มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคสอง ราชินีศักดิ์สิทธิ์

ดวงวิญญานต่างภพ: กรีเซอร์ประทะจาโด้

ตีพิมพ์ครั้งแรก 11 พ.ย 45

“ย้ากส์....” อัศวินหนุ่มเงื้อดาบไปด้านหลังของตนแล้วหวดดาบจากผ่านด้านข้างตัวขึ้นไปทางข้างหน้าเต็มแรง ใบดาบซึ่งเคลือบด้วยแสงสีขาวเจิดจ้านั้น ทอดลำแสงยาวออกไปอีก ประดุจใบดาบได้ยืดยาวออกไปอีกประมาณสี่หรือห้าเท่ากระนั้น ตลอดรายทางที่ “ใบดาบแสง” นี้ทอดผ่าน ต้นไม้ใหญ่ในป่าถูกฟันขาดกลางลำต้นในพริบตาเป็นแถบ ๆ ปลายใบดาบแสงมุ่งเข้าหาร่างของอสูรหนุ่มอย่างรวดเร็ว...

“...” จาโด้หรี่ตามองดาบเทพแลงกูตอย่างพินิจ เขาบอกตัวเองว่าพลังอำนาจของดาบเทพเล่มนี้สาหัสสากรรจ์เอาการทีเดียว

“พลังผลึกน้ำแข็งแห่งภพอสูร มะไคโช เฮียวเคทสึจุ!” ท่าไม้ตายอันดับแรกของจาโด้ถูกนำออกมาใช้ พื้นระหว่างตำแหน่งที่คู่ต่อสู้ทั้งสองประจันหน้ากันอยู่พลันปรากฏผลึกน้ำแข็งรูปร่างเป็นแฉก ๆ คล้ายต้นไม้ใหญ่งอกขึ้นจากพื้นดินอย่างฉับพลันจำนวนนับหลายสิบต้น

“เปรี๊ยะ ๆ ๆ” ดาบแสงกับต้นไม้ผลึกน้ำแข็ง (เฮียวเคทสึจุ) ประทะกันอย่างรุนแรง ส่งเสียงดังสนั่นพร้อมประกายแสงวูบวาบที่แลบแปลบปลาบออกมาดุจอสนีบาต แต่ดูเหมือนว่าน้ำแข็งเวทย์เหล่านั้นจะต้านดาบเทพแลงกูตไว้ไม่อยู่ ใบดาบแสงยังคงถูกหวดมาข้างหน้าตัดผ่านกิ่งและลำต้นของต้นไม้ผลึกน้ำแข็งแตกกระจายมาตามรายทาง

“หึ!” อสูรหนุ่มยังคงยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก

-- เจ้าอัศวินนี่เหมาะแก่การเป็นคู่ทดสอบฝฝีมือของข้าหลังจากฟื้นจากอำนาจสะกดเสียจริง ๆ--

กรีเซอร์หรี่ตาลงเล็กน้อย ทุ่มเทสมาธิกับการบังคับให้ดาบของเขาหวดเข้าหาร่างฝ่ายตรงข้าม เขารู้สึกตึงมือขึ้นมา ประดุจกำลังออกแรงผ่าลงไปในก้อนหินใหญ่กระนั้น อันที่จริง ปลายใบดาบซึ่งมีลักษณะเป็นแสงนั้น แม้จะดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของใบดาบของเขาซึ่งดูแล้วยาวขึ้นอีกห้าเท่าตัวก็จริง แต่แสงก็ย่อมเป็นแสง มันไม่ได้ทำให้เขาหนักมือขึ้นมาแม้แต่น้อย และตรงกันข้าม ปลายดาบแสงนั้นควรจะตัดผ่านวัตถุได้ทุกชนิดอย่างเบามืออีกด้วย เบามือจนเสมือนเขากำลังกวัดแกว่งดาบแหวกอากาศไปอย่างอิสระเลยทีเดียว ....แต่นี่ดูเหมือนว่าต้นไม้ผลึกน้ำแข็งจะมีแรงต้านต่อการทะลุทะลวงของดาบเทพเล่มนี้อยู่พอสมควร

-- แต่มันก็ไม่สามารถต้านดาบเราได้อยู่ดี --

กรีเซอร์นึกใจชื้น และวินาทีต่อมามันก็ควรจะเป็นวินาทีแห่งชัยชนะ เมื่อเห็นกับตาว่า ปลายดาบแสงกำลังหวดใส่สีข้างของอสูรหนุ่มซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะปัดป้องหรือหลบดาบนี้ได้ทัน

ขณะนั้นต้นไม้ใหญ่ข้าง ๆ ตัวของทั้งสอง ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างทางที่ดาบเทพแลงกูตถูกหวดไป เพิ่งจะเริ่มทยอยกันล้มตัวลง...

...

รีไกน์ซึ่งเดินช้า ๆ ตรวจตราความเรียบร้อยของทหารของตนอยู่พลันต้องชะงักการเคลื่อนไหวแล้วเหลียวมองไปทางป่าที่อยู่ลึกเข้าไปอย่างตระหนก

‘พลังแบบนี้.... กรีเซอร์หรือ’

เขาจับกระแสพลังที่กำลังระเบิดออกได้ทันที วินาทีต่อมาเขาก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย กรีเซอร์สู้กับใครอยู่ จึงต้องเร่งพลังเต็มที่ถึงเพียงนี้... พลังของดาบเทพแลงกูต

“โครม ๆ ๆ ๆ ครืน ๆ ๆ” เสียงระเบิดกึกก้อง ตามด้วยเสียงไม้ใหญ่ล้มระเนระนาดดังมาจากทางด้านลึก คราวนี้แม้แต่บรรดาอัศวินระดับปลายแถวที่เป็นไพร่พลของเขาก็รับรู้ถึงเหตุการณ์ผิดปกติเหล่านั้นได้ด้วย

“พวกเจ้าอยู่ที่นี่... ถ้าเสียงสงบแล้วค่อยตามเข้าไป...” รีไกน์สั่งการทหารของตนทันที เขาตัดสินใจอย่างถูกต้องเยือกเย็นตามที่สมควรแก่สถานการณ์

-- กรีเซอร์กำลังใช้พลังดาบเทพอย่างเต็มทีี่ ขืนพาคนอื่นเข้าไปมีแต่จะไปหาที่ตายเปล่า ๆ --

มือขวาของกรีเซอร์คิด แล้วก็ตัดสินใจสั่งอีกหนึ่งคำสั่งด้วยความรอบคอบ

“เจ้า...” เขาชี้ไปที่ทหารคนหนึ่ง “รีบควบม้าเร็วไปตามท่านชารอนมาด่วน... ระดมพวกซิสเตอร์ที่ใช้เวทย์รักษามาด้วย”

“ขอรับ” นายทหารผู้นั้นรับคำแล้วกระโดดแผลวขึ้นหลังม้า ควบไปทางที่มั่นของกองกำลังซีลีนิกที่อยู่ไม่ไกลนักทันที

ไม่ว่าศึกนี้กรีเซอร์จะชนะหรือแพ้..ซึ่งในความเห็นส่วนตัวแล้วรีไกน์ก็ย่อมอยากให้กรีเซอร์เป็นฝ่ายพิชิตชัยได้.... ก็คงต้องรับบาดเจ็บไม่น้อยทีเดียว ขุมพลังอันยิ่งใหญ่สองขุมที่ประทะกันครานี้ บอกได้เลยว่าผู้ชนะต้องสูญเสียสิ่งแลกเปลี่ยนไปพอตัวแน่... และนั่นเป็นเหตุผลที่รีไกน์ให้ไปตามชารอน- นักบวชสาว ซึ่งเป็นหมายเลขสามของกองกำลังซีลีนิก และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเวทย์รักษามาที่นี่โดยด่วน

แต่เมื่อรีไกน์ขยับเท้าวิ่งไปทางต้นเสียงได้เพียงสี่-ห้าก้าวเท่านั้น เสียงการต่อสู้สงบลงแล้ว!

“?!!!” อัศวินผมแดงผู้ย้อมผมเป็นสีทองชะงักเท้า สำรวมสมาธิไปทางทิศที่คาดว่าเป็นสมรภูมิการสู้รบอันดุเดือดแล้วก็หน้าซีดลง

‘กรีเซอร์แพ้หรือ?....’

เขาไม่สามารถสำเหนียกถึงพลังเวทย์แสงสว่างของกรีเซอร์อีกแล้ว ขณะที่ขุมพลังอีกขุมหนึ่งยังคงอยู่ แต่เพียงชั่วอึดใจเดียวมันก็หายไปด้วยอาการที่แสดงว่าเจ้าของพลังนั้นได้จากไปแล้ว.... พลังของอสูรเสียด้วยสิ

อัศวินหนุ่มได้สติแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วทันที...

...

สิ่งที่ปรากฏแก่สายตารีไกน์คือ

ร่างอันบอบช้ำยับเยินของหัวหน้าของตนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กับพื้น ลำตัวท่อนบนผงกขึ้นใช้หลังพิงท่อนซุงท่อนใหญ่- ซึ่งเมื่อครู่ก่อนยังเป็นต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่แต่บัดนี้กลายสภาพเป็นท่อนซุงเสียแล้ว- อย่างลำบากยากเย็น...สายตาอันแสนปวดร้าวจับจ้องมองไปที่เบื้องหน้า...ห่างจากปลายเท้าตนไปไม่ไกล ดาบแลงกูตหล่นอยู่บนพื้น...ในสภาพหักกลางเป็นสองท่อน!

“ท่านกรีเซอร์!”

“...” ผู้ถูกเรียกหันมามองแวบหนึ่ง แต่ไม่สามารถตอบคำใด ๆ ได้ สีหน้าทอแววเจ็บปวดแสนสาหัส.... เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ

ผู้มาใหม่ตรงเข้าประคองอีกฝ่ายหนึ่งช้า ๆ ให้นั่งได้เต็มตัว พลางถามว่า

“ศัตรูคือใครหรือท่าน?”

“.... ข้าแพ้...ข้าแพ้อย่างยับเยิน....เจ็บใจนัก”

“ท่าน........กรีเซอร์” เสียงตอนท้ายของผู้ช่วยหนุ่มหายไปในลำคอ เมื่อตระหนักว่าคำพูดของตนไม่ไปถึงหูของกรีเซอร์เสียแล้ว....

“เจ้าอสูรร้าย....ข้าจะต้องกำจัดเจ้าให้ได้!” ยังคงเป็นผู้แพ้ที่เค้นเสียงพยาบาทออกมาตามไรฟันอย่างบีบคั้น

....

พริบตาที่เขาเชื่อว่าตนกำลังจะพิชิตอสูรร้ายผู้นี้ลงได้

พริบตาที่คมดาบแสงกำลังจะชำแรกผ่านเนื้อของอสูรจาโด้นั่นเอง...

พลันเงาสีดำสองเส้นก็ฉกลงมาอย่างรวดเร็วประดุจอสรพิษ

เงาสายแรกตรงเข้าหาปลายแสงของดาบแลงกูตอย่างรวดเร็วแล้วก็หยุดชะงักทันทีเมื่อมันสัมผัสกับลำแสงนั้น...

ผลึกน้ำแข็งที่หนาแน่น ทอประกายเย็นยะเยือกผิดกับผลึกน้ำแข็งที่เขาฟันทำลายมาเมื่อก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง พลันปรากฏขึ้นจับตัวหนาแน่นตามลำแสงของดาบของเขา...

มองดูเหมือนกับแสงจากปลายดาบเทพถูกไล่ที่ด้วยแท่งน้ำแข็งมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งน้ำแข็งกินมาถึงใบดาบที่เป็นโลหะจริง ๆ ที่อยู่ถัดจากมือขวาของเขาที่กำด้ามดาบแน่นอยู่เพียงสองคืบเท่านั้น

เงาอีกสายหนึ่งที่เคลื่อนที่ช้ากว่าเล็กน้อย กระแทกเข้าที่ไหล่ของอัศวินหนุ่มอย่างแรง ในจังหวะที่พอเหมาะพอดีดุจคำนวณมาแล้วอย่างดีเยี่ยม จังหวะที่ดาบของเขาถูกน้ำแข็ง ‘กลืน’ ไปและการเคลื่อนที่ชะงักไปเพียงนิดเดียว แต่เท่านั้นก็พอแล้วที่จะทำให้อีกฝ่ายจู่โจมได้

กรีเซอร์รับรู้ถึงการจู่โจมด้วยอำนาจเวทย์น้ำแข็งจากอีกฝ่ายที่ถ่ายทอดผ่านแส้เส้นโตที่กำลังแตะหัวไหล่ของตนทันที แส้ที่เป็นอาวุธคู่กายของจาโด้ซึ่งภายหลังทราบกันว่า มันเรียกว่า วิปส์วอร์ม

“ย้ากส์.........” กรีเซอร์เร่งพลังเวทย์แสงสว่างของตนขึ้นต้านกับการโจมตีจากภายนอก

และนั่นก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายคาดการณ์ไว้แล้วเช่นกัน

เบื้องหน้าของกรีเซอร์พลันปรากฏเงาดำวูบขึ้น จาโด้โผล่เข้ามาประชิดตัวอย่างรวดเร็วเกินคาดคิดได้ หมัดดุ้น ๆ ของอสูรหนุ่ม ต่อยเสยแบบอัปเปอร์คัตเข้าที่ท้องของอัศวินหนุ่มซึ่งไม่อยู่ในสภาพที่จะป้องกันตัวได้อีกแล้ว เพราะมัวทุ่มเทสมาธิกับการเร่งพลังเวทย์เพื่อป้องกันการโจมตีของเวทย์อื่น

“เปรี๊ยะ!” “อั๊ก!”

เสียงเสื้อเกราะแตกกระจายเป็นผุยผง ตามด้วยเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ถูกทำร้าย

“หึ ก็เท่านี้เองรึ....อัศวินอันดับหนึ่งแห่งซีลินิก”

เจ้าชายแห่งความมืดแค่นเย้ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะตวัดเท้าเตะเข้าที่สีข้างของอีกฝ่ายอย่าง....ดูเหมือนจะเบา ๆ แต่ร่างของอีกฝ่ายถึงกับลอยกระเด็นไปหล่นกลางกองไม้ที่เพิ่งล้มเมื่อสักครู่

“..... อ........” กรีเซอร์พยายามยันกายลุกขึ้นอย่างยากเย็น

“หือ! ขนาดอย่างนี้เจ้ายังไม่ปล่อยดาบอีกหรือ ไม่เลวนี่ เจ้าอัศวินเอ๋ย” อสูรหนุ่มมองไปที่มือขวาของอีกฝ่ายซึ่งยังกำดาบคู่มือไว้แน่น... แต่บัดนี้แสงสว่างเรืองรองของดาบเทพนั้นได้หายไปหมดแล้ว รวมทั้งใบดาบแสงที่เป็นส่วนที่ยืดออกจากใบดาบเดิมด้วย ก็หายไปเช่นกัน

ไม่สามารถสำเหนียกพลังเวทย์แสงสว่างอันน่าสะพรึงกลัวสำหรับอสูร จากดาบเทพแลงกูตได้อีกแล้ว!

“วาระสุดท้ายของเจ้าล่ะ ตายเสียเถิด” มือขวาของอสูรหนุ่มที่ยกชูขึ้นกลางอากาศ แสงสว่างรูปวงกลมสีดำค่อย ๆ ทวีความเข้มข้นขึ้นในมือของเขาทุกขณะ จนกระทั่งเมื่อแสงวงกลมนั้นมีขนาดได้ประมาณครึ่งเมตร จาโด้ก็ขว้างมันมาที่ร่างของคู่ต่อสู้

กรีเซอร์ฝืนยกดาบเทพขึ้นรับแสงนั้นไว้ ระเบิดดังกึกก้องขึ้นอีกครั้งพร้อมแสงสว่างทั้งดำขาวที่เจิดจ้าจนลืมตาไม่ขึ้น ร่างของอัศวินหนุ่มกระเด็นขึ้นจากกองไม้พร้อม ๆ กับการระเบิดออกของกองไม้นั้นอีกครั้งหนึ่ง...

เสียงสุดท้ายของอสูรหนุ่มที่ทิ้งไว้คือ

“หึ ข้าก็ด้อยพลังลงไปเหมือนกันนะนี่ ไม่สามารถจัดการเจ้าได้... แต่เอาเถิดถือว่าดาบเทพแลงกูตตายแทนเจ้าก็แล้วกัน ฮ่า ๆ ๆ ๆ”

...

ทางฝ่ายอัศวินแห่งซีลีนิกไม่มีโอกาสรู้เลยว่า หลังจากเหาะออกห่างจากที่เกิดเหตุได้ระยะหนึ่งแล้ว จาโด้ก็ปล่อยตัวเองลงสู่พื้นดินในป่าของแคว้นซิลเวสเตอร์ เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นกุมสีข้างด้านซ้าย สักพักโลหิตสีดำก็เริ่มไหลซึมผ่านง่ามมือออกมา

‘หึ ... นึกไม่ถึงเลยว่า ข้าจะถูกมนุษย์ต่ำชั้นเช่นนั้นทำร้ายเอาได้... เพราะอาวุธจากสรวงสวรรค์แท้ ๆ ทีเดียว’

นั่นย่อมหมายถึงดาบเทพแลงกูต.... แม้นคมดาบจะยังมาไม่ถึงตัวเขา แต่พลังทำลายมันมาก่อนแล้ว....และเขาก็ประเมินพลังของมันผิดไป...พูดให้ถูกคือ ประเมินต่ำไปนั่นเอง ด้วยคิดว่า ต้นไม้ผลึกน้ำแข็งและผลึกน้ำแข็งไร้รูปของตนจะสามารถสกัดพลังทำลายของดาบแสงได้อยู่

--เพราะเจ้าบ้าจาเนสแท้ ๆ ลงยันต์ขังข้าไวว้ได้หลายปี ทำให้อำนาจเสื่อมถอยลงไปมาก....--

และรู้สึกว่าภูมิต้านทานต่อเวทย์แสงของเขาจะอ่อนลงกว่าสมัยก่อนด้วยสิ....

วูบหนึ่งที่คิดถึงหญิงสาวหน้าตาไร้เดียงสาผู้นั้น

‘หึ... ต่อให้ข้าคิดไม่ดีหรือไม่ซื่อต่อเจ้าจริง ก็คงไม่ใช้วิธีต่ำช้ากับเจ้า.............หรือ ลิตเติลสโนว์?’ อสูรหนุ่มคิดในใจอย่างขัดอารมณ์ ‘ได้สิ ข้าจะรอ รอวันที่เจ้ายินดีช่วยเหลือข้าเอง ข้าจะไม่ใช้วิธีต่ำช้ากับเจ้าหรอก’

ด้วยสภาพของเขาตอนนี้ หากยังไม่เร่งฟื้นฟูพลังให้สมบูรณ์เหมือนตอนที่ทำศึกร้อยวันกับจาเนสแล้วละก็.... ย่อมไม่พร้อมที่จะคิดการใหญ่ได้เลย....

การใหญ่ที่ตอนนี้มีเพียงเขาผู้เดียวที่รู้ว่า คือ แผนการอะไร?

บุคคลที่รับรู้เจตนาของเขาอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาเคยเปิดปากเกลี้ยกล่อมให้ร่วมมือกับเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธมา คือ จอมราชันย์อสูรจาเนสนั่นเอง และบัดนี้จาเนสก็ไม่ได้อยู่ในเนฟเวอร์แลนด์อีกแล้ว....

ไม่มีใครขัดขวางอสูรหนุ่มได้อีก...บัดนี้เขาเพียงรอจังหวะที่เหมาะสมเท่านั้น

และจังหวะที่เหมาะสมนั้น ก็มาถึงจนได้....

....

เนฟเวอร์แลนด์ ปีอสุรศักราชที่ 997 ต้นปี

ท้องฟ้ายามราตรีดูมืดมิด มีเพียงหมู่ดาวที่เปล่งแสงระยิบระยับ หมอกแห่งรัตติกาล หมู่เมฆ ดูจะพร้อมใจกันหลบตัว เอื้อให้มนุษย์ที่อยู่เบื้องล่างชมความงามของดวงดาราน้อยใหญ่บนฟ้าเป็นอย่างยิ่ง

แต่น่าเสียดายที่สตรีสาวนางหนึ่ง กลับจ้องมองท้องฟ้าด้วยสายตาที่เศร้าสร้อย ทอประกายกังวล

เธอตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดนานทีเดียว จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า

“เจ้าก็สังเกตเห็นแล้วเหมือนกันรึ สโนว์”

หญิงสาวหันไปมองทางต้นเสียง อสูรหนุ่มผิวขาวเดินเข้ามาใกล้แต่ก็ยังทิ้งระยะห่างไว้สองสามก้าวระหว่างเขากับเธอ

ช่วงเวลาของปลายปีที่ผ่านมา ทำให้ทั้งสองคุยกันได้สนิทใจจนกระทั่งฝ่ายอสูรเรียกหญิงสาวซึ่งมีศักดิ์เป็นราชินีแห่งแพลททิเซลเวอร์ว่า ‘สโนว์’ เฉย ๆ ในขณะที่ฝ่ายหลังก็เรียกอีกฝ่ายว่า

“ท่านเองหรือ จาโด้” อันที่จริงเธอไม่ต้องเหลียวมามองก็จำได้จากเสียงอยู่แล้ว ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร หญิงสาวหันกลับไปมองบนฟ้า แล้วกล่าวต่อ

“คืนนี้ดาวสวยนะคะ แต่น่าเสียดาย....”

“อืม... พลังเวทย์อันสูงส่ง คลื่นพลังของอสูรที่รวมตัวกันหนาแน่นทางทิศตะวันตก...” จาโด้พูดเสริมขึ้น “เวลาผ่านไป ทำให้เด็กน้อยตัวเล็ก ๆ นั่นเติบใหญ่กล้าแข็งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือนี่”

“ชื่อฮิโระ ใช่ไหมคะ?”

“ใช่ ...นางชื่อฮิโระ” จาโด้ตอบ แล้วพูดต่อเสียงต่ำ “เตรียมตัวเตรียมใจให้ดีเถิด อีกสองสามวันจะต้องมีข่าวจากทางโคเรียสะทีนแน่นอน ว่ากองทัพอสูรฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่งแล้ว”

“...” ลิตเติลสโนว์นิ่งเงียบ

“คำทำนายที่เจ้าพูดไว้ก่อนรับตำแหน่งราชินีที่นี่ กำลังจะเป็นจริงแล้วล่ะ สโนว์เอ๋ย” เจ้าชายอสูรพูดต่อไป “พลันที่เกิดกองทัพอสูรขึ้นมาใหม่ ภายใต้การนำของเด็กน้อยอิโระนั่น... หรือจะของใครก็แล้วแต่... ก็เสมือนการจุดไฟลงบนกองเชื้อที่เตรียมไว้อย่างดีแล้วนั่นเอง บรรดาพวกมนุษย์ และเผ่าพันธุ์อื่นทั้งหลายจะสำแดงธาตุแท้ในกลียุคก็คราวนี้แหละ”

“ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เลยนะคะ...” หญิงสาวผู้ต่อเศร้า ๆ

“อืม...”

“...” ราชินีแห่งแคว้นศักดิ์สิทธิ์มองหน้าอสูรผู้อยู่ในฐานะแแขกของตนอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ ว่า “แต่ดูเหมือนท่านจะคึกคะนองขึ้นนะ เมื่อทราบว่ากำลังจะเกิดสงคราม”

“แน่นอน ข้าเป็นอสูรนี่... สัญชาติอสูรย่อมใฝ่หาสงครามและการต่อสู้เป็นธรรมดา .... แล้วมนุษย์อย่างเจ้าล่ะ ต้องการอะไร ความสงบสุข สันติภาพรึ? หรือว่า... ความรัก?”

สโนว์หน้าแดงวูบ แต่แล้วก็เป็นปกติอย่างรวดเร็ว

--เขาคงพูดเรื่อยเปื่อยแหละ--

เด็กสาวคิดในใจ....พลางมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เธอกำลังไม่เข้าใจยิ่งกว่า ก็คือ ตัวของเธอเอง

‘ทำไม ทำไมนะ เราถึงมีความรู้สึกดีๆ กับเขา ทั้งที่เขาเป็นอสูร และเป็นคนที่พรากเรามาจากบ้านเกิดด้วย........เพราะความหวังหนึ่งเดียวในการที่จะได้กลับบ้านของเราอยู่ที่เขางั้นรึ? หรือเพราะว่า...’

เธอไม่กล้าคิดต่อไปอีก

อย่างไรก็ตาม...คืนนั้น คือ คืนของวันที่เจ้าหญิงอสูร- ฮิโระ พร้อมขุนพลคู่ใจชาวมนุษย์ทั้งสามคน เดินทางกลับเข้าสู่ปราสาทนีโอกลาดและสถาปนากองทัพอสูรสายเลือดใหม่ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า ทัพอสูรใหม่ขึ้นมานั่นเอง

และไฟสงคราม ก็ลุกลามมาถึงแคว้นแพลททิเซลเวอร์อย่างรวดเร็ว...ทั้งที่ที่ตั้งแคว้นเรียกได้ว่าอยู่คนละฝั่งทวีปกับนีโอกลาดแท้ ๆ

งานหนักของราชินีศักดิ์สิทธิ์... ซึ่งเป็นชาวต่างภพ กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า

...


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1