มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ศึกจาปิโตส: เจตนารมณ์

ตีพิมพ์ครั้งแรก 27 เม.ย 46

หมายเหตุ - จำนวนทหารที่อ้างระหว่างศึก หมายถึงจำนวนตอนก่อนเข้าศึกนะครับ หากจะกล่าวถึงจำนวน ณ ขณะนั้น (คือนับพวกที่ล้มตายไปแล้วออก) จะระบุเป็นกรณี ๆ ไป


ในห้วงภวังค์นั้น...

“...” เด็กสาวผมเงินถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ เมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าว

เมื่อสมองของตนเริ่มจัดลำดับความคิดได้ เธอก็ระล่ำระลักว่า

“ท่าน... ท่านไม่ควรทำเช่นนั้นนะ สิ่งมีชีวิตทุกคนล้วนเท่าเทียมกันหมด... และข้าไม่เชื่อว่าเจตนารมณ์ของแผ่นดินแม่เนฟเวอร์แลนด์จะเห็นด้วยกับวิธีการของท่าน!”

“หึ... ทุกคนล้วนเท่าเทียมกันรึ? น่าขันสิ้นดี” เจ้าชายอสูรทวนคำพูดอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ กังวานอย่างน่าสะพรึงกลัว หากแต่ไม่ทำให้เด็กสาวตรงหน้ามีสีหน้าเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย “และอีกอย่างหนึ่ง เหตุใดเจ้าถึงยกเอาเจตนารมณ์ของแผ่นดินแม่เนฟเวอร์แลนด์มาอ้างได้เช่นนี้เล่า? ลิตเติลสโนว์”

น้ำเสียงตอนท้ายแฝงประกายไม่พอใจ ถึงขนาดเรียกเธอด้วยชื่อเต็ม

“ข้าหยั่งรู้ได้... ถึงอะไรบางอย่างที่บอกถึงเจตนารมณ์ดั้งเดิมของเนฟเวอร์แลนด์... อืม ถึงบอกไปท่านก็คงไม่เชื่อกระมัง...”

“หึ...” อสูรผิวขาวหรี่ตามองราชินีศักดิ์สิทธิ์อย่างครุ่นคิด และแล้วในที่สุดเขาก็กล่าวออกมาว่า “เอาเถิด เรื่องที่เจ้าอยากทราบ ข้าก็บอกเจ้าจนหมดแล้ว อีกสองปีให้หลังข้าจะมาขอคำตอบจากเจ้าล่ะ”

“...เดี๋ยวก่อน ท่านจาโด้”

“...?”

“ถ้าหาก...” อดีต ‘ไซโต้ โคะยุกิ’ เอ่ยปากอย่างลังเล แต่แล้วก็เหมือนตัดสินใจเด็ดขาดได้ เธอกล่าวต่ออย่างรวดเร็วว่า

“ถ้าหากข้าพิสูจน์ได้ว่า ทฤษฎีของท่านผิดล่ะ?”

“หือ?” คิ้วของอสูรหนุ่มขมวดเข้าหากันเป็นเชิงถาม

“ถ้าหากข้าสามารถสร้างอาณาจักรมนุษย์ที่อยู่รวมกันกับชนเผ่าอื่น ๆ ได้อย่างสันติล่ะ?... ภายในเวลาสองปีนี้ ท่านจะยินยอมเปลี่ยนความตั้งใจของท่านหรือไม่?”

“...” จาโด้อึ้งไปเป็นครู่ แล้วก็เหยียดยิ้มออกมา “ลิตเติลสโนว์เอ๋ย เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าพูดอะไรออกมา เป็นไปไม่ได้หรอกที่มนุษย์จะใฝ่สันติอย่างที่เจ้าคิด...”

“...” เด็กสาวไม่โต้เถียงหากแต่จ้องตาอีกฝ่ายด้วยสายตาใสแป๋วของตน

“ประการแรก... ตราบใดที่โคเรียยังครอบงำมนุษย์ส่วนใหญ่ในเนฟเวอร์แลนด์อยู่ เพียงแค่เจ้าบอกว่า เจ้าหาใช่คนของที่นี่ไม่ หรือ เพียงบอกว่าเจ้ามิได้เป็นสาวกผู้นับถือโคเรีย เท่านี้ เจ้าก็จะมีศัตรูเป็นมนุษย์เกือบค่อนทวีปเนฟเวอร์แลนด์แล้ว”

“นั่นไม่ใช่ปัญหาสำคัญค่ะ ท่านจาโด้” ลิตเติลสโนว์แย้งด้วยน้ำเสียงอันเชื่อมั่น “แต่ปัญหาตอนนี้คือ ท่านจะรับปากข้าได้ไหมคะ ว่า หากข้าทำได้จริง ท่านจะล้มเลิกแผนการของท่าน”

“หากว่าเจ้าทำได้จริงนะ...”

เจ้าชายอสูรทิ้งท้ายไว้เพียงนั้น แล้วก็หันกายโผบินขึ้นท้องฟ้าไป

...

battle1.jpg
แผนผังการรบ ในสายตาของบาลโดส

battle2.jpg
แผนผังการรบ ในความเป็นจริง
(หมายเหตุ 1. อัศวินในกองกำลังของเอลทิน่าและยิปสีด ส่วนหนึ่งแต่งกายเป็นนักรบทะเลทราย,
2. เซลเอดอะดลัส อยู่ในชุดอัศวิน)

...

“ท่านราชินีขอรับ ทหารของเราพร้อมแล้วขอรับ”

เสียงรายงานของทหารนำสาร ทำให้เด็กสาวตื่นจากภวังค์ครุ่นคิด หันกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้งหนึ่ง แสงอาทิตย์ยามเที่ยงวันยังคงฉายแสงอันเจิดจ้าร้อนแรง กระหน่ำลงบนผืนทะเลทรายอันแห้งแล้งร้อนระอุอย่างไร้ความปรานี ลิตเติลสโนว์กวาดสายตามองรอบข้างตนอย่างรวดเร็ว นายทหารระดับอัศวินจำนวนหนึ่งยังคงห้อมล้อมอารักขาเธอในสนามรบอย่างเข้มแข็ง พร้อม ๆ กับที่พลนำสารจำนวนหนึ่งก็ยังคงเตรียมพร้อม (สแตนด์บาย) อยู่ใกล้ ๆ เพื่อถ่ายทอดคำสั่ง ราชินีสาวหยั่งรู้สถานการณ์การรบในสมรภูมิได้อีกด้วยว่า ทุกอย่างยังเป็นไปตามการคาดคำนวณของเธอ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของฝ่ายตนเอง ซึ่งบัดนี้พร้อมแล้วที่จะดำเนินกลยุทธต่อไป

ลิตเติลสโนว์เม้มปากแน่น ทันทีที่ออกคำสั่งต่อไป ก้าวแรกของ ‘เป้าหมาย’ ของเธอก็จะถูกก้าวออกไปอย่างมั่นคงล่ะ และเธอก็คงจะถอยหลังไม่ได้อีกแล้ว จนกว่าจะถึงวันนั้น... วันที่ทุกอย่างในเนฟเวอร์แลนด์ลงตัว และ ‘เขาผู้นั้น’ จักได้ส่งตัวเธอกลับบ้านเกิดอันไกลโพ้น

“ยุทธวิธีโอบล้อมทำลาย เริ่มได้!”

น้ำเสียงใสกังวานถูกเปล่งออกไป พลนำสารวิ่งกระจายกันขึ้นม้าแล้วตะโกนถ่ายทอดคำสั่งทันที ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งโหมโบกธงสัญญาณด้ามยาวให้กวัดแกว่งกลางอากาศอย่างน่าตื่นตา

สายตาของเด็กสาวเจ้าของคำสั่งหรี่มองสมรภูมิเบื้องหน้าอย่างเศร้าสร้อย

--ทหารฝ่ายตรงข้าม รวมทั้งสิ้นสี่พันหรรือ...--

พวกเขาจักต้องเสียชีวิตเพราะเธอในครั้งนี้กี่คนกันหนอ

...

สมรภูมิซึ่งเดิมเป็นการต่อสู้ระหว่างคนกับคน และ สัตว์พิษกับสัตว์พิษ บัดนี้-ก่อนหน้าที่คำสั่งล่าสุดของราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์จะถูกถ่ายทอดออกมานั้น- เหลือเพียงการต่อสู้ระหว่างคนกับคนเท่านั้น ทั้งนี้ ด้วยเพราะเมื่อบาลโดสและซิลเอดอะดลัสโหมต่อสู้กันเองอย่างเอาเป็นเอาตายเข้า พลังเวทย์ที่ทั้งสองแผ่ออกไปควบคุมสัตว์ร้ายเหล่านั้น ก็จางหายไปเป็นสัดส่วนผกผันกับสมาธิที่สองสิงห์แห่งทะเลทรายต้องทุ่มเทเพื่อต่อสู้กันเอง บรรดาแมงป่องทะเลทรายสีแดงและดำที่ห้ำหั่นกันอยู่อย่างดุเดือด พากันแยกย้ายออกจากกันแล้วดำมุดลงใต้ผืนทรายใหม่

อาจบางที พวกสัตว์ยังรักสันติกว่ามนุษย์กระมัง ในเมื่อพวกมันประจักษ์ว่า มันไม่ได้กำลังต่อสู้เพื่อล่าอาหารหนึ่ง, เพื่อป้องกันตัวหนึ่ง หรือเพื่อแย่งชิงตัวคู่ผสมพันธุ์กันหนึ่ง... แล้วไซร้ เหตุใดเล่าพวกมันจักต้องต่อสู้กันอีกต่อไปเล่า?

ทิ้งไว้บนทะเลทรายซึ่งเหล่ามนุษย์ที่สู้กันได้ด้วยเหตุผลนอกเหนือจากเหตุผลสามประการของสัตว์เดรัจฉาน! ทะเลทรายที่บัดนี้เต็มไปด้วยฝุ่นที่คลุ้งคละไปบนอากาศ ด้วยฝีเท้าของมนุษย์นับครึ่งหมื่นที่เหยียบย่ำอยู่อย่างอลหม่าน พลางร่ายบทเพลงแห่งความตายเข้าหากัน

“ย้าก” เคร้ง ๆ ๆ ๆ

ซิลเอดอะดลัสในชุดอัศวินบนหลังม้า กับบาลโดสในชุดนักรบทะเลทรายบนหลังอูฐสะอึกเข้าหากันอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ทั้งสองบังคับพาหนะของตนให้หันข้างให้แก่กันแล้วต่างก็โหมฟันดาบเข้าใส่กันเป็นพัลวัน ม้าและอูฐถูกบังคับให้ย่ำเท้าเคลื่อนไหวเป็นวงกลม ต่างฝ่ายต่างหมายจะเผด็จศึกให้ได้เสียที

นักรบหนุ่มอดีตหัวหน้าเผ่าทะเลทรายหรี่ตาจนเกือบเป็นเส้นตรง ในจังหวะเดียวกันนั้น บาลโดสก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเช่นกัน...

ดาบของทั้งสองฝ่ายถูกแทงออกมาแทบจะพร้อมกัน

ม้าและอูฐที่ก้าวเท้าช่วยเสริมให้กับเจ้าของของตนอย่างเหมาะเหม็ง

เพียงแต่...

เท้าของม้าที่ถึงอย่างไรก็ไม่ชินกับสภาพพื้นที่ไม่มั่นคงอย่างเช่นพื้นทะเลทราย ประกอบกับการที่มันหาใช่พาหนะคู่ศึกของซิลเอดอะดลัสมาตั้งแต่ต้น ทำให้ตำแหน่งและจังหวะในการแทงดาบของนักรบหนุ่มพลาดเพี้ยนไปเพียงเล็กน้อย... แต่นั่นก็ควรจะเพียงพอแล้วสำหรับเสือเฒ่าบาลโดสที่จะแทงสวนจุดสำคัญให้อีกฝ่ายถึงกับตกม้าตายในดาบเดียวนี้ได้ หากไม่เพราะ...

“!!!”

บรรยากาศรอบข้างที่เปลี่ยนแปลงไปกระทันหันจนบาลโดสชะงักไปชั่วเสี้ยววินาที

--นี่มันบรรยากาศของกองทัพเวลาถูกข้าศึึกที่มีกำลังเหนือกว่าโอบล้อมชัด ๆ--

แวบหนึ่งที่ความรู้สึกนี้วูบขึ้นมาในใจ

พริบตานั้นเองเป็นวินาทีที่ตัดสิน

ดาบของทั้งสองฝ่ายพุ่งสวนกัน ปลายดาบของคนในชุดอัศวินแทงเข้าบ่าขวาของอีกฝ่ายอย่างจัง ขณะที่ดาบเล่มโตของแม่ทัพจาปิโตสก็แทงเข้าที่บริเวณเดียวกันของฝ่ายตรงข้าม-- พวกเขาล้วนพลาดเป้าอันเป็นจุดสำคัญบนร่างกายของฝ่ายตรงข้ามทั้งคู่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ร่างของทั้งสองสะอึกหงายไปพร้อมกัน จังหวะที่ต่างก็กระชากอาวุธออกจากอีกฝ่ายนั่นเอง ม้าของซิลเอดอะดลัสก็วิ่งพรวดเข้าไปหาอีกฝ่าย แล้วสะบัดตัววิ่งเบี่ยงออกอย่างรวดเร็ว ร่างของนักรบเดนตายร่วงจากหลังม้าพร้อมกับฝ่ายตรงข้ามที่ถูกกระแทกให้ร่วงจากหลังอูฐไปด้วย

รอบข้าง... สิ่งที่บาลโดสสำเหนียกได้ เป็นจริงขึ้นมาแล้ว เมื่อกองกำลังทั้งสามพันของบาลโดสถูกโอบล้อมจากกองกำลังอัศวินแพลททิเซลเวอร์ในทุกด้าน โดยไม่นับกองกำลังฝ่ายละหนึ่งพันเศษที่แยกออกไปห้ำหั่นกันอยู่ต่างหาก

ทหารอัศวินจำนวนหนึ่งพันสองร้อยนายของลิตเติลสโนว์ตีวงล้อมรอบกองกำลังบาลโดสตั้งแต่เมื่อไร ฝ่ายนักรบทะเลทรายไม่รู้ตัวเลย พวกเขาทราบแต่ว่า พวกตนเผชิญกับการต่อต้านจากกองหน้าจำนวนแปดร้อยนายของอีกฝ่ายซึ่งบัดนี้แน่ชัดแล้วว่าเป็นการนำของเซลเอดอะดลัสเอง กับกองกำลังย่อยจำนวนหกร้อยของยิปสีดซึ่งแยกออกไปทางปีกซ้ายตั้งแต่ต้นแล้ว

ห่าธนูห่าใหญ่ถูกสาดเข้าใส่กองกำลังของบาลโดสจากด้านหลัง ก่อนที่วงล้อมจะถูกขมวดแน่นเข้าไปอีก

ทหารอัศวินทุกนายของแพลททิเซลเวอร์เข้าร่วมศึก ณ บัดนั้น

อีกด้านหนึ่ง ยิปสีดบนหลังอูฐวิ่งทะลวงเข้าไปในทัพศัตรูอย่างห้าวหาญเช่นกัน นี่ก็เป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่เขาได้รับมา

--จงก่อกวนอย่าให้ข้าศึกไหวทันว่า ทัพทที่โอบล้อมอยู่จริง ๆ มีกำลังน้อยกว่า--

ใช่ ทัพของแพลททิเซลเวอร์ที่ใช้โอบล้อมทัพบาลโดสนี้ มีกำลังเพียงกองทหารอัศวินหนึ่งพันสองร้อยนายเท่านั้นน้อยกว่าทัพในวงล้อมถึงครึ่งหนึ่ง แต่ทัพในวงล้อมนั้นต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังภายใต้การนำของซิลเอดอะดลัสอยู่ และรวมทั้งถูกรบก่อกวนจากทัพของยิปสีดด้วย ฝ่ายแพลททิเซลเวอร์จึงดำเนินกลศึกเยี่ยงนี้ได้

และอีกหน้าที่หนึ่งของยิปสีดคือ...

“ตามมา!”

เขาก่อกวนในทัพข้าศึกได้คู่หนึ่ง จนเลือดของทหารเลวที่สังเวยคมดาบของเขาแดงฉานฉาบทั้งสองข้างของอูฐคู่ใจ เขาก็ชักอูฐกลับไปยังบริเวณที่กองกำลังของตนยังหนาแน่นอยู่เป็นส่วนใหญ่ แล้วออกคำสั่งต่อไปทันที

กองกำลังของยิปสีด เท่าที่รวบรวมกันได้จำนวนเพียงครึ่งหนึ่ง คือสามร้อยนาย บุกตีทะลวงเข้าไปในทัพของจาปิโตสอย่างห้าวหาญทันที

ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่งของสนามรบ

“รวบรวมกำลัง!”

ซิลเอดอะดลัสซึ่งปีนขึ้นไปบนม้าของตนได้ใหม่อย่างรวดเร็ว หันกลับไปตะโกนสั่งการทหารอัศวินในสังกัดของตน บริเวณไหล่ขวาของเขามีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย เนื่องเพราะเกราะเหล็กที่ไหล่นั่นเองที่ช่วยผ่อนแรงของดาบคู่ต่อสู้ไว้ได้

กว่าที่บาลโดส- ซึ่งมีเพียงเสื้อนักรบลงอาคมเป็นเครื่องป้องกันกาย ทำให้ได้รับบาดเจ็บที่บ่าขวาหนักกว่าจนโลหิตแดงฉานไปทั่วครึ่งกายท่อนบน- จะลุกขึ้นมาได้ เขาก็หาอูฐของตนไม่เจอเสียแล้วในท่ามกลางความอลหม่านของสนามรบ และม้าของซิลเอดดะดลัสก็พาร่างเจ้าของวิ่งไปไกลพร้อมด้วยกองกำลังอัศวินที่วิ่งตามไปอีกจำนวนครึ่งพัน

สองสิงห์หนุ่มผู้มีถิ่นกำเนิดจากทะเลทรายทะลวงทัพของข้าศึกจนมาอยู่ในระยะที่เห็นหน้ากันชัดท่ามกลางฝุ่นที่ตลบอบอวลภายใต้แสงแดดจ้านี้ได้ในเวลาไม่นานนัก และนั่นหมายถึง ทัพของบาลโดสถูกตัดแบ่งเป็นสองครึ่งเป็นลากเส้นผ่านศูนย์กลางผ่าวงกลมมเป็นสองซีกนั่นเอง

“โอม... มนต์แห่งความกลัว (殺意の呪文 สะทสึอิ โนะ จุมง) พวกเจ้าจงเตรียมตัวตายได้แล้ว เจ้านักรบทะเลทรายแห่งจาปิโตสเอ๋ย”

ยิปสีดร่ายมนต์อย่างรวดเร็ว บรรดาทหารจาปิโตสสำเหนียกได้ด้วยประสาทที่หกของตนว่า บรรยากาศอันร้อนระอุ ลดอุณหภูมิลงอย่างเฉียบพลัน....ด้วยความน่าสะพรึงกลัว

--ไม่ได้การ!--

บาลโดสซึ่งยืนหยัดร่างขึ้นได้ในที่สุด และเปลี่ยนดาบมาถือมือซ้าย นึกในใจ หลังจากที่เขาสังหารร่างทหารเลวฝ่ายตรงข้ามที่บังอาจหาญเข้ามาหมายชีวิตเขาไปสอง-สามคน

มนต์ของยิปสีด เป็นมนต์ที่จัดในหมวดไสยดำหรือมนต์ดำ มีอานุภาพทำลายขวัญกำลังใจของทหารฝ่ายจาปิโตส และยิ่งเมื่อมันถูกนำออกมาใช้ในสภาพที่ฝ่ายจาปิโตสถูกโอบล้อมและเพิ่งถูกทะลวงตัดกลางทัพเช่นนี้ด้วยแล้ว ผลร้ายของมันเหนือคณานับ

“...”

หากแต่ยังไม่ทันที่เขาจะทำอะไรลงไปเพื่อแก้สถานการณ์ เขาก็พบว่าตนถูกล้อมไว้ด้วยทหารแพลททิเซลเวอร์ชุดใหม่ และเมื่อหันมองไปทางด้านหนึ่ง ร่างงามของราชินีศักดิ์สิทธิ์ในชุดอัศวินสีขาวซึ่งกำลังยืนอยู่บนรถศึกที่เทียมด้วยม้าสองตัวและมีคนขับรถเป็นอัศวินหนึ่งคนก็กำลังมุ่งหน้าตรงเข้ามา

“ยอมจำนนเสียเถิด บาลโดส เจ้าไม่มีทางชนะแล้ว!” ลิตเติลสโนว์ชิงเอ่ยข่มขวัญก่อน

ที่จริง การณ์ล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้ว จนเมื่อมนต์ทำลายขวัญข้าศึกถูกนำออกมาใช้ ที่เหลือ ทัพหลวงแพลททิเซลเวอร์ก็เพียงแค่บดขยี้กำลังฝ่ายตรงข้าม-ซึ่งกำลังเสียขวัญ- ทีละครึ่ง จากการที่ยิปสีดและเซลเอดอะดลัสได้ตัดแบ่งทัพของข้าศึกเอาไว้แล้ว แต่หลังจากลิตเติลสโนว์มองวิเคราะห์สถานการณ์โดยละเอียด เธอก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผนของตนเองเป็นครั้งแรกในการศึกครั้งนี้

--หากจับเป็นบาลโดสได้ก่อน ก็ย่อมยุติศศึกนี้ได้โดยไม่ต้องนองเลือดกันมากกว่านี้--

“ท่านเองรึ ราชินีลิตเติลสโนว์...”

บาลโดสยืนถ่างขา หันหน้าไปประจันกับอีกฝ่ายเต็มตัว ร่างกายท่อนบนยังคงชโลมด้วยโลหิตจนแดงฉาน ดาบเล่มโตถือจังก้าอยู่ในมือซ้าย

“ทหาร จับตัวเขาไว้!”

สิ้นเสียงราชินี ทหารอัศวินจำนวนนับสิบกรูเข้าหาบาลโดสทันที หากแต่ได้รับการตอบสนองจากอีกฝ่ายด้วยดาบเล่มโตนั้น

เคร้ง ๆ ๆ ๆ

เสียงดาบกระทบกันดังสนั่น แทรกขึ้นในสมรภูมิที่สับสนอลหม่าน อัศวินสอง-สามคนถูกดาบเล่มโตฟาดกระแทกดาบของตนกระเด็นไปก่อนที่จะถูกฟันเข้าที่ร่างอย่างรวดเร็วจนล้มลงไปกองอยู่กับเท้าของบาลโดส อัศวินที่เหลือจด ๆ จ้อง ๆ หาจังหวะ

ลิตเติลสโนว์เม้มริมฝีปากแน่น มือขวาเอื้อมมือไปจับด้ามดาบของตนแล้วดึงมันออกมาช้า ๆ ขณะที่มือซ้ายสอดเก็บไม้เท้าปัญญาไว้กับช่องเก็บที่ข้างรถศึก สายตาของเธอจับจ้องการต่อสู้ระหว่างบาลโดสกับทหารของตนแทบไม่กระพริบ

แต่ยังไม่ทันที่ปลายดาบจะหลุดพ้นฝัก มือของเธอก็ถูกกุมไว้ด้วยใครบางคน

ลิตเติลสโนว์ใจหายวาบ แต่เมื่อหันไปมองก็ลอบผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

“เอลทิน่า?!!!”

“จะให้จับตาเฒ่านั่นใช่ไหม? ข้าจัดการเอง ราชินี”

“แล้ว... ทางปีกขวาล่ะ?” เด็กสาวผมเงินย่อมหมายถึงกองกำลังของเอลทิน่าที่แยกออกไปรบกับปีกซ้าย

“ฮิฮิ” สาวผมแดงยิ้มกว้าง พลางหลิ่วตาให้อย่างขี้เล่น เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดบนหน้าผากช่วยให้หน้านั้นดูคมเข้มขึ้นอีกลักษณะหนึ่ง

ฝ่ายบนรถศึกสบตาฝ่ายที่ยืนบนพื้นนิ่ง ก่อนจะค่อย ๆ สอดดาบตัวเองกลับเข้าฝัก

เอลทิน่าถีบตัวเองกระโจนเข้าหาบาลโดสซึ่งกำลังควงดาบใหญ่ของตนห้ำหั่นกับอัศวินสองนายพร้อม ๆ กันอย่างดุเดือดอยู่ทันที

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1