เมื่อลิตเติลสโนว์และบ๊ากแบทรีบรุดไปถึงที่เกิดเหตุ ก็พบว่ามีข้าราชบริพารระดับสูงหลายคนยืนมุงดูเหตุการณ์กันอยู่ก่อนแล้วด้วยสีหน้าตื่นตระหนก รอบนอกมีทหารอาวุธครบมือจำนวนหนึ่งยืนเรียงรายเตรียมพร้อมอยู่ แต่ไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปได้ เพราะเบื้องหน้าของทุกคนร่างของทหารนับสิบที่กำลังแข็งค้าง มีเกล็ดน้ำแข็งใส ๆ ปกคลุมร่างกายไว้ เป็นอุทธาหรณ์อย่างดี บนพื้นหญ้าของสวนที่อยู่ในเขตตัวปราสาท ร่างตะคุ่ม ๆ ของผีโครงกระดูกนับร้อยตนยืนเรียงรายอยู่อย่างขมึงทึง หากแต่พวกมันไม่มีทีท่ารับรู้ความเคลื่อนไหวรอบด้านแต่อย่างใด “มาแล้วหรือ” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ก่อนที่ร่างในชุดดำก้าวออกมาจากกลุ่มของผีโครงกระดูก เขาคืออสูรชั้นสูงผู้คุมบรรดาไพร่พลสเกลตันเหล่านี้มานั่นเอง “เจ้าเป็นใคร ทำไมจึงมาที่นี่” บ๊ากแบทก้าวไปข้างหน้า แต่ยอดขุนพลคนนี้ยังไม่เอื้อมมือแตะดาบ ท่าทีเช่นนี้แสดงถึงความมั่นใจการรบของตนอย่างเต็มเปี่ยม อสูรผู้นั้นหัวเราะหึหึ เขาชักชอบใจเจ้าหนุ่มคนนี้แล้วสิ “เจ้าชายอสูร จาโด้ ทายาทของจอมราชันย์อสูรจาเนส” ลิตเติลสโนว์เอ่ยทักอาคันตุกะ และก็เป็นทีแนะนำฐานะของฝ่ายนั้นให้กับข้าราชบริพารของตนด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ด้วย หลายคนในที่นั้น ซึ่งเป็นเสนาบดีชั้นสูงจริง ๆ จึงพอจะเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับจาโด้มาบ้าง ถึงกับหน้าถอดสี... ข่าวลือที่ว่าจาเนสมีบุตรชายอยู่คนหนึ่งเป็นความจริงหรือนี่ แล้วเจ้าชายอสูรมาทำอะไรที่แคว้นห่างไกลจากแดนอสูรแห่งนี้ เสียงราชินีกล่าวต่อ “ท่านพาทหารมามากมาย มีวัตถุประสงค์อันใดหรือ?” “หึหึ ข้าเพียงมาดูโฉมหน้าของราชินีองค์ใหม่แห่งแคว้นศักดิ์สิทธิ์แพลททิเซลเวอร์เท่านั้นเอง หามีจุดประสงค์ใดไม่” “ถ้าเช่นนั้น ทหารพวกนี้...” ลิตเติลสโนว์ปรายตาไปยัง ‘มนุษย์น้ำแข็ง’ ที่ยืนระเกะระกะอยู่แถวนั้น “พวกมันช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนัก บุกเข้ามาหาข้าได้ ก็เลยทำให้มันหลับไปชั่วครู่เท่านั้น เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” “ถ้าเช่นนั้น เราก็ต้องขออภัยด้วยที่คนของเราเสียมารยาทต่อแขกเช่นนี้” “ราชินี!” เสียงของขุนพลอันดับหนึ่งขัดขึ้น “บ๊ากแบท ท่านจาโด้หามีเจตนาร้ายไม่ ท่านไม่ต้องกลัวหรอก หากเขามาร้ายจริง ป่านนี้เมืองเราถูกยึดไปแล้ว... จริงไหมท่าน?” “หึหึ นับว่าเจ้ายังมีสายตาแหลมคมอยู่บ้าง.... ถูกแล้ว หากข้าต้องการยึด หรือแม้แต่จะทำลายแคว้นนี้จริง ลำพังเพียงกำลังทหารของพวกเจ้าไม่ครณามือข้าหรอก” ขาดคำเขาก็คลายการบังคับระดับพลังเวทย์ของตนลง “...” บ๊ากแบทซึ่งกำลังขยับตัว เอื้อมมือไปแตะด้ามดาบต้องละมือออกมาในบัดนั้นเอง เขารับรู้ได้ถึงตบะอันกล้าแข็งของอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว!!! -- สู้ไม่ได้ หากสู้กันมีแต่แพ้แน่ -- > ไม่ใช่ว่าเขาขี้ขลาด ถอดใจยอมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ทันได้ประมือเลย แต่สัมผัสพิเศษของเขาในการหยั่งรู้ถึงตบะอาคมของฝ่ายตรงข้ามบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนั้น “โฮะโฮ่ เจ้าหนุ่มนี่ก็มีดีเหมือนกันนี่... ไม่เลว ๆ” จาโด้เอ่ยปากชมด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนเย้ยหยัน หากแต่ลิตเติลสโนว์อ่านได้ว่า เขากล่าวจากใจจริง และเธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าจาโด้ชมบ๊ากแบทเรื่องอะไร แต่เสียดายที่คนถูกชมเองกลับตีความหมายผิด “เจ้า!... ข้า- บ๊ากแบทแห่งแพลททิเซลเวอร์ขอเสี่ยงกับเจ้าแล้ว” ดาบเพิ่งถูกชักออกจากฝักได้เพียงครึ่งเดียว เสียงปรามของราชินีก็ดังมา “หยุดเดี๋ยวนี้ บ๊ากแบท!” ห้ามไม่ห้ามเปล่า เธอเดินเข้ามาประชิดตัวยอดขุนพลอย่างรวดเร็ว พร้อมใช้มือแตะข้อศอกขวาของอีกฝ่ายไว้ “เราบอกแล้วไงเล่า ว่าเขามิได้มีเจตนาร้าย” “หึหึ เอาเถอะ ข้าขอลาก็แล้วกัน หวังว่าเจ้าจะค้นพบภารกิจที่แท้จริงของตัวเองโดยเร็วนะ ราชินีลิตเติลสโนว์” เจ้าชายแห่งรัตติกาลพูด แล้วโบกมือวูบหนึ่ง ร่างของสเกลตันนับร้อยก็พลันมลายหายไปกับความมืด พร้อม ๆ กับที่ร่างของทหารแพลททิเซลเวอร์ที่ถูกแช่แข็งในผลึกน้ำแข็ง ต่างก็หลุดพ้นจากมนต์สะกด พากันล้มลงนอนกับพื้น “เดี๋ยวก่อน ท่านจาโด้” ลิตเติลสโนว์รีบร้องขึ้น “ท่านยังไปไม่ได้!” “มีอะไรรึ? ราชินี” “ท่านไม่คิดลองพำนักอยู่ที่นี่สักหน่อยรึ เราอยากจะขอเชิญท่านเป็นแขกของแคว้นเรา” “แขกของแคว้น?!!!” “และเป็นที่ปรึกษาด้านการทหารให้เราด้วย... หากท่านไม่รังเกียจ” “ราชินี!” คราวนี้บรรดาข้าราชบริพารต่างพากันร้องเสียงหลง นี่ราชินีของพวกเขากำลังเชิญให้ “ทายาทของจาเนส” เป็นที่ปรึกษาเชียวนะ...และที่สำคัญอสูรตนนี้จะได้พำนักในแคว้นนี้-อยู่ใกล้ๆ กับพวกตนเสียด้วย ช่างอันตรายจริง ๆ “หึหึ ฮะ ๆ ๆ เจ้านี่แปลกคนจริง ๆ ดูบรรดาคนของเจ้าเสียก่อนเถิด ต่างหวาดกลัวข้าทั้งสิ้นแล้วเจ้าไม่กลัวข้ารึ?” เจ้าชายอสูรถาม “กลัวสิ” เป็นคำตอบเกือบจะโดยทันที ยังความประหลาดใจแก่ผู้คนรอบข้างที่คาดหวังคำตอบตรงกันข้าม รวมทั้งตัวต้นเหตุความกลัวนั้นเองด้วย “หากแต่... สิ่งที่เรากลัวยิ่งกว่าคือ การที่ท่านไปอยู่กับแคว้นอื่น หรือแม้แต่ตั้งกองกำลังอิสระของตนเองขึ้นมา หากเป็นเช่นนั้น สู้ดึงตัวท่านมาเป็นพวกยังจะดีกว่า” อ้อ อย่างนี้นี่เอง บ๊ากแบทร้องในใจ เขาเห็นด้วยกับราชินีน้อยของเขาทันที “อสูรอย่างข้า ไม่มีพันธะที่จะต้องเป็นมิตรกับมนุษย์หรอกนะ ข้าอาจจะทำลายแคว้นเจ้าเมื่อไหร่ก็ได้” “อย่างน้อย หากท่านจะทำลายจริง ท่านก็คงไม่ใช้วิธีสกปรกต่ำช้าหรอก จริงไหม เจ้าชายอสูรจาโด้” --ด้วยศักดิ์ศรีของจาโด้ หากจะหันอาวุธเขข้าใส่แคว้นที่เชิญตนเป็นแขกแล้ว... มีเพียงทางเดียวคือ ต้องประกาศศึกกันซึ่ง ๆ หน้า-- บ๊ากแบทแทบจะโห่ร้องออกมาในสติปัญญาและการตัดสินใจที่เฉียบขาดของลิตเติลสโนว์ และเมื่อเขามองไปทางฝ่ายอสูร ก็พบว่าทางนั้นกำลังยืนหน้าขรึม ตัวสั่นน้อย ๆ ก่อนที่จะ.... ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น “ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ข้าไม่เคยเจอมนุษย์เช่นเจ้าเลย สมแล้วที่เป็นผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำแคว้น... ดี... ดีมาก... ข้าจะรับคำเชิญของเจ้าสักครั้ง ราชินีลิตเติลสโนว์” “ขอบพระคุณท่าน.... ด้วยฐานะของท่าน ท่านเรียกเราว่าลิตเติลสโนว์เฉย ๆ ก็ได้ ทายาทของจอมราชันย์อสูรจาเนส” “ได้” อสูรหนุ่มตอบสั้น ๆ และนั่นคือ สมาชิกใหม่อีกหนึ่งคน (ตน) ที่เข้าร่วมกองทัพแพลททิเซลเวอร์หลังจากลิตเติลสโนว์ขึ้นนั่งบัลลังค์ได้เพียงวันเดียวเท่านั้น แน่นอน เรื่องนี้ถูกกำชับในหมู่เสนาบดีอำมาตย์ ให้เก็บเป็นความลับ มิให้แพร่งพรายออกไปนอกวังไปสู่หูของประชาชนธรรมดาเป็นอันขาด ... งานของลิตเติลสโนว์ในฐานะราชินีมีมากมาย เธอเฝ้าสางงานราชการอย่างแสนจะวุ่นวายทุกวัน ตั้งแต่เช้ายันเย็น พลางนึกในใจว่า ระบบราชการของแพลททิเซลเวอร์เดิม ช่างเป็นภาระต่อคนที่เป็นประมุขจริง ๆ หากเธอเรียนงานทั้งหมดแล้ว คงจะต้องมาสังคายนา หรือปฏิรูประบบราชการกันใหม่ แต่นั่นคงต้องรอจนกว่าจะขึ้นปีใหม่นั่นแหละ ระหว่างนั้น ลิตเติลสโนว์ได้กำชับให้บ๊ากแบทคุมไพร่พลทหารฝึกปรือซ้อมรบทุกวันอย่างเข้มงวด แน่นอนว่าไม่มีใครขัดหรือแสดงอาการอิดออดต่อคำสั่งนี้ ด้วยต่างก็ได้ยินคำทำนายตั้งแต่วันที่ไปอัญเชิญเธอมารับตำแหน่งแล้ว... บ๊ากแบทได้จัดแบ่งกำลังอัศวินแปดร้อยของแคว้น เป็นกองกำลังในอาณัติของเขาเองโดยตรงสี่ร้อย แล้วคัดยอดฝีมือมาเป็นกองอัศวินอารักขา...ซึ่งก็คือ กองทหารในสังกัดขององค์ราชินีโดยตรงนั่นเอง จำนวนสองร้อยคน ส่วนที่เหลืออีกสองร้อย เป็นพวกทหารใหม่ที่ยังมีประสบการณ์การศึกน้อยถูกจัดให้เป็นกองกำลังสำรอง หากแต่การฝึกปรือทหารทั้งหมดแปดร้อยคนเป็นความรับผิดชอบของบ๊ากแบททั้งหมด ... แน่นอนว่า ในช่วงปีอสุรศักราชที่ 996 ที่กำลังจะสุดสิ้นลงนี้ ไม่มีใครในแพลททิเซลเวอร์ได้เห็นลิตเติลสโนว์จับดาบซ้อมการต่อสู้ด้วยตนเองเลย ซึ่งบ๊ากแบทก็ไม่ได้คาดหวังไว้เช่นกันว่า ราชินีของเขาจะเก่งในเชิงบู๊ด้วย ‘นางคงเป็นแม่ทัพแบบวางแผนกลยุทธอยู่ด้านหลังมากกว่าที่จะเป็นประเภทนำทัพอยู่หน้าทหารเลว’ บ๊ากแบทประเมินในใจ ในเนฟเวอร์แลนด์ ประมุขแคว้นยังต้องเป็นแม่ทัพในสนามรบด้วยโดยหน้าที่ ซึ่งหากลิตเติลสโนว์เป็นแม่ทัพชนิดสั่งการอยู่เบื้องหลัง แน่นอนว่า หน้าที่บุกตะลุยในแนวหน้าย่อมตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนเซลเอ็ดอะดลัส กับยิปสีด ก็ได้พยายามรวบรวมสมัครพรรคพวกที่ลี้ภัยมาจากทะเลทราย ประกอบด้วยชนเผ่าเร่ร่อนน้อยใหญ่ที่ล้วนถูกกองกำลังของจาปิโตสบุกมาแย่งชิงดินแดนไปและพากันหนีตายกระจัดกระจายกันมาตามแคว้นต่าง ๆ ที่อยู่ติดกับเขตทะเลทราย ทั้งสองคนสามารถรวบรวมจัดตั้งกองกำลังนักรบทะเลทรายได้สองกอง กองละหนึ่งร้อยห้าสิบคน โดยแบ่งกันรับผิดชอบคนละกอง ลิตเติลสโนว์เองก็ได้เปรยกับบ๊ากแบทว่า คงต้องเก็บพวกนักรบทะเลทรายเหล่านี้ไว้รบในทะเลทรายเท่านั้น ไม่ให้ออกศึกที่สมรภูมิอื่น ซึ่งบ๊ากแบทก็ตีความว่า นี่แสดงเป็นนัย ๆ ว่า ราชินีของเขาประเมินสถานการณ์ไว้ว่าจะเกิดศึกสองด้านในไม่ช้า... สมรภูมิที่ไม่ใช่ทะเลทรายนั้น แน่นอนว่าสามารถใช้ทหารอัศวินเข้าประจัญบานได้ รวมทั้งนักรบทะเลทรายก็ใช้งานได้ด้วยเช่นกัน แต่หากเป็นในทะเลทรายแล้ว พวกอัศวินจะเคลื่อนไหวไม่สะดวกและไม่ถนัด... สู้ให้พวกนักรบทะเลทรายออกหน้าจะดีกว่าและให้พวกอัศวินรับผิดชอบในสมรภูมินอกทะเลทราย รวมทั้งฝ่ายแรกยังมีความแค้นฝังใจกับพวกจาปิโตสด้วย ส่วนจาโด้... ก็มีพฤติกรรมลึกลับสมกับที่เป็นอสูร นึกจะมาก็มา นึกจะหายหน้าไป ก็หายไปสองสามวันแล้วก็โผล่มาใหม่ ทหารสเกลตันซึ่งได้รับคำบอกเล่าจากปากของจาโด้เองว่ามีจำนวนสี่ร้อย ไม่เคยถูกเรียกออกมาปรากฏโฉมอีกเลย (ที่จริง หากจาโด้ทำพิธีปลุกเสกสเกลตันที่นีโอกลาด เขาจะมีทหารในมือถึงหนึ่งพันตนเลยทีเดียว) อย่างไรก็ตามบ๊ากแบทก็ได้รับคำชี้แจง ในยามที่เข้าที่ประชุมเสนาบดีชั้นสูง ซึ่งจาโด้ก็มีสิทธิ์เข้าด้วยในฐานะที่ปรึกษาทางการทหารพิเศษ ว่า จาโด้ไปสืบความเป็นไปของแคว้นต่าง ๆ ในเนฟเวอร์แลนด์.... และข้อมูลส่วนมากก็ถูกนำมาเผยในที่ประชุมนั้น เว้นแต่ข้อมูลลับสุดยอด หรือข้อมูลที่จาโด้เองก็ยังไม่แน่ใจ ก็จะรายงานให้ลิตเติลสโนว์เพียงคนเดียว มอบให้เธอตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับข้อมูลที่ไม่แน่นอนเหล่านั้นซึ่งบ๊ากแบทก็จะได้รับทราบจากลิตเติลสโนว์อีกทีหนึ่งทุกครั้งไป อย่างไรก็ตาม ต้องบันทึกไว้ในที่นี้ด้วยว่า โดยปกติแต่ละแคว้นในเนฟเวอร์แลนด์จะจ้างนินจามาทำงานด้านการข่าวและโดยเฉพาะการจารกรรม (สอดแนมความเคลื่อนไหวแคว้นอื่น ๆ) แต่แพลททิเซลเวอร์ในยุคของลิตเติลสโนว์หรือแม้แต่ในยุคของราชารูเนจจูไม่มีนินจาอยู่ประจำแคว้น การได้จาโด้มาช่วยงานด้านนี้จึงเป็นผลประโยชน์เหลือคณานับทีเดียว.... แต่ทุกคนก็ยังกลัว ๆ เขาอยู่ดี รวมทั้งเจ้าตัวก็พูดเสมอว่า เขาไม่มีพันธะผูกพันกับแคว้นนี้ใด ๆ ทั้งสิ้น จะทรยศเมื่อไรก็ได้ หากแต่ด้วยศักดิ์ศรีของจาโด้-ดังที่ลิตเติลสโนว์ได้พูดดักคอไว้แต่วันแรก-ทำให้ทุกคนพอจะเชื่อใจได้ว่า อย่างน้อย ข่าวที่จาโด้หามา ก็คงไม่ใช่ข่าวลวง และด้วยศักดิ์ศรีของเขาก็ไม่ทำเช่นนั้นแน่ (หากจาโด้จะโดนหลอกมาอีกทอดหนึ่ง นั่นก็คงเป็นเหตุสุดวิสัย) ปลายปีอสุรศักราชที่ 996 อยู่มาวันหนึ่ง จาโด้ก็มาบอกลิตเติลสโนว์ขณะที่กำลังออกว่าราชการเพียงสั้น ๆ ว่า “ข้าขอไปสืบข่าวสำคัญสักหน่อย คงกินเวลานานกว่าจะกลับมา” แล้วเขาก็หายไปหลายวัน ... ห่างจากแพลททิเซลเวอร์มาค่อนทวีปเนฟเวอร์แลนด์ ทางทิศใต้ของแคว้นซิกโร้ด - ซิลเวสเตอร์ - โคเรียสะทีน... และใต้ลงไปคือแคว้นซีลีนิก อันเป็นแคว้นของกองกำลังอัศวินศักดิ์สิทธิ์ซึ่งฐานะแท้จริง คือ เป็นกองกำลังอัศวินคุ้มครองดินแดนของพระเจ้าโคเรีย (แคว้นโคเรียสะทีน) นั่นเอง บริเวณตะเข็บชายแดน รอยต่อระหว่างโคเรียสะทีนกับซีลีนิกเป็นป่าโปร่งและมีเส้นทางสัญจรเป็นทางดินอัดแน่นโดยด้วยกรวดหลากสีเป็นอย่างดี ด้วยแคว้นโคเรียสะทีนอันได้ชื่อว่าดินแดนที่พระเจ้ามอบให้แก่มนุษย์ เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (ด้วยเหตุผลคนละอย่างกับแคว้นแพลททิเซลเวอร์) มนุษย์จำนวนมากล้วนหาโอกาสไปเยือนโคเรียสะทีนสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อได้เข้าเฝ้าองค์ประมุขแห่งนิกายโคเรีย - จักรพรรดิ์โดริฟาน-- ด้วยตนเอง... ถนนหนทางในแคว้นศักดิ์สิทธิ์นี้ รวมทั้งถนนที่ทอดสู่แคว้นที่อยู่รอบข้างจึงมีสภาพดีเยี่ยม และวันนี้ ก็ปรากฏมนุษย์กลุ่มหนึ่งขี่ม้าเหยาะ ๆ กันมาบนถนนที่เชื่อมระหว่างโคเรียสะทีนกับซีลีนิก... พวกเขาขี่ม้ากลับออกมาจากโคเรียสะทีน ทุกคนอยู่ในชุดเสื้อเกราะอัศวินสีขาวบริสุทธิ์ สะท้อนแสงแดดยามเที่ยงวันแลดูน่าเกรงขาม พวกเขาเหล่านี้ย่อมมิใช่ผู้แสวงบุญ หากแต่เป็น... กองกำลังอัศวินที่ได้ชื่อว่า เป็นอัศวินชั้นสูงสุดในเนฟเวอร์แลนด์... อัศวินที่แข็งแกร่งและรบเก่งที่สุด อัศวินศักดิ์สิทธิ์ผู้พิทักษ์ดินแดนแห่งพระเจ้า กองกำลังอัศวินซีลีนิกนั่นเอง ชายหนุ่มที่ขี่ม้าอยู่ต้นขบวน เป็นชายฉกรรจ์หน้าตาดี ใบหน้าเคร่งขรึม ผมสีทองหวีเข้าทรงอย่างเรียบร้อย ดวงตาเจิดจรัสแสดงความแน่วแน่ของจิตใจ เขายกมือขวาขึ้นให้สัญญานหยุดขบวน แล้วหันไปพูดกับอัศวินที่ขี่ม้าอยู่เคียงข้าง ซึ่งเป็นชายผมสีแดง ไว้ผมยาวกระเซิง ชี้ตั้งขึ้นไปด้วยทรงที่เจ้าตัวคิดว่าเท่ระเบิด ใบหน้ารูปเหลี่ยมค่อนข้างยาว ว่า “หยุดพักกันตรงนี้ก่อนละกัน รีไกน์ ข้าอยากสำรวจสถานที่ตั้งค่ายบริเวณนี้ด้วย” “จะสำรวจวันนี้เลยหรือครับ ท่านกรีเซอร์” “ใช่แล้ว” “รับทราบครับ ท่านว่าอย่างไรข้าก็ว่าตามอยู่แล้ว” ทั้งสองไม่พูดอะไรกันอีก หันกายไปช่วยกันร้องสั่งการบรรดาอัศวินไพร่พลที่ตามมา ทุกคนลงจากหลังม้าแล้วพาพาหะคู่กายไปผูกไว้ใต้ต้นไม้ ก่อนแยกย้ายกันพักผ่อนใต้ร่มไม้ ... ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของใครบางคนที่แฝงกายอยู่บนยอดต้นสนใหญ่ โดยใช้เวทย์กำลังตัวไม่ให้คนอื่นมองพบ สายตาคู่นั้นหรี่ลงมองไปที่กองกำลังอัศวินศักดิ์สิทธิ์อย่างครุ่นคิด ‘เจ้าพวกนี้คงเป็นอัศวินแห่งซีลีนิกสินะ’ เขาคิดในใจ ‘อุตส่าห์จะมาสืบความเคลื่อนไหวของเจ้าโดริฟานทั้งที แต่กำแพงคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ล้อมรอบวิหารโคเรียสะทีนช่างร้ายกาจเหลือเกิน... นึกว่าจะคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว’ กำแพงคาถานั้น ไม่ใช่ว่าเขาจะฝ่าเข้าไปไม่ได้ เพียงแต่... เขาต้องการฝ่าเข้าไปโดยไม่ให้คนของโคเรียสะทีนรู้ตัวต่างหากเล่า แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ ได้แต่ล่าถอยกลับออกมา หากต้องการทราบความเคลื่อนไหวของฝ่ายมนุษย์ โดยเฉพาะนโยบายที่ ‘สรวงสวรรค์’ มอบให้แก่มนุษย์ ก็ย่อมต้องไปสืบจากคำสั่งหรือความเคลื่อนไหวของจักรพรรดิ์โดริฟานซึ่งดำรงตำแหน่งประมุขนิกายโคเรียด้วย... แต่นั่นแหละ วิธีนั้นก็ทำไม่ได้เสียแล้ว ‘อัศวินกรีเซอร์แห่งซีลีนิกหรือ... ได้ยินมาว่า ได้รับมอบดาบเทพแลงกูต จากโดริฟานนี่... อยากรู้นักว่าเป็นดาบที่มีฤทธิ์เพียงไหน’ แม้ภารกิจที่ตนเองตั้งใจไว้แต่แรกจะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าก็ตาม แต่เขาก็ค้นพบเป้าหมายใหม่... ดวงตาที่มองไปทางหนุ่มผมทองหรี่ลงไปอีก ประดุจต้องการจ้องให้อีกฝ่ายไหม้เป็นจุณไป ... ‘!!!?’ กรีเซอร์ชะงักความเคลื่อนไหวของตน เขาขมวดคิ้วแล้วกวาดสายตามองไปรอบข้างอย่างระมัดระวัง ก่อนที่จะเหลียวหน้ามองไปทางนั้นทางนี้อย่างช้า ๆ พยายามไม่ร้อนลนให้คนอื่นจับได้ ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้น บอกกับรีไกน์ที่อยู่ไม่ไกลและมองมาเป็นเชิงถามอยู่แล้วว่า “ข้าจะไปสำรวจอะไรบางอย่างทางนั้นสักหน่อย พวกเจ้าอยู่ทางนี้จัดการที่ข้าบอกก็แล้วกัน” “ได้... ไม่พาคนไปช่วยสักหน่อยหรือท่าน” อัศวินมือขวาของเขาตอบ “ไม่ต้องล่ะ คนเดียวสะดวกกว่า เดี๋ยวข้ากลับมา” เขาพูดทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้น แล้วก็เดินก้าวยาว ๆ ลัดเลาะไปตามแนวต้นไม้ในป่าโปร่งแห่งนั้นทันที แม้จะเดินจนลับสายตาไปจากบรรดาไพร่พลอัศวินที่พามาด้วยแล้ว ชายหนุ่มก็ยังคงก้าวเท้าไปเรื่อย ๆ จนผ่านไปอีกพักใหญ่ เขาจึงหยุดเท้าลง เอื้อมมือไปแตะด้ามดาบเทพแลงกูต ก่อนจะจับด้ามดาบไว้มั่นแล้วดึงดาบออกจากฝักช้า ๆ จนหมดเล่ม ขยับดาบถือกระชับมั่นในมือขวา “ออกมาได้แล้ว เจ้าอสูรเอย ไม่ต้องพรางกายไปหรอก” “หึหึหึ รับรู้ถึงการคงอยู่ของข้าได้ สมกับเป็นหัวหน้าอัศวินแห่งซีลีนิกจริง ๆ” ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา เป็นอสูรหนุ่มผิวขาว ผมขาว แต่งกายในชุดดำ ที่ไหล่มีอาวุธเหมือนกับเป็นแส้เส้นโตงอกออกมาทั้งสองข้าง กลีเซอร์รู้ได้ทันทีว่า อสูรตนนี้น่ากลัวจริง ๆ ดูจากที่มันปรากฏตัวขึ้นมาซึ่งหน้า โดยไม่คิดฉวยโอกาสที่ยังพรางตัวอยู่ลอบทำร้ายเขา เพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาเพียงแต่รู้ว่ามีอสูรชั้นสูงอยู่ใกล้ๆ เท่านั้น แต่ไม่สามารถสำเหนียกได้ว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่! “เจ้าเป็นใคร?” “ข้ามีนามว่า จาโด้ ด้วยตำแหน่งของเจ้า เจ้าคงทราบกระมังว่าข้าเป็นใคร กรีเซอร์แห่งซีลีนิกเอย” “จาโด้หรือ... อา... หรือเจ้าคือ บุตรชายของจาเนส?” “ถูกต้อง” “เจ้ามาทำอะไรแถวนี้ ... อ้อ มาสืบความเคลื่อนไหวของโคเรียสะทีนสิท่า... พวกอสูรนี่ไว้ใจไม่ได้เลย ทั้งที่จาเนสสิ้นชีพไปแล้วแท้ ๆ” “หึหึหึ เพราะจาเนสสิ้นชีพนะสิ ข้าจึงออกมาปรากฏตัวได้อีกครั้งหนึ่ง จะว่าไปช่างน่าขอบใจพวกมนุษย์อย่างเจ้ายิ่งนักที่ช่วยสังหารจาเนสให้กับข้า” จาโด้ตอบพลางหัวเราะในลำคอ แล้วเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นโทนเย็นยะเยือกอำมหิตทันที เมื่อพูดต่อว่า “ตะกี้ เจ้าคาดการณ์ถูกแล้ว เดิมข้าคิดจะมาสืบเรื่องของโคเรียสะทีน แต่... ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว... ข้าจะฆ่าเจ้า!” “...!?” กรีเซอร์เกร็งตัวทันที นี่เล่นประกาศกันซึ่ง ๆ หน้าเลยหรือ เจ้าอสูรตนนี้... แต่หากมันเป็นบุตรชายองจาเนสจริง เขาย่อมประมาทไม่ได้เลย ในหัวของเขานึกถึงข้อมูลลับอันหนึ่งที่เคยได้ยินมาจากปากของจักรพรรดิ์โดริฟาน ซึ่งก็บอกกับเขาว่ารู้มาจากพระเจ้าโคเรียอีกต่อหนึ่ง.... จาโด้ผู้นี้เคยทำ ‘ ศึกร้อยวัน’ กับจาเนสมาแล้ว...ย่อมไม่ใช่ธรรมดาแน่นอน อัศวินหนุ่มลอบกัดริมฝีปากแน่น แต่ก็เค้นเสียงพูดออกไปว่า “หากทำได้ก็ลองดู เจ้ารู้ไหม ทำไมข้ามาพบเจ้าคนเดียว...” เขาขยับขาออกในท่าร่างเตรียมพร้อม มือซ้ายเลื่อนขึ้นไปแตะปลายดาบแลงกูต พลางเร่งพลังเวทย์ของตนขึ้น “ก็เพราะข้าจะได้ใช้พลังได้เต็มที่โดยไม่ต้องกลัวจะมีคนของข้าโดนลูกหลงนะสิ เจ้าอสูร!” ปากของกรีเซอร์ขมุบขมิบท่องคาถาอย่างรวดเร็ว คาถาที่เป็นภาษาเนฟเวอร์แลนด์โบราณและเป็นภาษาย่อ จึงทำให้เขาท่องจบบทในเวลาอันสั้น และเขาตบท้ายว่า “โอม ข้าแต่พระเจ้าโคเรีย และสัตว์เทพแห่งสรวงสวรรค์แลงกูต จงมอบพลังพิชิตมารแก่ข้าด้วยเถิด พลังดาบเทพแลงกูต!!!” ลำแสงสว่างสีขาวสาดส่องลงมาจากฟากฟ้าสู่คมดาบของดาบเทพจนทอประกายระยิบระยับ จาโด้ต้องหรี่ตามองดาบนั้นเมื่อพบว่ามันทำให้เขาระคายตาอยู่ไม่น้อย กรีเซอร์ลูบมือซ้ายลงไปตามตัวดาบจนกระทั่งถึงด้ามดาบแล้วเขาก็เปลี่ยนเป็นจับดาบด้วยสองมือ กระโดดแผลวเข้ามาหาคู่ต่อสู้ทันที “ย้ากกกกกกกกกกกกกกส์ส์ส์!!!” “เข้ามา!” จาโด้เพียงย่อกายเล็กน้อยเตรียมตั้งรับ วอร์มวิปส์ทั้งสองเส้นสะบัดตัวผลึงขึ้นไปชูเด่นกลางอากาศ ประดุจอสรพิษสองตัวที่กำลังชูคอสยายแม่เบี้ยเตรียมเข้าฉกเหยื่อ การประทะกันระหว่างสุดยอดอสูรและสุดยอดอัศวินฝ่ายธรรมเริ่มขึ้น ณ บัดนั้น! ... |