มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ศึกจาปิโตส: กลศึกซ้อนกล

ตีพิมพ์ครั้งแรก 18 เม.ย 46

กองกำลังนักรบทะเลทรายอันเกรียงไกรภายใต้การบังคับบัญชาของบาลโดส วิ่งกรูเข้าหากองทหารแพลททิเซลเวอร์ซึ่งคาดว่าเป็นกองอัศวินจำนวนสองพันภายใต้การนำของประมุขสาวแห่งแพลททิเซลเวอร์เองอย่างกระหายเลือด พวกเขาทราบดีว่า แม่ทัพของพวกตนได้ตระเตรียมสมรภูมิอันได้เปรียบให้แก่พวกเขาไว้เรียบร้อยแล้ว ด้วยความชำนาญการรบในทะเลทรายของตนที่มีเหนือทหารอัศวินของฝ่ายตรงข้ามประการหนึ่ง ประจวบกับการที่ฝ่ายตรงข้ามเพิ่งเสียรูปขบวนจากการจู่โจมด้วยเวทย์พายุมรณะอีกประการหนึ่ง และด้วยการโจมตีประสานจากทางใต้ดิน (พื้นทราย) โดยบรรดา “สัตว์เลี้ยง” ของแม่ทัพ ซึ่งพวกมันก็คงจะโผล่ขึ้นมาในจังหวะที่พอเหมาะพอดีดั่งที่บาลโดสเคยทำสำเร็จมาก่อนหน้านี้แล้วอีกประการหนึ่ง ทั้งสามประการนี้ เพียงพอที่จะทำให้นักรบทะเลทรายแห่งจาปิโตสฮึกเหิมในชัยชนะเป็นยิ่งนัก บรรดาทหารที่ชาญศึกสักหน่อย คิดไกลถึงขนาดที่ว่า ตนเองจะเป็นผู้บั่นคอจอมทัพฝ่ายตรงข้ามด้วยมือของตนเองเลยทีเดียว!

หากแต่ว่า...

บัดดล กองอัศวินตรงหน้าก็แปรขบวนอย่างเป็นระเบียบยิ่ง และเมื่อกำลังของทั้งสองฝ่ายเข้าประทะกัน แม่ทัพเจนศึกเช่น บาลโดสย่อมอ่านสถานการณ์ออกได้โดยง่ายว่า ฝ่ายตรงข้ามอยู่ในรูปขบวนภูผาอันแข็งแกร่งและเหมาะสำหรับใช้ในการตั้งรับ ขณะที่ไม่มีวี่แววของแมลงใต้ทะเลทรายที่จะโผล่ออกมาตามคำเรียกของเขาแม้แต่น้อย...

--เกิดอะไรขึ้น???--

แต่ อา... เดี๋ยวก่อน... เจ้าทหารฝ่ายตรงข้ามพวกนี้?!!! ...

กองหน้าของฝ่ายตรงข้ามรบได้เข้มแข็งเกินไป ราวกับเชี่ยวชาญการรบในทะเลทรายมานานปีกระนั้น

ผ่านไปอีกอึดใจหนึ่ง เริ่มมีเสียงกุกกักดังจากใต้พื้นทรายเป็นระยะ ๆ และแล้ว ณ ที่แห่งหนึ่งก็พลันเกิดมวลเม็ดทรายฟุ้งกระจายขึ้นไปบนอากาศสูงสอง-สามเมตร และในม่านฝุ่นจากเม็ดทรายนั้น อะไรบางอย่างลอยขึ้นมาด้วย...

มันคือ แมงป่องทะเลทราย-- แมลงปิศาจที่อาศัยอยู่ใต้ทะเลทรายนั่นเอง ลักษณะจะว่าเป็นแมงป่องก็ไม่เชิง แต่เป็นแมลงยักษ์ที่มีลำตัวเป็นปล้อง ๆ เส้นผ่านศูนย์กลางราวสามสิบเซนติเมตร ยาวประมาณหนึ่งเมตร ส่วนลำตัวมีขาแปดขา และขาหน้าสุดมีก้ามขนาดใหญ่ ขณะที่ส่วนหางของมันนั้นเล่า เป็นครีบขนาดใหญ่อยู่ตรงปลายหางเช่นกัน และครีบที่ปลายหางนี้เอง ที่สัตว์ร้ายแห่งทะเลทรายนี้ใช้ในการสังหารศัตรูโดยการหนีบด้วยคมครีบอันแหลมคม แล้วปล่อยพิษเข้าไปในร่างเหยื่อ

แต่สิ่งที่ทำให้บาลโดสหรี่ตามองอย่างประหลาดใจคือ แมงป่องที่กระเด็นขึ้นมาจากพื้นทรายหาใช่มีตัวเดียว แต่มีสองตัว ตัวหนึ่งสีดำ อีกตัวหนึ่งสีแดงกล่ำ

เขาย่อมทราบดีว่า ตัวสีดำเป็นสัตว์ของเขาเอง... ถ้าเช่นนั้นตัวสีแดงเล่า?

ร่างของแมงป่องทะเลทรายทั้งสองตกลงบนพื้นทรายเกือบจะพร้อมกัน แล้วก็ตรงเข้าประทะห้ำหั่นกันอีกอย่างน่าหวาดเสียว ต่างฝ่ายต่างพยายามใช้ก้ามของขาหน้าของตนหนีบอาวุธของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วกระดกหางของตนเข้าหนีบหรือทิ่มแทงอีกฝ่ายให้ได้ โดยที่พวกมันไม่สนใจบรรดามนุษย์ที่กำลังรบกันอย่างดุเดือดอยู่รอบข้างเลย

--นี่มันอะไรกัน?--

ยังไม่ทันที่บาลโดสได้คำตอบ ก็บังเกิดทรายระเบิดขึ้น ณ ที่ตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมด ทหารเคราะห์ร้ายของทั้งสองฝ่ายบางคน โดนระเบิดทรายเข้าเต็ม ๆ แต่ที่พวกเขาเสียชีวิตไป หาใช่เพราะแรงระเบิดของทรายไม่ แต่เพราะโดนครีบหางของสัตว์พิษที่ตามกองทรายขึ้นมาต่างหาก

สมรภูมิขณะนี้ เต็มไปด้วยการรบระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และ แมงป่องกับแมงป่อง อย่างดุเดือด น่าสะพรึงกลัว และน่าแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง

...

นายกองอัศวินผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในชุดเสื้อเกราะเต็มชุด ละมือจากการประสานทำรูปเครื่องหมายผนึกเวทย์ที่บริเวณหน้าอกลง จากนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเลื่อนแผ่นป้องกันหน้าให้เลื่อนขึ้นไปบนหน้าผาก เผยให้เห็นว่า เขาผู้นี้หาใช่อัศวินไม่ แต่คือ อดีตผู้นำแห่งชนเผ่าทะเลทรายอะดลัส- เซลเอดอะดลัส นั่นเอง

“เรียบร้อยแมงผีของข้าลากแมงผีของมันขึ้นมาบนทรายหมดแล้ว... เจ้าส่งสัญญาณได้”

ข้าง ๆ กายของเขา ทหารอัศวินผู้หนึ่งยืนรอรับคำสั่งอยู่แล้ว

“ขอรับ”

สัญญาณพลุถูกจุดขึ้นไปบนฟ้า จากมือของทหารผู้นั้น

เซลเอดอะดลัสกวาดตามองสถานการณ์ภายในสมรภูมิอยู่เที่ยวหนึ่ง พลางก็ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก และคิดในใจว่า

‘นี่หรือ คือ แนวยุทธวิธีของราชินี... ยอดเยี่ยมจริง ๆ’

เขาประหวัดนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนพบหน้าราชินีผู้เลอโฉมแห่งแพลททิเซลเวอร์เป็นครั้งแรก ถ้อยคำของเธอยังก้องในหัวสมองเขาอยู่

-- อีกไม่นานจะบังเกิดสงครามไปทั่วเนฟเวออร์แลนด์ แคว้นที่เล็กย่อมมีกำลังน้อย และเป็นเหยื่อของแคว้นใหญ่ เหตุใดท่านไม่มาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของแคว้นใหญ่เช่นเราเล่า เราสัญญาจะทำให้ดินแดนในปกครองของเราสงบสุขและพ้นจากภัยสงครามให้จงได้--

ตอนนั้น เขารับปากยอมเป็นขุนพลแห่งแพลททิเซลเวอร์ ด้วยเพราะตระหนักในปัญญาและวิสัยทัศน์แห่งราชินีผู้นี้แท้ ๆ ทีเดียวนอกเหนือจากที่เขาเป็นหนี้ชีวิตของนางแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่า นางยังมีสติปัญญาในเชิงรบอย่างสูงสุดถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเพียบพร้อมด้วยวิจารณญาณอันเฉียบขาด และการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญ เกินกว่าจะเชื่อได้ว่าเป็นการตัดสินใจของเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง...

นางกล้าขนาดที่สั่งการให้บากแบทอยู่คุมสถานการณ์ทางแพลททิเซลเวอร์ และตัวเองออกรบเสียเองนี่แหละ

นางมีปัญญาวิเคราะห์สถานการณ์และหยั่งรู้ได้ถึงขนาดที่ว่า ฝ่ายตรงข้ามคือ แม่ทัพบาลโดสได้เตรียมยุทธวิธีไว้รอรับพวกตนอย่างไร... แน่นอน นี่ย่อมมีพื้นฐานจากข้อมูลที่เขาและยิปสีดป้อนให้นางอย่างละเอียดยิบ จากประสบการณ์ที่ทั้งสองเคยประมือกับแม่ทัพชาญศึกแห่งจาปิโตสผู้นี้มา

นางยังกล้าถึงขนาดสับเปลี่ยนให้ทหารอัศวินจำนวนหนึ่งแต่งตัวสลับกับไพร่พลนักรบทะเลทรายของทั้งยิปสีดและของเขา นั่นคือ ในบรรดาทหารที่ติดตามยิปสีดตอนนี้ เป็นทหารอัศวินล้วน ๆ ที่มีบางส่วนอยู่ในชุดนักรบทะเลทรายเพื่อลวงศัตรู

และกองปีกขวาภายใต้สังกัดของ ‘แม่นางผู้นั้น’ ซึ่งเป็นกองลวงที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามนึกว่าเป็นกองทหารของเขา-เซลเอดอะดลัส ก็เป็นกองอัศวินล้วน ๆ (ที่มีบางส่วนอยู่ในชุดนักรบทะเลทราย) เช่นกัน

นักรบทะเลทรายทั้งสามร้อยคน แต่งกายด้วยชุดอัศวิน อยู่รวมกันเป็นกองหน้าในกองอัศวินของลิตเติลสโนว์โดยตรง

แน่นอนว่า นักรบทะเลทรายได้ร่ายมนต์ป้องกันแมงป่องไว้รอบบริเวณ เมื่อรวมเวทย์ของทั้งสามร้อยคน ทำให้แมงป่องทะเลทรายของฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถโผล่ขึ้นมาทำร้ายกองทหารกองนี้ได้ และทำให้ทหารอัศวินซึ่งเป็นกำลังส่วนใหญ่รอดพ้นภัยสัตว์ร้ายนี้ไปด้วย

และหลังจากนั้น งานหลักก็เป็นของเซลเอดอะดลัส ต้องร่าย “เวทย์เรียกฝูงแมงป่องทะเลทราย (魔虫群の呪文 มาจูกุงโนะจุมง)” ของตนบ้าง แต่... เขาต้องรวบรวมสมาธิอย่างหนักหนาสาหัส เพื่อบังคับให้ฝูงแมงป่องทะเลทรายของตน เข้าต่อสู้กับแมงป่องทะเลทรายของบาลโดสและลากพวกมันขึ้นมาปรากฏโฉมบนพื้นดินให้หมด

เพียงเท่านี้ แนวยุทธวิธีของบาลโดสก็ถูกทำลายลง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่กล่าวมาทั้งหมด ก็เริ่มจากการกล้าที่จะหลุดกรอบแนวคิดเดิม ๆ ที่ว่า ทหารที่เป็นพลรบชนิดใด ก็ต้องให้นายกองที่เป็นพลรบชนิดเดียวกันเป็นผู้บังคับบัญชาเสียก่อน ซึ่งนี่เป็นแนวคิดที่ฝังรากแน่นในสารบบยุทธวิธีของเนฟเวอร์แลนด์มานานแสนนานแล้วเสียด้วยสิ

และกองทัพของบาลโดสก็กำลังจะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง หากแผนขั้นต่อไปสำเร็จ

เซลเอดอะดลัสรีบสั่นศีรษะเล็ก ๆ พาให้ตนเองพ้นจากภวังค์ครุ่นคิด ใช่สิ แผนขั้นต่อไปจะสำเร็จได้ กองหน้าของกองอัศวินลิตเติลสโนว์ ซึ่งคือ นักรบทะเลทรายทั้งร้อยห้าสิบใต้สังกัดของเขา รวมกับทหารอัศวินอีกจำนวนห้าร้อยซึ่งได้จัดแบ่งไว้แล้ว จะต้องรบต้านข้าศึกไว้ให้ได้

เพื่อมิให้พวกมันสำเหนียกได้ถึงเจตจำนงที่แท้จริงของกองอัศวินกองนี้

นักรบหนุ่มแห่งทะเลทราย ขยับตัวพาม้าของตนวิ่งฝ่าไปด้านหน้าทันที ทางหนึ่งเขาต้องคอยแผ่พลังเวทย์เพื่อควบคุมฝูงแมงป่องของตน อีกทางหนึ่งก็ต้องคอยสั่งการในสนามรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอ่านสถานการณ์ให้ออกว่าตรงจุดใดกำลังอันตราย ใกล้ถูกข้าศึกบุกทะลวงได้แล้ว ก็ต้องรีบจัดส่งกำลังทหารของตนเข้าไปอุด หรือบางจุดเขาก็เข้าไปร่วมแนวหน้าด้วยตนเอง

และแล้วเขาก็เห็น...

ร่างของชายสูงใหญ่ ขี่บนอูฐตัวใหญ่ตัวหนึ่ง และกำลังกวัดแกว่งอาวุธดาบเล่มโตเข้าใส่ทหารของเขาจนล้มตายเป็นรายทาง

มันผู้นั้นนั่นเอง เจ้าขุนพลเฒ่าบาลโดส ผู้ทำให้เขาต้องสิ้นแผ่นดินอยู่อาศัย

ฟันของเซลเอดอะดลัสขบกันแน่น ดวงตาทอประกายแข็งกล้าขึ้นในทันที เขาเร่งม้าของตนเข้าไปทางนั้นอย่างไม่รอช้า

...

พลุสัญญาณที่ถูกจุดส่งให้วิ่งลอยขึ้นฟ้า โดยทิ้งพวยควันดำออกจากหางของมันเป็นทางยาว พร้อมเสียงหวีดดังที่ก้องในสนามรบ ถูกสังเกตุเห็นได้โดยแม่ทัพทั้งสองฝ่าย แม่ทัพฝ่ายเจ้าถิ่นได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความฉงน

-- นี่พวกผู้บุกรุกมีเล่ห์อะไรอย่างนั้นรรึ?--

ถึงตอนนี้ มีหรือแม่ทัพผู้เชี่ยวศึกอย่างบาลโดสจะไม่รู้ตัวว่า กลศึกของเขาถูกอีกฝ่ายทำลายเสียแล้ว การรบที่เห็นอยู่ตรงหน้าเป็นไปอย่างสูสี ทั้งทางด้านปีกซ้ายที่แบ่งกำลังไปหนึ่งพันและกำลังประทะกับกองกำลังของเซลเอดอะดลัส (ในความคิดของฝ่ายจาปิโตส) กับกองกำลังหลักของเขาเองสามพัน ที่กำลังบุกทะลวงทัพหลวงของอีกฝ่ายอยู่ หากแต่เผชิญกับการต้านรับอย่างเหนียวแน่น และแมงป่องทะเลทรายของเขาก็ยังมาถูกแมงป่องทะเลทรายด้วยกันรบพัวพันไว้เสียด้วย เมื่อการศึกยืดเยื้อถึงตอนนี้ แน่นอนว่า กองกำลังของยิปสีดอีกหกร้อยคนซึ่งแยกไปตั้งรับเวทย์พายุหมุนมรณะของเขา บัดนี้ก็กำลังหันกลับมาเข้าร่วมการสู้รบแล้ว โดยกำลังโจมตีจากด้านขวาของทัพของเขา

ปัญหาคือ ข้าศึกโดยเฉพาะทัพหลวงของพวกมัน สามารถรับมือเขาได้อย่างไร? หากข้าศึกเป็นนักรบทะเลทรายทั้งหมด จะไม่แปลกใจเลย แต่นี่...

ขณะเดียวกัน แม่ทัพของฝ่ายบุกรุก-- ราชินีศักดิ์สิทธิ์แห่งแพลททิเซลเวอร์ก็ขมวดคิ้วเช่นกันเมื่อเห็นสัญญาณพลุ

เธอย่อมอยู่ในฐานะที่แตกต่างกับแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม การณ์จนถึงบัดนี้ ล้วนเป็นไปตามที่เธอคาดคำนวณไว้ทั้งสิ้น หากแต่...

ภาพของการทำสงครามที่เกิดขึ้นตรงหน้า ห่างจากตัวเธอไปไม่กี่ร้อยเมตรนั้นต่างหากเล่าที่ทำให้เธอลังเล

อา... สงคราม การห้ำหั่นฆ่าฟันกันระหว่างมนุษย์ด้วยกัน

ภาพที่เธอ- หากยังคงอยู่ในโลกเดิม- คงไม่มีโอกาสได้พบเห็นกับตาของตนเองโดยตรงเช่นนี้เลย

ภาพที่คล้ายกับที่เธอเคยเห็นในความฝัน ก่อนที่จะเดินทางมายังโลกแห่งเนฟเวอร์แลนด์นี้

บัดนี้ มันเป็นความจริงที่กำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

ไพร่พลทั้งสองฝ่าย คนแล้วคนเล่า ที่ล้มลงอย่างไม่มีวันลุกขึ้นมาอีก ในสภาพร่างอาบเลือดทั้งร่าง...

ลิตเติลสโนว์อดเบือนหน้าหนีภาพอันโหดร้ายเบื้องหน้าไม่ได้

‘เป็นอะไรไป เด็กเอย’ เสียงของเทพพิทักษ์ดังขึ้นในใจ เทพมังกรเงิน ซิลฟีดนั่นเอง

เด็กสาวลดสายตาลงมองไม้เท้าปัญญาที่ตัวเองถือประคองอยู่ในมือ ไม้เท้าที่ดูไม่เข้ากันกับชุดอัศวินที่เธอสวมใส่อยู่เลย ดาบที่เธอควรจะถือไว้ในมือ กลับนอนสงบอยู่ในฝักที่สะพายไว้ข้างเอว ตอนนี้ราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์ ในฐานะจอมทัพ กำลังอยู่ในชุดอัศวินแบบครึ่งตัว กล่าวคือ ใส่เกราะอ่อนที่ทำจากโลหะเฉพาะบริเวณไหล่ และทรวงอกเท่านั้น ภายใต้ชุดเกราะนั้นเป็นเพียงชุดผ้าหนาสีขาวธรรมดาที่ดูทนทานและทะมัดทะแมง มือทั้งสองข้างอยู่ในถุงมือหนัง ช่วงศีรษะปราศจากอาภรณ์และเครื่องป้องกันใด ๆ ทั้งสิ้น ผมสีเงินยาวสลวย ถูกถักเป็นเปียเส้นโตสองเส้น และม้วนพันไว้บริเวณท้ายทอยอย่างรัดกุม เพื่อมิให้เกะกะในกรณีที่เธอต้องเข้ารบประชิดตัวด้วยตัวเอง

‘ข้า... ข้ากำลังคิดว่า นี่คือสงครามหรือนี่... ช่างน่ากลัวเหลือเกิน’ เด็กสาวตอบเทพพิทักษ์ของตนในใจ

‘แต่นี่คือ สิ่งที่เจ้าเลือกแล้วมิใช่หรือ เด็กน้อย หากเจ้าลังเล... นอกจากแผนการของเจ้าจะเสียไปแล้ว เจ้าเสือเฒ่าผู้นั้นอาจจะพลิกสถานการณ์ได้นะ อย่าลืมว่า พวกเจ้าเสียเปรียบในด้านภูมิประเทศ และภูมิอากาศด้วย หากไม่รีบเผด็จศึกโดยเร็ว ในจังหวะที่ยังมีโอกาสละก็...’

‘ข้าทราบดีค่ะ...’

‘อย่าลังเล เด็กน้อยเอย หากเจ้าลังเล อย่าลืมว่ามันหมายถึงชีวิตของไพร่พลฝ่ายเจ้าทั้งสามพันแปดร้อยคน...’

‘ค่ะ!’

ราชินีศักดิ์สิทธิ์เม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรง ใช่สิ... ตอนนี้เธอเป็นถึงจอมทัพ และมีหน้าที่รับผิดชอบสวัสดิภาพของไพร่พลทั้งหมดของตนด้วย เธอจะมาลังเลหรือใจอ่อนหาได้ไม่

และที่สำคัญ นี่คือ การพิสูจน์ตัวเองให้เขาผู้นั้นได้เห็นด้วย... เพื่อที่จะเปลี่ยนใจ ให้เขาทำตามคำขอร้องของเธอ มิฉะนั้นเนฟเวอร์แลนด์จะต้องตกอยู่ในยุคมืด ภายใต้อุ้งมือของเขาผู้นั้น- องค์ชายอสูรจาโด้ ผู้ประกาศเจตนารมณ์ต่อเธออย่างชัดเจนแล้ว ว่าจะตั้งตัวเป็นจอมราชันย์อสูรองค์ใหม่ เพื่อปกครองเนฟเวอร์แลนด์ให้เป็นหนึ่งเดียว ภายใต้ ‘อำนาจ’ สูงสุดที่เด็ดขาดและ ‘พละกำลัง’ ที่เข้มแข็งเกินกว่าที่ผู้ใดจักต้านทานได้

“ทหาร...” จอมทัพแห่งแพลททิเซลเวอร์ตะโกนสั่งการจากบนรถศึกของตนเอง “แปรรูปขบวนโอบล้อม... ดำเนินการแผนสองได้”

“ขอรับ!” เสียงขานรับดังมา บรรดาผู้บังคับหมู่ทั้งหลายซึ่งได้รับการซักซ้อมกลศึกกันมาอย่างดีแล้ว รีบดำเนินการตามที่ได้รับคำสั่งทันที

ลิตเติลสโนว์ได้แต่หรี่สายตามองผ่านม่านไอร้อนของทะเลทราย มองสถานการณ์การรบตรงหน้าด้วยสีหน้าและแววตาที่นิ่งเฉยอีกครั้งหนึ่ง

...

“ย้า!!! พลังหมัดลมปราณ!”

เสียงใส ๆ ดังลั่น ขณะที่ร่างในชุดนักรบทะเลทรายระดับนายกองผู้นั้น วิ่งฝ่าเข้าไปในทัพศัตรูอย่างห้าวหาญ พลางส่งพลังหมัดลมปราณเข้ากระแทกสังหารไพร่พลนักรบทะเลทรายล้มลงคนแล้วคนเล่า

“ตามท่านหัวหน้ากองไป ลุย!”

“เฮ ๆ ๆ”

เสียงของบรรดาทหารในชุดนักรบทะเลทราย... หากแต่แท้จริงแล้วเป็นทหารอัศวินดังขึ้น พวกเขาซึ่งมีจำนวนเพียงสองร้อยคนเท่านั้นในกองกำลังนี้ พยายามวิ่งไล่ตามหัวหน้ากองของตนอย่างสุดความสามารถ และล้าหลังไปไม่กี่ก้าว ทหารอัศวินที่อยู่ในชุดอัศวินซึ่งห่อหุ้มกายด้วยเสื้อเกราะหนัก จึงเคลื่อนไหวได้อุ้ยอ้ายกว่าเล็กน้อย แต่ก็ตามมาติด ๆ ทั้งหมดล้วนอยู่ในสภาพฮึกเหิมและมีขวัญกำลังใจดีเยี่ยม อันถูกกระตุ้นจากการรบอันห้าวหาญ ‘หัวหน้ากอง’ ของตน

นี่คือ สถานการณ์การรบในฝั่งปีกขวาของทัพแพลททิเซลเวอร์...

ปีกขวาจำนวนหนึ่งพันสองร้อยคน ภายใต้การนำของเซลเอดอะดลัสตามความเข้าใจของฝ่ายจาปิโตสนั่นเอง

นายทหารระดับผู้บังคับหมู่จำนวนสี่คนของจาปิโตส ขี่อูฐเข้าล้อมร่างของนายกองปีกขวาหลังจากปล่อยให้ศัตรูอาละวาดอยู่ในกองทัพของตนอยู่ครู่ใหญ่

“เจ้าเป็นใครกันแน่? ไม่ใช่เซลเอดอะดลัสนี่”

หนึ่งในสี่นั้นร้องถามขึ้น พลางไม่ลืมที่จะยกดาบขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย เป็นการกันเชิงไว้ก่อน

“หึ พวกเจ้าอยู่ทะเลทรายเสียเปล่า ทำไมสายตาไม่ดีเลย เห็นข้าเป็นเซลเอดอะดลัสเสียได้”

เสียงใส ๆ ของอิสตรีตอบ มือขาว ๆ ที่สวมสนับมือยกขึ้นจับขอบผ้าคลุมศีรษะของตน

“จะบอกให้ก็ได้ พวกเจ้าจะได้ตายตาหลับ นามของข้าคือ...” ชุดนักรบทะเลทรายถูกกระชากหลุดจากร่างทิ้งไปอย่างรวดเร็ว และสง่างาม โดยเจ้าตัวเอง เผยให้เห็นร่างของสตรีสาวผมแดงประดุจเพลิงพิโรธ ในชุดนักบู๊ที่ดูทะมัดทะแมง และดูน่าหวาดเสียวแทน ด้วยความที่แทบจะเป็นชุดที่ไม่ช่วยป้องกันอาวุธศัตรูให้กับเจ้าของได้เลย “นักบู๊ผู้ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม เอลทิน่าแห่งแพลททิเซลเวอร์!”

และนั่นคือ คำตอบว่า ใครเป็นผู้นำทัพปีกขวาของแพลททิเซลเวอร์ในศึกครั้งนี้

“ฮึ่ม ผู้หญิงเรอะ? พวกแพลททิเซลเวอร์ดูถูกพวกข้ามากไปแล้ว ส่งผู้หญิงมาสู้ด้วยเช่นนี้!”

เสียงคำรามดังจากฝ่ายตรงข้าม ในท่ามกลางเสียงต่อสู้อันชุลมุนระหว่างไพร่พลรอบข้าง ณ ที่แห่งนี้ก็กำลังจะเป็นสมรภูมิระหว่างสี่นักรบทะเลทรายบนหลังอูฐ กับหญิงสาวที่ไร้อาวุธและพาหนะศึก (ที่จริง เอลทิน่าสวมสนับมือสำหรับนักบู๊ หาได้ถึงกับมือเปล่าเล่าเปลือยจริง ๆ ไม่)

“ท่านหัวหน้ากอง รับอาวุธ!”

เสียงหนึ่งดังขึ้น แล้วก็มีของสิ่งหนึ่งถูกขว้างเข้าหาเอลทิน่าโดยแรงจากทางด้านหลัง หากแต่หญิงสาวกลับยกมือขึ้นคว้าจับของสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดาย โดยมิต้องหันหน้ามามองด้วยซ้ำ เสียงโห่ร้องดังจากบรรดาทหารฝ่ายตนที่ล้อมดูเหตุการณ์อยู่อย่างฮึกเหิม

“คำพูดของเจ้าเมื่อกี้ เอาไว้เจ้าล้มข้าได้ก่อน แล้วค่อยพูดเถิดนะ เจ้านักรบทะเลทรายเอย เข้ามา!”

นักบู๊สาวยกอาวุธที่ได้ใหม่ขึ้นชี้หน้าคนที่กล่าวหาตน มันเป็นตะบองสามท่อนที่เชื่อมแต่ละท่อนเข้าติดกันด้วยโซ่เส้นสั้น ๆ นั่นเอง

...

อีกทางหนึ่ง เหตุการณ์คล้าย ๆ กันก็กำลังดำเนินไป ในการรบระหว่างกองหน้าของทัพหลวงแพลททิเซลเวอร์ กับกองกำลังหลักของบาลโดส

หลังจากประมือกับอัศวินบนหลังม้าผู้หนึ่งได้สิบกว่าเพลงโดยไม่รู้แพ้ชนะกัน (หนึ่งเพลง คือ นับจากที่เริ่มเข้าประอาวุธ จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายถอยฉากออกไปจดจ้องเพื่อหาโอกาสเข้าทำใหม่) บาลโดสผู้ทะนงตนว่า เป็นหนึ่งในทะเลทราย ก็ต้องร้องถามด้วยความประหลาดใจ

“ท่านอัศวิน ท่านเป็นผู้ใดรึ? ข้าคิดว่า ท่านหาใช่บากแบทไม่ แต่ในแพลททิเซลเวอร์ยังมีอัศวินที่เชี่ยวศึก ถึงขนาดรบกับข้าในทะเลทรายได้สูสีขนาดนี้อีกรึ?”

“หึ ถูกแล้ว ข้าย่อมมิใช่ท่านบากแบท” อัศวินผู้นั้นตอบ ด้วยน้ำเสียงที่คุ้นหูแม่ทัพจาปิโตสยิ่งนัก และแล้ว เขาก็ได้คำตอบ เมื่ออีกฝ่ายถอดหมวกเหล็กของตนทิ้งไป “อย่าบอกนะ ว่าเจ้าลืมนามของข้าไปแล้ว นามที่ว่า เซลเอดอะดลัสอย่างไรเล่า!”

“.... เจ้าเองรึ?...” บาลโดสร้องคราง นี่หมายความว่าอะไร? เซลเอดอะดลัสควรจะอยู่คุมกองปีกขวาของฝ่ายตรงข้ามอยู่มิใช่หรือ?

“ฮึ่ม ความแค้นของชนเผ่าอะดลัส ขอชำระกับเจ้า ณ บัดนี้แหละ บาลโดส!”

เซลเอดอะดลัสตวาดเสียงดัง พลางกระตุ้นม้าของตนเข้าหาอีกฝ่ายทันที

อีกนัยหนึ่ง ก็เพื่อมิให้อีกฝ่ายมีเวลาคิดไตร่ตรองสถานการณ์ได้นั่นเอง

ในห้วงความคิดของเซลเอดอะดลัส คำพูดของราชินีศักดิ์สิทธิ์ที่กล่าวกับบากแบท ตอนที่ประชุมเรื่องยุทธศาสตร์การตีจาปิโตสดังขึ้นอีกครั้ง

-- ท่านวางใจเถิด บากแบท เรารับรองว่า เรราไม่เป็นอันตรายแน่นอนในการรบครั้งนี้ ไม่จำเป็นต้องให้ใครคุ้มครองเป็นพิเศษหรอก... เพราะที่เราไปครั้งนี้ ไปในฐานะแม่ทัพ หาใช่นายกองไม่ และ หากเมื่อไรก็ตามที่แม่ทัพต้องจับอาวุธเข้าห้ำหั่นกับ ‘ทหารเลว’ หรือ ‘นายกอง’ ของฝ่ายตรงข้ามแล้วไซร้ ศึกครั้งนั้นก็เรียกได้ว่า แพ้แล้วล่ะ แต่... เราไม่เคยคิดถึงคำว่า ‘แพ้’ ในหัวสมองเราเลย--

ใช่ หากยึดคำพูดนี้เป็นเกณฑ์ ก็หมายความว่าเจ้าแพ้แล้วล่ะ บาลโดสเอ๋ย!

...

battle1.jpg
แผนผังการรบ ในสายตาของบาลโดส

battle2.jpg
แผนผังการรบ ในความเป็นจริง
(หมายเหตุ 1. อัศวินในกองกำลังของเอลทิน่าและยิปสีด ส่วนหนึ่งแต่งกายเป็นนักรบทะเลทราย,
2. เซลเอดอะดลัส อยู่ในชุดอัศวิน)


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1