มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ศึกจาปิโตส: มหาเวทย์เลอเดลเฟซ

ตีพิมพ์ครั้งแรก 27 ม.ค 2547

ร่างของแมงป่องทะเลทรายยักษ์ทอแสงสว่างวาบขึ้น ขาข้างที่ถูกหักไปโดยฝีมือของเอลทิน่า กลับงอกใหม่ออกมาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความตกตะลึงของนักบู๊สาวที่ยืนหน้าซีดเผือดอยู่ตรงหน้า

“ตายซะ!”

เป็นเสียงของกาหลิบหนุ่มที่ดังมาจากส่วนศีรษะของบาจิอัลด์

ก้ามยักษ์จากขาหน้าของซามอนบาจิอัลด์ฟาดโครมเข้ามาที่ตำแหน่งที่นักบู๊สาวผมแดงยืนอยู่ทันที หากแต่ฝ่ายหลังยังคงมีสติพอที่จะสปริงตัวถอยหลังหลบไปได้ แต่เธอก็ไม่มีเวลาหยุดพักคิดหรือหายใจได้นานนัก เมื่อการโจมตีระลอกถัดไปตามมาติด ๆ

ในจังหวะนั้นเอง...

ปัง ๆ ๆ

เสียงพลุสัญญาณดังมาจากด้านของวังหลวงจาปิโตส เหล่าทหารน้อยใหญ่ของแพลททิเซลเวอร์ซึ่งอยู่ห่างจากตัวของแมงป่องยักษ์พากันหันไปมองทางต้นเสียง และก็ทันเห็นดอกไม้ไฟที่พุ่งขึ้นไปกลางอากาศ พวกเขาโห่ร้องออกมาอย่างดีใจ

--เซลเอดอะดลัสยึดวังหลวงของจาปิโตสได้แล้ว!--

ลิตเติลสโนว์เองก็สั่งการทันทีเช่นกัน

“ทหารทุกหน่วย ถอนตัว มุ่งหน้าเข้าที่หมายที่สอง!”

แน่นอน ‘ที่หมายที่สอง’ ย่อมหมายถึงวังหลวงจาปิโตสที่เพิ่งยึดได้นี้เอง

กองทหารอัศวินภายใต้การบังคับบัญชาของราชินีศักดิ์สิทธิ์และนักบู๊สาวล่าถอยอย่างเป็นระเบียบตามที่ได้นัดแนะไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยมีเอลทิน่าและทหารกล้าตายรั้งท้ายคอยรบถ่วงเวลาซามอน บาจิอัลด์ซึ่งทวีความดุร้ายขึ้นเรื่อย ๆ... ซึ่งที่จริงต้องกล่าวว่า เป็นการวิ่งล่อหลอกถ่วงเวลาจะถูกต้องกว่า มนุษย์ตัวเล็ก ๆ ไม่มีอะไรจะไปต่อกรกับสัตว์อสูรเจ้าทะเลทรายนี้ได้เลย!

ออร่าที่ห่อหุ้มร่างของเอลทิน่าจางลงทุกขณะ อันเป็นสัญญาณว่า หญิงสาวเริ่มหมดพลังทั้งกายใจที่จะต่อสู้ต่อไปได้แล้วในการสู้ที่มองไม่เห็นแววแห่งชัยชนะนี้ ร่างกายท่อนบนของเธอโชกโลหิตที่หลั่งไหลจากไหล่ซ้ายซึ่งโดนอาวุธ

ในจังหวะที่เธอล่าถอยมาจนเกือบถึงกำแพงวังจาปิโตสนั่นเอง

ร่างของใครบางคน ก็ทะยานมายืนเคียงข้างเธอ อย่างไม่เกรงกลัวต่อเจ้าแมงป่องยักษ์ตรงหน้า ทั้งนี้ นักบู๊สาวย่อมเป็นเป้าหมายหลักที่เจ้าแมงยักษ์มุ่งร้ายนั่นเอง

‘ราชินี!’

เอลทิน่าเรียกชื่อบุคคลผู้มาใหม่ในใจ ใช่ ราชินีศักดิ์สิทธิ์ในชุดเสื้อเกราะครึ่งตัวสีขาวบริสุทธิ์

“...”

ราชินีสาวไม่พูดอะไร ยื่นมือทั้งสองออกไปด้านหน้า โดยหันฝ่ามือไปทางแมงป่องทะเลทรายยักษ์ ลำแสงสว่างสีขาวเจิดจ้าที่สุดเท่าที่เอลทิน่าเคยเห็นมา พุ่งตรงจากฝ่ามือของราชินีผมเงินตรงไปยังศีรษะของมันทันที

ลำแสงเจิดจ้าขนาดที่เอลทิน่าเองก็ยังต้องหรี่ตา แม้ตนจะอยู่ด้านตรงข้ามกับลำแสงก็ตาม แต่สำหรับซามอนบาจิอัลด์ และกาหลิบเลอ ลูที่อยู่ในร่างฝ่ายแรก ย่อมรับแสงนี้เข้าไปเต็ม ๆ จนตาพร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่ง

ในความเจิดจ้าของลำแสงสว่าง ย่อมแฝงพลังงานปริมาณมหาศาลด้วย และแสดงออกในรูปของความร้อน หากแต่เวทย์แสงย่อมมิใช่เวทย์ไฟ อย่าว่าแต่เวทย์ไฟระดับระเบิดเพลิงอสูรฟ้าของเซลเอดอะดลัสยังทำอะไรมันไม่ได้เลย...

“ไป เอลทิน่า!”

เสียงใส ๆ ของราชินีดังขึ้นข้างตน เอลทิน่าได้สติทันที เวทย์แสงในครั้งนี้ของราชินีย่อมมีจุดมุ่งหมายเพื่อถ่วงเวลานั่นเอง หาได้เป็นเวทย์ทำลายแต่อย่างไรไม่

ร่างของสองสาวซึ่งแวดล้อมด้วยทหารอัศวินอีกจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นชุดสุดท้ายแล้ว วิ่งตรงเข้าไปในเขตกำแพงวังของจาปิโตสทันที

เวทย์ในฤทธิ์แสงนั้น โดยมากล้วนเป็นเวทย์รักษาหรือไม่ก็เวทย์มนต์เสริมกำลังทั้งสิ้น มีบ้างที่สามารถใช้เวทย์แสงสว่างเพื่อชำระล้างบรรดาวิญญาณหรือภูติผีชั่วร้ายได้ดั่งที่ลิตเติลสโนว์เคยใช้กับภูติที่ปล่อยมาจากแคว้นเอจู รวมทั้งยังมีผลในการทำลายต่อบรรดาอสูรชั้นต่ำบางชนิด และทหารผีโครงกระดูกสเกลตัน หากแต่ย่อมไม่มีผลทำลายต่อสิ่งมีชีวิตอื่นอีก เพียงแต่ในความเป็นเวทย์แสงสว่าง ย่อมสามารถทำให้นัยน์ตาของผู้ที่รับแสงสว่างอันเจิดจ้าเข้าไปโดยตรงเกิดอาการพร่ามัวได้ อีกทั้งหากรวบรวมแสงสว่างให้เป็นจุดเดียวอย่างเข้มข้น ก็ย่อมก่อให้เกิดความร้อนได้บ้าง แต่นั่นหาใช่วิธีการใช้เวทย์แสงอย่างถูกต้องไม่

ในบรรดาผู้ที่ใช้เวทย์แสงสว่างได้ จึงมักไม่สามารถเข้าร่วมในการรบโดยตรง หากแต่เน้นหนักไปทางด้านสนับสนุนการรบเสียมากกว่า นอกจากบางคนที่มีเวทย์แสงสว่างในการทำลาย เช่น เทวทูตไอร่าซึ่งบัดนี้ประทับอยู่กับแคว้นโฮลโบโกะของพวกมนุษย์วิหค หรือ อัศวินกรีเซอร์แห่งซิลีนิก

…

ในวังหลวงจาปิโตสนั้นเอง กองกำลังของเซฟเอลอะดลัสได้ควบคุมสถานการณ์ไว้เหนือฝ่ายเจ้าของบ้านเดิมหมดแล้ว ข้างกายเขา ยืนไว้ด้วยสตรีนางหนึ่งซึ่งลิตเติลสโนว์จำได้ดีทีเดียว

หญิงสาวผมทองนามชาร่าผู้นั้นเอง

“พวกข้าบุกโจมตีวังอยู่พักหนึ่งขอรับ และก็เผชิญกับการต้านทานจากกองกำลังอาสาสมัครภายใต้การนำของนางชาร่าผู้นี้เป็นหลัก”

เซลเอลอะดลัสรายงานให้ราชินีของเขาทราบ

“แต่แล้วนางก็มาเจรจากับข้า ขอให้แพลททิเซลเวอร์รับรองสวัสดิภาพของพลเรือนและทหารชั้นผู้น้อยของจาปิโตสทุกคน... อ้า ข้าจึงรับปากนางไป...”

ท้ายประโยค เซลเอดอะดลัสพูดไม่เต็มเสียงนัก เขาไม่อาจจะแน่ใจได้เลยว่าเขาหยั่งรู้จิตใจของราชินีสาวได้ถูกต้องหรือไม่ หากเธอเป็นเหมือนผู้นำใจแคบที่มักพบเห็นกันทั่ว ๆ ไปในโลกนี้ ปากก็บอกว่ามอบความรับผิดชอบและอำนาจการตัดสินใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่สามารถทำใจกว้างได้เช่นนั้นละก็... เขาคงลำบากทีเดียว

“เจ้าทำได้ดีมาก เซลเอดอะดลัส”

ลิตเติลสโนว์ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทันที จากนั้นหันไปทางชาร่า และยังมองเลยไปยังกลุ่มของทหารจาปิโตสที่ถูกปลดอาวุธแล้วและยืนอยู่ห่าง ๆ ภายใต้การควบคุมของนายทหารแพลททิเซลเวอร์ น้ำเสียงกังวานของราชินีศักดิ์สิทธิ์กล่าวกับพวกเขาโดยตรงว่า

“สิ่งใดที่เซลเอดอะดลัสรับปากกับพวกเจ้า ย่อมเสมือนเรารับปากด้วยตนเอง พวกเจ้าจงวางใจเถิด”

“โอ... ขอบพระคุณราชินี”

เหล่าทหารน้อยใหญ่ทรุดกายลงคุกเข่าพร่ำขอบคุณกันเซ็งแซ่

“ขอบพระคุณท่านราชินี” ผู้ช่วยของบาลโดสค้อมกายลงแสดงความเคารพเช่นกัน หากแต่สำหรับรายหลังนี้ เธอต่อด้วยคำพูดที่ว่า

“แต่สำหรับข้า คงมิอาจเอื้อมขอความเมตตาจากท่านกระมัง ข้าขอแสดงความรับผิดชอบต่อแผนลอบสังหารท่านในฐานะผู้นำกระถางต้นไม้ปิศาจนั้นไปมอบแก่ท่าน...”

“...” ลิตเติลสโนว์หันไปยังชาร่า เธอหรี่สายตาลงเล็กน้อยยามที่เพ่งมองอีกฝ่าย ศีรษะที่ก้มต่ำทำให้เธอไม่สามารถสังเกตสีหน้าของฝ่ายนั้นได้ก็จริง แต่... บรรยากาศที่ห่อหุ้มรอบตัวของหญิงสาวทำให้ราชินีศักดิ์สิทธิ์หยั่งรู้สิ่งที่อยู่ในใจอีกฝ่ายได้... อย่างลางเลือนเต็มที

--เด็กน้อยเอย ระวังตัวด้วย นางกำลังท่องมนต์พลีชีพ!!!--

เสียงของเทพมังกรเงินซิลฟีดดังเตือนขึ้นในใจ ยามที่ราชินีถือไม้เท้าปัญญาไว้กับตัวเช่นนี้ สิ่งที่เธอรับรู้ย่อมถ่ายทอดไปยังเทพมังกรนางนั้นด้วย

“ข้าหยั่งรู้ได้แล้ว... เรื่องนั้น แต่...”

แต่... นางหาได้มีประสงค์ร้ายต่อพวกข้าไม่ ลิตเติลสโนว์ตอบอีกฝ่ายในใจ

ท่ามกลางบรรยากาศซึ่งเริ่มขมึงเครียดขึ้น อันเนื่องจากการที่ราชินีไม่ตอบรับคำกล่าวของเชลยสาว เซลเอดอะดลัสเองก็ได้แต่กลั้นหายใจมองบุคคลทั้งสองอยู่เงียบ ๆ

ราชินีผมเงินขยับตัวเล็กน้อย เธอชำเลืองสายตามายังขุนพลทะเลทรายหนุ่ม แล้วก็ยิ้มที่มุมปากแวบหนึ่ง เมื่อสำเหนียกถึงอะไรบางอย่างได้ ริมฝีปากคู่งามนั้นเอ่ยเอื้อนเป็นเสียงไพเราะว่า

“ชาร่า เจ้าวางใจเถิด เจ้าหาใช่ตัวการที่แท้จริงของการลอบสังหารไม่ ในครานั้น เจ้าย่อมมีทางเลือกเพียงทางเดียวคือ ปฏิบัติตามคำสั่งที่เจ้าแผ่นดินของเจ้าสั่งเท่านั้น ดังนั้นย่อมหามีความผิดใดไม่”

“โอ...” หญิงสาวผมทองเงยหน้าขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก แววตาส่อนัยขอบคุณอย่างเต็มเปี่ยม หากแต่ลึกลงไปในนั้น ยังแฝงความหมายยินดีอย่างอื่น อันทำให้ราชินีแห่งแพททิเซลเวอร์ต้องลอบถอนใจ หากแต่เมื่อเธอชำเลืองไปพบว่าเซลเอดอะดลัสเองก็กำลังยิ้มแย้มดีใจอย่างออกนอกหน้า เธอก็ยิ้มออกมาได้ สิ่งที่เธอรู้สึกได้เมื่อครู่เป็นความจริงนั่นเอง

แต่รอยยิ้มของราชินีก็เลือนหายจากใบหน้างามนั้นทันที

“แมงอสูรยักษ์บุกขอรับ!”

ทหารสองสามนายวิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงาน

คิ้วของลิตเติลสโนว์ขมวดเข้าหากันจนชิด เธอชำเลืองสายตาไปยังชาร่าแวบหนึ่ง แล้วก็มีสีหน้าที่แสดงว่าเข้าใจสิ่งที่ตนสงสัยแล้ว

“ถอนกำลังเข้ามาในวังส่วนในเดี๋ยวนี้ ห้ามประทะกับมันอย่างเด็ดขาด”

ราชินีศักดิ์สิทธิ์สั่งการอย่างเฉียบขาด แล้วขยับตัววูบหนึ่ง วิ่งออกไปทันที พร้อมกับทหารที่รับคำสั่งไปถ่ายทอดซึ่งวิ่งนำหน้าไปแล้ว

“ราชินี นี่หมายความว่าอย่างไร?”

เซลเอดอะดลัสซึ่งวิ่งตามมาด้านหลัง ร้องถามมา

“หมายความว่า กำแพงวังนี้ป้องกันบาจิอัลด์ไม่ได้อย่างที่เราคิดกันนะสิ!”

คำตอบที่ได้รับถึงกับทำให้ขุนพลหนุ่มอึ้งไป อา! ถ้าเช่นนั้นจะรับมือแมงป่องพิโรธนี้อย่างไรเล่า?

ต้องรอจนกระทั่งมันอาละวาดจนสาแก่ใจและพลังชีวิตของคาร์มา เลอ ลูแห้งเหือดไปเองกระนั้นหรือ?

ฤๅศึกครานี้ จักจบด้วยการเสมอกัน อันได้แก่ความหายนะทั้งสองฝ่าย?

วูบหนึ่งที่เขาอดคิดอัปมงคลเช่นนั้นมิได้ แต่แล้วก็รีบสลัดความคิดนั้นออกไปโดยเร็ว

--หากราชินีศักดิ์สิทธิ์จะสิ้นชื่อเพียงนี้แลล้วไซร้ สิ่งที่นางเคยประกาศจะสร้างเขตสันติสุขแห่งมวลมนุษย์เพื่อยุติมหาศึกแห่งเนฟเวอร์แลนด์ที่กำลังจะบังเกิดขึ้นนั้น ก็เป็นเพียงคำกล่าวโอ่อวดแต่แรกแล้วสิ--

นางย่อมต้องจัดการกับคาร์มา เลอลู ได้อย่างแน่นอน เขาได้แต่เชื่อมั่นเช่นนั้น

...

ภาพที่ปรากฏต่อหน้าทำให้เด็กสาวจากต่างภพกัดริมฝีปากอย่างแรง

--โหดร้ายเกินไปแล้ว!--

แมงป่องยักษ์ ซามอนบาจิอัลด์กำลังอาละวาดฆ่าผู้คนและพังทลายสิ่งก่อสร้างในเขตวังหลวงจาปิโตสอย่างบ้าคลั่ง เบื้องหลังไกลออกไป กำแพงด้านหนึ่งถล่มลงมาเหลือแต่กองอิฐกองใหญ่ เป็นหลักฐานบอกว่า มันมาจากด้านใด

แน่นอนว่า ในเขตผืนดินแห่งโอเอซิสนี้ แมงป่องยักษ์ทะเลทรายย่อมมิสามารถจะดำดินได้ดั่งเช่นในเขตทะเลทราย นี่จึ่งเป็นเหตุผลที่มันต้องพังกำแพงเข้ามาซึ่ง ๆ หน้า หากมันสามารถโผล่จากใต้ดินได้แล้วไซร้ ป่านนี้ มันคงเลือกโจมตีที่บริเวณที่บรรดาลิตเติลสโนว์สนทนากันอยู่เมื่อครู่แล้วเป็นแม่นมั่น

ซากศพของผู้สังเวยชีวิตกองระเกะระกะอยู่ทั่วพื้นดิน มีทั้งทหารฝ่ายแพลททิเซลเวอร์ และฝ่ายจาปิโตส

โดยเฉพาะคนของฝ่ายจาปิโตสนั้น ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน หาใช่ทหารไม่ ด้วยทหารรักษาวังส่วนใหญ่ ถูกปลดอาวุธและควบคุมตัวไว้รวมกันอีกด้านหนึ่ง

อุปปาทานหรืออะไรก็เหลือเดา กลิ่นคาวโลหิตโชยมาแตะนาสิกของราชินีสาวจนเจ้าตัวรู้สึกสะอิดสะเอียน ภายในนั้นยังแฝงด้วยกลิ่นอายแห่งพิษร้าย และความเกลียดชัง-ความรู้สึกทอดอาลัย อีกทั้งความรู้สึกในทางลบทั้งมวล

“ราชินี หลบไปก่อนเถิด!”

เสียงใส ๆ ดังขึ้น เป็นน้ำเสียงของเอลทิน่านั่นเอง เธอปรากฏตัวในสภาพที่ยังมีผ้าพันแผลพันรอบไหล่ นักบู๊สาวเข้ารับการปฐมพยาบาลในทันทีที่เข้าสู่เขตวังหลวงจาปิโตสนั่นเอง ในบัดนี้ มือทั้งสองของหญิงสาวผมแดงสวมไว้ด้วยสนับมือคู่ใหม่อีกคู่หนึ่ง คงเตรียมมาสู้เต็มที่นั่นเอง แต่...

“เจ้านั่นแหละหลบไป เอลทิน่า!”

“เอ๊ะ?”

น้ำเสียงที่แฝงด้วยอารมณ์โกรธที่ถูกข่มไว้อย่างสุดความสามารถทำให้นักบู๊สาวถึงกับไม่อยากเชื่อหูตนเอง แล้วเธอก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า

ราชินีศักดิ์สิทธิ์สาวเท้ายาว ๆ ออกไป แล้วชูมือไปด้านหน้า- ตรงทิศที่บาจิอัลด์กำลังชูขาหน้าที่หนีบผู้คนไว้สองสามคนขึ้นกลางอากาศอย่างฮึกเหิม ลำแสงสีขาวเจิดจ้าถูกปลดปล่อยจากฝ่ามือของราชินีสาวไปยังส่วนหัวของแมงป่องยักษ์ทันที

“คาร์มา เลอลู เลิกอาละวาดเสียที เจ้าต้องการฆ่าคนไปเท่าไรจึงจะพอหรืออย่างไร? หากจะตายก็จงตายไปคนเดียวสิ อย่าได้หาเพื่อนร่วมทางไปด้วยเยี่ยงนี้!”

‘ศพ’ ที่อยู่ในก้ามขาหน้าของแมงป่องยักษ์ถูกเหวี่ยงมาทางด้านเด็กสาวที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่ทันที หากแต่ฝ่ายหลังสปริงตัวหลบได้ไม่ยากเย็นนัก อีกอึดใจถัดมา ศพที่กระแทกกับพื้นล้วนกลายสภาพเป็นสีดำสนิทด้วยพิษร้าย ซึ่งหากผู้ใดถูกเนื้อศพนี้เพียงเล็กน้อยแล้วไซร้ ย่อมถูกพิษไปตาม ๆ กันด้วย

อีกทางหนึ่ง ลำแสงที่กระทบเข้ากับส่วนหัวของแมงป่องยักษ์กลับหาได้ทำอันตรายใด ๆ กับมันไม่ เสียงอันเย็นยะเยียบดังจากส่วนนั้นว่า

“ข้าจะฆ่า ฆ่าให้หมดทุกคน! ไม่ว่าจะเป็นพวกผู้บุกรุก หรือ แม้แต่คนของข้าที่บังอาจทรยศ!”

“เจ้า...”

น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังขึ้นตอบคำถามของราชินีผมเงินทันที ฝ่ายหลังได้แต่สะทกสะท้อนใจ คำประกาศของกาหลิบแห่งจาปิโตสที่บัดนี้อยู่ในร่างของสัตว์อสูรเจ้าทะเลทราย-บาจิอัลด์นี้ได้ยินชัดเจนแก่หูของผู้ที่ยังคงรอดชีวิตอยู่บริเวณนั้นทุกคนซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกจาปิโตสเองก่อให้เกิดเสียงครางอย่างสิ้นหวังออกจากปากพวกเขาไปตาม ๆ กัน เงาร่างของทหารฝ่ายแพลททิเซลเวอร์จำนวนหนึ่งวิ่งออกมากันทั้งพลเรือนจาปิโตสและทหารพวกเดียวกันให้หลบฉาก ถอยออกห่างจากแมงป่องทะเลทรายยักษ์กันสับสน ทุกคนที่ยังคุมสติได้ ล้วนแอบชำเลืองมองท่าทีของประมุขทั้งสองแคว้นที่ประจันหน้ากัน

ร่างของลิตเติลสโนว์หยุดชะงักห่างจากแมงป่องยักษ์ราวสิบเมตร ในยามนี้ ทุกส่วนของสัตว์อสูรแห่งทะเลทรายนี้ล้วนปรากฏเหนือพื้นดินทั้งหมด หาได้มีบางส่วนจมอยู่ในพื้นทรายดังเช่นในการรบครั้งแรกสุดไม่ ทำให้ทุกคนในที่นั้นเห็นสภาพเต็มตัวของสัตว์อสูรนี้อย่างชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง พาให้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย

“กาหลิบ!”

“ราชินี!”

ชาร่าและเซลเอดอะดลัสวิ่งมาถึงบริเวณนั้นพร้อมกัน แล้วต่างต้องตระหนกกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า

“ตายเสียเถิด!”

เสียงของกาหลิบหนุ่มดังขึ้นก่อน แล้วร่างของสัตว์อสูรยักษ์ก็โผขึ้นกลางอากาศสูง ก่อนจะทิ้งตัวลงมาอย่างรวดเร็ว ก้ามยักษ์ทั้งสองข้างพุ่งตรงมายังร่างของเด็กสาวในชุดอัศวินสีขาวที่อยู่ตรงหน้า

“มหาเวทย์ เลอ เดลเฟซ!”

สองมือของลิตเติลสโนว์ถูกยกขึ้นมาประสานกันบริเวณทรวงอกของตน เธอหลับตาสำรวมสมาธิอย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้นแสงสว่างสีขาวรูปครึ่งทรงกลมก็แผ่พุ่งจากตัวเธอออกมารอบข้าง

แสงนี้หาใช่มหาเวทย์เลอเดลเฟซไม่ แต่มันเป็นม่านพลังกำบังอันตรายให้แก่ผู้ใช้เวทย์เลอเดลเฟซต่างหาก ม่านกำบัง (บาเรีย) นี้ขยายตัวออกอย่างรวดเร็วดุจโดมครึ่งทรงกลมที่คุ้มครองกายของลิตเติลสโนว์ และเมื่อขาหน้าอันเต็มไปด้วยพิษร้ายของสัตว์อสูรพุ่งเข้ามาประทะกับผิวม่านพลังนี้ ก็มีอันต้องกระเด็นกระดอนกลับไป

“!!!”

ร่างของแมงป่องทะเลทรายยักษ์ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ

และในจังหวะนั้นเอง

ท้องฟ้าพลันสว่างไสวขึ้น กลุ่มเมฆาเบื้องบนล้วนจางหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือแต่ดวงจันทราที่ทอแสงนวล แสงสว่างรูปหอกแหลม พุ่งตรงจากฟากฟ้าลงสู่ร่างของซามอนบาจิอัลด์อย่างหนักหน่วงคราหนึ่ง-นี่จึงเป็นแสงจากมหาเวทย์เลอเดลเฟซอันแท้จริง เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างเงียบสงัด หากแต่ในสายตาทุกผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้น มองเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนและดูเหมือนภาพช้า (สโลว์โมชัน) ที่เกิดพร้อมกับเสียงครืนยามหอกแสงศักดิ์สิทธิ์แทงลงจากฟ้านั้น

“ววกกกกกกกกกกก”

แต่เสียงนี้กลับเป็นเสียงจริง เสียงอันฟังไม่ได้ศัพท์ว่าเป็นเสียงอะไร หากแต่รู้ว่าเป็นเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังจากร่างของแมงป่องทะเลทรายยักษ์

มันคือเสียงร้องครั้งสุดท้ายของสัตว์อสูรตนนี้นั่นเอง

ร่างยักษ์ยาวร่วมสิบเมตรของบาจิอัลด์ทรุดร่วงลงมากองกับพื้น แล้วค่อย ๆ สลายตัวเป็นซากขี้เถ้ากองอยู่บนพื้น

พร้อมกับที่บาเรียป้องกันของลิตเติลสโนว์ก็สลายหายไปเช่นกัน

ไม้เท้าปัญญาถูกปล่อยออกจากมือของเด็กสาวผมเงิน หากแต่มันสามารถตั้งลำตรงอยู่บนพื้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากได้ล้มไปนอนไม่

ส่วนมือขวาของราชินีสาวเลื่อนไปแตะด้ามดาบที่สะพายอยู่ที่สะโพกด้านซ้ายช้า ๆ...

ขณะที่บรรดาทหารและพลเรือนผู้อยู่ในบริเวณนั้นกำลังมีสีหน้าดีใจและชื่นชมที่สามารถปราบเจ้าสัตว์ร้ายนี้ได้ลงอย่างราบคาบด้วยเวทย์ชั้นสูงเพียงครั้งเดียวนี้ เอลทิน่า, เซลเอดอะดลัสก็เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

ราชินีของพวกเขายังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดจ้องมองไปทางซากของบาจิอัลด์อย่างไม่ลดละ ส่วนมือขวาของเธอนั้นเล่า...

และในพริบตานั้น พวกเขาก็ได้คำตอบ

เงาร่างสายหนึ่งพุ่งตรงจากซากเถ้าถ่านซึ่งเคยเป็นร่างของอสูรแห่งทะเลทราย ตรงเข้าหาราชินีศักดิ์สิทธิ์ ประกายขาว ๆ วาบวับที่สะท้อนกับแสงจันทร์บอกให้รู้ถึงอาวุธดาบเล่มหนึ่งที่เจ้าของเงานี้ใช้เป็นอย่างดี

เคร้ง!

ลิตเติลสโนว์กระชากดาบออกจากฝักแล้วใช้แรงเฉื่อยจากการกระชากนั้นส่งดาบเข้าประทะปัดวิถีดาบของอีกฝ่ายอย่างแรง พลางเบี่ยงตัวหลบฉากออกด้านข้างด้วย เงาร่างมาดร้ายนั้น ลดความเร็วลงก่อนวิ่งเลยไปด้านหลัง เมื่อเขาหันกลับมา ภายใต้แสงจันทร์ทุกคนก็พบว่า เขาคือ กาหลิบหนุ่มแห่งจาปิโตส คาร์มา เลอลูนั่นเอง

สีหน้าของกาหลิบบัดนี้ซีดเซียวไร้สีเลือด เนื้อตัวมีรอยเปื้อนเป็นหย่อม ๆ และบางแห่งถึงกับมีรอยโลหิตซึมเลอะอยู่ มองด้วยสายตาของทุกคนแล้ว ล้วนตระหนักว่า พลังชีวิตของเขาคงเหลือเพียงริบหรี่

“...”

ลิตเติลสโนว์หันไปจ้องอีกฝ่ายแล้วก็ได้แต่หรี่ตาอย่างครุ่นคิด

--ฆ่าข้าสิ ฆ่าข้าต่อหน้าทุกคนนี่แหละ แล้วเจ้าจงรับจาปิโตสไปด้วย!--

จิตของคาร์มา เลอลู ส่งสารมายังลิตเติลสโนว์ว่าเช่นนั้น

สายตาของทั้งสองประสานกันนิ่ง ก่อนที่ลิตเติลสโนว์จะตัดสินใจ

“ทหารของข้า ห้ามสอดมือเข้ามาเป็นอันขาด นี่เป็นการให้เกียรติแก่ท่านกาหลิบแห่งจาปิโตสเป็นครั้งสุดท้าย!”

เซลเอดอะดลัสซึ่งชักดาบออกจากฝักแล้ว ต้องค่อย ๆ ลดดาบของตนลง ขณะที่เอลทิน่าเองต้องโบกมือให้พลธนูซึ่งขึ้นสายธนูไว้แล้ว ให้ลดอาวุธลงเช่นกัน บรรยากาศในที่นั้นทวีความตึงเครียดยิ่งขึ้นกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม การที่พลธนูวิ่งออกมาแล้วขึ้นสายอย่างรวดเร็วได้นี้ ย่อมบอกถึงประสิทธิภาพของกองทหารแห่งแพลททิเซลเวอร์เป็นอย่างดี

“ท่านต้องการเช่นนี้แน่รึ?”

“ข้าไม่มีทางเลือก รวมทั้งเจ้าด้วย ลิตเติลสโนว์เอย”

ราชินีศักดิ์สิทธิ์ถามเสียงเบาได้ยินเฉพาะเธอกับคู่ต่อสู้เท่านั้น และอีกฝ่ายก็ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเช่นกัน

“ย้ากส์”

กาหลิบหนุ่มลงมือก่อนอีกครา เขาตวาดข่มขวัญเสียงก้อง แล้วกระโจนเข้ามาพร้อมดาบในมือ เสียงคมดาบประทะกันดังขึ้นมาอีก การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนเร็วขึ้นตามลำดับ กระบวนท่าของเลอลูทุกกระบวนล้วนหนักหน่วง เต็มไปด้วยความอำมหิตมุ่งร้ายหมายชีวิต หากแต่ลิตเติลสโนว์ก็ยังสามารถใช้ดาบในมือของตนปัดป้องคมอาวุธอีกฝ่ายได้

“!!!”

การเคลื่อนไหวของลิตเติลสโนว์ชะงักไปจังหวะหนึ่งเมื่อเธอสำเหนียกถึงอะไรบางอย่าง แต่ในจังหวะนั้นเอง ดาบของราชันย์แห่งแคว้นทะเลทรายก็ฟันเข้ามาอย่างไม่ปราณี

“ระวัง!”

เซลเอดอะดลัสตะโกนอย่างตกใจ ขณะที่เอลทิน่าใจหายวาบ

ร่างของลิตเติลสโนว์ก้มต่ำอย่างรวดเร็วแล้วกลิ้งตัวหลบห่างออกจากอีกฝ่ายได้ทันเวลาอย่างฉิวเฉียด แต่เมื่อเธอยืนขึ้นอีกครั้ง ปลายผมยาวสลวยของเธอก็ปล่อยยาวลงถึงกลางแผ่นหลัง เชือกเส้นเล็กที่ใช้มัดผมให้ขมวดอยู่ที่ท้ายทอยได้ถูกตัดขาดไปแล้วด้วยคมดาบของกาหลิบหนุ่มนั่นเอง

หากแต่สิ่งที่ลิตเติลสโนว์ทำต่อไปกลับผิดความคาดหมายของทุกคน

“เอลทิน่า ‘คุมตัว’ ชาร่าไว้เดี๋ยวนี้!”

ผู้ถูกระบุชื่อคนแรก ยังไม่ทันขยับตัว ชาร่าก็ออกวิ่งจากที่ที่ตนยืนอยู่เดิมเสียแล้ว และพุ่งเข้าหาลิตเติลสโนว์- ในสายตาของทุกคนในที่นั้น หากแต่สำหรับทั้งลิตเติลสโนว์ซึ่งยืนหันหลังให้ฝ่ายแรก และคาร์มาเลอลูย่อมตระหนักแก่ใจว่า เป้าหมายของหญิงสาวผมทองคือ ตัวกาหลิบเองต่างหาก

นักบู๊สาวได้สติทันทีเมื่อเห็นหญิงสาวชาวจาปิโตสวิ่งเข้าไปในวงการต่อสู้เช่นนั้น ถึงบัดนี้ เธอและอีกหลายคนในที่นั้นค่อยสำเหนียกได้ถึงพลังเวทย์ที่อัดแน่นอยู่ในตัวหญิงสาว

--มนต์พลีชีพ--

เวทย์ทำลายที่ต้องใช้ร่างและพลังชีวิตของตนพุ่งเข้าชนเป้าหมายแล้วระเบิดตายตกไปตามกัน เป็นเวทย์ที่ไม่มีใครใช้กันนัก ด้วยหากใช้ไปย่อมหมายถึงชีวิตของตนที่ต้องสังเวยด้วย แต่ก็มิได้หมายความว่า เวทย์มนต์บทนี้จะหายสาบสูญไปจากแผ่นดิน

และตอนนี้ ชาร่าถึงกับกำลังจะใช้เวทย์นี้เพื่อสังหารคาร์มา เลอ ลูด้วยน้ำมือของตนเอง!

แต่ในสายตาทุกคน ย่อมเห็นว่าชาร่ากำลังวิ่งเข้าหาลิตเติลสโนว์ ซึ่งยืนอยู่ระหว่างทางก่อนจะถึงตัวเลอลูนั่นเอง

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

เอลทิน่าระล่ำระลักอย่างร้อนใจ แล้วทุ่มเทพลังทั้งหมดพาร่างของตนทะยานเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1