มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ดวงวิญญานต่างภพ: ด่านทดสอบ

เขียนเมื่อ 14 ต.ค 45

เวลาผ่านไปเท่าไร เด็กสาวจากโลกมนุษย์ไม่สามารถบอกได้

ทราบแต่ว่าตนเฝ้าพยายามผ่านด่านทดสอบของมังกรเงินซิลเวียสนี้มานานนับหลายเพลาแล้ว

“ตั้งใจหน่อย เด็กเอย รวบรวมสมาธิไว้!” เทพมังกรเงินติง “อย่าลืมว่า การใช้พลังเวทย์ อยู่ที่กำลังใจของเจ้าเอง”

“ฮึ ข้าทราบแล้ว!” เด็กสาวตอบอย่างขัดใจตนเอง... ใช่... ทราบน่ะทราบอยู่ แต่การจะทำตามสิ่งที่รู้แน่แก่ใจนั้นทำได้ยากเหลือเกิน

กรงเล็บของมังกรถูกหวดฟาดตรงเข้าหาเด็กสาวจากด้านบน เด็กสาวกำหนดจิตพาร่างของตนเองถอยฉากออกไปได้อย่างเฉียดฉิว นี่นับว่าดีขึ้นมากแล้ว เมื่อเทียบกับตอนแรกที่เธอถูกกรงเล็บนั้นฟาดกระเด็นไปคราแล้วคราเล่า...

แม้ที่นี่เป็นโลกในจิตใจของเธอเองก็ตาม แต่ผลจากการถูกทำร้ายโดยเงื้อมมือฝ่ายตรงข้ามหาใช่น้อยไม่ อุปปาทานหรือสิ่งใดก็เหลือเดา ทำให้รู้สึกว่าร่างทั้งร่างเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสในยามที่ต้องสังเวยต่ออุ้งเท้าหน้าของมังกรตัวขนาดยักษ์นางนี้ หากแต่ เมื่อตั้งสติได้ ความเจ็บปวดเหล่านั้นก็พลันมลายหายไป แน่นอนว่า หากเป็นการต่อสู้ในโลกจริงแล้วไซร้ เธอคงสิ้นชีพภายใต้กรงเล็บมังกรนี้ไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว

เด็กสาวสำรวมจิตบังคับร่างตนให้ลอยสูงขึ้นอีก โดยรักษาระยะห่างจากมังกรให้เกินรัศมีที่อุ้งเท้าหน้าของอีกฝ่ายจะเอื้อมมาถึงได้โดยง่าย ณ โลกแห่งจิตนี้ เธอสามารถล่องลอยในอากาศธาตุได้ตามใจปรารถนา... ขอเพียงมีสมาธิดีเท่านั้น และถึงอย่างไรก็ตาม ภายในความมืดสนิทที่ห้อมล้อมตัวเธออยู่ ก็ยากจะบอกได้อยู่แล้วว่า ตรงไหนคือ พื้นดิน ตรงไหนคืออากาศธาตุ คำว่า “ยืน” หรือ “เหาะ” อยู่กลางอากาศไม่มีความแตกต่างกันเลยในโลกแห่งจิตใจ

เธอลอยตัวหลบกรงเล็บของฝ่ายตรงข้ามที่ยืดเท้าตรงเข้ามาหาอีกสองสามครั้ง พลางก็หรี่สายตาไปที่เบื้องหลังของเทพมังกรองค์นี้ แสงสว่างรูปสี่เหลี่ยมยังคงอยู่ที่นั่น และเงื่อนไขในการสอบผ่านครั้งนี้ของเธอก็คือ ต้องพากายทิพย์ (ร่างที่เป็นตัวแทนของตนในโลกแห่งจิตใจ) ของตนลอดประตูแห่งแสงสว่างนั้นไปสู่โลกจริงให้ได้... อย่างไรก็ตาม คำว่าโลกจริงในที่นี้ ย่อมมิใช่โลกมนุษย์ที่เธอเคยอยู่มาก่อน หากแต่เป็นโลกแห่งเวทย์มนต์ แดนมายา เนฟเวอร์แลนด์นั่นเอง

“ลองสำรวมจิตบังคับพลังเวทย์ดูสิ” มังกรเงินเอ่ยมา ด้วยน้ำเสียงของอิสตรีที่บัดนี้เด็กสาวเริ่มคุ้นหูแล้ว “หลักการใช้เวทย์มนต์ในโลกแห่งเนฟเวอร์แลนด์นี้ เจ้าก็คงได้เรียนรู้ทฤษฎีแล้ว ในตอนที่เจ้าเดินทางผ่านมิติมา จงใช้มันเถิดมิฉะนั้น การทดสอบของเจ้าก็คงไม่สิ้นสุดเสียที”

“...” เด็กสาวชาวโลกมนุษย์ไม่ตอบกระไร หากนึกทบทวนถึงหลักการของเวทย์มนต์ของโลกแห่งใหม่ที่เธอกำลังเผชิญอยู่นี้

อำนาจเวทย์ในเนฟเวอร์แลนด์ นอกจากอำนาจเวทย์ที่มีฤทธิ์เป็นกลาง (แรงอัดระเบิด) แล้ว ที่เหลือจัดแบ่งได้เป็นอำนาจแห่งธาตุธรรมชาติทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งบุคคลที่คุ้นเคยหรือมีความใกล้ชิดกับธาตุใดเป็นพิเศษ หรือกำเนิดในชาติตระกูลที่เป็นผู้รับพรจากเทพพิทักษ์ธาตุใดธาตุหนึ่งนี้ ก็จะสามารถใช้พลังเวทย์ที่มีฤทธิ์เป็นธาตุนั้นได้โดยธรรมชาติ ส่วนพลังเวทย์อันมีฤทธิ์เป็นไฟฟ้าหรือสายฟ้านั้น เป็นพลังเวทย์ที่หาผู้ใช้เป็นได้ยากนัก ต้องอาศัยการฝึกฝนขึ้นจากพลังเวทย์ธาตุลมเท่านั้น ส่วนพลังเวทย์ที่มีฤทธิ์เป็นแสงสว่างและความมืด เป็นพลังเวทย์พิเศษที่ต้องอาศัยการฝึกฝนเช่นกัน หากแต่ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถเลือกใช้พลังเวทย์อย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างแสงสว่างกับความมืดนี้ เพียงแต่ว่าจะใช้ได้ระดับใดเท่านั้น

และสำหรับเด็กสาวผู้มาใหม่ เธอทราบได้ด้วยตัวเองว่า พลังเวทย์ของตน ไม่มีธาตุพื้นฐานใดในสี่ธาตุเลย แต่มีสิ่งชดเชยคือ เธอเป็นตัวแทนแห่งแสงสว่าง พลังเวทย์ที่เธอจะใช้ได้ย่อมเป็นเวทย์แห่งแสงสว่าง แลเธอสามารถใช้พลังเวทย์แสงสว่างได้ถึงขั้นสูงสุดเสียด้วย -- พลังเวทย์เพียงแขนงเดียวที่มีทั้งเวทย์มนต์แห่งการทำลายล้าง และเวทย์แห่งการรักษา-ฟื้นฟู-สร้างสรรค์

-- ใช้ร่างกายของตนเป็นตัวกลาง (มีเดีย) ผนวกกับจิตใจอันเป็นสมาธิ ชักนำพลังเวทย์จากภายในกาย ประสานกับพลังของเวทย์นั้น ๆ ที่แทรกซึมอยู่ในทุกอณูในธรรมชาติ จากนั้นก็ขึ้นกับว่าจะจินตนาการให้พลังเวทย์นั้นสำแดงเดชในรูปแบบใด ต่อเป้าหมาย --

นี่คือ หลักการคร่าว ๆ ของการใช้เวทย์มนต์ในเนฟเวอร์แลนด์

‘มีเดีย - เมดิอา - ไบไต...หรือ?...’ อดีต-โคะยุกิ รำถึงในใจด้วยภาษาของตนเอง

แน่นอนว่า ในขั้นตอนการรวบรวมสมาธิเพื่อใช้เวทย์มนต์ ผู้ใช้เวทย์ระดับต้นล้วนต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งที่เรียกว่า ‘คาถาอาคม’ ช่วยเป็น ‘สื่อกลางหรือตัวกลาง’ รวมทั้งการท่องบ่นคาถาจะช่วยทำให้จิตใจเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น และเนื้อหาในบทคาถานั้นก็มักลงท้ายด้วยบทที่ช่วยสร้างจินตนาการเกี่ยวกับการสำแดงฤทธิ์ของอำนาจเวทย์นั้น ๆ ด้วย... หากแต่ ผู้ใช้เวทย์ที่มีความชำนาญ หรือมีตบะอาคมสูง ๆ ย่อมสามารถใช้เวทย์มนต์ได้ดั่งใจนึก โดยมิพักต้องท่องคาถาให้เปลืองแรง ดั่งเช่น เจ้าหญิงอสูรและอัจฉริยภาพแห่งเพลิงที่สามารถใช้อำนาจเวทย์เพลิงได้โดยไม่ต้องใช้คาถาใด ๆ กำกับทั้งสิ้น

และสำหรับในกรณีของเด็กนักเรียนสาวจากโลกมนุษย์ผู้นี้...

“โอ แสงสว่างเอย...” เด็กสาวพูดพึมพำ คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันยามกำลังกำหนดสมาธิ “จงบังเกิดขึ้น... ไป!”

เธอยื่นมือขวาไปเบื้องหน้าหันฝ่ามือไปทางมังกรเงิน ฉับพลันนั้นเอง ก็ปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นจากฝ่ามือของเด็กสาว ตรงเข้าหาส่วนใบหน้าของมังกรร่างยักษ์นั้นทันที

เทพมังกรชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของนางพร่าไปชั่วขณะด้วยพลังเวทย์นี้ รวมทั้งดวงตาทิพย์ที่ใช้ในโลกแห่งจิตนี้ด้วย....และนั่นก็เพียงพอแล้ว...

ร่างของเด็กสาวผมสีเงินพุ่งอ้อมข้างลำตัวมังกร ตรงไปหาช่องสี่เหลี่ยมที่อยู่เบื้องหลังนางอย่างรวดเร็ว

“ฮะ ๆ ฮ่า ๆ ๆ” เทพมังกรเงินซิลเวียสหัวเราะกระหึ่มในลำคอก่อน แล้วระเบิดเสียงออกมาเต็มที่ในภายหลัง เด็กสาวที่กำลังจะพาร่างของตนลอดผ่าน ‘ประตูแห่งแสงสว่าง’ อดชะงักไม่ได้ เหลียวกลับมามองอย่างแปลกใจ

“สมกับเป็นผู้ที่ถูกอัญเชิญมาดำรงตำแหน่งราชินีศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ... เด็กเอย นึกไม่ถึงเลยว่า เจ้าใช้เวทย์แสงสว่างครั้งแรก ก็ใช้ได้โดยมิต้องท่องคาถา...” เทพมังกรชม สิ่งที่เด็กสาวร่างน้อยทำ เพียงอาศัยคำพูดเพื่อรวบรวมจินตนาการแห่งการบังคับพลังเวทย์ให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้น หาได้เป็นบทคาถาอาคมอันเรียบเรียงด้วยภาษาเนฟเวอร์แลนด์โบราณไม่ “ไปเถิด เจ้าผ่านการทดสอบแล้ว อย่าลืมสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้ทั้งหมดล่ะ มันจะช่วยให้เจ้าอยู่รอดในเนฟเวอร์แลนด์.... และช่วยให้เนฟเวอร์แลนด์อยู่รอดด้วย...”

“ขอบคุณท่านมาก” เด็กสาวก้มศีรษะให้อย่างอ่อนน้อมตามลักษณะของชนชาติญี่ปุ่น แล้วก็หันกายกลับไปกำหนดจิตให้ร่างพุ่งผ่านช่องสี่เหลี่ยมที่เปล่งแสงสว่างนั้น

...

ร่างของเด็กสาวในชุดแปลกตาสำหรับชาวเนฟเวอร์แลนด์นั้น ค่อย ๆ มีไออุ่นแห่งชีวิตแข็งกล้าขึ้นจนชายหนุ่มที่ยืนหลับตาเข้าสมาธิอยู่ไม่ไกลนักสามารถ ‘สัมผัส’ ได้ เขาลืมตาขึ้นแล้วเพ่งมองไปทางเด็กสาวทันที เพื่อพบว่า ฝ่ายนั้นก็กำลังกระพริบตาถี่ ๆ แล้วก็มองไปรอบข้างอย่างงง ๆ ก่อนจะมาหยุดสายตาที่เขาเช่นกัน

“ยินดีต้อนรับสู่เนฟเวอร์แลนด์ สาวน้อยผู้มาจากต่างภพ... ลิตเติลสโนว์” น้ำเสียงเย็นเฉียบทุ้มลึกดังขึ้นจากปากสีซีดคู่นั้น

เด็กสาวเพ่งมองเขาอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากว่า

“ท่าน... เป็นอสูรหรือ ... ถ้าเช่นนั้น ราชารูเนจจูผู้เรียกข้ามาเล่า?”

“หึ หึ เพื่อเรียกเจ้ามาที่นี่ ราชารูเนจจูได้ทุ่มเทพลังชีวิตจนหมดสิ้น ป่านนี้คงดับสังขารไปแล้วกระมัง”

“ว่าอะไรนะ?!!!” เด็กสาวทำท่าตกใจ ก้าวเท้าเข้ามาก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

“ข้าบอกว่า ราชารูเนจจูสิ้นชีวิตแล้ว... ลิตเติลสโนว์”

“โอ...” เด็กสาวหน้าสลดไป ด้วยตระหนักว่า อีกฝ่ายหนึ่งยอมสละชีวิตเพื่อทำพิธีกรรมอัญเชิญตนมาที่นี่ ย่อมคาดหวังมองหมายภารกิจใหญ่หลวงให้ตนรับผิดชอบเป็นแน่ .... แล้วตนเล่า...ไหล่บอบบางของตนคู่นี้จะแบกรับภาระนั้นได้หรือ? ในเมื่อ....ในโลกของเธอเอง เธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงธรรมดา ๆ ที่ถูกรังแกเป็นนิจเสียด้วยซ้ำไป...

แต่เหนือสิ่งอื่นใด หากผู้เรียกตนมาได้เสียชีวิตไปแล้ว... นั่นหมายความว่า เธอจะไม่มีโอกาสกลับสู่บ้านเกิดของตัวเองแล้วกระนั้นหรือ....

นึกแล้วก็ให้ใจหาย ... เหตุการณ์เกิดขึ้นปุบปับจริง ๆ เธอไม่มีโอกาสได้เอ่ยคำร่ำลาคนที่เธอรักสองคนในโลกนั้นแม้แต่คำเดียว

“...” อสูรหนุ่ม (รูปกายภายนอก) มองเด็กสาวอย่างพินิจ เขาทำท่าจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจ

ความเงียบเข้าปกคลุมห้องพิธีนั้น เด็กสาวก้มหน้าลงมองลวดลายวงกลมอาคมบนพื้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอสูรหนุ่มเบื้องหน้าใหม่

“ในเมื่อราชารูเนจจูสิ้นชีพไปแล้ว ... ท่านคงเป็นผู้ร่วมมือสิกระมัง... พวกท่านเรียกข้ามาที่นี่เพื่ออะไรหรือ?”

“หึหึหึ นั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องค้นหาคำตอบเอง ลิตเติลสโนว์...”

“ลิตเติล....สโนว์?!!!” เด็กสาวทวนคำ เธอเพิ่งสังเกตว่า อีกฝ่ายเรียกชื่อตนด้วยคำนี้มาหลายครั้งแล้ว... ตั้งแต่ตอนที่เธอยังไม่ผ่านพ้นประตูแห่งมิติมาด้วยซ้ำ... อา นึกออกแล้ว เสียงนี้เอง ที่เรียกให้เธอมาที่นี่ หลังจากที่เสียงของราชารูเนจจูเงียบไป

“ใช่ นามของเจ้าในเนฟเวอร์แลนด์นี้คือ ลิตเติลสโนว์...ก็มีความหมายเหมือนกับนามของเจ้าในบ้านเกิดของเจ้านั่นแหละ เจ้าพอใจไหม?”

“ชื่อของข้าคือ โคะยุกิ.... ไซโต้ โคะยุกิ... แต่เอาเถิด หากท่านคิดว่าข้าควรใช้ชื่อใหม่ในเนฟเวอร์แลนด์ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะใช้ชื่อนี้” ลิตเติลสโนว์ตอบ พลางคิดต่อในใจ ... อีกประเด็นหนึ่ง หากยังคงใช้ชื่อ ไซโต้ โคะยุกิ เธอก็คงไม่สามารถหลุดพ้นจากภาพลักษณ์อันเลวร้ายของอดีตที่ขื่นขมของเธอในโลกที่เพิ่งจากมา....

“ข้าดีใจที่เจ้าชอบชื่อนั้น ลิตเติลสโนว์” อสูรหนุ่มตอบ หากแต่ในน้ำเสียงนั้น เด็กสาวจากโลกมนุษย์จับได้ว่ามันมีแววความปิติยินดีอะไรบางอย่าง แต่สีหน้าของอีกฝ่ายกลับเรียบเฉย ทั้งสายตาที่นิ่งลึกไม่มีแววใด ๆ ให้จับอาการได้แม้แต่น้อย “ข้าคือ จาโด้ ... หากบอกว่า ข้ามีศักดิ์เป็นบุตรชายของจอมราชันย์อสูรจาเนส เจ้าคงพอจะทราบฐานะของข้ากระมัง”

“ค่ะ... ข้านึกออกแล้ว.... ท่านคือ เจ้าชายอสูรนั่นเอง”

“ลิตเติลสโนว์เอย ข้ามีความจริงข้อหนึ่งที่อยากให้เจ้าได้ตระหนักไว้ด้วย ข้าและราชารูเนจจูเป็นผู้เรียกเจ้ามาที่นี่ก็จริง แต่หากเจ้าไม่มีจิตใจที่อยากหนีจากโลกของเจ้า... และหากเจ้าไม่มีดวงชะตาที่สัมพันธ์กับโลกของเนฟเวอร์แลนด์แล้ว เจ้าก็คงไม่สามารถเดินทางข้ามห้วงมิติมาได้” จาโด้กล่าว “ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าต้องการให้เจ้าค้นหาพันธกิจของเจ้า ณ โลกแห่งนี้ด้วยตัวเอง”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

“...” ทั้งสองเงียบไปอีก แวบหนึ่งที่สายตาทั้งคู่มาประสบกัน แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น แล้วเด็กสาวก็เป็นฝ่ายก้มหน้างุดหลบไปเอง...ด้วยความหวาดกลัวอสูร ทั้งนี้ เนื่องเพราะพลังเวทย์แห่งแสงสว่างที่เต็มเปี่ยมในร่างของเธอ ย่อมรู้สึกได้ถึงตบะแห่งไสยดำอันแข็งกล้าที่อัดแน่นอยู่ในตัวอสูรหนุ่มผู้นี้ --เวทย์ที่มีฤทธิ์ตรงกันข้ามกับเวทย์แห่งแสงสว่างของเธอ--

“หึหึ” โดยไม่รู้ตัว อุ้งมือเย็นเฉียบ แต่ใหญ่แข็งแรงทั้งสองข้าง ก็เอื้อมมาจับต้นแขนทั้งสองของเด็กสาว ลิตเติลสโนว์สะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายทันที ความรู้สึกเหมือนตอนนี้เธอตกอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่ายหนึ่ง หากแต่แท้จริงแล้ว เขาเพียงแต่จับต้นแขนเธอไว้เท่านั้น เสียงทุ้ม ๆ ดังขึ้นอีกว่า “เจ้าไม่ต้องกลัวข้าไปหรอก สโนว์ ข้าเป็นพวกเจ้า อย่าได้หวาดกลัวไปเลย.... ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี จนกว่าจะถึงวันที่เจ้าเดินทางกลับไปโลกเดิมของเจ้า...หากเจ้าต้องการที่จะกลับนะ”

“เอ๊ะ.... หมายความว่า ท่านรู้วิธีส่งข้ากลับไปโลกเดิมอย่างนั้นหรือ?”

“ข้าย่อมทราบดี เพราะข้าเป็นผู้สอนวิธีเรียกเจ้ามา ให้กับราชารูเนจจูเป็นผู้ดำเนินการเอง” เจ้าชายแห่งความมืดตอบ “หากเจ้าคิดว่าเจ้าอยากกลับเมื่อไร จงบอกข้าก็แล้วกัน... เพียงแต่...หวังว่าคงยังไม่ใช่ตอนนี้นะ เพราะเจ้ายังไม่ได้ทำอะไรให้กับเนฟเวอร์แลนด์แห่งนี้เลย...”

“จ...จริงหรือคะ? ท่านจะส่งข้ากลับไปจริง ๆ นะ?" ผู้พลัดถิ่นยกมือตัวเองขึ้นเกาะกุมแขนอีกฝ่ายอย่างลืมตัว พลางระล่ำระลักถาม

“แน่นอน เจ้าเชื่อใจข้าเถิด”

“... ค่ะ...” เด็กสาวตอบเสียงแผ่วในที่สุด จาโด้ปล่อยมือที่เกาะต้นแขนของเด็กสาวออก ทำให้เด็กสาวรู้ตัวว่าตนก็จับแขนอีกฝ่ายไว้เช่นกัน เธอหน้าแดงขึ้นวูบหนึ่งแล้วก็ปล่อยมือจากอีกฝ่าย พลางขยับตัวถอยห่างออกมาเล็กน้อย

“เอาล่ะ ไปกันเถิด ป่านนี้พวกขุนนางของแคว้นแพลททิเซลเวอร์ คงยกขบวนมารอรับราชินีคนใหม่แล้ว...” เจ้าชายอสูรเอ่ยชวน เด็กสาวไม่รู้หรอกว่า นับตั้งแต่ร่างของเธอมาปรากฏในห้องพิธีนี้ จนกระทั่งเธอผ่านด่านทดสอบของมังกรเงินซิลเวียสมาได้ กินเวลาถึงหนึ่งคืนเต็ม ๆ กับอีกครึ่งวันเลยทีเดียว...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1