ก่อนที่ร่างของชาร่าจะวิ่งถึงตัวลิตเติลสโนว์ เอลทิน่าก็สามารถกระโจนเข้าไปหาฝ่ายแรกได้ทัน นี่ย่อมเป็นผลจากความแตกต่างระหว่างนักบู๊กับพลเรือนที่ไร้ฝีมือในเชิงยุทธนั่นเอง มือขวาของสาวผมแดงยื่นออกไปยังไหล่ของสาวผมทองอย่างรวดเร็ว นักบู๊สาวใช้ดรรชนี- ซึ่งเกิดจากการกำมือแล้วชูเฉพาะนิ้วชี้และนิ้วกลางเหยียดออกไปตรง ๆ - จี้สกัดจุดประสาทของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ การเคลื่อนที่ของชาร่าหยุดชะงักอย่างเฉียบพลันด้วยประการฉะนี้ พร้อมกับที่พลังเวทจากมนต์พลีชีพ ค่อย ๆ อ่อนกำลังลงไปตามสภาพ อีกทางหนึ่ง ลิตเติลสโนว์ยกดาบขึ้นชี้ไปที่ศีรษะของคู่ต่อสู้ แล้วเธอก็วิ่งเข้าหาอีกฝ่าย เป็นการเปิดฉากรุกเป็นครั้งแรกของเธอในการต่อสู้ครั้งนี้ กาหลิบเหยียดยิ้มเครียด ๆ เขารู้ตัวว่า วาระสุดท้ายของตนมาถึงแล้ว! ดาบของทั้งสองฝ่ายประทะกันอีกสี่-ห้าครา แล้วจังหวะที่คาร์มาเลอลูเงื้อดาบสูงนั้นเอง ดาบของลิตเติลสโนว์ก็แทงจมเข้าไปในลิ้นปี่ของเขาจากมุมที่เขาไม่คาดคิดคำนวณมาก่อน "อั้ก!" เลือดที่ตกค้างภายใน ทำให้กาหลิบหนุ่มหายใจติดขัด แล้วเขาก็กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง ดาบคู่มือร่วงหลุดจากมือช้า ๆ กระเด้งกระดอนอยู่สองสามทีก่อนจะสงบนิ่งอยู่บนพื้น สายตาทุกคู่จับจ้องที่ร่างของทั้งสองคนเป็นจุดเดียว ลิตเติลสโนว์ขยับดาบครั้งหนึ่ง พาให้กาหลิบหนุ่มกระอักเลือดออกมาคำโตกว่าเดิม ก่อนที่ดาบนั้นจะถูกกระชากออกมาจากร่างเหยื่อ โลหิตสีแดงฉานพวยพุ่งจากปากแผลอย่างแรงประดุจน้ำพุ ส่วนหนึ่งฉาบไปบนซีกขวาของชุดอัศวินที่ลิตเติลสโนว์สวมใส่อยู่จนแดงฉาน มองไม่เห็นสีขาวเดิม ร่างของกาหลิบหนุ่มทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นช้า ๆ สายตาที่มองมายังลิตเติลสโนว์คราวนี้เปี่ยมด้วยแววขอบคุณ -- ฝากจาปิโตสด้วย -- เธออ่านใจเขาได้ว่าเช่นนั้น ร่างกายท่อนบนของกาหลิบหนุ่มล้มลงมาด้านหน้า ส่วนศีรษะของเขาพาดทับบนปลายเท้าของลิตเติลสโนว์ เด็กสาวจากต่างภพได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วหลับตาลง หลับตาเพื่อที่จะหนีให้พ้นภาพตรงหน้า แขนขวาของเธอถูกปล่อยแนบลำตัว ดาบถูกจับไว้เพียงหลวม ๆ และชี้ปลายเฉียงลงพื้น ที่ปลายดาบเลือดสด ๆ ยังคงไหลหยดติ๋ง ๆ เสียงโห่ร้องตะโกนดังกึกก้องขึ้นจากบรรดาทหารแพลททิเซลเวอร์ที่อยู่รอบข้าง แต่เธอไม่ได้ยินเสียแล้ว แต่เธอย่อมตระหนักดีว่า เธอจะหลับตา 'หนีความจริง' ไปเช่นนี้หาได้ไม่ ก็ในเมื่อเธอเลือกที่จะแบกรับชะตากรรมและภารกิจอันใหญ่หลวงแล้วนี่เล่า จักให้เธอหนีความจริงได้อย่างไร? ไม่ว่าความจริงที่เห็นตรงหน้า รวมทั้งความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยน้ำมือของคนอื่นหรือเธอเองก็ตาม เธอไม่มีสิทธิที่จะหนีมันไปแล้ว เธอทิ้งสิทธินั้นไปด้วยการตัดสินใจของตนเองแล้ว ดวงตาคู่งามของลิตเติลสโนว์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง หากแต่หากใครสักคนจักได้ถึงสังเกตให้ถี่ถ้วน จักพบว่า ภายใต้ดวงเนตรอันทรงภูมิปัญญาคู่นั้น หาได้ทอประกายแห่งความยินดีในชัยชนะของตนไม่ หากแต่มันเป็นประกายแห่งความเศร้าสลด ในยามนี้อาจจะไม่มีใครสังเกตเห็นดวงตาอันเศร้าสร้อยดังกล่าว อันเนื่องจากบรรดาไพร่พลของแพลททิเซลเวอร์เองย่อมกำลังหลงใหลในรสชาติความหอมหวนแห่งชัยชนะ ความปีติที่พวกตนเหนือว่าจาปิโตส ส่วนบรรดาชาวจาปิโตสนั้นเล่า พวกเขาแม้นจะหลุดพ้นจากแอกแห่งการปกครองอันข่มขี่เผด็จการโดยกาหลิบหนุ่ม- ซึ่งอันที่จริงล้วนเป็นเนื่องจากการชักใยเบื้องหลังของจามิโตส แต่พวกเขาน้อยคนนักที่จักรู้ถึงความจริงนี้ได้ เนื่องจากผู้ที่สำเหนียกถึงอันตรายแห่งมารดาของกาหลิบย่อมถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้วนั่นเอง- แต่ความจริงที่ว่า พวกเขาพ่ายแพ้ต่อแคว้นเพื่อนบ้าน ราชวงศ์จาปิโตสอันเกรียงไกรถึงแก่กาลล่มสลายแล้วและบัดนี้ไป พวกเขาจักมีฐานะเป็นเพียงประเทศราชแห่งแพลททิเซลเวอร์เท่านั้น- เหล่านี้ ล้วนไม่ทำให้พวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่จะสังเกตสังกาอะไรให้ถี่ถ้วนได้ แต่ในภายหลัง ประวัติศาสตร์ย่อมได้จารึกไว้ว่า นามอีกนามหนึ่งของราชินีศักดิ์สิทธิ์แห่งแพลททิเซลเวอร์ผู้นี้คือ ราชินีแห่งความเศร้า- ควีนออฟแซดเนส... แต่นั่นย่อมเป็นเรื่องในกาลให้หลังอีกนานหลายปีทีเดียว ... ลิตเติลสโนว์ค่อย ๆ ชักเท้าของตนออกจากศีรษะของศพกาหลิบหนุ่ม เธอพึมพำในปากว่ากระไรไม่มีใครได้ยินถนัด แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นคือ เธอปักดาบเปื้อนเลือดลงบนพื้นข้างกาย แล้วหันตัวไปทางชาร่า พลางชำเลืองสายตาไปทางนักบู๊สาวผมแดงเอลทิน่า เป็นเชิงสั่งให้คลายพันธนาการให้อีกฝ่าย ทันทีที่พ้นจากอำนาจการสะกดเส้นประสาท สาวผมทองแห่งจาปิโตสก็ยืนคอตกอย่างหมดเรี่ยวแรง แต่แล้วเธอก็ต้องเงยหน้าขึ้น เมื่อราชินีศักดิ์สิทธิ์สาวเท้ามายังเบื้องหน้าตน บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนเป็นเงียบสนิท ต่างคนต่างกลั้นใจจ้องมองชะตากรรมของผู้ช่วยแม่ทัพสาวแห่งจาปิโตสด้วยความไม่แน่ใจว่า ราชินีผู้ชนะศึกจะเอาอย่างไรกับเธอกันแน่ บรรยากาศแห่งความอึดอัดเริ่มแผ่กระจายเข้าปกคลุมบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ใบหน้างามผุดผ่องของราชินีผมเงิน บัดนี้แฝงด้วยแววแห่งความโกรธ และลึกไปในนั้น มีแววสมเพช แววแห่งความเห็นใจปนอยู่ด้วย แต่... ฉาด! ใบหน้าของชาร่าหันไปตามแรงตบทันที แก้มซ้ายนวลของหญิงสาวบัดนี้มีรอยผื่นแดงปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน หญิงสาวน้ำตาซึมทันที ยกมือซ้ายขึ้นกุมแก้มของตนโดยอัตโนมัติแล้วหันหน้ากลับมามองผู้ที่ลงทัณฑ์แก่ตนอย่างตกตะลึง ลิตเติลสโนว์ขมวดคิ้วจนเกือบชิดกัน ดวงตาแข็งกร้าวที่มองอีกฝ่ายเหมือนกับจะถ่ายทอดความโกรธของตนให้เผาผลาญอีกฝ่ายให้เป็นจุลไป ริมฝีปากอวบอิ่มของเธอเค้นเสียงออกมาว่า "เจ้าคิดอย่างไร จึงบังอาจขัดขวางการดวลของเรากับ 'ท่านกาหลิบ' ของพวกเจ้า ชาร่า?" "..." "คนระดับเจ้า หาใช่คนโง่เขลาเบาปัญญา หรือไร้แววในสายตาไม่ เจ้าย่อมมองออกว่า กาหลิบของพวกเจ้าต้องถึงแก่กาลดับสลายอยู่แล้ว ด้วยเขาเร่งพลังเวทเกินขอบเขต อัญเชิญสัตว์อสูรแห่งทะเลทรายมาเยี่ยงนั้น แต่เขาก็ได้เลือกที่จะสู้จนตัวตายอย่างสมเกียรติ เพื่อขอรับผิดชอบทุกสิ่งให้กับแพลททิเซลเวอร์ในฐานะของเจ้าแผ่นดินแห่งจาปิโตส..." น้ำเสียงกังวานอย่างประหลาดล้ำยังคงดังต่อไปทั่วบริเวณ ทำให้ทุกคนในที่นั้นขนลุกซู่อย่างประหลาด- ฝ่ายชนะรู้สึกยกย่องนับถือกาหลิบผู้พลีชีพขึ้นมา ทั้งที่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้พวกเขายังรู้สึกเกลียดชังอีกฝ่ายแสนสาหัส ส่วนฝ่ายแพ้นั้นเล่า ก็รู้สึกว่าตนได้รับการปลอบประโลมใจว่า อย่างน้อยพวกตนก็มีผู้นำที่ดี รับผิดชอบต่อชะตากรรมของแคว้นตน ดูเหมือนทุกคนลืมเลือนไปว่า ก่อนหน้าที่คาร์มา เลอ ลูจะได้ดวลตัวต่อตัวกับลิตเติลสโนว์นั้น เขาในร่างของซามอนบาจิอัลด์ได้อาละวาดฆ่าไม่เลือกหน้าทั้งฝ่ายตนฝ่ายข้าศึก- โดยจะเป็นฝ่ายตนเสียมากกว่าด้วยซ้ำ แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ลิตเติลสโนว์มีคำอธิบายในภายหลังว่า เขาทำอย่างนั้นเพื่อบีบบังคับให้เธอแสดงเวทชั้นสูงให้ทุกคนประจักษ์แก่สายตานั่นเอง เพื่อแสดงว่าเธอเหมาะสมที่จะรับดูแลจาปิโตสต่อไป "แต่เจ้ากลับคิดขัดขวางวีรกรรมของกาหลิบของตนเอง!" น้ำเสียงที่เย็นเยียบกล่าวโทษชาร่าอย่างหนักหน่วง ในความคิดของผู้ที่อยู่ในที่นั้น ย่อมเข้าใจว่า ชาร่ามุ่งจะสังหารลิตเติลสโนว์ และคำพูดนี้ย่อมหมายความว่า เธอคิดจะขัดขวางการที่กาหลิบเลอลูจะเลือกที่ตายด้วยน้ำมือของประมุขอีกฝ่าย แน่นอนว่า หากเธอทำสำเร็จ สุดท้าย ในศึกครั้งนี้ก็คงจะจบด้วยความหายนะทั้งสองฝ่าย- ประมุขเสียชีวิตทั้งสองแคว้น อีกทั้งตัวของชาร่าก็ย่อมต้องเสียชีวิตด้วยเช่นกัน สายตาที่บรรดาไพร่พลทั้งสองฝ่ายมองชาร่าเปี่ยมด้วยแววความรู้สึกสับสนปนเปอย่างบอกไม่ถูก ด้วยความรู้สึกหลาย ๆ อย่างที่มีต่อหญิงสาวผู้นี้ ผู้กล้าใช้เวทพลีชีพเพื่อสังหารแม่ทัพใหญ่ของฝ่ายศัตรู แต่แน่นอน เจ้าตัวเองและผู้กล่าวโทษย่อมตระหนักแก่ใจดีว่า คำพูดข้างต้นหมายถึง การที่ชาร่าคิดจะล้างแค้นส่วนตัว โดยไม่สนใจสิ่งที่เลอลูกำลังจะทำนั่นเอง "เจ้าคิดว่า หากเจ้ากระทำสำเร็จ 'จาปิโตส' จักได้ประโยชน์อันใดกระนั้นหรือ? ในเมื่อกาหลิบของพวกเจ้า ถึงอย่างไรเขาก็เกือบจะหมดพลังชีวิตอยู่แล้ว! และที่สำคัญที่สุด เจ้าเห็นชีวิตของเจ้าเป็นอะไร ถึงได้คิดจะทำลายมันเช่นนี้?!!!" ชาร่าได้แต่เงียบ เธอตอบคำถามอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่น้อย- ใช่สิ หากเธอฆ่ากาหลิบผู้ซึ่งป้อแป้จวนจะถึงแก่ความตายอยู่แล้วได้สำเร็จสมใจขึ้นมาล่ะ จาปิโตสจะได้ประโยชน์อะไรหรือ? ยิ่งหวนนึกว่า หากสังหารเลอลูเพื่อล้างแค้นให้บิดาตนได้สำเร็จแล้ว ตนก็ย่อมตายตามกันไปด้วย แต่จาปิโตสเล่า? แล้วชาร่าก็ยิ่งรู้สึกสำนึกถึงความโง่เขลาอันเกิดจากโมหะจริตของตน ภวังค์แห่งความเงียบเข้าครอบงำที่นั้นอีกครั้ง หากแต่ครานี้สายตาที่ทุกคนจ้องไปยังหญิงสาวผมทองเต็มไปด้วยความเห็นใจ และยกย่องในความจงรักภักดีต่อจาปิโตสของเธอ ทั้งนี้ด้วยพวกเขาย่อมไม่ทราบถึงจุดประสงค์แท้จริงของหญิงสาวนั่นเอง เด็กสาวจากโลกมนุษย์ไม่ปริปากใด ๆ ต่อไปอีก คงยืนเม้มริมฝีปากแน่นอยู่เช่นนั้น โลหิตของเลอลูที่ฉาบบนร่างกายซีกขวาของเธอ บัดนี้เริ่มแห้งเกรอะกรัง ส่งความรู้สึกสะอิดสะเอียนให้เจ้าของร่างเป็นอย่างยิ่ง "ข้า..." ชาร่าเอ่ยปากออกมาได้ในที่สุด ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ข้า..." เธอพยายามพูดอะไรออกมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงต่อไปได้ ร่างอ้อนแอ้นอรชรนั้นเริ่มสั่นเทิ้มหนักขึ้น "เด็กโง่!" ผู้อ่อนเยาว์กว่ากลับเป็นฝ่ายเรียกอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเด็ก ด้วยคำพูดหนัก ๆ คำนี้ พลางเอื้อมมือไปลูบศีรษะอีกฝ่าย ด้วยส่วนสูงที่ฝ่ายแรกสูงกว่าประมาณครึ่งศีรษะทำให้กิริยานี้ดูกลมกลืน เหมือนพี่สาวกำลังปลอบประโลมน้องสาวของตน ชาร่าสบตาราชินีผมเงินอย่างตื่นตระหนก แต่แล้วเธอก็ร่ำไห้ออกมา น้ำตาไหลพรากประดุจทำนบน้ำตาพังทลายลง สมรภูมิสุดท้ายของศึกจาปิโตส-แพลททิเซลเวอร์ถูกปกคลุมด้วยเสียงร่ำไห้ของสตรีสาวนางหนึ่งเป็นเวลานาน... นานตราบเท่าที่ผู้เป็นใหญ่สูงสุดในที่แห่งนั้นอนุญาตให้เธอร้องไปเพื่อระบายความในใจ อาจบางที ลิตเติลสโนว์กำลังต้องการให้ใครสักคนร้องไห้แทนตนเองด้วยกระมัง... ... ในที่สุดจาปิโตสก็ถูกผนวกเข้ากับแพลททิเซลเวอร์ ราชินีลิตเติลสโนว์ย้ายที่พำนักมาอยู่ในวังหลวงจาปิโตส เพื่อจัดระเบียบการปกครองในแคว้นที่เพิ่งตีได้นี้ รวมทั้งสะสาง "ความสกปรก" ในวังหลวงจาปิโตสอย่างใกล้ชิด อันดับแรก เธอประกาศว่า จาปิโตสยังคงเป็นจาปิโตส และเป็นพันธมิตรอันดับแรกของแพลททิเซลเวอร์ หาใช่ประเทศราชไม่ อันดับที่สอง เธอในฐานะราชินีแห่งแคว้นพันธมิตรได้ "ให้การสนับสนุน" จัดตั้งคณะปกครองจาปิโตสขึ้นมา มีอดีตทายาทหัวหน้าเผ่าอะดลัสที่เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในบรรดาชนเผ่าต่าง ๆ ที่อยู่ในจาปิโตส รวมทั้งพลเมืองของจาปิโตสเองด้วย เป็นหัวหน้าคณะปกครองนั้น และมีเธอเองเป็นที่ปรึกษาของคณะปกครอง ส่วนสมาชิกอื่น ๆ ของคณะ นอกจากยิปสีดแล้ว ยังมีอดีตขุนนางของจาปิโตสหลายคน ทั้งที่ถูกคุมขังในคุกหลวงด้วยคำสั่งของกาหลิบผู้ล่วงลับไปแล้ว กับผู้ที่ถูกเนรเทศไปอยู่ชายแดน แน่นอน ล้วนเป็นพวกที่เคยเป็นปรปักษ์- หรือแสดงท่าทีว่าเป็น- ต่อพระนางจามิโตสทั้งสิ้น สำหรับการนี้ เธอสร้างความแปลกใจแก่ชาวจาปิโตส ด้วยการแต่งตั้งชาร่าเป็นบุคคลสำคัญในคณะนั้นด้วย ซึ่งประเด็นนี้จะได้กล่าวอีกครั้งตอนหลัง อันดับที่สาม เธอ "แนะนำ" ให้คณะปกครองจาปิโตสออกกฎหมายเฉพาะกาล สั่งลดภาษีอากรครั้งใหญ่... ซึ่งความจริงก็เพียงแค่ลดอัตราภาษีจากเดิมที่กาหลิบองค์ก่อน (โดยคำแนะนำของมารดา) ตั้งไว้เสียสูงลิบ ให้ลงมาอยู่ในอัตราปกติที่บรรดาแคว้นต่าง ๆ เก็บกันเท่านั้นเอง แต่เพียงนี้ เสียงแซ่ซ้องก็ดังจากมวลประชาราษฎร์แล้ว สิ่งที่ประชาราษฎร์ต้องการหาใช่สมมติเทพที่จะมาปกครองพวกเขาไม่ พวกเขาต้องการเพียงความผาสุกและความมั่นคงของปากท้องเท่านั้น ส่วนใครที่จะเป็นผู้ปกครองนั้นไม่สำคัญเลย อันดับสุดท้าย คณะปกครองจาปิโตส โดยคำแนะนำของที่ปรึกษาอีกเช่นเคย สั่งปลดประจำการไพร่พลทหาร (นักรบทะเลทราย) ทั้งหมดของแคว้นตน ด้วยเหตุผลว่าเป็นทหารที่ถูกเกณฑ์มาอย่างผิดปกติวิสัย สร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร ทั้งนี้ กล่าวได้ว่า อัตราส่วนทหารต่อประชากรทั้งหมดของจาปิโตสสูงผิดปกติถึงสิบเท่า ย่อมแสดงถึงความกระหายสงครามของกาหลิบองค์ก่อนเป็นอย่างดี คณะปกครองยกเลิกระบบการเกณฑ์ทหาร และจ่ายค่าชดเชยการเสียเวลาให้พวกเขาทั้งหมด- ค่าชดเชยมหาศาลซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเงินที่กู้ยืมมาจากแพลททิเซลเวอร์- จากนั้น เปลี่ยนเป็นระบบรับอาสาสมัครแทน... แต่แน่นอนในชั้นต้นย่อมมีอาสาสมัครไม่มากนัก นี่จึงเป็นเหตุผลอันชอบธรรมที่กองกำลังทัพอัศวินจำนวนสามพันเศษที่ยกมาจึงยังคงอยู่ในแคว้นจาปิโตสต่อไป เพื่อให้การคุ้มครองแคว้นพันธมิตรนี้ ในยามที่กองกำลังอาสาสมัครของจาปิโตสยังไม่เป็นปึกแผ่นพอที่จะพึ่งพิงได้ ... ย้อนกลับไปวันรุ่งขึ้น หลังพิชิตคาร์มา เลอ ลู และยุติศึกผนวกจาปิโตสอย่างเป็นทางการแล้ว วันนั้นเป็นการตัดสินพิพากษาอาชญากรสงคราม ซึ่งได้แก่ สองขุนพลแห่งทัพจาปิโตส- บาลโตสและชาร่า บาลโตสถูกเรียกมาเบื้องหน้าราชินีเป็นคนแรก "บาลโตส เจ้าในฐานะแม่ทัพของจาปิโตส ได้ทำการรุกราน ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนเผ่าเร่ร่อนและชนเผ่ากลุ่มน้อยในจาปิโตสไปนับไม่ถ้วน ในช่วงเวลาที่ผ่านมา อีกทั้งยังเคยยกทัพไปหมายจะบุกยึดแพลททิเซลเวอร์อีกด้วย... เจ้ามีอะไรจะกล่าวชี้แจงไหม?" เซลเอดอะดลัส เป็นผู้ก้าวออกมายืนระหว่างราชินีบนบัลลังก์และเชลยศึก แล้วกล่าวโทษอดีตแม่ทัพจาปิโตส อนึ่ง คำว่าชนเผ่าเร่ร่อนและชนเผ่ากลุ่มน้อยนั้น ย่อมรวมถึงเผ่าของเขากับยิปสีดด้วยนั่นเอง "... ไม่มี ที่ท่านกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว ข้าพร้อมจะรับคำพิพากษาของพวกท่านทุกประการ!" "..." ผู้กล่าวโทษไม่มีอะไรพูดเช่นกัน เขาเดินถอยฉากออกไปด้านข้าง พลางค้อมกายแสดงความเคารพต่อประธาน ณ ที่นั้น ราชินีผมเงินเพ่งมองบาลโตสอย่างครุ่นคิด เธอทราบดีว่า ธรรมเนียมศึกของเนฟเวอร์แลนด์นั้น แม่ทัพที่เป็นเชลยศึกมีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้นคือ ยอมสวามิภักดิ์และสาบานว่าจะทำงานชดใช้ความผิดที่เคยทำมา กับอีกทางหนึ่งคือ ถูกสั่งประหารชีวิตโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ และเธอก็รู้ดีด้วยว่า ถึงเธอจะให้ทางเลือกแรกแก่เขา แม่ทัพผู้ภักดีต่อจาปิโตสผู้นี้ไม่ยอมรับแน่นอน และคงยินยอมเลือกทางตายเสียมากกว่า "บาลโตส ที่ผ่านมาเจ้าทำงานเพื่อราชวงศ์จาปิโตสมาตลอด... ถือเป็นการทำงานในหน้าที่ ย่อมไม่มีความผิด หากแต่... เจ้าจะไม่สามารถเปลี่ยนแปรความภักดีต่อราชวงศ์จาปิโตสมาเป็นความภักดีต่อแคว้นจาปิโตสเลยหรือ?... แคว้นจาปิโตสจากนี้ไปยังต้องการคนมีความสามารถเช่นเจ้า..." "ราชินี ท่านคงหมายจะให้ข้าสวามิภักดิ์ต่อท่านกระมัง" อดีตขุนพลกล่าวตรง ๆ "ต่อแคว้นจาปิโตสต่างหาก" "ข้าอายุปูนนี้แล้ว ไม่คิดจะเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายเด็ดขาด ท่านจะประหารข้าก็เชิญเถิด อย่าได้เกลี้ยกล่อมต่อไปอีกเลย" "..." ลิตเติลสโนว์หลับตาลง เธอรู้ดีว่าเกลี้ยกล่อมบุคคลผู้นี้ไปก็ไร้ประโยชน์ สายตาของทั้งเซลเอดอะดลัสและยิปสีดจับจ้องมาที่เธออย่างคาดหวัง ความแค้นที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของทั้งสองคนนี้ย่อมใหญ่หลวงนักเพราะพวกเขาประสบหายนะจากน้ำมือของบาลโตสโดยตรง 'ไหน ๆ มือของเราก็เปื้อนเลือดแล้วนี่' อดีตไซโต้ โคะยุกิคิดในใจอย่างขมขื่น 'ฆ่าเพิ่มอีกคนจะเป็นไรไป' เธอลืมตาขึ้น แล้วตัดสินด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบว่า "ถ้าเช่นนั้น... อดีตแม่ทัพแห่งจาปิโตส จะต้องรับโทษประหารเพื่อชดเชยกับความผิดทั้งมวลของตน... และเราอนุญาตให้ฝังศพของเจ้าไว้กับสุสานหลวงของจาปิโตสได้" สุสานหลวงของจาปิโตส มีไว้เพื่อฝังศพกาหลิบ ราชวงศ์ และขุนนางผู้ใหญ่คนสำคัญเท่านั้น "..." บาลโตสค้อมศีรษะรับคำพิพากษานั้นแต่โดยดี ขณะที่เซลเอดอะดลัสและยิปสีดเม้มริมฝีปากอย่างสะใจ ความแค้นของพวกเขาได้รับการสะสางแล้ว ... ต่อจากบาลโตส เป็นชาร่า "ชาร่า... เรารู้ดีว่าเจ้าเป็นผู้ภักดีต่อแคว้นจาปิโตสอย่างแท้จริง ในเมื่อกาหลิบผู้หลงผิดได้สิ้นชีวิตไปแล้ว เจ้าจะยินดีทำงานกับคณะปกครองจาปิโตสที่จะได้จัดตั้งในเร็ววันนี้หรือไม่... เพื่อจาปิโตส" "... ราชินี...?" หญิงสาวผมทองเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ เธอเตรียมพร้อมรับคำสั่งประหารอยู่แล้วแท้ ๆ ทีเดียว "เรื่องเมื่อวาน... เราไม่ถือโทษเจ้าแล้ว เราเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี ชาร่า จาปิโตสยังต้องการเจ้านะ เจ้าไม่คิดถึงพี่น้องประชาชนของเจ้าหรือ? หากไม่มีเจ้าคอยให้คำแนะนำอยู่ในคณะปกครองจาปิโตส เจ้าไม่กลัวประชาชนจะถูกพวกเราเอารัดเอาเปรียบด้วยความไม่เข้าใจในขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของที่นี่หรือ?" เชลยสาวอึ้งไปโดยดุษฎี เธอตระหนักดีว่า คำพูดของอีกฝ่ายเป็นความจริง หากแต่ เธอจะไปเข้ากับ "นาย" คนใหม่ได้ง่าย ๆ เลยหรือ คนทั่วไปมิคิดว่าเธอเป็นคนกลับกลอกหรือ? ทั้งนี้เธอรู้แก่ใจว่า เมื่อวานเธอถึงกับพยายามสังหารกาหลิบด้วยมือเธอเองด้วย แม้ว่ามันล้มเหลวก็ตาม หากรวมกับเรื่องที่เธอตอบรับเข้าทำงานภายใต้ราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์แต่โดยดีแล้ว เธอจะไปสู้หน้าชาวจาปิโตสอื่นได้อย่างไร ราชินีบนบัลลังก์ย่อมอ่านใจเธอออก เธอโบกมือเป็นสัญญาณให้บุคคลผู้อื่นออกไปจากที่นั้นก่อน เมื่อเหลือสองคน ฝ่ายอ่อนวัยกว่าจึงกล่าวว่า "เมื่อวานนี้ ไม่ว่าใครก็ย่อมคิดว่าเจ้าหมายจะสังหารเราทั้งนั้นแหละ" "เอ๊ะ?!!!" "เจ้าลองคิดภาพดูให้ดีสิ" ชาร่าลองคิดตาม แล้วก็เริ่มเห็นจริง ในตอนนั้นเธอมุ่งแต่จะสังหารกาหลิบแล้วตายตกตามกัน จึงไม่ทันได้สังเกตรอบข้าง รวมทั้งไม่ทันคิดว่าจากสายตาคนอื่นจะคิดอย่างไรกับการกระทำของตนเอง "... เจ้า... ในสายตาของทั้งฝ่ายเราและฝ่ายเจ้า กลายเป็นขุนนางผู้ภักดีกล้าเสียสละชีพของตนเพื่อช่วยกาหลิบในการสังหารเราไปแล้ว..." "แต่..." "ไม่ต้องมีแต่... ถึงป่านนี้แล้ว แม้นเจ้าจะให้ความจริงมันปรากฏ ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย สู้ปล่อยไปเช่นนี้ดีกว่า" "... ท่านราชินี..." "เพราะฉะนั้น ถึงเจ้าจะสวามิภักดิ์ต่อเรา... ก็ไม่มีใครตำหนิเจ้าแล้ว ชาร่าเอย" หญิงสาวผมทองอึ้งไป ถึงจะปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดก็ตาม แต่ตัวเธอเองย่อมรู้แก่ใจดีที่สุดว่าอะไรเป็นอะไร เธอกลายเป็นวีรสตรีจอมปลอมไปเสียแล้ว "เจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว ชาร่า" ลิตเติลสโนว์สำทับแล้วเดินเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย "ทำงานกับเรานะ" "เอ้อ... ขะ ข้า..." อดีตขุนนางผู้ภักดีแห่งจาปิโตสอึกอัก เธอถูกมัดมือชกเสียแล้วหรือนี่... แวบหนึ่งที่คิดในใจว่า ราชินีผู้เลอโฉมผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนักที่ต้อนเธอเข้ามุมอับได้เพียงนี้ เหลือทางให้เธอเดินเพียงสายเดียวเท่านั้น "เจ้าจะทิ้งประชาชนของจาปิโตสหรืออย่างไร? เรายังต้องการข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับจาปิโตสจากเจ้านะ" สองสาวสบตากันนิ่ง... นาน ในที่สุด สาวผมทองก็ยอมจำนน "ตกลง...เจ้าค่ะ ราชินี ข้าขอฝากตัวกับท่านด้วย" ลิตเติลสโนว์ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก หากแต่เธออดไม่ได้ต้องนึกรังเกียจตัวเองในใจ เธอถึงกับใช้จุดอ่อนของอีกฝ่ายเพื่อบีบบังคับให้ทำตามที่เธอต้องการ! เพื่อผลทางการเมืองที่เธอต้องการให้จาปิโตสทั้งหมดสวามิภักดิ์ต่อเธออย่างแท้จริง ทำให้เธอต้องเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้เชียวหรือ ช่างน่าขยะแขยงเสียนี่กระไร! ... "ข้า คาลดิน่า รายงานตัวต่อองค์ราชินีเจ้าค่ะ" สตรีร่างสูงโปร่ง ผมสีม่วงอ่อน คุกเข่ารายงานตัวต่อราชินีผมเงินด้วยน้ำเสียงห้าว ๆ อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว "มาแล้วหรือ คาลดิน่า เราขออภัยด้วยที่รีบเร่งเรียกเจ้ามาจากแพลททิเซลเวอร์" "หามิได้ หากเป็นความประสงค์ขององค์ราชินีแล้วไซร้ ข้าย่อมต้องทำตามด้วยความยินดีอยู่แล้ว" นี่เป็นเหตุการณ์หลังจบศึกจาปิโตสได้ห้าวัน คาลดิน่าซึ่งได้รับนกพิราบสื่อสารจากจาปิโตสรีบเร่งเดินทางมายังวังหลวงจาปิโตสทันที ลิตเติลสโนว์สั่งให้เธอรับหน้าที่ดูแลรักษาบรรดาทหารที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการสู้รบ ทั้งฝ่ายแพลททิเซลเวอร์และฝ่ายจาปิโตส ทั้งนี้ผู้บาดเจ็บได้รับการประคบประหงมหยูกยาอย่างดี แต่อาการเพียงทรงอยู่เท่านั้น หากได้รับการรักษาด้วยเวทรักษาเพิ่มเข้าไปด้วย จึงจะมีโอกาสรอด "เราอยู่ในระยะฟื้นฟู เนื่องเพราะเราเสียพลังเวทไปมากจากการใช้มหาเวทเลอเดลเฟซ จึงได้แต่พึ่งพาเจ้าแล้ว" นั่นเป็นเหตุผลที่ราชินีต้องเรียกเธอมาที่นี่นั่นเอง หลังจบการออกว่าราชการวันนั้น ราชินีสาวก็เดินเข้าพักในห้องส่วนตัวซึ่งอยู่ในมุมหนึ่งของวังหลวงจาปิโตส "เด็กน้อย เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากันแน่?" เสียงของมังกรเงินซิลฟีดดังขึ้นในใจ เด็กสาวไม่ยอมตอบอะไร จนฝ่ายแรกต้องสำทับมาอีกว่า "ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้สูญเสียพลังเวท..." "ใช่ ข้าพูดโกหกพวกนั้นเอง" ลิตเติลสโนว์ยอมรับในที่สุด คำว่า พวกนั้นหมายถึงบุคคลอื่นทั้งหมด "ข้า... ข้าใช้เวทไม่ได้อีกแล้ว ท่านซิลฟีด!" "อะไรนะ?!!!" "ตั้งแต่จบศึก ข้าก็รู้ตัวว่า ข้าใช้เวทรักษาไม่ได้... เพราะมือของข้าเปื้อนเลือดแล้ว ข้าไม่สามารถทำใจให้บริสุทธิ์เพื่อที่จะใช้เวทรักษาเหมือนเมื่อก่อนได้... แต่แล้ว..." เธอหยุดไปเล็กน้อยจึงคิดต่อ "ข้าก็รู้ตัวว่า ตอนนี้ข้าใช้เวทใด ๆ ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!" "... ใจเย็น ๆ เด็กน้อย... พลังเวทยังอยู่กับตัวเจ้า ไม่ได้เสื่อมไปไหน เพราะฉะนั้น ปัญหาคือสภาพจิตใจของเจ้าต่างหาก หากเจ้าทำใจได้เมื่อไร ก็จักใช้เวทได้ดั่งเดิมเอง" "ใช่... เรื่องนั้นข้าก็ตระหนัก แต่.... ข้าทำไม่ได้!" ลิตเติลสโนว์กำมือแน่น แล้วก็เริ่มมีเสียงสะอึกสะอื้นจากลำคอ หยดน้ำใส ๆ เริ่มไหลหลั่งรินจากดวงเนตรงามทั้งสอง "ข้า... ข้าเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ต้องเป็นแบบนี้ ข้า... ข้าอ่อนแอนัก ไม่ได้เปลี่ยนไปจากสมัยก่อนเลย" เธอหวนนึกถึงตัวเองในสภาพที่เป็นเด็กสาวไซโต้ โคะยุกิ ผู้ถูกรังแกเป็นเนืองนิจและมีชีวิตอยู่กับความหวาดระแวง ความหวาดผวา "เด็กน้อย...." เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้นดังไปทั่วห้องนอน หากแต่ไม่มีใครได้ยินเสียงอันแสนเศร้านั้น ... ปีอสุรศักราชที่ 997 เดือนสามตอนปลาย แคว้นแพลททิเซลเวอร์ก็บุกเข้าผนวกแคว้นจาปิโตสได้สำเร็จ ด้วยฝีมือของราชินีองค์ใหม่นาม ลิตเติลสโนว์ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาเร้นลับ ทั่วเนฟเวอร์แลนด์ซึ่งกำลังให้ความสนใจต่อข่าวโททัสบูร์กแตกด้วยน้ำมือของทัพอสูรใหม่ ต้องแบ่งความสนใจให้ข่าวนี้ด้วยทันที ใครคือลิตเติลสโนว์? นางเป็นใครมาจากไหน? เหตุใดจึงพิชิตจาปิโตสอันเกรียงไกรได้ในเร็ววัน? และผู้ที่ให้ความสนใจต่อลิตเติลสโนว์เป็นพิเศษ กลับเป็น... จักรพรรดิโดริฟานแห่งโคเรียสะทีน แต่... ไม่มีใครรู้ว่า เบื้องหลังจักรพรรดิผู้นี้ คือ มหาเทพโคเรียเองที่ให้ความสนใจต่อราชินีศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้อย่างลึกซึ้ง เพราะแม้แต่องค์มหาเทพเอง ยังไม่สามารถหยั่งรู้ความเป็นมาในเบื้องหลังของราชินีผู้นี้ได้เลย และนั่น ทำให้เกิดเหตุการณ์ต่อมา ที่เรียกว่า "ศึกแคว้นศักดิ์สิทธิ์" ขึ้น ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป
(จบบทที่สี่ ศึกจาปิโตส)
(จบภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์) |