มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ศึกจาปิโตส: ฤทธิ์แห่งเจ้าทะเลทราย

ตีพิมพ์ครั้งแรก 18 พ.ค 46

ภาพของพระราชวังอันโอ่อ่าปรากฏให้เห็นชัดเจนเบื้องหน้าไกลออกไปท่ามกลางไอร้อนระอุ ยอดแหลมบนหลังคาวังที่สะท้อนแสงอาทิตย์อันเจิดจ้าของทะเลทราย ทอรัศมีแรงกล้าน่าเกรงขาม และรอบนอกของบริเวณที่เห็นว่าเป็นสิ่งก่อสร้างวิจิตรตระการตานั้น คือ รั้วอันสูงใหญ่ และก่อสร้างอย่างแข็งแรง ซึ่งล้อมรอบด้วยสิ่งปลูกสร้างนับร้อยหลังคาเรือนที่ปลูกเรียงรายอย่างเป็นระเบียบอีกชั้นหนึ่ง

ที่นี่คือ โอเอซิสที่ใหญ่ที่สุดในทะเลทรายจาปิโตส และเป็นที่ตั้งของวังหลวงแห่งจาปิโตส อันล้อมรอบด้วยกำแพงวังอันหนาแน่น และชุมชนอันมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นขุนนางและอดีตขุนนางในวังและบรรดาครอบครัวของพวกเขานั่นเอง

กองทัพของแพลททิเซลเวอร์เพิ่งจะบรรลุมาถึงชุมชนด้านนอก ก็ต้องพากันหยุดฝีเท้าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน

-- เงียบเกินไป --

ใช่ พวกเขาไม่สำเหนียกถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณนั้นเลย เหมือนเมืองทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้างไปแล้วกระนั้น

ยิ่งไปกว่านั้น ลางสังหรณ์ประหลาดเริ่มเข้าเกาะกินจิตใจบรรดานายทหารน้อยใหญ่ของแคว้นศักดิ์สิทธิ์โดยทั่วหน้า ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างไร้เหตุผลเริ่มก่อตัวเข้าจับก้นบึ้งของหัวใจ...

-- ที่นี่มีอันตราย!--

อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังรอรับฟังคำสั่งจากจอมทัพสูงสุด- ราชินีลิตเติลสโนว์ที่คุมทัพมาเองในครั้งนี้- ด้วยความสงบ

...

“!!!”

ลิตเติลสโนว์เองก็กำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนรถศึกของตนเช่นกัน ด้วยญาณสัมผัสของเธอมีหรือว่าเธอจะไม่รับรู้ถึงมหาภัยที่อยู่ใกล้ ๆ นี้

เมื่อวานซืนนี้เองที่ทัพหลวงของเธอ ประทะกับทัพใหญ่ของจาปิโตส และก็กำชัยชนะไว้ได้อย่างเด็ดขาด ขุนพลทั้งสามคนที่มาร่วมศึกครั้งนี้ด้วยของฝ่ายแพลททิเซลเวอร์ทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งเซลเอดอะดลัส, ยิปสีด และโดยเฉพาะเอลทิน่า ซึ่งเป็นเจ้าของผลงานบดขยี้ทัพย่อยของนักรบทะเลทรายจำนวนพันคนลงได้อย่างรวดเร็วเกินความคาดหมาย และเป็นผู้เข้าจับเป็นขุนพลเฒ่าบาลโดสไว้ได้ด้วยวิชากังฟูของตน

ทัพของแพลททิเซลเวอร์ได้รับความสูญเสียไม่มากนัก ไพร่พลที่เสียชีวิตอย่างไม่มีวันจะฟื้นกลับมามีจำนวนเพียง 700 คนจากจำนวนทหารที่เข้าศึกทั้งสิ้น 3800 คน ซึ่งนับว่าน้อยมากหากเทียบกับการสัประยุทธอันดุเดือดในสมรภูมิทะเลทรายซึ่งทหารส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยนี้

ที่เหลือเป็นบรรดาไพร่พลที่รับบาดเจ็บทั้งปางตายและบาดเจ็บไม่มากนัก ซึ่งก็ได้รับเวทย์รักษาของลิตเติลสโนว์กันถ้วนหน้า ทำให้พวกเขาพร้อมที่จะรบต่อไปได้อีก และหลังจากจัดกำลังใหม่ ไพร่พลพร้อมรบภายใต้บังคับบัญชาของขุนพลแต่ละคนก็เป็นดังนี้

  • ทัพหลวง ภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของลิตเติลสโนว์ อัศวิน 1100 นาย
  • กองกำลังของเซลเอดอะดลัส นักรบทะเลทราย 150 คน อัศวิน 400 นาย
  • กองกำลังของยิปสีด นักรบทะเลทราย 50 คน อัศวิน 500 นาย (โอนนักรบทะเลทรายส่วนหนึ่งกลับมาจากกองกำลังของเซลเอดอะดลัส)
  • กองกำลังของเอลทิน่า อัศวิน 900 นาย- ซึ่งเป็นกองกำลังที่สูญเสียมากที่สุดในศึกที่ผ่านมา คือ เสียชีวิตไป 300 จาก 1200 หรือคิดเป็น หนึ่งในสี่เลยทีเดียว
และกองกำลังของยิปสีดบัดนี้ได้ร่นถอยลงไปอยู่แนวหลัง เพื่อทำหน้าที่เป็นกองกำลังควบคุมเชลยศึกที่ได้ทำการปลดอาวุธเรียบร้อยแล้ว

เชลยศึกอันเริ่มด้วยอดีตแม่ทัพบาลโดสซึ่งถูกจับเป็นจนได้ และถูกเอลทิน่าใช้วิชาจี้สกัดจุดตามแบบวิชายุทธของเธอ ทำให้แม่ทัพเฒ่าผู้นี้ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้

และนักรบทะเลทรายของจาปิโตสที่ยอมจำนน เมื่อเห็นว่าแม่ทัพของตนถูกจับกุมแล้ว มีจำนวนถึง 1000 คนซึ่งเป็นกองกำลังที่เดิมมีจำนวน 3000 ภายใต้การนำของบาลโดสโดยตรงทั้งหมดและถูกยุทธการโอบล้อมของฝ่ายแพลททิเซลเวอร์ทำลายไปถึงสองในสามเลยทีเดียว ในขณะที่กองกำลังแยกจำนวน 1000 คนที่ประทะกับกองกำลังของเอลทิน่านั้น ได้ล่มสลายไปก่อนหน้านั้นแล้ว... ทั้งนี้ หากการจับกุมตัวบาลโดสช้ากว่านั้น ประวัติศาสตร์ก็คงจะได้บันทึกไว้ถึงการรบอันโหดเหี้ยมอีกครั้งหนึ่งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน เมื่อทัพของจาปิโตสต้องถึงแก่การราพนาสูรเป็นแน่...

กล่าวโดยสรุป ยุทธการตีวังหลวงจาปิโตส จึงมีกองกำลังที่เข้าร่วมเพียงสามกอง คือ กองกำลังของลิตเติลสโนว์, เซลเอดอะดลัสและเอลทิน่า

...

“กึก ๆ ๆ ๆ”

เสียงกุกกักที่เกิดขึ้นใต้พื้นทะเลทรายที่ทุกคนเหยียบอยู่ ตามด้วยความสั่นสะเทือนน้อย ๆ ทำให้สีหน้าทุกคนเริ่มส่อแววหวาดหวั่น

ความหวาดหวั่นกับสิ่งที่มองไม่เห็น ความเกรงขามต่อสิ่งที่อยู่เหนือกว่าตน...อันเป็นสัญชาตญาณดิบของมนุษย์นั่นเอง

และแล้ว...

ครืน!

“โอ๊ว!”

เกิดระเบิดขึ้นลูกใหญ่ ณ ใจกลางกองกำลังกองเอลทิน่าซึ่งอยู่ทางปีกขวา ไม่สิ มันหาใช่การระเบิดไม่ แต่เป็นการที่ ‘อะไรบางอย่าง’ โผล่พรวดขึ้นจากใต้ผืนทะเลทรายอย่างรุนแรงนั่นเอง พาให้ทหารอัศวินที่อยู่บริเวณนั้นถูกกระแทกร่างกระเด็นขึ้นไปกลางอากาศด้วย

และแล้วทุกคนก็ได้เห็น...

แมงป่องทะเลทรายตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่ทุกคนเคยเห็นมา เฉพาะส่วนที่โผล่ขึ้นมาพ้นผืนทราย ก็ยาวถึงห้าเมตรแล้ว ขาหน้าของมันยาวถึงกว่าห้าเมตรและประดับไว้ด้วยก้ามอันโต

ร่างของแมงป่องทะเลทรายยักษ์พับตัวลงมาบนพื้นดินหลังจากที่ยืดตัวขึ้นไปกลางอากาศจนสูงสุด ขาเรียวแหลมอีกข้างละสามข้างที่โผล่พ้นพื้นทะเลทรายขึ้นมา กระแทกลงยืนปักหลักบนพื้นอย่างมั่นคง ขณะที่ขาหน้าซึ่งมีก้ามยักษ์น่าสะพรึงกลัวนั้นยังคงยกลอยอยู่กลางอากาศ กองทหารของเอลทิน่าแตกฮือไม่เป็นขบวนทันที ร่างของทหารเคราะห์ร้ายที่หนีไม่ทัน ถูกลำตัวของสัตว์ยักษ์กระแทกทับเข้าอย่างแรงจนนอนกองอยู่ใต้นั้นนั่นเอง

“?!!!”

ลิตเติลสโนว์หน้าซีดเผือด มองสัตว์ยักษ์นี้อย่างตื่นตะลึง ก่อนที่จะรีบสั่งการว่า

“ทหารทุกกอง ถอยออกมาห่างจากมันเดี๋ยวนี้!”

คำสั่งของเธอยังไม่ทันได้รับการถ่ายทอดไป สัตว์ยักษ์แห่งทะเลทรายก็ออกลวดลายทันที ก้ามอันใหญ่โตไล่งับร่างของอัศวินอย่างกระหายเลือด ความคมของก้ามของมันถึงขนาดที่ร่างกายของผู้ถูกหนีบถูกตัดเป็นสองท่อน พร้อมกับที่โลหิตกลายเป็นสีดำ... พิษของมันที่ฉีดออกจากคมก้ามนั่นเอง!

“ไม่ได้การ... นี่มัน...”

เซลเอดอะดลัสเองก็หน้าซีดเผือด เหงื่อตกเต็มหน้าผากพลางต่อคำพูดของตนเองในใจ

--ซามอน บาจิอัลด์--

แมงป่องทะเลทรายยักษ์ อันได้ชื่อว่าเป็นสัตว์อสูรและเป็นราชาแห่งทะเลทรายตัวจริง...

และผู้ที่สามารถเชิญสัตว์ยักษ์นี้มาปรากฏตัวได้ มีเพียงผู้เดียวในแต่ละยุคสมัย...

กาหลิบแห่งจาปิโตส!

บทคาถาซามอน บาจิอัลด์ เป็นบทคาถาที่อนุญาตเฉพาะกาหลิบแห่งจาปิโตสเท่านั้นที่จะได้มีสิทธิ์อ่านตำราโบราณนั้นจากในห้องหนังสือของวังหลวง ผนวกกับของวิเศษคู่กายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องประดับกายของชุดกาหลิบและพลังเวทย์อันแกร่งกล้า จึงจะอัญเชิญบาจิอัลด์มหาภัยนี้มาอยู่ใต้อาณัติของตนได้

ที่จริง กาหลิบปัจจุบัน คาร์มา เลอ ลูยังนับว่าเยาว์วัยนัก และเพิ่งขึ้นครองตำแหน่งได้ไม่นาน นึกไม่ถึงเลยว่า เขาจะใช้เวทย์นี้ได้แล้ว

ครั้งสุดท้ายที่มีผู้เคยเห็นสัตว์อสูรอันร้ายกาจนี้ คือ เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว โดยครั้งนั้นแน่นอนว่าเป็นฝีมือของบิดาของคาร์มา เลอ ลู

“ฮึ่ม แมงผีของข้า จงออกมา! มาไคจู โนะ จุมง 魔虫群の呪文”

เซลเอดอะดลัสควบ ‘อูฐ’ วิ่งออกจากกองกำลังของตนทันที พลางร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เวลามาผูกตัวเองติดกับกองกำลังใด ๆ แล้ว!

“ย้าก! หมัดลมปราณ”

ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง เอลทิน่าก็กำลังพุ่งตัวเข้าหาเจ้าสัตว์ยักษ์อย่างไม่หวาดกลัว หรือกล่าวให้ถูกต้องคือ เธอกลัวมันจนบ้าดีเดือดไปเสียแล้ว เพียงแค่เวลาสั้น ๆ ที่มันโผล่ขึ้นมา ทหารภายใต้สังกัดของเอลทิน่าก็สังเวยชีวิตไปแล้วถึงเกือบครึ่งร้อย!

ตูม! ตูม! ตูม!

ออร่าของพลังลมปราณถูกกระแทก ‘ขึ้น’ ไปกระทบตรงส่วนหัวของแมงป่องยักษ์ทันที หมัดสุดท้าย เอลทิน่าถึงกับใช้ความไวพุ่งกระโดดสวนกับก้ามของมันที่พุ่งลงมาหมายจะตะครุบตัวเธอได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะพาร่างของตนลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วบรรจงประเคนหมัดลงบนแสกหน้าของเจ้าสัตว์ร้ายอย่างแม่นยำ

ร่างของสัตว์ร้ายผงะไปนิดหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าหมัดลมปราณของเอลทิน่าหาได้ทำอันตรายใด ๆ แก่มันได้ไม่ ผิวกายของมันถูกหุ้มด้วยเปลือกซึ่งแข็งแกร่งเกินไป!

ขณะที่ร่างของเอลทิน่ากำลังลอยตัวลงสู่พื้นนั่นเอง ก้ามยักษ์ก็พุ่งเข้ามาอย่างเหมาะเจาะ

“...”

หญิงสาวหน้าซีดเผือด เธอไม่อยู่ในสภาวะที่จะหลบการโจมตีครั้งนี้ได้เลย แต่แล้วด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอด สาวผมแดงบิดตัวเล็กน้อยกลางอากาศ และในจังหวะที่ก้ามยักษ์ของสัตว์ร้ายกำลังหนีบเข้าหาตัวเธอนั่นเอง นักบู๊สาวก็ชกหมัดทั้งสองข้างของตนออกไปข้างลำตัวพร้อมกัน

พลั่ก!

เสียงสนับมือกระแทกเข้ากับด้านในของก้ามที่กำลังบีบเข้ามาทั้งสองด้านดังเกือบจะเป็นเสียงเดียวกัน แรงกระแทกจากการที่หญิงสาวต่อยสวนออกไปข้าง ๆ พร้อมกัน ทำให้ต้านแรงบีบของก้ามยักษ์นั้นได้ชั่วขณะหนึ่ง และนั่นก็เพียงพอแล้ว

ร่างของหญิงสาวหลุดลอดลงมาบนพื้นทรายได้อย่างปลอดภัย แต่ยังไม่ทันได้หายใจ เธอก็ต้องสปริงตัวหลบฉากอย่างรวดเร็วไปด้านหลัง

สวบ!

คล้อยหลังร่างของเธอไปเพียงเสี้ยววินาทีเดียว ก้ามอีกข้างหนึ่งของบาจิอัลด์ก็ปักกระแทกลงบนพื้นทรายตำแหน่งนั้นอย่างแรง

“ฮึ่ม... อุ๊บ”

เอลทิน่าซึ่งถอยฉากไปยืนย่อตัวต่ำ แหงนหน้าขึ้นมองสัตว์นรกนั้นอย่างเจ็บแค้น ต้องร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อลดสายตาลงมาที่หมัดทั้งสองข้างที่กำลังยกขึ้นมากำไว้ระดับไหล่ ก็พบว่า...

สนับมือเหล็กของเธอ แตกละเอียดไม่มีชิ้นดี พร้อมกับที่เลือดสด ๆ กำลังไหลออกจากง่ามนิ้วทั้งสองข้างอย่างช้า ๆ!

“โจมตีมัน!”

เสียงคุ้นหูดังขึ้น เอลทิน่าไม่ต้องหันไปมองก็จำได้ว่าเป็นเสียงเซลเอดอะดลัสนั่นเอง หางตาของหญิงสาวจับภาพของเงาสีแดง ๆ นับหลายสิบเงาพุ่งจากด้านหลังของเธอตรงเข้าไปหาสัตว์อสูรเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว

ฝูงแมงป่องทะเลทรายของเซลเอดอะดลัสนั่นเอง

แต่แล้ว การต่อสู้ด้วยฝูงแมงป่องทะเลทรายก็จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อทันทีที่ปากเล็ก ๆ ของแมงป่องยักษ์บาจิอัลด์อ้าออก แล้วปล่อยควันสีขาว ๆ ออกมาสายหนึ่ง แมงป่องของเซลเอดอะดลัสก็มีอันหยุดชะงัก แล้วพากันหนีหายจมลงใต้พื้นทะเลทรายอย่างรวดเร็ว

“หึ... สมกับเป็นเจ้าทะเลทราย...”

เสียงของเซลเอดอะดลัสรำพึงอย่างขื่น ๆ จริงสิ ก็ในเมื่อสัตว์ร้ายตรงหน้ามีศักดิ์ศรีเป็นถึงสัตว์อสูรเจ้าทะเลทรายแล้วไซร้ สัตว์เลี้ยงของเขาซึ่งเป็นเพียงแมงป่องทะเลทรายธรรมดาไหนเลยจะหาญเข้าไปต่อกรด้วยได้เล่า

“เอาไงกันดีล่ะท่าน?”

เอลทิน่าหันไปมองอีกฝ่ายก่อนจะรีบหันกลับมาจ้องมองการเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรตรงหน้าอย่างไม่กล้าให้มันคลาดสายตา หมัดลมปราณของเธอไม่ได้ผล และตอนนี้สนับมือก็เสียหายไปแล้ว พร้อมกับที่มือของเธอได้รับบาดเจ็บด้วย เธอหมดอาวุธจะสู้กับมันเสียแล้ว

“คาถาบทถัดไปของข้ายังมีอยู่ แต่...”

“แต่?”

“มันยาวนะสิ... ท่านช่วยหลอกล่อมันไว้ก่อนได้ไหม?”

“หา? อะไรนะ โอ๊ะ!”

ยังไม่ทันที่เอลทิน่าจะโวยวาย ก้ามทั้งสองอันของเจ้าแมงป่องยักษ์ก็พุ่งเข้าโจมตีเธออีกคำรบหนึ่งพร้อมกับร่างของมันที่ขยับพ้นพื้นทรายขึ้นมาอีกหนึ่งเมตร และขาอีกหนึ่งคู่ที่โผล่ออกมา... เจ้าตัวนี้มีขากี่ข้างกันแน่นะ? แวบหนึ่งที่เอลทิน่าสงสัยแต่ก็รีบลืมมันไปทันที เวลานี้หาใช่เวลามาสงสัยอะไรใด ๆ ไม่

สวบ!

ก้ามยักษ์ทั้งสองสลับกันแทงใส่เอลทิน่าอย่างไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนีไปได้ หญิงสาวได้แต่หลบไปมาอย่างหวุดหวิดเต็มที ร่ำ ๆ ที่ความเร็วของเธอจะลดลงจนไม่พอที่จะรักษาชีวิตอีกต่อไปนั้นเอง

“...ขอเทพพิทักษ์แห่งไฟธรรมชาติ ผนวกกับความร้อนแห่งทะเลทราย จงอำนวยอำนาจเวทย์แห่งเพลิงให้ข้าด้วยเถิด ระเบิดเพลิงอสูรฟ้า! (天魔爆炎 เทมมะ บะคุเอน)”

เซลเอดอะดลัสร่ายเวทย์จบ แล้วกางมือทั้งสองข้างทำท่าเหมือนผลักอะไรบางอย่างออกจากตัวเข้าหาบาจิอัลด์ อากาศบริเวณเบื้องหน้าของเขาบิดเบี้ยว ก่อให้เกิดภาพไอร้อนที่โย้ตัวไปมาอยู่สองสามวินาที ก่อนที่จะกลายเป็นดวงไฟขนาดมหึมาแล้วดีดตัวพุ่งเข้าหาร่างของแมงป่องทะเลทรายยักษ์ทันที

บรึม!

เสียงระเบิดดังลั่น ร่างของแมงป่องยักษ์ถูกไฟกองโตลุกท่วมจนมองไม่เห็นตัวมัน

เอลทิน่าซึ่งย่อตัวลงไปนั่งคุกเข่าข้างเดียวกับพื้น และเจ้าของเวทย์ระเบิดเพลิงอสูรฟ้ากลั้นหายใจมองกองไฟกองใหญ่นั้นอย่างใจจดใจจ่อ

...

อีกด้านหนึ่ง

ลิตเติลสโนว์ออกคำสั่งให้กองทหารของตนถอยออกจากบริเวณนั้นและให้รวบรวมกองกำลังทหารทั้งสามกองเข้าด้วยกัน ทั้งนี้ด้วยเพราะทหารอีกสองกอง ขณะนี้ขาดผู้บังคับบัญชาเสียแล้ว

ยังไม่ทันที่เด็กสาวจะควบคุมไพร่พลของตนให้พ้นจากความระส่ำระสายได้ดี เสียงกลองศึกก็ดังลั่นขึ้นจากด้านหลัง

พื้นทรายส่วนหนึ่งถูกเปิดขึ้นมา เผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้วมันเป็นแนวหลุมขนาดใหญ่ที่มีการขุดพรางไว้อย่างแนบเนียน

ลิตเติลสโนว์หรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด แน่นอน เธอมีเวลาไม่มากนัก เด็กสาวหันกายกลับไปทางด้านหลังตน แล้วร้องตะโกนเสียงลั่น

“ทหารทุกคน หันกลับไปด้านหลัง และยกโล่ขึ้น!”

และสิ่งที่โผล่จากหลุมพรางตัวนั้น คือ กองกำลังนักรบทะเลทรายอันห้าวหาญกองหนึ่ง ทั้งหมดอยู่บนหลังอูฐและกำลังวิ่งตรงเข้าโจมตีกองทัพแพลททิเซลเวอร์อย่างกระหายเลือด

ธนูห่าแรกถูกสาดเข้ามาแล้ว...

ทหารส่วนหนึ่งที่ทำตามคำสั่งของแม่ทัพสาวไม่ทัน ตกเป็นเหยื่อคมธนูอย่างสยดสยอง รูปแบบการยิงธนูของนักรบทะเลทรายกองนี้มีประสิทธิภาพไม่น้อยเลยทีเดียว ร่างของทหารอัศวินเคราะห์ร้ายที่ตกเป็นเหยื่ออาวุธบินนี้ มีลักษณะไม่ผิดอะไรกับตัวเม่นที่มีหนามยาว ๆ งอกเต็มร่าง ในขณะที่ทหารส่วนใหญ่ที่ยกโล่ขึ้นทัน ก็ใช่ว่าจะรอดพ้นชะตากรรมได้ด้วยดี เมื่อธนูส่วนหนึ่งยังคงรอดพ้นขอบโล่เข้ามาทำร้ายพวกเขาได้บ้าง

“ฆ่ามัน!” ฯลฯ

เสียงโห่ร้องข่มขวัญดังลั่นจากฝ่ายโจมตี กองกำลังบนหลังอูฐเคลื่อนเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว การรบแบบตะลุมบอนเริ่มขึ้น

-- รูปขบวนหัวหอกรึนี่?--

ราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์คิดในใจ เมื่อตระหนักได้ถึงการจัดรูปขบวนของฝ่ายตรงข้าม

และดูเหมือนว่าหัวหอกของรูปขบวนทหารฝ่ายตรงข้าม กำลังพุ่งเป้ามาที่เธอ ซึ่งอยู่บนรถศึกเห็นเป็นจุดเด่นเสียด้วย!

ร่างของอัศวินเดินเท้าถูกบุกทะลวงฟันล้มตายเป็นรายทาง หัวหอกของกองกำลังจาปิโตสที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่นี้ นำโดยร่างของนักรบหนุ่มในชุดลงอาคมที่คล่องแคล่ว และแล้ว เขาก็ประกาศเสียงดังลั่น เมื่อเข้ามาได้ระยะที่เห็นหน้าของราชินีผมเงินชัดเจนว่า

“ข้าคาร์มา เลอ ลู แห่งจาปิโตส จะขอชีวิตของเจ้าเป็นเครื่องเซ่นสังเวยวิญญาณแห่งทะเลทราย ณ บัดนี้!”

ดาบอัศวินถูกกระชากออกจากฝักที่สะพายไว้ข้างเอวของราชินีลิตเติลสโนว์ทันที

และอีกอึดใจถัดมา ดาบเล่มยาวของคาร์มา เลอ ลู ก็ฟันแหวกอากาศเข้ามาหา


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1