังเหลือลมหายใจเพียงรวยริน

“ท่านแม่...” เขาช้อนร่างแบบบางนั้นขึ้นไว้ในวงแขน ลุกขึ้นยืนแล้วอุ้มร่างนั้นเดินออกไปทางประตู

...

ขอบฟ้าเริ่มทอแสงสีทองรำไร

อีกไม่นานก็จะสว่างแล้ว

เท้าที่ก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวของจาโด้ หลังจากที่เขาพาตัวเองลงจากเบื้องบนสู่พื้นทางเดินในสวนกลางวังแพลททิเซลเวอร์มีอันต้องชะงักลง

“ไม่อยู่?”

เจ้าของปราสาทหลังนี้ไม่อยู่!

เจ้าชายอสูรหลับตาลงสำรวมสมาธิอีกครั้ง แต่ผลก็เหมือนเดิมกับที่เขาสัมผัสได้ด้วยจิตเมื่อชั่วขณะก่อนหน้านี้ นั่นคือ เจ้าของพลังเวทย์แสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่ในบริเวณนี้

‘เกิดอะไรขึ้นอีก?’

แวววิตกฉายทับบนใบหน้าเย็นชาของเขาแวบหนึ่ง ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบสาวเท้ายาว ๆ สองสามก้าว แล้วทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ มุ่งหน้าสู่ห้องนอนของลิตเติลสโนว์ในทันที... สถานที่สุดท้ายที่เขาพบเธอนั่นเอง

“!”

สภาพภายในห้องนั้น เท่าที่มองจากนอกหน้าต่าง พาให้อสูรหนุ่มใจหายวูบทันที เขากระโจนเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็วเพียงเพื่อพิสูจน์ให้แน่ใจว่า...

นอกจากร่างของนางกำนัลกิตติมศักดิ์ที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นข้างเตียงในห้องนั้นแล้ว ไม่มีร่องรอยใด ๆ ของเจ้าของห้องแม้แต่น้อย!

“สโนว์!!!”

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1