สำหรับตอนนี้เป็นตอนสำคัญ ซึ่งจะเปิดเผยปริศนาบางส่วนในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นสำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่ผ่าน ๆ มาตั้งแต่ต้นจนหมด กรุณาอย่าเพิ่งอ่านครับ เพราะหากท่านทราบคำตอบปริศนาเหล่านี้ จะทำให้เสียอรรถรสในการติดตามเรื่องราวไป

รับทราบ และขออ่านตอนนี้      กลับหน้าสารบัญ

มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

มารผยอง: แผนแห่งอสูร

ตีพิมพ์ครั้งแรก 6 มี.ค 46

และแล้ว วินาทีสังหารก็มาถึงจนได้

ทรงกลมสีดำใสซึ่งมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ตัวรุโดร่า ขยายขนาดจนกลืนกินร่างของจาโด้เข้าไปในรัศมีของมัน ความเข้มของแสงสีดำนี้กระพริบขึ้นวูบหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกว่าอีกเสี้ยววินาทีข้างหน้า พลังทั้งมวลภายใต้การควบคุมของรุโดร่าจะรวมศูนย์เข้าใส่ร่างของเจ้าชายอสูรแล้ว และนั่นย่อมหมายถึงวาระสุดท้ายของฝ่ายหลังอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่... เหนือความคาดหมายของทั้งผู้สังหารและผู้ดูเหตุการณ์ด้านข้างซึ่งบัดนี้หน้าซีดเผือด จาโด้หาได้ดันทุรังรวบรวมพลังเวทย์ขึ้นต้านต่อพลังจากภายนอกที่กำลังจะถาโถมใส่ตนไม่ เขากลับอาศัยจังหวะนี้ พาร่างพุ่งเข้าประชิดตัวอสูรผู้มีเจ็ดตาในทันที เพียงแค่พริบตาเดียวที่เห็นแสงสีดำกระพริบเปลี่ยนความเข้มเท่านั้น ร่างของจาโด้ก็มาปรากฏต่อหน้ารุโดร่าแล้ว มองเผิน ๆ เป็นการกระทำที่บ้าบิ่นเสียนี่กระไร เพราะยิ่งเข้าใกล้ร่างอีกฝ่าย ยิ่งเป็นเป้าหมายของการโจมตีด้วยเวทย์ได้โดยง่ายสุดจะหลีกเลี่ยงพ้น

--มันสู้อย่างจนตรอกด้วยวิธีนี้หรือนี่? --

รุโดร่านึกกระหยิ่มในใจ ในชั่วเสี้ยววินาทีแรกที่เห็นร่างของศัตรูใกล้เข้ามา เขาย่อมรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง แต่มีหรืออสูรผู้เคยเป็นถึงหนึ่งในห้าขุนพลแห่งกองทัพอสูรอย่างเขาจะอ่านเจตนาของอีกฝ่ายไม่ออก ศัตรูหมายจะล้มเขาให้ได้ ก่อนที่เขาจะเร่งพลังอัดกระแทกใส่ร่างฝ่ายนั้นนั่นเอง

แต่... ถ้าแม้นจาโด้ล้มรุโดร่าในพริบตาเดียวไม่ได้เล่า? นั่นย่อมหมายถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตฝ่ายแรกอย่างไม่ต้องสงสัย ระยะใกล้เพียงนี้ หากโดนเวทย์ทำลายเข้าเต็ม ๆ ละก็... เจ้าชายอสูรก็เจ้าชายอสูรเถิดไม่มีเหลือแน่

วิปส์วอร์มทั้งสองเส้นฟาดกระหน่ำลงมาอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน หากแต่อสูรชาญศึกอย่างเจ้าครองแคว้นเอลิซิตัทย่อมไม่ใช้ทั้งเนตรสัมผัสหรือโสตสัมผัสในการจับความเคลื่อนไหวของอาวุธร้ายนั้น ‘สัญชาตญาณ’ การต่อสู้แท้ ๆ เลยทีเดียว ที่สั่งการให้เขายกมือที่ห่อหุ้มด้วยพลังเวทย์อีกส่วนหนึ่งขึ้นหมายจะปัดเบนวิถีของหนอนแส้ทั้งสองออกไป ขอเพียงเขาหยุดการโจมตีนี้ได้... ใช่สิ ขอเพียงเขาหยุดการโจมตีนี้ได้...

แต่...

“พลั่ก” “อั๊ก!!!”

อสูรผิวดำรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสที่แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กายในบัดนั้นเอง ไม่... ความรู้สึกหาได้มาจากท่อนแขนทั้งสองที่ควรจะประทะกับอาวุธร้ายของเจ้าชายอสูรไม่ หากแต่... เมื่อเขาชำเลืองสายตาลงไปด้านล่าง... ต่ำลงไป เขาก็พบว่า ปลายหมัดลุ่น ๆ ของจาโด้กำลัง ‘ฝัง’ เข้าไปในชายโครงของเขานั่นเอง... และเบื้องหน้า เจ้าชายอสูรกำลังยิ้มเหยียดอย่างน่าสะพรึงกลัว พร้อมด้วยสายตาอันเยือกเย็น- สายตาที่ผู้เป็นเจ้าใช้มองผู้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตน!

พลังสีดำที่เดิมคงสภาพเป็นรูปทรงกลมความเข้มสูง หดรัศมีลงพร้อมกับความเข้มที่ทวีขึ้นตามลำดับ และมันก็โฟกัสเข้าที่ตำแหน่งเยื้องไปด้านหลังร่างของจาโด้เพียงเล็กน้อย ก่อนจะระเบิดออกดังพรึ่บ พลังอันไร้ทิศทาง- อำนาจทำลายล้างอันปราศจากความควบคุม เนื่องจากเจ้าของพลังได้รับความเจ็บปวดทางกายอย่างแสนสาหัสจนสมาธิกระเจิง- ถูกปลดปล่อยอย่างไร้จุดหมาย และด้วยพลังในลักษณะนี้ ไหนเลยจะสะเทือนต่อเขาผู้นั้น- เจ้าชายแห่งรัตติกาล-ได้เล่า

รอบกายของเจ้าชายอสูร บังเกิดเป็นประกายสีรุ้งวูบวาบ อันเป็นผลจากพลังเวทย์ในกายของเขาที่ต้านทานต่อการประทะจากพลังเวทย์ภายนอกนั่นเอง แต่ในสภาพนี้ เขาไม่ได้รับความเสียหายจากพลังเวทย์ภายนอกนี้เลยแม้แต่น้อย และเมื่อเวลาผ่านไปอีกสองสามอึดใจ ประกายสีรุ้งเหล่านี้ก็เลือนหายไปจนหมด

“เจ้าแพ้แล้ว รุโดร่าเอย”

หมัดที่ต่อยเสยขึ้นในลักษณะของอัปเปอร์คัตถูกถอนออกจากชายโครงซ้ายของอีกฝ่าย ร่างของอสูรผิวดำถึงกับสะดุ้งเฮือก แล้วก้มลงโก้งโค้งตัวงอเป็นกุ้ง เสียงดังอั้ก เมื่อมันกระอักหยาดโลหิตคำโตออกมาคำหนึ่ง ทั้งผู้ทำร้ายและผู้ถูกทำร้าย ล้วนตระหนักดีว่า หมัดนี้หักกระดูกชายโครงของฝ่ายหลังไปทั้งแถบ และยังทิ้งความเสียหายแก่อวัยวะภายในอย่างสุดจะคาดคิด

“... อุ...”

อสูรผู้มีดวงตาบนหน้าผาก ได้แต่ครางไม่เป็นภาษา ใช้สองมือกุมชายโครงอยู่เช่นนั้น ร่างของเขาค่อย ๆ ลอยต่ำลง ๆ จนปลายเท้าสัมผัสพื้นดิน แต่แล้ว เขาก็กลับไร้เรี่ยวแรงที่จะยืนหยัดทรงตัวอยู่ได้ ต้องทรุดกายลงไปคุกเข่าข้างหนึ่งกับพื้น

แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณสาดส่องจากขอบฟ้าลิบ ๆ ร่างของจาโด้ลอยต่ำลงมาเช่นกัน จนยืนอยู่เบื้องหน้าของผู้ปราชัย ไม่ไกลออกไป ผลึกน้ำแข็งที่ห่อหุ้มตัวราชินีศักดิ์สิทธิ์ก็ลอยลงมาบนพื้นดินเช่นกัน ทันทีที่มันสัมผัสพื้น น้ำแข็งก้อนมหึมานี้ก็พลันระเหิดเป็นไอ เหลือเพียงร่างของเด็กสาวข้างในที่ยืนตัวแข็งค้างอยู่ แต่สีหน้าของเด็กสาวตอนนี้ เต็มไปด้วยเลือดฝาด และสายตาที่มองไปทางอสูรผู้สูงศักดิ์เต็มไปด้วยแววชื่นชม

เป็นการต่อสู้ที่ตัดสินกันด้วยไหวพริบอย่างแท้จริง เธอเอง แม้จะไม่สามารถจับตาไล่มองความเคลื่อนไหวของทั้งสองฝ่ายได้ทันในช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวนั้น แต่เธอก็สามารถหยั่งรู้กระแสความคิดของทั้งสองฝ่าย ว่าแต่ละฝ่ายมีแนวการสู้รบอย่างไร และสุดท้ายชัยชนะก็ตกเป็นของจาโด้

“หึหึหึ เข้าใจแล้วสินะ รุโดร่า” จาโด้เอ่ยขึ้น “แม้ข้าใช้พลังเวทย์เพียงไม่ถึงครึ่ง เจ้าก็ยังเอาชนะข้ามิได้ เพราะฉะนั้น ตราบชั่วชีวิตเจ้า อย่าหมายที่จะเป็นใหญ่เหนือข้าเลย”

“...”

“ที่จริง สมัยที่เจ้าเป็นขุนพลของจาเนส เจ้าก็เป็นนายทหารที่รบด้วยพลังเวทย์และพลังยุทธไปควบคู่กันมิใช่หรือ? น่าเสียดาย ที่ระยะหลังเจ้าหลงใหลในพลังเวทย์มากเกินไป พึ่งพาพลังเวทย์มากเกินไป จึงได้คิดตื้น ๆ ว่า เมื่อพลังเวทย์เจ้าเหนือกว่า เจ้าก็จะเอาชนะข้าได้...”

“...”

ลิตเติลสโนว์ขมวดคิ้ว จาโด้พูดมากเกินวิสัยของเขาเสียแล้ว? แต่เขามิใช่ผู้ที่พูดเยาะเย้ยซ้ำเติมหรือโอ้อวดตนต่อผู้ที่ปราชัยนี่? ถ้าเช่นนั้น เขากำลังมุ่งหมายสิ่งใดหรือ?...

น่าแปลก ทันทีที่เธอคิดสงสัย เธอก็หยั่งรู้คำตอบนั้นได้ทันที...

--เกิดอะไรขึ้นกับเรา?--

ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว... ไม่สิ ตั้งแต่ ‘ตอนนั้น’ แล้วที่รู้สึกว่า เธอจะหยั่งรู้ความรู้สึกนึกคิดของคนรอบข้างได้ชัดเจนขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด

ที่ว่าแต่ก่อน... ก็เช่น เธอหยั่งรู้ได้ถึงความจงรักภักดีและความจริงใจของบรรดาทหารและข้าราชการแพลททิเซลเวอร์ที่มาเชิญเธอถึงหอคอยควีนโร้ดส์ เพื่อให้รับตำแหน่งราชินี, หรือตอนที่พบกับยิปสีดและเซลเอ็ดอะดลัสครั้งแรก เธอก็หยั่งรู้ได้ว่ายิปสีดพูดความจริงหรือมีอะไรปิดบังอยู่ ... แต่... ความสามารถพิเศษนี้ดูจะพัฒนาไปอีกสอง-สามขั้นอย่างก้าวกระโดดในชั่วเวลาข้ามคืนเดียวเสียแล้ว

เสียงของจาโด้ยังคงแว่วเข้ามากระทบโสตประสาทต่อไป

“และเจ้าก็ให้ความสำคัญกับวิปส์วอร์มของข้ามากเกินไป จนลืมว่า แขนขานี่แหละ คืออาวุธที่ธรรมชาติสรรสร้างมาให้อย่างยุติธรรมทั่วทุกผู้แล้ว จริงไหม หึหึหึ” วิปส์วอร์มที่จาโด้หวดใส่อีกฝ่ายในตอนแรก เป็นเพียง ‘ไม้ล่อ’ หรือ ‘ลูกหลอก’ เท่านั้น เขาหมายใจไว้แต่แรกแล้วว่า หมัดอัปเปอร์คัตนั้นแหละคืออาวุธเผด็จศึก.. ซึ่งหากมันช้ากว่านั้นเพียงเสี้ยวของเสี้ยววินาที พลังเวทย์ของรุโดร่าก็จะถูกบังคับให้รวมศูนย์เข้ามาทำลายร่างเขาจนสลายเป็นอากาศธาตุอย่างไม่ต้องสงสัย

“... ขะ... ข้าแพ้เจ้าแล้ว”

“ข้าถึงได้บอกเจ้าแล้วอย่างไรเล่า ว่าปัญญาตื้นเขินเช่นเจ้านั้น จักคิดแผนการอะไรลึกซึ้งได้นั้นก็หาไม่! ที่จริง หากเจ้าไม่ใช้ลูกสมุนของเจ้ามา แต่มาด้วยตัวเอง เจ้าก็คงพาราชินีชาวมนุษย์ผู้นี้กลับถึงรังกบดานของเจ้าได้รวดเร็วกว่านี้แล้ว... และหาก....ฮึ หากเจ้าดูดพลังจากนางก่อนที่จะมาหาญต่อกรกับข้าละก็... ต่อให้ข้าใช้พลังเวทย์เต็มที่ก็คงสู้เจ้ามิได้กระมัง น่าเสียดาย...”

“ผิดแล้วค่ะ ท่านจาโด้ อสูรผู้นี้วางแผนแต่แรกแล้วว่าจะฆ่าท่านต่างหากเล่า!”

น้ำเสียงใส ๆ ดังขัดมาจากด้านหลังของอสูรผิวขาวผู้ยืนจังก้าอยู่ เมื่อคู่สนทนาหันขวับไปทางต้นเสียงก็พบว่า ลิตเติลสโนว์กำลังสาวเท้าเดินเข้ามาช้า ๆ

“สโนว์... เจ้าพ้นจากมนต์สะกดแล้วหรือ?”

“ข้าคลายมนต์สะกดเอง... แสงอาทิตย์ทำให้ความขลังของมนต์ดำเสื่อมลง และเสริมพลังให้ข้าเอาชนะมนต์สะกดได้”

“อ้อ” เจ้าชายอสูรพยักหน้าครั้งหนึ่ง แล้วก็เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม “แล้ว ที่เจ้าว่า...”

“อืม ข้าก็เพิ่งประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดได้เดี๋ยวนี้เอง” ลิตเติลสโนว์ยิ้มเล็ก ๆ เป็นเชิงขำที่เจ้าชายอสูรช่างเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ที่เธอบอกได้ง่ายดายเหลือเกิน หากเป็นผู้อื่น คงถามละเอียดกว่านี้ เช่น ทำไมไม่รีบคลายมนต์สะกดให้ตัวเอง (ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ) ให้เร็วกว่านี้ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องแบ่งพลังมาจนแทบจะเพลี่ยงพล้ำกับศัตรู “รุโดร่าผู้นี้ วางแผนที่จะให้เหตุการณ์ออกมาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่า ตามที่เขาคิดไว้ เขาจะเป็นฝ่ายสู้ชนะท่าน...”

“...” รุโดร่าเงยหน้าขึ้น หรี่สายตามองมาทางเด็กสาวอย่างสงสัย หากแต่ด้วยอาการนั้น ทำให้ฝ่ายหลังยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตนหยั่งรู้มา

“ท่านจงใจใช้อิลฮาร์ตผู้นั้นมาลักพาตัวข้า และก็คาดการณ์ไว้แล้วว่า ท่านจาโด้จะต้องตามมาทันอย่างแน่นอน แต่ท่านจาโด้ก็คงจะต้องพะวักพะวนกับตัวข้า ทำให้ใช้พลังเวทย์สู้กับท่านไม่เต็มที่ ใช่หรือไม่? รุโดร่า”

“...”

“หรือหากท่านจาโด้ไม่ห่วงตัวข้า ท่านก็เพียงลักพาตัวข้าหนีไปก็ได้ อิลฮาร์ตผู้นั้นคงกำลังเตรียมประตูมิติที่จะพาท่านหนีกลับแคว้นเอลิซิตัทได้ในเพริบตาเดียวอยู่แถวนี้แล้ว จริงหรือไม่?”

“...” รุโดร่าถึงกับตะลึง เพียงแวบเดียวที่แววตระหนกผุดขึ้นในดวงตาทั้งสองของเขาแล้วก็จางหายไป แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับราชินีศักดิ์สิทธิ์ที่จะทราบได้ถึงความถูกต้องของการคาดการณ์ของตน

“หึ จริงอย่างที่นางพูดรึ?” เจ้าชายอสูรหันมาปรายสายตามองลงไปยังอสูรเจ้าเล่ห์ “แต่ถึงอย่างไร สิ่งที่เจ้าคิดก็ไม่เป็นผลสำเร็จสักอย่างอยู่ดีนั่นแหละ และข้าก็ยืนยันคำเดิมว่า นี่เพราะเจ้ายังมีปัญญาไม่พอนั่นเอง ถึงคิดแผนการได้แค่นี้”

“หึ จาโด้ ข้าแพ้เจ้าอย่างราบคาบก็จริง แต่เจ้าไม่ต้องเน้นย้ำว่าข้าด้อยปัญญาก็ได้ หรือ เจ้าหวังอะไรกันแน่?”

“ดีมากที่ถามข้าตรง ๆ ข้าก็จะบอกเจ้าตรง ๆ เช่นกัน” เจ้าชายอสูรขยับร่างกายสองสามที ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าต้องการให้เจ้าตระหนักว่า ต่อให้เจ้าคิดแผนการชั่วร้ายอย่างไร ดูดพลังเวทย์จากคนอื่นมากมายเพียงใด เจ้าก็เป็นได้เพียงหนึ่งในห้าขุนพลแห่งทัพอสูรอยู่ดี หาได้มีความสามารถจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งเดียวแห่งเนฟเวอร์แลนด์ไม่!”

“เจ้า...!” คราวนี้ สีหน้าของอีกฝ่ายแสดงความประหลาดใจอย่างแท้จริง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“ข้าให้เวลาเจ้าอีกสองปี... จงเลิกดูดพลังคนอื่น แล้วหันมาฟื้นฟูพลังยุทธของเจ้าเถิด ถึงตอนนั้นข้า- ในฐานะจอมราชันย์อสูรจาโด้ จะแต่งตั้งเจ้าเป็นหนึ่งในห้าขุนพลแห่งทัพอสูรของข้า!”

“?!!!” คราวนี้ ไม่เพียงแต่อสูรแห่งเอลิซิตัทเท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่ลิตเติลสโนว์ก็ถึงกับหัวใจเต้นแรงไปด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ฟังแผนการในอนาคตของจาโด้ จากปากของอสูรหนุ่มผู้นี้โดยตรง

“... หึ ที่แท้เจ้าก็คิดตั้งตนเป็นใหญ่เช่นกัน” รุโดร่าเหยียดยิ้มเครียด ๆ

“เนฟเวอร์แลนด์กำลังร่ำร้องเรียกหาผู้รวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวต่างหากเล่า... และข้าก็คิดว่า ข้าควรจะรับภารกิจนี้ ก็เท่านั้นเอง ปล่อยให้โคเรีย หรือ มุเง็นเป็นผู้กำหนดชี้นำชะตาของสรรพชีวิตบนเนฟเวอร์แลนด์ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว”

“... เจ้า... ดูท่าเจ้าจะรู้อะไรมากกว่าที่ข้ารู้นะ”

“เจ้าก็คงรู้อะไรไม่น้อยกว่าที่ข้ารู้เช่นกัน .... อย่างเช่น เรื่องดูดพลังเวทย์ผู้อื่น ที่จริงมันมีจารึกไว้ในคัมภีร์อารยธรรมโบราณ แต่เจ้ากลับล่วงรู้ได้”

ลิตเติลสโนว์ดึงความรู้ในลิ้นชักสมองเธอออกมาอย่างรวดเร็ว คำว่า อารยธรรมโบราณ สำหรับโลกเนฟเวอร์แลนด์แล้ว คืออารยธรรมสมัยก่อนที่จะเริ่มอารยธรรมอสูรนั่นเอง กล่าวคือ สมัยก่อนที่จาเนสจะจุติลงมาปกครองแผ่นดินเนฟเวอร์แลนด์ในนามของจอมราชันย์อสูร และ... บางที อาจจะเป็นอารยธรรมที่ย้อนอดีตไปนานกว่านั้น

ประวัติศาสตร์เนฟเวอร์แลนด์เท่าที่ทุกคนรับทราบ มีเพียงช่วงเวลาย้อนขึ้นไปถึงก่อนหน้านับปีอสุรศักราชเพียงสองสามร้อยปีเท่านั้น ยุคที่เก่ากว่านั้น ทุกคนทราบแต่ว่ามันคือ ยุคของอารยธรรมโบราณ หากแต่ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไรกันแน่

คล้าย ๆ กับว่า พระเจ้า- มหาเทพโคเรีย ไม่พึงประสงค์ให้ใครก็ตามล่วงรู้!

และเชื่อกันว่า กุญแจที่ไขปัญหาของอารยธรรมโบราณ ก็คือ หอคอยสเปกตรัลนั่นเอง

“หึหึหึ มันเรียกว่า ‘การเร่งรัดวิวัฒนาการของดวงวิญญาณ’ (魂の強制進化 ทะมะชิอิ โนะ เคียวเซอิชินขะ) ต่างหากเล่า”

“เอาเถิด จะเรียกอย่างไรก็ช่าง มันหาใช่วิธีที่โสภาไม่... และถึงอย่างไรเจ้าก็คงไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของคำว่า ‘วิวัฒนาการของดวงวิญญาณ’ (魂の進化 ทะมะชิอิ โนะ ชินขะ) กระมัง?”

“...” อาการนิ่งนี้ ทั้งจาโด้ และลิตเติลสโนว์ล้วนมองออกว่า อสูรผู้นี้ไม่ทราบสิ่งที่จาโด้ถามนั่นเอง

“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็หมดธุระจะคุยกับเจ้าแล้ว อีกสองปี เมื่อข้าสถาปนาตัวเป็นจอมราชันย์อสูร เจ้าจงให้คำตอบกับข้าในตอนนั้นเสีย ว่าเจ้าจะเป็นขุนพลของข้า หรือ... เจ้าจะตาย”

“...” ในเมื่อจาโด้ไม่ได้เร่งเอาคำตอบเดี๋ยวนี้ รุโดร่าจึงไม่มีคำตอบให้

ขณะที่จาโด้หันหลังให้อีกฝ่าย แล้วเดินเข้ามาหาเด็กสาวชาวมนุษย์ที่ยืนนิ่งฟังการสนทนาระหว่างสองอสูรอย่างครุ่นคิด อสูรหนุ่มก็ตบท้ายโดยไม่หันไปมองคู่สนทนาว่า

“อ้อ เรื่องที่เจ้าใช้มาเรียเป็น ‘ตัวเร่งรัดวิวัฒนาการของดวงวิญญาณ’ ของเจ้าน่ะ... จงอย่าให้รู้ถึงหูของเจ้าเด็กเมื่อวานซืนนั่นเป็นอันขาด” เขาย่อมหมายถึงฮิโระ

เจ้าชายอสูรเดินมาถึงข้างกายเด็กสาวที่เขาเรียกสั้น ๆ ว่า “สโนว์” แล้วหันกลับไปมองทางรุโดร่าอีกครั้ง พลางยื่นมืออ้อมแผ่นหลังของเด็กสาว แล้วรั้งเอวอีกฝ่าย ดึงร่างอ้อนแอ้นอรชรนั้นเข้าหาตนอย่างนุ่มนวล โดยที่ลิตเติลสโนว์มิได้ขัดขืน ด้วยรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร

จาโด้พูดทิ้งท้ายว่า “เพราะข้าเตรียมตำแหน่งขุนพลให้กับเจ้าเด็กนั่นด้วยเหมือนกัน... เราไปกันเถิด สโนว์”

พลังเวทย์แผ่ออกมาคลุมร่างของสองหนุ่มสาวเพียงบาง ๆ แต่ก็เพียงพอที่จะพาร่างทั้งสองทะยานขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปทางทิศเหนือ

ทิ้งไว้เบื้องหลัง ซึ่งร่างของอสูรบาดเจ็บที่ได้แต่จ้องมองการจากไปของฝ่ายแรกจนลับตา

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1