มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ดวงวิญญานต่างภพ: สมาชิกใหม่แพลททิเซลเวอร์

ตีพิมพ์ครั้งแรก 27 ต.ค 45
แก้ไขครั้งแรก 2 พ.ย 45

วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ลิตเติลสโนว์เข้าสู่ปราสาทแพลททิเซลเวอร์ พิธีสถาปนาประมุของค์ใหม่ของแคว้นก็เริ่มขึ้น ในช่วงเช้าลิตเติลสโนว์ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง แล้วหยิบมงกุฎเพชร--ซึ่งเธอสวมมันเพียงครั้งเดียวตลอดระยะเวลาที่รับตำแหน่ง-- จากแท่นที่ประดิษฐานมาสวมบนศีรษะของตนเอง ทั้งนี้ด้วยเจ้าครองแคว้นแพลททิเซลเวอร์มีฐานะเป็นผู้นำทางพิธีกรรมต่าง ๆ ด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นในแคว้นจึงไม่มีบุคคลใดที่มีศักดิ์ศรีสูงพอที่จะเป็นผู้สวมมงกุฎให้เธอได้

พิธีช่วงเช้าจบลงอย่างเรียบง่าย ด้วยขั้นตอนสำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งคือ การกล่าวสุนทรพจน์ของราชินีองค์ใหม่ต่อหน้าประชาชน

ลิตเติลสโนว์ก้าวไปยืนที่บัลโคนี่ (ระเบียงปราสาทส่วนที่ยื่นออกไปด้านหน้าประตูปราสาท) เบื้องล่าง บนลานกว้างหน้าปราสาท บรรดาประชาชนแห่งแคว้นแพลททิเซลเวอร์พากันมายืนแออัดยัดเยียด เพื่อหวังรอชมบารมีของราชินีองค์ใหม่ของพวกเขาอย่างคับคั่ง กิตติศัพท์ความสง่างามของเธอแพร่กระจายไปทั่วตั้งแต่เมื่อวันวาน ที่เธอนั่งรถม้าในขบวนอัญเชิญผ่านตัวเมืองเข้ามาแล้ว เสียงอุทานอย่างชื่นชมในความงามของลิตเติลสโนว์ดังฮือฮาขึ้นเมื่อร่างน้อย ๆ ในชุดขาวบริสุทธิ์ ถือไม้เท้าปัญญาอันดูน่าเกรงขาม ปรากฏตัวขึ้นบนระเบียงปราสาทนั้น อีกไม่กี่อึดใจถัดมา สรรพเสียงต่าง ๆ ก็ค่อยเบาบางลง จนกลายเป็นความเงียบประดุจไม่มีใครหายใจในที่สุด ทุกคนกำลังรอสุนทรพจน์เนื่องในการเข้ารับตำแหน่งของเด็กสาวนั่นเอง

เด็กสาวเริ่มกล่าวทักทายประชาชนสั้น ๆ แล้วเข้าเรื่องหลักทันที

“...เราลิตเติลสโนว์จึงได้เดินทางมาที่นี้ เพื่อสานต่อเจตนารมย์ของท่านราชารูเนจจู ในการที่จักสร้างสรรค์แคว้นแพลททิเซลเวอร์ให้เจริญรุ่งเรือง เป็นแดนทองของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และ ทุกเผ่าพันธุ์บนเนฟเวอร์แลนด์ที่จักสามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ เราหวังว่า พ่อแม่พี่น้องทุกท่านจะให้ความร่วมมือกับเราด้วย...”

เธอมิได้กล่าวถึงคำพยากรณ์ของเธอเกี่ยวกับมหาสงครามที่กำลังจะอุบัติขึ้นในไม่ช้า ดั่งเช่นที่กล่าวกับบรรดาทหารและข้าราชบริพารที่ไปต้อนรับเมื่อวันก่อน เนื่องเพราะผู้ฟังในขณะนี้เป็นบรรดาราษฎรธรรมดา ซึ่งไม่พึงจะพูดถึงเรื่องสงครามให้พวกเขาต้องตื่นกลัว อย่างไรก็ตามคำปราศรัยของเธอก็ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่ง

“ราชินีลิตเติลสโนว์จงเจริญ” “แคว้นแพลททิเซลเวอร์จงเจริญ” ฯลฯ

เสียงโห่ร้องอวยชัยดังกึกก้อง เป็นอันจบพิธีในช่วงเช้า หากไม่เพราะ...

“ข้าแต่องค์ราชินี ข้ามีเรื่องจะขอความเมตตา ได้โปรดฟังข้าด้วยเถิด”

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากในฝูงชน ลิตเติลสโนว์ซึ่งทำท่าว่าจะก้าวถอยหลังหลบหายกลับเข้าไปในปราสาทมีอันต้องหยุดชะงักแล้วก็กวาดสายตาลงไปในฝูงชน เธอยกมือขึ้นเป็นเชิงขอความสงบ สรรพเสียงเซ็งแซ่ค่อย ๆ เงียบลง และ ณ ที่ ๆ หนึ่ง ก็บังเกิดคนขยับตัวเป็นวงกลมออกห่างจากคนคนหนึ่งที่ยืนจังก้าอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาผู้นี้คือผู้ที่ส่งเสียงตะโกนเมื่อสักครู่ก่อนหน้านี้เอง

บุคคลผู้นั้นห่อหุ้มกายด้วยเครื่องแต่งกายมอมแมมขาดวิ่น แต่มองออกทันทีว่าเป็นเครื่องแต่งกายของชนเผ่าทะเลทราย ใบหน้าที่โพกผ้าพันศีรษะไว้ทำให้เห็นไม่ถนัด แต่กระนั้นราชินีผู้ยืนบนปราสาทก็สามารถสังเกตเห็นถึงสายตาที่กล้าแข็งของเขาผู้นั้น สายตาที่เต็มไปด้วยแวววิงวอนอย่างคนไร้ที่พึ่ง...

“ท่านเป็นใครหรือ? มีสิ่งใดที่ต้องการให้เราช่วยก็จงกล่าวมา” ลิตเติลสโนว์ก้าวไปยืนชิดขอบระเบียงแล้วชะโงกตัวเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามเขาโดยตรง ขณะที่มือซ้ายของเธอที่แนบกายอยู่ก็แอบกวักเรียกไปด้านหลัง

ขุนพลบ๊ากแบทก้าวเข้ามายืนด้านหลังของเธออย่างรู้งาน เขามองลงไปแวบเดียวก็กระซิบบอกต่อราชินีของเขาว่า

“ดูจากเครื่องแต่งกายเป็นนักรบชนเผ่ากลุ่มน้อยในทะเลทรายจาปิโตสขอรับ”

“เช่นนั้นหรือ?” ลิตเติลสโนว์ตอบเบา ๆ สายตายังคงจับจ้องไปที่เบื้องล่าง

“พวกของข้า ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้าได้ยินมาว่า ประมุขของแพลททิเซลเวอร์ล้วนเป็นผู้แก่กล้าในศาสตร์แห่งเวทย์แสงสว่าง ข้าจึงขอความกรุณาท่านได้โปรดช่วยเหลือพวกเขาด้วยเถิด”

เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกจากกลุ่มประชาชนที่มุงดูอยู่ ส่วนใหญ่เป็นเสียงแสดงความไม่พอใจที่ชายแปลกถิ่นผู้นี้บังอาจขอรับความช่วยเหลือจากประมุขของแคว้นโดยตรง จริงอยู่ที่อำนาจเวทย์แห่งแสงสว่างมีฤทธิ์ในทางรักษาอาการบาดเจ็บ หรือแม้แต่จะชุบชีวิตคนที่ตายโดยยังไม่ถึงอายุขัยให้ฟื้นขึ้นใหม่ก็ยังทำได้ด้วยซ้ำไป แต่... ผู้ที่มีศักดิ์ศรีสูงส่งเช่นนั้นย่อมไม่ใช้พลังเวทย์ของตนพร่ำเพรื่อ ... โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มหนึ่งซึ่งแต่งตัวด้วยชุดเดินทะเลทรายคล้ายกับคนแรก ก็แหวกฝูงชนออกมากลางวง พวกเขาช่วยกันประคองชายอีกสามคนที่มีท่าทางบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ ดั่งที่ชายคนแรกพูดไว้ออกมาวางนอนบนพื้นด้วย ร่างของชายทั้งสามถูกวางนอนเรียงกัน ตลอดทั้งร่างเต็มไปด้วยผ้าพันแผลซึ่งล้วนแต่มีรอยเลือดซึมออกมาเกรอะกรัง ด้วยสายตาของนักรบอย่างบ๊ากแบท และด้วยอำนาจการหยั่งรู้ของลิตเติลสโนว์ ทั้งสองทราบได้ในทันทีว่า ชายทั้งสามมีลมหายใจรวยรินเต็มทีพร้อมจะขาดใจตายได้ทุกเมื่อ...แน่นอนในสภาพอย่างนี้ไม่ควรที่จะแบกหามคนเจ็บไปไหน แต่... คนแปลกหน้าเหล่านี้คงไม่มีทางเลือกอีกแล้ว เพราะพวกเขาก็คงตระหนักดีว่า หากทิ้งไว้เฉย ๆ ทั้งสามคนก็ไม่รอดอยู่ดี

“ได้โปรดเถิดราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์ พวกข้าไม่สามารถปล่อยให้พวกพ้องต้องสิ้นชีวิตลงได้จริง ๆ โดยเฉพาะท่านผู้นี้” นักรบทะเลทรายคนแรกขอร้อง พลางชี้มือไปที่หนึ่งในสามของชายบาดเจ็บที่ถูกหามมาวางไว้ จากนั้นเขาและพวกที่มาด้วยกันต่างพากันคุกเข่าลงก้มศีรษะนอบกายแสดงความเคารพอย่างสูงสุดต่อผู้ที่เขากำลังวิงวอน

“....” ลิตเติลสโนว์นิ่งคิด เธอเพ่งสายตาลงไปที่กลุ่มคนด้านล่างอยู่สองสามอึดใจ รอบข้างเต็มไปด้วยความเงียบ รอดูว่าราชินีผู้นี้จะตัดสินใจอย่างไร

“นักรบทะเลทราย เจ้าจงบอกนามของเจ้าและนามของผู้ที่เจ้าว่า จะปล่อยให้ตายไม่ได้ มาก่อนเถิด” เป็นคำกล่าวที่หลุดออกจากริมฝีบางงามคู่นั้นในที่สุด

“ครับ ข้ามีนามว่า ยิปสีด และคนผู้นี้มีนามว่า...” เขาลังเลก่อนจะพูดต่อ “ เซลเอ็ด”

“เจ้าพูดความจริงไม่หมด! นักรบยิปสีด” ราชินีสวนคำทันที เสียงฮือฮาดังขึ้นจากฝูงชนอีกครั้งด้วยความประหลาดใจว่าประมุขของพวกตนทราบได้อย่างไร พอพอกับที่ตัวแทนของกลุ่มนักรบทะเลทรายเงยหน้าขึ้นมองมาทางราชินีด้วยความตกใจเช่นกัน อย่างไรก็ดี เขาก้มกายลงแสดงความเคารพอีกครั้งก่อนเงยหน้าขึ้นตอบว่า

“ข้าขออภัยด้วยเถิด นามเต็มของคนผู้นี้... ข้าไม่อาจจะเอ่ยสุ่มสี่สุ่มห้าในที่ที่ไม่ทราบว่าจะมีศัตรูแฝงอยู่ด้วยหรือไม่เช่นนี้ได้”

ลิตเติลสโนว์ขมวดคิ้วเล็กน้อย กวาดสายตาไปในฝูงชนที่ล้อมรอบอยู่ แล้วจึงกล่าวว่า

“ที่นี้มีแต่ประชาชนชาวแพลททิเซลเวอร์ของเรา เจ้าหากต้องการความช่วยเหลือก็จงบอกแสดงความจริงใจมาเถิด หาไม่แล้วไหนเลยจะมีใครช่วยเจ้าได้”

“...” ชายผู้นั้นอึ้งไป ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ “รับทราบแล้ว ท่านราชินี คนผู้นี้ คือ เซลเอ็ดอะดลัส สหายศึกของข้าเอง”

“อะดลัสหรือ?” ลิตเติลสโนว์ทวนคำ

‘อะดลัสเป็นตระกูลของหัวหน้าชนเผ่าทะเลทรายชนเผ่าหนึ่งที่มีรกรากอยู่บริเวณชายแดนระหว่างแพลททิเซลเวอร์กับจาปิโตส’ เสียงของมังกรเงินซิลเวียสดังขึ้นในใจของลิตเติลสโนว์ “แต่ทำไม คนของอะดลัสถึงได้มารับบาดเจ็บแล้วหนีหัวซุกหัวซุนเข้ามาในแคว้นนี้ ข้าก็ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ เด็กน้อย เจ้าคงต้องหาข้อมูลที่ทันสมัยกว่าข้อมูลที่ข้ามีอยู่เพิ่มเติมแล้วล่ะ”

ลิตเติลสโนว์ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง มังกรเงินซิลเวียสจะส่งกระแสจิตติดต่อพูดคุยกับเธอโดยตรงทุกครั้งที่เธอต้องการความรู้ หรือข้อมูล แต่อย่างไรก็ดี เนื่องจากเทพมังกรนางนี้มิได้ออกสู่โลกภายนอกมานานแล้ว จึงทราบเพียงข้อมูลพื้นฐานเท่านั้น

“เราเข้าใจแล้ว เราจะช่วยพวกเจ้า” ลิตเติลสโนว์ตัดสินในที่สุด เธอหลับตาลงสำรวมสมาธิ ทำจิตแผ่ความเมตตาอยากช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ พลางนึกถึงภาพของชายผู้บาดเจ็บสาหัสทั้งสามนั้น ... นี่เป็นหลักการใช้เวทย์รักษา จะต้องมีจิตใจที่อยากช่วยเหลืออีกฝ่ายก่อน แล้วจึงจะสามารถดึงพลังเวทย์แสงสว่างถ่ายทอดออกมาเป็นเวทย์รักษาได้

ราชินีโฉมงามเปลี่ยนไม้เท้าปัญญาไปถือด้วยมือซ้าย จากนั้นยื่นฝ่ามือขวาออกไปข้างหน้าโดยคว่ำฝ่ามือลง หันไปทางกลุ่มชายที่รับบาดเจ็บเหล่านั้น สายตาทุกผู้ในที่นั้นล้วนจับจ้องอัปกริยาของเธอแทบไม่กระพริบตา ในทันใดนั้นเอง ก็ปรากฏแสงสีขาวนวลส่องสว่างจากฝ่ามือขวาของสโนว์ แสงสว่างซึ่งมีลักษณะเป็นดวงไฟสีนวลนั้นเลื่อนตัวเองลอยออกจากฝ่ามือของเธอไปช้า ๆ ไปหยุดอยู่ที่ร่างของชายทั้งสามที่นอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่ แล้วมันก็สว่างวาบขึ้นครั้งเดียว ก่อนจะดับวูบไป น่าแปลกที่แสงสว่างที่วาบขึ้นไม่ทำให้แสบตาหรือระคายตาจนมองไม่ได้แม้แต่น้อย แต่กลับมีความสบายตาชวนมองเสียอีก... หลายคนในที่นั้นรู้สึกว่า แค่ตนได้เห็นแสงนั้นก็เป็นบุญตาและมีความรู้สึกปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูกเสียแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นชวนให้อัศจรรย์ใจยิ่งกว่า

ร่างของชายสามคนซึ่งนอนนิ่งไม่ไหวติงกับพื้น ค่อย ๆ มีสีหน้าที่อมเลือดอมฝาดมากขึ้น ร่างกายส่วนต่าง ๆ ค่อย ๆ ขยับได้ทีละน้อย และในที่สุดพวกเขาก็สามารถลุกขึ้นนั่งได้ เพื่อน ๆ ที่มาด้วยกันเปล่งเสียงร้องดีใจ พากันเข้าไปกอดกับผู้ที่รอดชีวิตกันแน่น ก่อนจะพากันเจรจาเล่าความแล้วคนทั้งหมดก็พากันหันหน้ามาทางผู้มีพระคุณของพวกเขา แล้วทรุดกายของคารวะแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง

เสียงประชาชนเริ่มแซ่ซ้องสดุดีความสามารถของราชินีองค์ใหม่ของพวกเขาอย่างปีติ ลิตเติลสโนว์เพียงแต่โบกมือให้แก่บรรดาประชาราษฎร์เบื้องล่าง ก่อนจะพาตัวหายกลับเข้าไปในปราสาท

“ท่านบ๊ากแบท ส่งคนไปรับพวกเขาเข้ามาพำนักในปราสาทนี้ด้วย แล้วพาคนที่เป็นหัวหน้าทั้งสองคน คือ ยิปสีดกับซิลเอ็ดอะดลัสมาพบเรา... อ้อ ท่านจะสัมภาษณ์พวกเขาก่อนก็ได้นะ เรามอบหมายให้ท่านจัดการตามที่ท่านเห็นควร”

“ขอรับ” บ๊ากแบทรับคำ

...

เย็นวันนั้น ร่างของบุรุษรูปร่างสันทัดสองคน แต่งกายในชุดเดินทะเลทรายใหม่เอี่ยม ก็ถูกเบิกตัวมาเฝ้าราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์ แต่ก่อนหน้าที่ทั้งสองจะเข้ามา บ๊ากแบทก็ได้เข้าไปปรึกษาข้อราชการกับราชินีสาวอยู่ครู่ใหญ่อยู่ก่อนแล้ว

“ข้าเซลเอ็ดอะดลัส ขอขอบพระคุณท่านอย่างสูงที่ได้ช่วยชีวิตข้าไว้” ชายวัยราวยี่สิบเศษ ดวงตาคมกริบ โพกศีรษะด้วยผ้าเนื้อดีและประดับด้วยขนเหยี่ยวทะเลทราย ใบหน้าและท่าทางดูมีราศีเอ่ยขึ้นทันทีที่ได้พบหน้าลิตเติลสโนว์

“ไม่เป็นไร เราทำสิ่งที่เราคิดว่าสมควรเท่านั้น” ลิตเติลสโนว์ตอบ พลางมองบุรุษทั้งสองอย่างพินิจ แล้วเอ่ยต่อ “ท่านบ๊ากแบทได้รายงานให้เราฟังแล้ว ท่านเซลเอ็ดอะดลัสคืออดีตหัวหน้าเผ่าอะดลัส ซึ่งปัจจุบันโดนแคว้นจาปิโตสผนวกดินแดนเข้าไปแล้ว... ส่วนท่านยิปสีดก็เป็นหัวหน้าเผ่าเร่ร่อนที่ถูกจาปิโตสทำลายล้างจนไม่เหลือเช่นกัน... เราขอแสดงความเสียใจกับพวกท่านด้วย”

“เรื่องราวเป็นเช่นนั้นจริง ท่านราชินี” เซลเอ็ดอะดลัสตอบ แววตามีแววเจ็บช้ำที่ลิตเติลสโนว์อ่านได้ไม่ยาก “ท่านยิปสีดหนีมาสมทบกับกองกำลังของข้าก่อน แล้วเมื่อต้นเดือนนี้เอง ถิ่นฐานของพวกข้าก็ถูกรุกราน พวกเราสู้ตายแต่ก็... ตายหมดจริง ๆ เหลือพี่น้องเดนตายที่หลบหนีมากับข้าได้เพียงสามสิบเศษเท่านั้น พวกเราหลบหนีการตามล่าของพวกจาปิโตสจนมาถึงดินแดนของท่านนี่แหละ ”

“เรื่องนั้น เราได้ฟังรายงานจากบ๊ากแบทแล้ว” ลิตเติลสโนว์กล่าว เธอทราบด้วยว่า การประทะกันครั้งสุดท้ายของผู้ล่ากับผู้หนี ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสี่วันก่อน บริเวณชายแดนแคว้นแพลททิเซลเวอร์ซึ่งติดกับแคว้นจาปิโตสทำให้พวกเขาเสียชีวิตไปเกือบหมด หนีรอดเข้าแคว้นแพลททิเซลเวอร์มาได้เพียงสิบคน และสามคนในนั้นบาดเจ็บสาหัส จนมาทรุดหนักที่ในเมืองนี้เอง เมื่อพวกเขาเสียเลือดมากเกินไป “... พวกท่านจะทำอย่างไรกันต่อไป”

“ข้า...” เซลเอ็ดอะดลัสเงียบไป หันไปสบตากับเพื่อนร่วมศึกของตน แล้วจึงตัดสินใจกล่าวต่อในที่สุด “บอกตามตรง อันความจริงแล้ว ชนเผ่าทะเลทรายอย่างเรา ก็เป็นคนที่ไม่ติดยึดกับสมบัตินอกกายหรือถิ่นพำนักอยู่แล้ว... ข้าคงไม่คิดจะฟื้นฟูดินแดนเล็ก ๆ ของเราขึ้นมาใหม่อีกหรอก เพียงแต่ ความแค้นที่ถูกพวกจาปิโตสสังหารหมู่บรรดาเพื่อนร่วมเผ่าของข้านั้น ข้าสาบานว่าจะต้องชำระกับพวกจาปิโตสให้ได้”

“และนั่นก็เป็นเป้าหมายของข้าด้วยเช่นกัน ราชินีลิตเติลสโนว์” ยิปสีดกล่าวเสริมขึ้น

ลิตเติลสโนว์มองหน้าบ๊ากแบทเป็นเชิงหารือ ฝ่ายหลังพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงว่าเขาก็เห็นด้วยกับความความคิดของฝ่ายประมุขซึ่งเสนอมาก่อนหน้าที่จะให้อาคันตุกะทั้งสองเข้ามา เด็กสาวจึงเปิดฉากเจรจาต่อทันที

“พวกท่านคงทราบดีว่า เราเพิ่งเป็นราชินีของแคว้นนี้เพียงวันนี้เอง... แต่ภารกิจของเราก็คือ ปกป้องแคว้นนี้ให้พ้นจากภัยสงคราม... มหาสงครามเนฟเวอร์แลนด์ที่จักบังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้...”

ชาวทะเลทรายทั้งสองมีท่าทีตื่นตัวขึ้น เมื่อได้ยินว่าสงครามจะอุบัติขึ้นอีกครั้ง...

“สัจธรรมแห่งการสู้รบ พวกท่านก็คงตระหนักดี ผู้แข็งแรงกว่าย่อมเป็นผู้อยู่รอด ฝ่ายที่มีพวกมากกว่าย่อมเป็นผู้ได้ชัย... พวกท่านมีความคิดที่จะอยู่กับแคว้นเราหรือไม่” คำพูดของเธอก็เป็นเชิงติงกลาย ๆ นั่นเองว่า หากทั้งสองสหายยังคงออกเร่ร่อนไปกับพรรคพวกเพียงไม่หยิบมือ ก็มีหวังเอาชีวิตไปทิ้งในไฟสงครามที่จะระอุขึ้นเสียเปล่า ๆ แต่หากยินยอมสวามิภักดีกับแคว้นใหญ่ที่เป็นปึกแผ่น...เช่น แพลททิเซลเวอร์ ก็ย่อมเป็นการดีกว่า

บุรุษผิวคล้ำทั้งสองคนสบตากันอีก

“ท่านไม่รังเกียจคนต่างเผ่าอย่างพวกเราหรือ?” ดูเหมือนในระหว่างทั้งสอง ยิปสีดจะให้เกียรติเซลเอ็ดอะดลัสอยู่มาก จึงเป็นฝ่ายหลังที่เปิดปากเจรจากับลิตเติลสโนว์อีกครั้ง

“ต่างเผ่า?” ราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์ทวนคำด้วยน้ำเสียงพิศวง “ท่านเป็นมนุษย์ พวกเราก็เป็นมนุษย์ มีอันใดที่ท่านเห็นว่าพวกเราต่างเผ่ากัน?”

“โอ... ถ้าเช่นนั้น” อดีตผู้นำแห่งอะดลัสกล่าวเสียงสั่นด้วยความปีติพลางคุกเข่าลง “ข้าก็ขอฝากชีวิตที่ท่านเป็นผู้ชุบขึ้นมาใหม่นี้ ไว้กับท่านละ ราชินีลิตเติลสโนว์”

“ถ้าเซลเอ็ดอยู่ที่นี่ ข้าก็ขอสวามิภักดิ์กับท่านด้วยเช่นกัน ราชินี” ยิปสีดกล่าว

ลิตเติลสโนว์พยักหน้าอย่างพึงพอใจ พลางหันไปสบตากับขุนพลคู่ใจอีกครั้ง

...

เพียงวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ราชินีผู้ซึ่งในภายหลังรู้จักกันในนามของราชินีศักดิ์สิทธิ์แห่งแพลททิเซลเวอร์ ก็สามารถรับขุนพลเพิ่มเข้ามาในทัพแพลททิเซลเวอร์ถึงสองรายแล้ว... แน่นอน ไพร่พลในสังกัดของสองขุนพลผู้มาใหม่ คือ บรรดานักรบทะเลทรายนั่นเอง... แม้ว่าในตอนนี้จะมีเพียงสิบคน แต่ ทั้งสองคนคาดหวังว่า บรรดาเผ่าเล็กเผ่าน้อยที่เร่ร่อนหรือมีหลักแหล่งอยู่ในทะเลทรายใหญ่-- ซึ่งบัดนี้ถูกแคว้นจาปิโตสผนวกเข้าไว้รวมกันทั้งหมด-- มีอยู่มากมายนัก... พวกเขาจะไปดึงตัวรวบรวมนักรบทะเลทรายเหล่านั้นมาไว้ในกองทัพของแพลททิเซลเวอร์เอง

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในวันนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้

“ราชินี ท่านบ๊ากแบท เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”

เสียงฝีเท้าที่วิ่งมาอย่างร้อนรน พร้อมกับเสียงตะโกนดังลั่นเข้ามาก่อนที่เจ้าของเสียงซึ่งเป็นทหารยามในวังจะปรากฏตัวขึ้น ลิตเติลสโนว์เงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นไปมองทางต้นเสียง ขณะที่บ๊ากแบทซึ่งถือเอกสารอีกหอบใหญ่อยู่ข้าง ๆ โต๊ะเขียนหนังสือของประมุขแคว้น ก็หันไปมองผู้มาใหม่อย่างตำหนิ ในความไร้มารยาทของอีกฝ่าย

“มีเรื่องอะไร?” ขุนพลหมายเลขหนึ่งแห่งแพลททิเซลเวอร์ถาม นึกในใจว่า ถ้าไม่มีเหตุสมควรให้ตื่นตระหนกจนวิ่งร้องโหวกเหวกเข้ามาเช่นนี้ละก็ เห็นทีเจ้าทหารคนนี้ต้องโดนลงโทษสถานหนักแน่

“อสูรครับ อสูรชั้นสูงตนหนึ่งพาบรรดาผีโครงกระดูกมาปักหลักอยู่ที่สวนกลางปราสาทแล้วขอรับ!!!”

ขาดคำรายงาน บ๊ากแบทก็มีอันตกตะลึงจนแทบจะทิ้งกองเอกสารในมือให้ร่วงลงไป ขณะที่ลิตเติลสโนว์มีสีหน้าซีดเผือดไปเล็กน้อย แต่แล้วก็กลับแดงเรื่อขึ้นใหม่ เมื่อนึกอะไรออกได้

“แล้วอสูร ‘ท่าน’ นั้น มีทีท่าอย่างไรบ้าง” เธอร้องถามออกไป ขณะที่ขุนพลบ๊ากแบทยังสงบความตื่นเต้นของตนไม่ได้ ไม่เคยมีอสูรบุกมาถึงแคว้นแพลททิเซลเวอร์เลย ... ในอดีตล้วนแล้วแต่เป็นราชันย์รูเนจจู-- และเขาในตอนที่ยังหนุ่มแน่น-- ที่เป็นฝ่ายยกทัพออกไปช่วยปราบทัพอสูรร่วมกับแคว้นอื่น ๆ

“มัน ... เอ่อ มันยืนอยู่เฉย ๆ ครับ แล้วสาปให้พวกทหารของเราที่เข้าใกล้มันกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด”

“อืม” ลิตเติลสโนว์รวบเอกสารบนโต๊ะจัดวางให้เรียบร้อย แล้วลุกขึ้น “ในที่สุดก็มาแล้วหรือ?”

“เอ๊ะ ราชินี หมายความว่าอย่างไร?” บ๊ากแบทได้สติ เขาหันมาถามเธอพลางวางกองเอกสารในมือลงบ้างเช่นกัน

“พวกเราไปกันเถอะ แล้วท่านก็จะทราบเอง”

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
บันทึกการแก้ไข ครั้งที่ ๑ แก้ตรงคำบรรยายหน้าตาของซิลเอ็ดอะดลัส ตอนแรกเขียนโดยจำรูปหน้าตัวละครคนนี้ผิดไปหน่อย พอเห็นรูปก็เลยต้องแก้ให้สอดคล้องกับรูป (เดิมเป็น “ชายวัยราวสี่สิบเศษ หนวดเครารุงรัง” ง่า...จำสับกะใครหว่า)
1