มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ศึกจาปิโตส: เพลงโศกจากทะเลทราย

ตีพิมพ์ครั้งแรก 25 มี.ค 46

หมายเหตุ ตั้งแต่บทนี้จะขอแก้ไขตัวเลขจำนวนทหารของแต่ละแคว้นที่เข้าทำสงคราม ให้ดูสมจริงเป็นสงครามมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เป็นตัวเลขหน่อมแน้มที่อ้างอิงมาจากในเกมแบบเดี๊ยะ ๆ ดั่งเช่นที่ผ่านมา จึงขอเรียนให้ทราบกันครับ สำหรับการที่นายทหารที่ไม่ใช่ชาวเมืองนั้นแต่ดั้งเดิม เช่น นินจาซาโต้หรืออัศวินซากิฟอนที่อยู่กับทัพอสูรของฮิโระซึ่งทหารส่วนใหญ่เป็นผีสเกลตัน หรือแม้แต่ยิปสีดกับเซลเอดอะดลัสที่เป็นนักรบทะเลทรายแต่ไปอยู่กับทัพของลิตเติลสโนว์ซึ่งทหารทั้งหมดเป็นอัศวินนั้น จะทำอย่างไรให้นายกองเหล่านี้มีทหารจำนวนมากได้ คำตอบคือ ใช้แนวคิดเป็นกองทหารผสมครับ ดังจะได้อธิบายไว้ต่อไปครับผม

จึงเรียนมาเพื่อทราบ และไม่ต้องตกใจว่าตั้งแต่บทนี้ไป ทำไมจำนวนทหารมันเพิ่มขึ้นจนผิดจากบรรยากาศเดิม ๆ นัก แล้วจะค่อย ๆ ทยอยแก้ไขตัวเลขทหารในบทเดิม ๆ ด้วยทีหลังครับผม ^^;



“เรียนท่านแม่ทัพ ข่าวจากหน่วยลาดตระเวนขอรับ”

ทหารเดินสารผู้หนึ่งในชุดนักรบทะเลทรายปราดเข้ามาคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่ข้าง ๆ กายของชายวัยกลางคนที่ไว้หนวดน่าเกรงขาม ผู้ถูกเรียกว่าแม่ทัพหันมามองอีกฝ่ายแล้วพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต

ขณะนี้พวกเขาอยู่หน้ากระโจมที่เรียงรายกันสุดลูกหูลูกตาในพื้นที่เวิ้งว้างของทะเลทราย ณ ที่นี้ คือ ฐานที่มั่นชั่วคราวของบาลโตส แม่ทัพใหญ่แห่งราชอาณาจักรจาปิโตสนั่นเอง

“ทัพใหญ่ของแพลททิเซลเวอร์เคลื่อนล้ำเข้ามาในเขตของประเทศเราแล้วขอรับ !”

“อืมห์ มาแล้วหรือ ราชินีศักดิ์สิทธิ์ดูท่าจะโกรธแค้นพวกเรามากสินะ จึงเดินทัพได้เร็วปานนี้ หึหึ” บาลโตสแม่ทัพผิวเข้มแห่งจาปิโตสพูดพึมพำเหมือนกล่าวกับตัวเองพลางหัวเราะในลำคอ “หรือไม่ก็... เป็นฝีมือของไอ้เดนตายสองคนนั่นนำทางมา ว่าแต่... พวกนางยกกำลังกันมาเท่าไร ใครเป็นแม่ทัพบ้าง?”

ที่จริงขุนพลผู้นี้ถามไปอย่างนั้นเอง ในใจของเขาพอจะมีคำตอบคร่าว ๆ อยู่แล้ว หากแต่คำตอบของทหารนำข่าวกลับยังความประหลาดใจให้เขาอย่างคาดไม่ถึง

“ขอรับ... เท่าที่พวกหน่วยลาดตระเวนสังเกตการณ์ได้ เป็นกองอัศวินภายใต้การนำของลิตเติลสโนว์โดยตรงสองพันนาย กองพันผสมของกองกำลังนักรบทะเลทรายสองร้อยกับอัศวินหนึ่งพันภายใต้การนำของเซลเอดอะดลัส และกองพันผสมนักรบทะเลทรายหนึ่งร้อยกับอัศวินห้าร้อยภายใต้การนำของยิปสีดขอรับ”

เฉพาะเชิงปริมาณ ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังรวม 3800 นาย

“อืมห์” ขุนพลเฒ่าลูบหนวดช้า ๆ ดวงตาทอแววครุ่นคิด “แล้วแม่ทัพบากแบทเล่า? ขานั้นมีกองกำลังอัศวินในสังกัดของตนถึงสี่พันมิใช่หรือ? ไม่ได้ร่วมทัพมาด้วยหรืออย่างไร?”

“ไม่เห็นกองพันของบากแบทเลยขอรับ”

“...” ดวงตาของแม่ทัพหรี่ลงจนเกือบปิด สักครู่หนึ่งเขาก็โบกมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายล่าถอยไป โดยสั่งตบท้ายว่า “เจ้าไปตามบรรดานายกองของพวกเรามาประชุมในอีกสิบนาทีข้างหน้าด้วย เราจะออกปฏิบัติการล่ะ”

“ขอรับ”

หลังจากอีกฝ่ายจากไปเพื่อทำตามคำสั่งแล้ว บาลโตสก็ยืนนิ่งอยู่เงียบ ๆ คนเดียวพลางประมวลสถานการณ์

นับจากเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่แคว้นแพลททิเซลเวอร์ประกาศสงครามกับจาปิโตสอย่างเป็นทางการ โดยมีข้อหาว่าจาปิโตสมุ่งลอบทำร้ายราชินีลิตเติลสโนว์ก่อน พร้อมกันนั้นได้จัดส่งซากกระบองเพชรเป็นหลักฐานไปให้ศูนย์กลางมวลมนุษย์คือ จักรพรรดิโดริฟานแห่งแคว้นโคเรียสะทีนดูด้วย แต่แล้วโดยที่ไม่รอคำตอบจากฝ่ายหลัง ทัพของแพลททิเซลเวอร์ก็เคลื่อนแสนยานุภาพเข้ามาประชิดชายแดนของแคว้นทะเลทรายแห่งนี้เสียแล้ว

บาลโตสครุ่นคิดอยู่สองสามรอบ ก็สรุปความได้ว่า การที่แพลททิเซลเวอร์รีบยกทัพใหญ่มาตีแคว้นของเขาตามที่ประกาศสงครามนี้ ก็คงเพราะต้องการเร่งเผด็จศึกโดยเร็วนั่นเอง เนื่องจากสถานการณ์ของชายแดนทางทิศเหนือ นั่นคือ ทางด้านแคว้นเอจูนั้น ก็ยังอึมครึมอยู่ ด้วยอาการที่บาลโตสเองก็เห็นกับตาในวันที่เคยไปเยือนแคว้นแพลททิเซลเวอร์เพื่อส่งมอบ ‘บรรณาการพิเศษ’ นั้นว่า ทั้งที่กำลังเจรจาหน้าสิ่วหน้าขวานกับเขาอยู่ ราชินีลิตเติลสโนว์ถึงกับเคยแบ่งกำลังสำคัญ ภายใต้การนำของแม่ทัพบากแบทให้ไปรับมือศึกเหนือต่อหน้าเขามาแล้ว

พอคิดถึงตรงนี้ บาลโตสก็ได้ข้อสรุปว่า ที่บากแบทไม่มาร่วมทัพด้วย ทั้งที่คนผู้นี้น่าจะเป็นกำลังหลักที่สำคัญที่สุดก็เพราะ ลิตเติลสโนว์จำเป็นต้องทิ้งผู้ที่ไว้ใจได้ให้ช่วยเฝ้าบ้านนั่นเอง

-- หึหึหึ ดูท่า ราชินีศักดิ์สิทธิ์ทรงปััญญาก็จริง แต่ยังอ่อนหัดในเชิงสงครามนัก... เข้าสมรภูมิครั้งแรกกลับไม่พาขุนพลที่เชี่ยวศึกอย่างบากแบทมาด้วย พามาแต่บุคคลที่มิใช่สายเลือดของแพลททิเซลเวอร์แท้ ๆ อย่างเจ้าเดนตายสองคนนั่น... เพียงแค่นี้ก็เห็นลางแพ้ของเจ้าแล้ว ลิตเติลสโนว์เอ๋ย--

‘หากเป็นข้า จะไม่ยกทัพมาเองหรอก อยู่เฝ้าบ้านนั่นแหละ แล้วงานตีจาปิโตสนี่จึงมอบให้บากแบทมากับสองคนนั่น’ บาลโตสคิดในใจอย่างกระหยิ่ม ถ้าบ๊ากแบทคุมทัพมาแทน กำลังฝ่ายนั้นก็จะเป็น 5800 คน หาใช่ 3800 คนไม่

หากเป็นเมื่อสมัยก่อนที่ราชารูเนจจูยังอยู่ การออกรบของทัพแพลททิเซลเวอร์ล้วนเป็นไปในนามของพันธมิตรแห่งกองทัพธรรม พวกเขาหาจำเป็นต้องมีใครเฝ้าบ้านไม่ เนื่องจากแคว้นมนุษย์ที่อยู่รอบด้านแพลททิเซลเวอร์ย่อมไม่ฉวยโอกาสตีแคว้นนี้อยู่แล้ว สมกับคำว่า “แคว้นศักดิ์สิทธิ์” ที่ในความหมายนัยหนึ่งมันคือ การเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ล่วงละเมิดมิได้นั่นเอง คล้าย ๆ กับแคว้นโคเรียสะทีนซึ่งย่อมไม่มีแคว้นมนุษย์แคว้นใดที่กล้ายกทัพไปตี เพราะนั่นย่อมหมายถึงการประกาศสงครามกับมนุษย์ทั้งทวีปเนฟเวอร์แลนด์เลยทีเดียว... รวมทั้งดินแดนของพวกมนุษย์นก- เทือกเขาโบลโฮโกะก็เช่นกัน เป็นข้อตกลงแต่โบราณที่ดินแดนแห่งนั้นซึ่งเป็นแดนแห่งเทือกเขาสูงที่ใกล้เคียงกับแดนของพระเจ้ามากที่สุด ย่อมได้รับการยกย่องจากมนุษย์ที่จะไม่ไปล่วงล้ำ

บาลโตสขยับตัวเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มสาวเท้าเดินไปสู่กระโจมหลังใหญ่ซึ่งเป็นกระโจมบัญชาการ ระหว่างทางที่เขาเดินไป เขาอดชำเลืองมองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ อันเป็นที่ตั้งของวังหลวงจาปิโตสมิได้ ในใจพลันนึกคำนึงถึงเหตุการณ์เมื่อสิบวันก่อนยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา

...

วันรุ่งขึ้นจากวันที่เขาไปเยือนแดนแพลททิเซลเวอร์เพื่อส่งมอบไอเท่มอาถรรพ์นั้น ตามบัญชาของนางจามิโตส แทนที่เขาจะได้รับคำสั่งให้เคลื่อนทัพเข้าโจมตีแคว้นศักดิ์สิทธิ์ตามแผนการที่เคยได้รับการนัดแนะไว้ เขากลับได้รับคำสั่งให้รีบกลับวังหลวง

และเมื่อพบหน้าผู้เรียกตัวเขากลับมา เหตุการณ์น่าตระหนกหลายอย่างก็ถูกถ่ายทอดสู่เขา

“ที่ข้าเรียกท่านกลับมาก็หาใช่อันใดไม่... แผนลอบสังหารราชินีของแคว้นนั้นล้มเหลวแล้ว ท่านบาลโตสเอย” กาหลิบหนุ่มเอ่ยกับเขา หลังจากเสร็จสิ้นพิธีรีตองในการทักทาย และไล่บรรดาข้าราชบริพารคนอื่นออกไปจากห้องว่าราชการนั้นแล้ว

“...” แม่ทัพเจนศึกแห่งจาปิโตสไม่ทราบว่าจะตอบอย่างไร ได้แต่กลอกตาไปมาด้วยความประหลาดใจ ที่จริง แผนการนี้ จามิโตสมารดาของกาหลิบหนุ่มเป็นคนออกหน้าเสนอแผนการทั้งหมดแต่แรก แต่ยามนี้กลับมีเพียงกาหลิบหนุ่มออกมาแจ้งข่าวที่ควรจะเรียกว่าข่าวร้ายนี้กับเขาเพียงผู้เดียว

“หึ เจ้าสงสัยว่าแม่ข้าไปไหนล่ะสิ?” กาหลิบหนุ่มแค่นหัวเราะขื่น ๆ

“...” บาลโตสยังหาคำพูดที่เหมาะสมไม่ได้

“นางกำลังสู้กับยมทูตอยู่... แต่คงหมดหวังจะรอดเสียแล้ว!”

“เอ๊ะ?” คราวนี้ แม่ทัพวัยกลางคนถึงกับอุทานเสียงดัง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อน ถูกถ่ายทอดให้บาลโตสฟังคร่าว ๆ และตบท้ายว่า

“ตอนนี้ แม่ข้ากำลังยืนคร่อมขาอยู่ระหว่างประตูแห่งความตายซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างโลกนี้กับยมโลก” กาหลิบหนุ่มกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ดุจคนไร้ความรู้สึก “แต่ดูท่า นางคงไปทางฝั่งนั้นในไม่ช้า... เจ้าคงชอบใจสินะ?!!!”

“?!!!” ผู้สูงวัยกว่าถึงกับผงะไป เมื่อตั้งสติได้ก็ระล่ำระลักตอบ “ท่านกาหลิบพูดอะไรอย่างนั้น...”

“ข้าทราบดี... ในวังหลวงนี้ คนที่ชอบแม่ข้ามีไม่มากนักหรอก... และบังเอิญเจ้าไม่ใช่หนึ่งในจำนวนนั้นด้วย...”

“ข้าน้อยมิบังอาจเช่นนั้นหรอก องค์กาหลิบ ข้าจงรักภักดีต่อท่านและราชวงค์จาปิโตสเสมอมา”

“หึ ขอบใจ... แต่ข้ารู้ดี แม่ข้าก่อกรรมทำเข็ญไว้มาก กว่าท่านจะพาข้ามาถึงจุดนี้ได้”

“ท่าน!!!” แม่ทัพใหญ่ถึงกับอ้าปากค้าง รู้สึกว่าการพบกันคราวนี้ กาหลิบหนุ่มจะพูดแต่เรื่องที่ทำให้เขาตระหนกตกใจทั้งสิ้น

“ข้าพ้นจากมนต์สะกดของแม่ข้าแล้ว...” คำพูดสั้น ๆ คำนี้เองที่อธิบายทุกอย่างได้ดีที่สุด

“...” บาลโตสยืนนิ่งไปเป็นพักใหญ่ ฝ่ายที่อ่อนวัยกว่าก็มิได้พูดอะไรอีก

ในที่สุด ฝ่ายแรกก็อดรนทนไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายทำลายภวังค์ความเงียบขึ้นก่อนว่า

“แล้ว ท่านจะทำอย่างไรต่อไปขอรับ?”

“หึ แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไรเล่า... สารภาพผิดต่อหน้าสาธารณชนและยอมรับโทษแล่เนื้อเถือหนังอย่างนั้นหรือ? ... ว่าข้านี่แหละคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้าย ๆทั้งมวลในวังหลวงที่ผ่านมาในสิบปีหลังนี้... โดยเฉพาะเรื่องท่านพ่อ...”

“ไม่ได้นะขอรับ!” คราวนี้ ดูเหมือนขุนพลสูงวัยเดาคำพูดของชายหนุ่มได้ตั้งแต่คำแรก ๆ แล้ว จึงไม่มีท่าทีตกตะลึง หากแต่รีบร้องขัดขึ้นมาทันที “เหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้ว... ตอนนี้จาปิโตสต้องการท่าน”

“จาปิโตสต้องการกาหลิบสักคน เพื่อรับผิดชอบความผิดที่ทำกับแพลททิเซลเวอร์ต่างหาก”

“...”

“หึ หึ” ดวงตาขมขื่นของกาหลิบหนุ่มทอแววเหยียดหยามตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อเสียงต่ำ “หวังว่าแพลททิเซลเวอร์คงพอใจกับชีวิตข้านะ และยกเว้นชีวิตของราษฎรเราไว้... นี่คงเป็นการไถ่โทษอย่างเดียวที่ข้าทำได้กระมัง”

“ท่าน...”

“สำหรับท่าน... หลังจากท่านสู้กับพวกมันได้สักพัก ก็จงสวามิภักดิ์กับพวกมันเถิด ถึงแม้ผู้นำของพวกมันเป็นเพียงเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งหาใช่ราชาผู้ยิ่งใหญ่อย่างรูเนจจูไม่ก็ตาม ข้าเชื่อว่านางคงยอมอภัยให้ท่านแหละ... หรืออย่างน้อยที่สุดชาร่าก็น่าจะรอด”

“หึหึหึ ท่านจะรีบตัดช่องน้อยไปถึงไหน องค์กาหลิบเอย” บาลโตสหัวเราะบ้าง “อย่าลืมสิ ว่าข้าเป็นคนอัญเชิญตะบองเพชรปิศาจนั่นไปเอง มีหรือพวกนั้นจะละเว้นข้า แต่สำหรับชาร่า นางไม่ได้เป็นคนออกหน้าเจรจาแต่แรก คงไม่เป็นไรกระมัง... ปัญหาคือ ด้วยความจงรักภักดีของนางที่มีต่อจาปิโตสเรา มีหรือนางจะยอมแพ้แก่ข้าศึก คงไม่แคล้วสู้จนตัวตาย...”

“หึ... ถ้างั้น เจ้าก็บอกนางไปสิ ว่าข้านี่แหละ ผู้สั่งกำจัดพ่อของนางเมื่อหกเดือนก่อน เมื่อทราบเช่นนี้แล้วนางคงไม่อาจยอมสู้ตายถวายชีวิตเพื่อข้าได้อีกต่อไปกระมัง!”

“โอ... ในที่สุด มันเป็นความจริงหรือนี่...” บาลโตสร้องคราง ที่แท้เขาทราบระแคะระคายเรื่องนี้มาบ้างแล้วนั่นเอง ขณะที่ฝ่ายกาหลิบหนุ่มก็ดูไม่แปลกใจในท่าทีของแม่ทัพเฒ่า

“ที่จริง ต้นคิดคือแม่ข้าแหละนะ แต่... ก็เหมือนข้าทำเองนั่นแหละ ไม่ต่างกันหรอก”

“...”

“ที่จริง หากมิใช่เพราะความหวาดระแวงของแม่ข้าที่กำจัดคนสำคัญทั้งฝ่ายทหารและงานข่าวไปหลายคน กองทัพเราก็คงไม่อ่อนแอจนปูนนี้...” เป็นคำวิเคราะห์สถานการณ์ที่ถูกต้องที่สุดของกาหลิบหนุ่มผู้นี้ แม้แต่บาลโตสเอง ก็อดจะยอมรับในความสามารถของนายเหนือของตนไม่ได้ น่าเสียดายที่... กาหลิบผู้นี้มาเป็นตัวของตัวเองเมื่อสายไปเสียแล้ว หาไม่ เขาคงเป็นกาหลิบผู้ยิ่งใหญ่ได้คนหนึ่งทีเดียว

ใช่ กองทัพจาปิโตสตอนนี้เหลือเพียงกองกำลังในสังกัดของบาลโตสเท่านั้นที่พอจะเป็นที่พึ่งในสมรภูมิได้... และที่ผ่านมา จาปิโตสภายใต้การบงการของจามิโตสก็เลือกรุกรานแต่ชนเผ่าที่มีกำลังด้อยกว่าตนมาตลอด ทั้งเผ่าของยิปสีดและเผ่าอะดลัส จนเมื่อจะคิดรุกรานแพลททิเซลเวอร์ ก็ต้องอาศัยแผนการสกปรกที่จะลอบสังหารผู้นำฝ่ายตรงข้าม ด้วยตระหนักว่ากำลังฝ่ายตนคงไม่เข้มแข็งพอจะเผด็จศึกอีกฝ่ายได้นั่นเอง

“อย่าเพ่อมองโลกแง่ร้ายนัก กาหลิบเอย เราอาจจะไม่แพ้ก็ได้ ด้วยการรบครั้งนี้ หากมีจริง เราคงตั้งรับในทะเลทรายที่เราเชี่ยวชาญนี่แหละ รอให้ฝ่ายนั้นมันบุกมา... พวกทหารอัศวินของแพลททิเซลเวอร์ไม่เชี่ยวชาญการศึกในทะเลทรายเหมือนกับเราหรอก ด้วยความได้เปรียบในภูมิอากาศและภูมิประเทศ หากโชคเราไม่ร้ายเกินไปนัก ข้าสัญญาว่าข้าจะนำชัยมาให้ท่านให้จงได้!!!”

“ท่าน!” คาร์มา เลอ ลูอุทานอย่างประหลาดใจแต่แล้วก็รวบรวมสติได้ และเมื่อตรึกตรองดูเขาก็เห็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายพูด “จริงสิ... เรายังไม่แน่ว่าจะแพ้สักหน่อย... ได้ ถ้าเช่นนั้น ข้าขอมอบกำลังทหารทั้งหมดของเราให้แก่ท่าน!”

กำลังทหารของจาปิโตสทั้งหมด นั่นคือ นักรบทะเลทรายสี่พันนาย

และด้วยคำพูดนี้ หมายความว่า รอบกายขององค์กาหลิบหนุ่มเองจะเหลือเพียงกองกำลังทหารรักษาวังเพียงห้าร้อยนายเท่านั้น

“ขอรับ ข้าให้คำมั่นว่า ข้าจะสู้ตายเพื่อจาปิโตสจนเลือดหยาดสุดท้าย!”

“หึ ต่อให้ท่านนำกำลังทหารพวกนั้นย้อนกลับมาล้อมจับข้าไปส่งให้แพลททิเซลเวอร์ เพื่อแลกกับการถอนทัพของพวกนั้น ข้าก็ไม่โกรธท่านหรอก”

“พูดอะไรอย่างนั้นองค์กาหลิบ จนป่านนี้แล้ว...” บาลโตสพูดอย่างทอดถอนใจ “ข้าเกิดในจาปิโตส อาศัยข้าวแดงแกงร้อนของจาปิโตสจนอายุปูนนี้แล้ว จะให้ข้าทรยศต่อราชวงค์จาปิโตสนั้นหาได้ไม่ ท่านวางใจเถิด ถึงอย่างไร ไอ้ชายแก่หัวดื้อคนนี้ก็จะเป็นพวกท่านตลอดไป”

“ขอบใจ... ดูท่าแม่ข้าก็มีสายตาแหลมคมที่ไม่จำกัดท่านไปเสียก่อนนะ หึหึ”

ประโยคสุดท้ายของคาร์มายังไม่วายประชดประชันในโชคชะตาตัวเอง

กาหลิบหนุ่มยื่นมือมาเบื้องหน้า ขุนพลผิวเข้มมองมือนั้นอยู่อึดใจหนึ่งก็ค่อย ๆ ยื่นมือของตนออกมาสัมผัส ทั้งสองบีบมือของกันและกันแน่น

“ข้าดีใจ ที่อย่างน้อยในชีวิตนี้ ข้าก็ได้มีโอกาสรู้จักคนดี ๆ เช่นท่าน”

“... ข้าก็เช่นกัน ดีใจที่ท่านเป็นตัวของตัวเองเสียที กาหลิบ”

และนั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่ทั้งสองให้แก่กันไว้ ก่อนที่บาลโตสจะแยกออกมา และยกทัพทั้งสี่พันของตนออกมาตั้งฐานมั่นอยู่ในกลางทะเลทราย ห่างจากแนวชายแดนเข้าไปเป็นระยะสองในสามของระยะจากชายแดนถึงตัววังหลวงจาปิโตส เป็นเวลาล่วงมาได้สิบวันแล้ว

ตลอดแนวพื้นที่ระหว่างฐานที่มั่นของบาลโตส จนถึงแนวชายแดน ราษฎรที่ตั้งหมู่บ้านเล็ก ๆ กระจัดกระจายอยู่ ได้รับคำสั่งให้ถอนย้ายเข้าไปในเขตเมืองหลวงทั้งหมด

และทัพของบาลโตสก็รอการรุกรานของข้าศึกอย่างสงบ

...

อีกสองวันถัดมา ทัพของทั้งสองฝ่ายก็เคลื่อนมาจนอยู่ในระยะที่พร้อมจะประจัญบาน

“ดูท่า โชคจะเป็นของเรา...” บาลโตสพึมพำเบา ๆ กับตนเอง

ลมทะเลทรายพัดกรรโชกแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทีละน้อย ๆ แต่คนที่โตมากับทะเลทรายอย่างเขาย่อมสังเกตเห็นได้แต่แรก และเขาก็ไม่ปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไปง่าย ๆ

“โอม ด้วยอำนาจแห่งพายุทะเลทราย จงแปรสภาพเป็นกระแสลมแห่งความตายที่พัดใส่ทัพอริราช ณ บัดเดี๋ยวนี้ คาเซะโนะจุมง! (風の呪文 เวทย์พายุหมุนมรณะ)”

ขาดคำร่ายเวทย์ของแม่ทัพแห่งจาปิโตส กระแสลมหมุนก็ก่อตัวขึ้นระหว่างทัพทั้งสองฝ่าย ลมหมุนนั้นมีขนาดใหญ่และรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พลางเคลื่อนตัวเข้าไปหาทัพแพลททิเซลเวอร์โดยหอบเอาฝุ่นทรายปลิวว่อนไปตามรายทาง

ก่อนที่พายุมรณะนั้นจะเข้าไปถึงกองทัพของข้าศึก พลันปรากฏกองกำลังส่วนหนึ่งของข้าศึกแยกตัวออกมา มองจากสายตาอันกล้าแข็งประดุจเหยี่ยวทะเลทรายของบาลโตสแล้ว ประมาณได้ว่ามีกำลังราวห้าร้อยเศษ และในอึดใจถัดมา กระแสลมหมุนอีกกระแสหนึ่งก็ปรากฏขึ้นคั่นกลางระหว่างลมหมุนอันเกิดจากเวทย์ของบาลโตสกับกองทัพแพลททิเซลเวอร์

‘หึ ใช้เวทย์พายุเป็นเหมือนกันรึ... ถ้าเช่นนั้น นี่ก็เป็นฝีมือของยิปสีดสินะ’

บาลโตสเคยประมือกับยิปสีดมาแล้วหลายครั้ง จึงรู้ข้อมูลดีว่า อีกฝ่ายมีเวทย์ ‘คะเซะโนะจุมง’ เช่นเดียวกับตน แม้ว่าความรุนแรงจะด้อยกว่าของตนเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็เพียงพอที่จะใช้ลมมาต้านลมได้ล่ะ ดูจากจำนวนทหารของฝ่ายนั้นก็สอดคล้องกับข้อมูลของตนที่ได้มา เป็นกองย่อยของยิปสีดแน่นอน

แต่ถึงเวทย์พายุหมุนมรณะของตนไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้เต็มที่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่แม่ทัพจาปิโตสต้องกังวล เพราะจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเขาหาใช่การใช้เวทย์ลมเข้าถล่มอีกฝ่ายไม่ แต่เป็นการดึงกองกำลังของยิปสีดออกมาต่างหาก ซึ่งสิ่งนี้ต่างหากที่สัมฤทธิ์ผลแล้ว รวมทั้ง...

“ปีกซ้าย เข้าโจมตีปีกขวาข้าศึกได้!!!”

เสียงสั่งการดังก้องออกจากปากแม่ทัพใหญ่ ตามด้วยเสียงโห่ร้องดังลั่น นักรบทะเลทรายแห่งจาปิโตสราวหนึ่งพันวิ่งปราดเข้าไปทางซ้ายทันที โดยมีเป้าหมายคือ ปีกขวาของทัพข้าศึก ฝุ่นตลบอบอวลเกิดขึ้นจากการวิ่งย่ำไปบนทะเลทรายของนักรบเรือนพันนี้

และก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เกิดการระส่ำระส่ายในกองทัพแพลททิเซลเวอร์ ด้วยพายุหมุนของยิปสีดต้านพายุหมุนของอีกฝ่ายไว้ได้ไม่ทั้งหมด พายุหมุนของฝ่ายแรกสลายตัวไปก่อน ขณะที่พายุหมุนของฝ่ายหลังเหลือกำลังเฮือกสุดท้ายที่โหมเข้าใส่กลางทัพแพลททิเซลเวอร์จนปั่นป่วน ร่างของทหารนับเกือบร้อย ถูกพาหมุนคว้างขึ้นไปกลางอากาศสูงแล้วตกลงมาใหม่อย่างแรง เสียชีวิตไปก็หลายคน หรือไม่ก็บาดเจ็บสาหัสไปตาม ๆ กัน

และก็เป็นจังหวะที่ปีกซ้ายของบาลโตสที่แบ่งออกไป วิ่งไปถึงพอดี ช่างเป็นกลยุทธการศึกที่เฉียบขาด เหมาะเจาะกระไรเช่นนี้ หากมิใช่บาลโตส คงไม่สามารถควบคุมการรบได้ประดุจเชิดหุ่นกระบอกด้วยมือของตนเองเช่นนี้เป็นแน่

แต่ทัพแพลททิเซลเวอร์ก็ไม่ถึงกับเสียทีโดยสิ้นเชิง เมื่อกำลังทหารส่วนหนึ่งซึ่งมีกำลังเรือนพันเช่นกันแยกออกมาต้านรับไว้ได้อย่างฉุกละหุก การเคลื่อนที่ของทหารกองนี้ดูคล่องตัวกว่ากองทหารส่วนใหญ่ที่ยังพยายามจัดกระบวนทัพอยู่ในส่วนกลาง

-- และนั่นคงเป็นกำลังภายใต้การนำของเซลเเอดอะดลัสสินะ--

บาลโตสนึกกระหยิ่มในใจ จนถึงตอนนี้สถานการณ์การรบยังเป็นไปตามที่เขาคาดคิดไว้ทุกอย่าง

และนั่นหมายความว่า กองกำลังจำนวนสองพันที่เหลืออยู่ตรงกลางของทัพแพลททิเซลเวอร์ คือ กองกำลังอัศวินล้วน ๆ ภายใต้การนำของราชินีลิตเติลสโนว์

กองกำลังอัศวินล้วน ๆ ที่ไม่มีนักรบทะเลทรายปะปน

อัศวินซึ่งไม่มีภูมิต้านทานพิษของแมงป่องทะเลทราย และไม่มีคาถากันแมงป่องด้วย!

“บุก!” เสียงสั่งการดังจากปากแม่ทัพใหญ่แห่งจาปิโตสอีกครั้ง

กองกำลังที่เหลือของเขาสามพัน วิ่งดาหน้าเข้าหาข้าศึกตรงหน้าทันที

บาลโตสซึ่งขี่อูฐ ก็วิ่งเหยาะ ๆ ไปด้วย เขาไม่ได้ควบอูฐด้วยความเร็วเต็มที่ และไม่ได้ชักดาบออกจากฝักด้วยซ้ำ เพราะเขามีสิ่งที่ต้องทำ

“เจ้าสัตว์เลี้ยงของข้าเอย หากได้สำเหนียกกระแสเวทย์ของข้าจงโผล่ออกมาเหนือทราย เพื่อทำลายล้างเจ้าพวกผู้บุกรุกให้สิ้นซาก ณ บัดเดี๋ยวนี้ มาจูกุงโนะจุมง! (魔虫群の呪文 เวทย์เรียกฝูงแมงป่องทะเลทราย)”

ในสมองของบาลโตสวาดภาพวาระสุดท้ายของราชินีศักดิ์สิทธิ์แห่งแพลททิเซลเวอร์ไว้เรียบร้อยเสียแล้ว อีกประเดี๋ยวเถิด ทหารนักรบทะเลทรายของเขาก็จะบุกไปถึงทัพอีกฝ่าย พร้อมกับที่ฝูงแมงป่องทะเลทรายของเขาโจมตีทัพฝ่ายนั้นจากใต้พื้นทรายด้วยอีกทางหนึ่ง ใช่... นี่ย่อมหมายความเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก

-- วาระสุดท้ายของราชินีศักดิ์สิทธิ์!!!---

battle1.jpg
สถานการณ์การรบ

กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1