สำหรับตอนนี้เป็นตอนสำคัญ ซึ่งจะเปิดเผยปริศนาบางส่วนในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นสำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่ผ่าน ๆ มาตั้งแต่ต้นจนหมด กรุณาอย่าเพิ่งอ่านครับ เพราะหากท่านทราบคำตอบปริศนาเหล่านี้ จะทำให้เสียอรรถรสในการติดตามเรื่องราวไป

รับทราบ และขออ่านตอนนี้      กลับหน้าสารบัญ

มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

มารผยอง: การตัดสินใจ

ตีพิมพ์ครั้งแรก 6 มี.ค 46

ตลอดเวลาที่จาโด้พาลิตเติลสโนว์เหาะลัดฟ้าย้อนกลับขึ้นไปทางทิศเหนือ เพื่อมุ่งหน้าสู่แพลททิเซลเวอร์ ทั้งสองฝ่ายต่างนิ่งเงียบมิได้พูดคุยกันแม้แต่น้อย มิใช่เพราะหากคุยแล้วจะทำให้เสียสมาธิในการเดินอากาศของฝ่ายอสูร แต่เป็นเพราะต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองต่างหาก

ในความรู้สึกของเด็กสาว ตอนนี้เธอมองเห็นเมฆหมอกแห่งความโดดเดี่ยวห่อหุ้มตัวจาโด้อยู่ จนสุดที่เธอจะหยั่งรู้จิตใจของเขาได้ ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ซึ่งก็ยิ่งพาให้เธอสับสน

เพราะถึงแม้เขาดีกับเธอเสมอมา นับแต่เริ่มรู้จักกัน และเขาก็ช่วยเธอพ้นจากอันตรายเมื่อคืนนี้ด้วย... จนตัวเขาเองแทบเอาชีวิตไม่รอด

แน่นอนว่า หากเหตุการณ์ที่ผ่านมา มีอะไรผิดพลาดไปแม้แต่นิดเดียว เธอก็คงมีชะตากรรมเดียวกับมาเรีย หญิงสาวชาวมนุษย์ผู้นั้น ซึ่งก็คงไม่พ้นถูกขืนใจ เพื่อดูดพลังเวทย์- หรือที่มีศัพท์แสนจะไพเราะว่า การเร่งรัดวิวัฒนาการของดวงวิญญาณ- เป็นแม่นมั่น

แต่... บทสนทนาระหว่างอสูรทั้งสองตนก็ยังคงก้องอยู่ในหัวสมองของเธอ และสะท้อนไปมาประดุจเสียงสะท้อนยามที่ตะโกนก้องในหุบเขา

-- อีกสองปี เขาจะสถาปนาตนเป็นจอมราชันย์อสูรจาโด้--

-- นั่นย่อมหมายถึง การถือกำเนิดขึ้นอีกคครั้ง ของกองทัพอสูรอันเกรียงไกร ภายใต้การนำของบุคคลที่มีพลังอำนาจสูงส่ง ระดับจอมราชันย์อสูร หาใช่ทัพอสูรใหม่ภายใต้การนำของเจ้าหญิงอสูรฮิโระในปัจจุบัน ตามที่เธอได้ยินข่าวมาไม่--

-- และ คู่กันกับทัพอสูร คือ ห้าขุนพลผู้้นำทัพ ซึ่งเป็นนายทหารคู่ใจของจอมราชันย์อสูร และสองในห้านั้น จาโด้หมายให้ฮิโระและรุโดร่าเป็น--

-- และ สุดท้ายแล้ว เขาเรียกตัวเรามาที่เเนฟเวอร์แลนด์นี่ทำไมล่ะ? --

ปัญหาข้อสุดท้าย จึงเป็นเงาดำที่ทำให้ใจเธอสับสนที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาไม่เคยให้ความกระจ่างแก่เธอในเรื่องนี้แม้แต่น้อย อีกทั้ง ในยามนี้เธอรับทราบว่าเขาเองก็รู้เกี่ยวกับการ ‘เร่งรัดวิวัฒนาการของดวงวิญญาณ’ ด้วยแล้ว ก็อดจะสงสัยไม่ได้

“?!!!” อย่างไรก็ดี ลิตเติลสโนว์ก็ต้องตื่นจากภวังค์ครุ่นคิด เมื่อรู้สึกตัวว่าร่างของตนกำลังลอยต่ำลง พร้อมกับบุรุษที่อยู่ด้านข้าง

สถานที่นั้น เป็นเทือกเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งมีหิมะบาง ๆ ปกคลุมอยู่บนพื้นดิน และตามกิ่งไม้ใบไม้ของต้นไม้ใหญ่น้อย มันไม่ใช่แพลททิเซลเวอร์... เพราะในเขตตอนใต้ของแพลททิเซลเวอร์จึงจะเป็นป่าที่ปกคลุมด้วยหิมะหนาตลอดปี จนได้ชื่อว่า ‘ป่าสีเงิน’ แต่เธอรู้ได้ว่าที่นี่ไม่ใช่ป่าสีเงินเป็นแน่

แล้วที่นี่ที่ไหนล่ะ?

ก่อนที่ลิตเติลสโนว์จะคำนวณเวลาและระยะทางที่พวกตนบินกลับมา เพื่อจะเทียบกับแผนที่เนฟเวอร์แลนด์ที่ตนจำไว้ในสมอง และหาคำตอบว่าสถานที่นี้คือที่ใด เจ้าชายอสูรก็ชิงเฉลยเสียก่อน

“ที่นี่คือ เทือกเขานุย ซึ่งอยู่ตรงขอบแคว้นเบารัส-นุยพอดี...”

เด็กสาวนึกออกทันที ที่แท้ เขาพาเธอเหาะมา ยังไม่ข้ามแคว้นเบารัส-นุยเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ย้ายที่จากบริเวณชายแดนแคว้นนี้ทางทิศใต้ มาอยู่ชายแดนทางทิศเหนือ

หากพ้นเทือกเขานี้ขึ้นไป ก็จะพบกับแม่น้ำใหญ่ฟูรินติก และเข้าสู่แคว้นกาลกัส เลยจากกาลกัสขึ้นไปก็จะเป็นแพลททิเซลเวอร์ของเธอแล้ว

เท้าของทั้งสองสัมผัสพื้นดินอีกครั้ง ฝ่ายชายสาวเท้าก้าวสวบ ๆ ไปบนพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะบาง ๆ นั้นทันที เด็กสาวได้แต่ก้าวเท้าตามอย่างงง ๆ

‘เขาพาเรามาที่นี่ทำไม?’

อดนึกสงสัยในใจไม่ได้ ร่ำ ๆ ที่จะเอ่ยปากถามให้รู้แล้วรู้รอดนั่นเอง เธอก็สัมผัสได้ถึง...

พลังเวทย์แห่งความชั่วร้าย ความน่าสะพรึงกลัว ความเกลียดชัง ที่ลอยวนเวียนอยู่ในทุกอณูอากาศ ตอนแรกก็อย่างจาง ๆ แต่เมื่อมุ่งหน้าไปก็ยิ่งทวีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ

ในที่สุดลิตเติลสโนว์ก็หยุดสาวเท้าเดินต่อ เมื่อพบว่าเบื้องหน้าของตนมีพลังเวทย์ดำล่องลอยอยู่ในบรรยากาศเต็มไปหมด... ซึ่งจะว่าไป คนธรรมดาคงไม่สามารถสัมผัสถึงพลังเวทย์นี้ได้ คงเพียงแต่รู้สึกว่าสถานที่นี้น่ากลัวและไม่น่าเข้าใกล้เป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับราชินีศักดิ์สิทธิ์ผู้มีประสาทรับรู้ที่ไวต่อพลังเวทย์ต่าง ๆ โดยเฉพาะพลังเวทย์แสงสว่างและเวทย์แห่งความมืดแล้ว เธอสามารถรับรู้ถึงสิ่งนั้นได้อย่างชัดเจน

ในคลองจักษุของเด็กสาว ร่างของเจ้าชายอสูรก็หยุดยืนนิ่งเช่นกันโดยยังคงหันหลังให้กับเธอ เบื้องหน้าของเขา เป็นหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกลงไปในพื้นดิน น่าแปลกที่ภายในหลุมนั้น ไม่มีหิมะปกคลุมเลยแม้แต่น้อย... หรือถ้าจะว่าไป เหนือหลุมนั้นนั่นเอง คือ บรรยากาศที่อบอวลด้วยเวทย์อันชั่วร้ายที่เธอสัมผัสได้ตั้งแต่เมื่อครู่ บรรยากาศที่ชั่วร้ายจนกระทั่ง ต่อให้นกหรือสัตว์ปีกทั้งมวลก็คงไม่กล้าบินผ่านเหนือปากหลุม หรือแม้แต่กระทั่งหิมะก็ยังไม่กล้าตกใส่หลุมนั้นกระมัง

ประมวลภาพเหตุการณ์บางอย่าง ไหลเข้าสู่มโนทัศน์ของเด็กสาวอย่างทันทีทันใด...

-- ภาพของหญิงสาวผิวขาวราวหิมะ ที่เลี้ยงดูเด็กชายชาวอสูรผู้หนึ่ง --

-- ภาพของบรรดาชายฉกรรจ์ชาวมนุษย์ที่บุกเเข้าไปในบ้านหลังน้อยพร้อมด้วยอาวุธครบมือและเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ --

-- ภาพของหญิงสาวที่ถูกย่ำยีด้วยน้ำมือขอองมนุษย์ด้วยกัน --

-- ภาพของเด็กชายชาวอสูรที่ระเบิดพลังเวททย์ ‘ลบ’ สรรพสิ่งในบริเวณนั้นทั้งมวลสลายเป็นความว่างเปล่า --

‘นี่... นี่คือ ความหลังของเขาหรือ?.... โอ... ช่างโหดร้ายอะไรเช่นนี้’

เด็กสาวรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวที่ไหลผ่านแก้มทั้งสองของตน อยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็จุกอยู่ในลำคอจนตีบตัน ไม่สามารถพูดได้แม้แต่ถ้อยคำเดียว

“ชื่อของนางผู้นั้น คือ สโนว์ไวท์... สโนว์ที่แปลว่า หิมะ เหมือนกับชื่อของเจ้านั่นแหละ โคะยุกิ- ลิตเติลสโนว์”

เสียงของเจ้าชายอสูรดังแว่วมากระทบโสตประสาท

เด็กสาวพยักหน้ารับ อย่างนี้นี่เอง... ที่เขาเลือกเรา- ที่กระแสความคิดของเขาส่งถึงเราที่อยู่ที่โลกมนุษย์ได้ จนเป็นเหตุให้เราถูกเรียกตัวมาที่โลกเนฟเวอร์แลนด์- เพราะว่าชื่อเราเหมือนกับชื่อของหญิงสาวที่เขารักนั่นเอง...

วูบหนึ่งที่รู้สึกน้อยใจ แต่แล้วก็กลับรู้สึกเชื่อใจเขา รู้สึกสนิทชิดเชื้อกับเขามากขึ้นกว่าเดิม

“เจ้าอ่านใจข้าได้จริง ๆ ด้วย... ถึงแม้ว่า นี่เป็นเพราะข้าเปิดใจให้เจ้ารับรู้ โดยมีบรรยากาศของที่เกิดเหตุนี้เป็นตัวเร่งก็ตามเถิด แต่การอ่านใจก็คือการอ่านใจ!” น้ำเสียงตอนท้ายของเขาเข้มจนน่ากลัว

ดวงวิญญาณจากต่างภพรู้สึกตัวอีกที เขาก็มาอยู่ตรงหน้าเธอเสียแล้ว เธอเห็นเขาหรี่ตามองหน้าเธอก่อนที่จะยื่นมือมาปาดน้ำตาออกจากสองแก้มเธออย่างนุ่มนวล

“เจ้า... ร้องไห้หรือนี่?” น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นโทนนุ่มนวลเหมือนกิริยาด้วย

“ข... ขอโทษด้วยค่ะ ข้า... ข้ารู้ดีว่าท่านไม่ต้องการให้ข้า... สงสารท่านหรอก แต่...” เด็กสาวก้มหน้างุด ตอบตะกุกตะกัก ด้วยศักดิ์ศรีและความหยิ่งถือตัวของอีกฝ่าย เขาคงไม่พอใจที่เธอไปบังอาจ ‘สงสาร’ เขา

“ฮึ ขอโทษรึ ข้าไม่ยกโทษให้หรอก!”

“เอ๊ะ?!!!” เด็กสาวตกใจ เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว และก็พบกับ.... แววตานึกสนุกและยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปากของอีกฝ่ายรออยู่ก่อนแล้ว

“นอกจากว่าเจ้าจะบอกกับข้าแต่โดยดี ว่าเจ้าอ่านใจผู้อื่นได้ละเอียดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ข้า... เอ้อ... ก็...”

“ว่าไงล่ะ?”

เด็กสาวสบตาอีกฝ่ายหนึ่งตรง ๆ เธอชั่งใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนตัดสินใจตอบ

“ก็ตั้งแต่เห็นท่านใช้เวทย์ ‘ค่ายกลวิญญาณดำแห่งภพอสูร’ อย่างใกล้ชิด เมื่อคืนนี้นั่นแหละค่ะ”

“อืม... ถ้างั้นก็เป็นไปอย่างที่ข้าคิดสินะ...”

“หมายความว่าอย่างไร? ท่านจาโด้”

“หึหึหึ นี่คือ รูปแบบหนึ่งของวิวัฒนาการของดวงวิญญาณล่ะ สโนว์เอ๋ย” เด็กสาวหน้าแดงวูบหนึ่งเมื่อได้ยินคำนั้น เพราะใจไปนึกถึงวิธีที่รุโดร่าใช้ แล้วก็สะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายแกล้งถามมาว่า “นี่เจ้าคิดไปถึงไหนนี่ สโนว์? หือ?”

“...” นิ่งไว้เป็นดีที่สุด เด็กสาวสรุปในใจ รู้ตัวว่าแก้มตนยังร้อนผ่าวอยู่

“...” เจ้าชายอสูรยังคงจ้องหน้าเด็กสาว แต่แล้วก็ยิ้มนิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการเหมือนเดิม “อธิบายให้ละเอียดก็คือ การที่บุคคลผู้มีพลังเวทย์ในขั้วตรงกันข้ามกัน อยู่ข้าง ๆ ของอีกฝ่ายเวลาอีกฝ่ายใช้เวทย์ในสายของตน เวทย์ที่มีฤทธิ์ตรงกันข้ามกันนั้น จะสามารถกระตุ้นให้ตบะและพลังเวทย์ของอีกฝ่ายสูงขึ้นได้... แต่จะต้องเป็นการใช้เวทย์ขั้นสูงจริง ๆ นะ”

“อืม อย่างนี้นี่เอง...”

“ดวงวิญญาณต่างภพเช่นเจ้านั้น ได้รับพรจากเนฟเวอร์แลนด์อยู่แล้วในการที่เจ้าเดินทางมาที่นี่ เจ้าจักได้รับพลังเวทย์อันมหาศาล และความสามารถพิเศษอีกหนึ่งประการ...” เขาจงใจหยุด

“ซึ่งก็คือ ความสามารถในการหยั่งรู้จิตใจคน?” เด็กสาวต่อให้ทันที

“ใช่” อสูรหนุ่มพยักหน้ารับ “เพียงแต่ ความสามารถพิเศษนี้ แม้มิใช่เวทย์มนต์ แต่ก็ต้องอาศัยพื้นฐานของตบะ ในเมื่อตบะเจ้ายังไม่แข็งกล้าพอ เจ้าก็ยังดึงความสามารถพิเศษนี้มาใช้ได้ไม่เต็มที่”

“แต่... อืม ท่านหมายความว่า ตอนนี้ตบะข้าเพียงพอแล้ว เช่นนั้นล่ะสิ?”

เจ้าชายอสูรไม่ตอบ เพียงแต่พยักหน้ารับ

“...” ลิตเติลสโนว์นิ่งไป เธอพยายามจัดประมวลสิ่งที่เธอรับรู้ขึ้นใหม่นี้อย่างรวดเร็ว

“แต่เอาเถิด ในเมื่อตอนนี้ เจ้าเห็นความหลังของข้าแล้ว... เจ้าคงเข้าใจแล้วสินะว่า... ข้าไม่มีความคิดที่จะขืนใจเจ้าเพื่อดูดพลังเวทย์แต่แรกแล้ว เพราะยังไงเจ้าก็คือ ‘สโนว์’ สำหรับข้านั่นเอง”

“... ค่ะ” ตอบเสียงแผ่ว พลางรู้สึกสับสนว่าตนควรจะดีใจหรือน้อยใจดี เพราะเธอคือ โคะยุกิต่างหาก หาใช่ตัวแทนของสโนว์ไวท์ผู้อาภัพนั้นไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนลึกของจิตใจก็อดไม่ได้ที่จะยินดี เมื่อรู้ว่าเขาไม่ได้มองเธอเป็นเพียงเครื่องเสริมพลังเวทย์ของเขา

“...” จาโด้เองก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แล้วก็ตัดสินใจพูดต่อ ด้วยน้ำเสียงที่ลังเลไม่สมกับเป็นเขาเลยว่า “หรือต่อให้เจ้ายินดี... ข้าก็คง...ทำใจไม่ได้อยู่ดี...”

“...”

“...”

คราวนี้ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบไปทั้งคู่ ผ่านไปสักพัก ลิตเติลสโนว์เริ่มขยับตัวอย่างอึดอัดใจ

แต่ผู้ที่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นก่อนอีกครั้งกลับเป็นอสูรหนุ่ม

“ที่จริง...” น้ำเสียงของจาโด้ดึงให้เด็กสาวกลับจากภวังค์อีกครั้งหนึ่ง “ข้าก็คิดว่าจะพำนักกับแคว้นของเจ้าไปจนกว่าเวลาของแผนการข้าจะมาถึง และในระหว่างนี้ ข้าคงได้มีโอกาสอยู่ข้าง ๆ เจ้าเวลาเจ้าใช้เวทย์ชั้นสูงบ้าง...” พูดถึงตรงนี้ ลิตเติลสโนว์นึกถึงเหตุการณ์เมื่อสองเดือนก่อนได้ทันที ตอนที่เธอทดลองใช้มหาเวทย์กรีนโนอาห์เป็นครั้งแรก (และไม่สำเร็จ แต่ก็ได้ผลพอสมควร) ตอนนั้น จาโด้ไม่ได้อยู่กับเธอด้วย เพราะเป็นการออกไปนอกวัง ซึ่ง การพำนักอยู่ของอสูรชั้นสูงผู้นี้ยังคงเป็นความลับที่ต้องเก็บไว้ในวังหลวงเท่านั้น... ใช่แล้ว ในทำนองเดียวกับที่เธอเพิ่มความกล้าแข็งให้ตบะได้เพราะอยู่ข้างเขาเวลาเขาใช้เวทย์ชั้นสูง สิ่งเดียวกันก็สามารถเกิดกับฝ่ายจาโด้ได้ด้วยเช่นกัน

แต่อย่างไรก็ตาม ในคำพูดของเขาก็มีประเด็นที่เธอต้องให้ความสนใจมากกว่านั้น ประโยค ‘ที่จริง ข้าก็คิดว่า...’ แปลว่า ตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้วหรือ?

เสียงของเจ้าชายอสูรดังต่อไป

“แต่ในเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น และข้าจำเป็นต้องเจรจาอะไรบางอย่างกับเจ้ารุโดร่านั่น จนเจ้ารับรู้ไปด้วยแล้ว... ข้าก็คงต้องไปล่ะ”

“?!!!” แม้จะพอเดาได้บ้างแล้ว แต่เด็กสาวก็อดตกใจในคำพูดของเขาไม่ได้ เขาจะไปแล้วหรือ?...

“ก่อนไป ข้าก็คงขอทำความเข้าใจกับเจ้า... เท่าที่ข้าจะเปิดเผยให้เจ้าฟังได้นะ...”

“...ค่ะ” ลิตเติลสโนว์จ้องตาเขานิ่ง เมื่อเธออ่านเจตนารมณ์ของเขาได้ว่า ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เธอจึงตอบรับปากในที่สุด และไม่ได้ทักท้วงเขาไว้อีก แม้ในใจเธอยังอยากให้เขาอยู่ใกล้ ๆ ก็ตาม...

นี่คงเป็นไปตามหลักจิตวิทยากระมัง เพราะสำหรับเธอแล้ว เนฟเวอร์แลนด์คือดินแดนที่ไม่ใช่บ้านเกิดของเธอ การพลัดหลงไปยังถิ่นอื่นไกลบ้านเช่นนี้ ย่อมรู้สึกอ้างว้างเป็นธรรมดา และคนเราก็มักฝากความหวังไว้กับคนที่ใกล้ชิดตนมากที่สุด ... ซึ่งในกรณีนี้คือ คนที่เธอเจอเป็นคนแรก อีกทั้งยังเป็นผู้อัญเชิญเธอมาอีกด้วย... แต่นี่ เขากำลังจะจากเธอไปแล้ว!

ภายใต้แสงอาทิตย์ยามสายที่สาดส่องลงมา กระทบกับเกล็ดหิมะขาวโพลนบนพื้นและใบไม้น้อยใหญ่ ร่างของราชินีศักดิ์สิทธิ์และเจ้าชายอสูรยืนเจรจากันต่ออีกราวหนึ่งชั่วโมง

การเจรจาที่มีความสำคัญยิ่งต่อประวัติศาสตร์เนฟเวอร์แลนด์!

และนอกจากสองคนนี้แล้ว ไม่มีบุคคลที่สามที่ล่วงรู้เนื้อหาการเจรจานี้อีก

...

เย็นวันนั้นเอง ลิตเติลสโนว์ก็ปรากฏตัวที่ประตูวัง และบรรดาข้าราชการชั้นสูงซึ่งยังอยู่กันครบหน้าในเขตพระราชวัง ต่างพากันมาต้อนรับเธอเข้าไปในวัง โดยต่างพยายามซ่อนอาการตื่นเต้นไว้อย่างสุดความสามารถ

เพราะ พวกเขาจะให้ทหารระดับล่างที่อยู่ตามประตูวังรอบนอกรับรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่า ราชินีของพวกเขาถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เมื่อคืนวาน และเพิ่งจะกลับมาเดี๋ยวนี้เอง!

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เข้าสู่ท้องพระโรงสำหรับออกว่าราชการ ราชินีศักดิ์สิทธิ์ก็กวาดสายตามองข้าราชบริพารของตน รอบหนึ่งแล้วถามว่า

“ท่านบ๊ากแบท ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เมื่อสายวันนี้ขอรับ ข้าหาม้าของชาวบ้านแถบนั้นได้ก็รีบกลับมาเลย... พอดีช่วยกลับมาคุมสถานการณ์ทางนี้ได้ทัน” ขุนพลร่างยักษ์ตอบ ม้าของเขาหลังจากถูกห้อไปเต็มเหยียดด้วยพลังเวทย์เสริมกำลังของลิตเติลสโนว์แล้ว มันก็ล้มลงหมดแรง และต้องพักฟื้นอีกนานทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม โชคดีจริง ๆ ที่เขากลับมาไม่ช้ามากนัก ทำให้ช่วยควบคุมสถานการณ์ในวังที่กำลังแตกตื่นเมื่อพบว่าราชินีของตนถูกลักพาตัวไปได้

“ซากุโระเป็นอย่างไรบ้าง?” เป็นคำถามที่สองจากราชินี

“นางเสียเลือดไปมากขอรับ แต่เข้าใจว่าเพราะเวทย์รักษาของราชินีที่ร่ายให้นางได้ทันการณ์ทำให้นางไม่ถึงกับเสียชีวิต ตอนนี้พักฟื้นอยู่ในโรงแพทย์ขอรับ” เสนาบดีผู้หนึ่งตอบ

“ดี เอาล่ะ เสนาบดีชั้นสูง และขุนพลฝ่ายทหารทุกคนให้ตามเราไปยังห้องประชุมยุทธศาสตร์ เราจะประกาศแนวยุทธศาสตร์ของแพลททิเซลเวอร์เดี๋ยวนี้!” น้ำเสียงทรงอำนาจเฉียบขาด อย่างที่ไม่เคยปรากฏจากราชินีเยาว์วัยผู้นี้ถูกประกาศออกไป

“ข...ขอรับ” บ๊ากแบทและเซลเอ็ดอะดลัสได้สติก่อนใครเพื่อน พากันระล่ำระลักน้อมรับคำสั่ง แล้วผู้ที่ถูกระบุให้เข้าประชุมผู้อื่นจึงได้พากันรีบร้องรับคำสั่งตาม

“ส่วนคนอื่น ให้รออยู่ที่นี่ก่อน... มีเรื่องด่วนมากที่เราจะต้องประกาศให้พวกท่านทราบ” ราชินีศักดิ์สิทธิ์มองกราดไปรอบท้องพระโรงอีกครั้ง แล้วกล่าวต่อ

“เราจะประกาศสงครามกับจาปิโตสในเร็ววัน!”

(จบบทที่ ๓ “มารผยอง”)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1