มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคหนึ่ง เจ้าหญิงแห่งทัพอสูรใหม่

เนฟเวอร์แลนด์เดือนสี่ปีที่ 997: สมาชิกใหม่แห่งนีโอกลาด

ล่วงเข้าเดือนที่สี่แห่งปีอสุรศักราชที่ 997 และเป็นเวลานับจากสิ้นสุดปฐมศึกของทัพอสูรสายเลือดใหม่มาได้สามสัปดาห์เต็ม ๆ

ณ ปราสาทอสูรนีโอกลาด ภายในสวนกว้างด้านหนึ่ง กองกำลังเล็ก ๆ จำนวนเกือบสองร้อยของอัศวินและนินจากำลังฝึกซ้อมการสู้รบอย่างขะมักขะเม้นภายใต้การควบคุมดูแลของซากิฟอน, ลูเซย์เดอร์และซาโต้ สูงขึ้นไปทางตัวปราสาท ยืนเด่นสง่าอยู่บนระเบียงยื่นบัลโคนี่ของชั้นสอง คือ ผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งดินแดนนี้ เจ้าหญิงอสูร-ฮิโระนั่นเอง เธอกำลังมองลงไปยังสวนเบื้องล่างจับตามองการฝึกซ้อมของไพร่พลอย่างใส่ใจ

ฉับพลันนั้นเอง เจ้าหญิงอสูรก็ต้องขมวดคิ้ว เกร็งร่างอย่างตื่นตัวขึ้น หันขวับมองไปทางเบื้องนอกปราสาทด้านทิศตะวันออก มือขวาที่จับถือด้ามเกทออฟเฮฟเว่นไว้กำแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เธอนิ่งอยู่ในท่านั้นชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะผ่อนคลายลงแล้วก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

"นึกว่าใคร" ปากจิ้มลิ้มพึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะหันไปสั่งการแก่ทหารรับใช้ (ผีโครงกระดูก-สเกลตัน) ว่า "ทหาร! เรียกรวมพลทุกคนที่ท้องพระโรงเดี๋ยวนี้ เรามีอาคันตุกะมาเยือนแล้ว"

"ขอรับ" สเกลตันทั้งสองตนน้อมรับคำสั่งแล้วรีบเดินแกมวิ่งอย่างรวดเร็วจากไปทันที

เจ้าหญิงน้อยแห่งราชวงศ์นีโอกลาดขยับตัวจะออกเดิน แต่แล้วก็กลับนิ่งใหม่ หันหน้าไปทางตะวันออกอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เธอหลับตาสำรวมสมาธิอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลืมตาขึ้น นึกในใจว่า

'มาทีเดียวสองคณะเชียวรึนี่'

...

อีกครู่ต่อมา ท้องพระโรงของวังนีโอกลาดก็คลาคร่ำไปด้วยขุนพลซึ่งได้แก่ ชิก, ซากิฟอน, ซาโต้และลูเซย์เดอร์ พร้อมด้วยเสนาบดีอสูรชั้นสูงที่มาชุมนุมกัน ทุกคนเฝ้าคอยการปรากฏตัวของนายเหนือของพวกเขา ด้วยได้รับคำชี้แจงแต่เพียงว่า ให้มารวมพลกันด่วนเท่านั้น หาได้ทราบเหตุผลของการรวมพลครั้งนี้ไม่

ฮิโระปรากฏกายขึ้นจากด้านหลังของบัลลังก์จอมอสูร แล้วก้าวขึ้นมาทรุดกายลงนั่งบนบัลลังก์อย่างสง่างาม

"องค์หญิง เรียกพวกข้ามามีเรื่องอันใดหรือ? เปลี่ยนใจเลื่อนกำหนดศึกตีบาร์ฮาร่าให้เร็วขึ้นรึไง?" เป็นซาโต้ที่ใจร้อนถามขึ้นก่อนใคร

"หึ หึ" องค์หญิงของเขาหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี "หามิได้หรอก ซาโต้ อย่าเพ่อร้อนใจไป"

"อ้าว ถ้างั้น..."

"เดี๋ยวก็ได้คำตอบเองแหละ .... อ้อ มาแล้วนั่นไง" ฮิโระมองไปทางประตูท้องพระโรง ทุกคนในที่นั้นหันมองตามไป ชิกและซากิฟอนที่ช่างสังเกตหน่อย มีความคิดเห็นตรงกันในใจว่า 'เอ วันนี้องค์หญิงท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษแฮะ'

บัดนั้นเอง ทุกผู้ในท้องพระโรงก็สัมผัสหยั่งรู้ได้ถึงญานอันแก่กล้าที่มีกลิ่นอายของเผ่าอสูรปรากฏขึ้นที่ประตูท้องพระโรงนั้น อีกอึดใจถัดมา ก็พลันปรากฏควันขาวพวยพุ่งขึ้นจากพื้นอย่างน่าพิศวง และในท่ามกลางกลุ่มหมอกควันนั้นเอง เงาดำสองเงาก็ลอยผ่านประตูเข้ามา

'ค้างคาวนี่!!!' มนุษย์สี่คนในนั้นต่างอุทานในใจพร้อมกัน

เงาดำทั้งสองร่าง คือค้างคาวตัวขนาดเขื่องสองตัวที่บินตรงเข้ามากลางห้องนั่นเอง ค้างคาวทั้งสองกระพือปีกบินผ่านกลางเหล่าผู้ที่ชุมนุมอยู่สองฟากของทางเดินกลางท้องพระโรง จนไปถึงเบื้องหน้าห่างจากตัวฮิโระบนบัลลังก์อสูรไปสี่ห้าก้าวก็หยุดนิ่ง หากแต่ยังลอยตัวอยู่กลางอากาศได้อีกอึดใจหนึ่งก่อนที่จะปรากฏแสงสีดำขึ้นปกคลุมร่างของค้างคาวทั้งสอง และบัดดลนั้นเอง ทุกผู้ในที่นั้นก็ประจักษ์ว่า แสงสีดำขยายขนาดใหญ่ขึ้น ยืดยาวออกตามแนวตั้งและ.... ท้ายที่สุดก็กลายร่างเป็นมนุษย์-ไม่สิ สิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์หนึ่งสตรีเพศ และอีกหนึ่งบุรุษเพศ-อย่างน่าอัศจรรย์ ร่างของอิสตรีนั้นรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ผมสีทองยาวสลวยถึงกลางหลัง ใบหน้าหวานซึ้ง ตากลมโต และมีใบหูแหลมชันอันบ่งถึงความเป็นเผ่าอสูร เธอผู้นี้งามสง่าในชุดรัดกุมสีเขียว และยืนอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าผู้ที่มาด้วยกัน อันแสดงว่ามีฐานะสูงกว่า ส่วนผู้ที่มาด้วยกันนี้เป็นชายหนุ่มเผ่าอสูรเช่นกัน ผิวขาว และใบหน้าขาวซีด หากแต่ดวงตาทอประกายแรงกล้าทรงปัญญา รูปร่างสูงเพียว ความสูงพอ ๆ กับซากิฟอนที่สูงที่สุดในที่นั้น หากแต่ความหนาของร่างกายนั้นแตกต่างกันมาก

"เมย์มี!" ฮิโระทัก ลุกขึ้นจากบัลลังก์ก้าวตรงเข้าหาสาวผู้มาใหม่อย่างตื่นเต้น รอยยิ้มอย่างดีใจซึ่งมนุษย์ทั้งสี่ในที่นั้น-หรือแม้แต่เหล่าอสูรด้วยกันเอง-ไม่เคยเห็นมาก่อนผุดขึ้นประดับริมฝีปากน้อย ๆ นั้นอย่างจริงใจ ผู้ถูกเรียกว่าเมย์มีเองก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าเช่นกัน พลางยกมือทั้งสองขึ้น

"ฮิโระ!"

น้ำเสียงหวานไพเราะของสตรีแรกรุ่นดังจากปากของเธอผู้นี้ มือทั้งสองข้างของฮิโระและเมย์มีเกาะกุมกันอย่างแน่นแฟ้น อาการดีใจที่ทั้งสองฝ่ายได้พบกันและน้ำเสียงที่ต่างเรียกหากันย่อมบ่งบอกถึงความผูกพันลึกซึ้งของทั้งสองได้เป็นอย่างดี สตรีสาวผมทองผู้นี้คือ ท่านหญิงเมย์มี ธิดาคนเดียวของราชันย์แห่งเผ่าแวมไพร์ (ผีดูดเลือด) ไบอาตที่สิบสามแห่งแคว้นเชมบะ และเป็นผู้ที่เสมือนหนึ่งเพื่อนเล่นและพี่เลี้ยงของฮิโระแต่ครั้งยังเยาว์วัยนั่นเอง

"โตขึ้นมากเลยนะ ฮิโระ" เมย์มีรำพึงเบา ๆ สายตาสำรวจร่างเด็กสาวที่เกาะกุมมือกับตนอย่างชื่นชม หากแต่ประกายตาของเธอทอแสงหม่นหมองไปวูบหนึ่ง เมื่อมองไปที่มือข้างซ้ายของฮิโระ

"ดีใจจริง ที่ได้เจออีก" เป็นคำตอบขององค์หญิงน้อยแห่งนีโอกลาดด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่จางหายจากใบหน้า แต่แล้วก็เหมือนนึกขึ้นได้ เธอเบือนหน้ามามองผู้ที่มาพร้อมกับเมย์มีพร้อมดึงมือกลับมาหาตัวอย่างนุ่มนวล

"คารวะเจ้าหญิงขอรับ" อสูรหนุ่มทรุดเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมก้มศีรษะลงเพื่อแสดงความเคารพสูงสุด

"...คะ..คลาอุส ไม่ต้องมีพิธีรีตองไปหรอก" เจ้าหญิงอสูรตอบตะกุกตะกักไปเล็กน้อย

ซาโต้ขมวดคิ้วเข้าหากันทันที เขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่า แก้มผุดผ่องของฮิโระแดงเรื่อขึ้นยามเธอเอ่ยคำ "คลาอุส" นี้ แต่แล้วก็กลับเป็นปกติในทันใดอย่างคนที่บังคับความรู้สึกของตัวเองไว้ได้- แต่ก็ไม่เร็วเกินที่เขาจะสังเกต นายกองนินจานึกในใจว่า 'บ๊ะ ท่าจะยังไงซะแล้ว' ชำเลืองมองไปทางชิก เห็นฝ่ายนั้นก็จับจ้องที่ใบหน้าของฮิโระอยู่ด้วยแววตาที่หม่นหมองลงเล็กน้อย-ซึ่งก็ไม่พ้นความสังเกตของซาโต้ไปได้เช่นกัน 'เจ้าชิกก็เห็นแล้วมั้ง ว่าเจอคู่แข่งตัวจริงเข้าให้แล้ว...เฮ้อ...'

อสูรหนุ่ม-แวมไพร์ลอร์ด (แวมไพร์ชั้นสูง) นามคลาอุส ลุกขึ้นยืนสำรวมแล้วหันไปทางนายของตน

"ท่านหญิงขอรับ สาส์น..."

"เอ้อ จริงสิ" เมย์มีทำท่านึกขึ้นได้ "นี่จ๊ะ ฮิโระ สาส์นจากท่านพ่อของข้า"

ฮิโระรับสาส์นซึ่งเป็นแผ่นหนังสัตว์อาคม เมื่อมือผู้รับสาส์นสัมผัสกับมัน ก็หยั่งรู้ได้ถึงข้อความที่ส่งมาด้วยทันทีโดยมิต้องเปิดอ่าน

"เรียน เจ้าหญิงอสูรแห่งนีโอกลาด ผู้สืบทอดเจตนารมย์ของท่านจอมราชันย์อสูร

ข้าพเจ้าไบอาตที่สิบสาม ขอแสดงเจตนารมย์ในอันที่จักรักษาสัตยาบันที่เคยถวายต่อองค์จอมราชันย์ว่าจักเป็นผู้สนับสนุนราชวงศ์นีโอกลาดตลอดไป บัดนี้เจ้าหญิงได้ขึ้นเป็นเจ้าแห่งนีโอกลาดแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอส่งบุตรีของข้าพเจ้า-เมย์มี พร้อมกองกำลังทหารสเกลตันจำนวนสี่ร้อย และขุนพลคลาอุสพร้อมกองกำลังทหารสัตว์อาคมจำนวนสามร้อยมาเพื่อเป็นกำลังเสริมแก่เจ้าหญิง ขอได้โปรดรับความปรารถนาดีจากข้าพเจ้าด้วยเถิด

ลงนาม ไบอาตที่สิบสาม แห่งเชมบะ"

ฮิโระละสายตาจากสาส์นนั้น มองไปทางเมย์มีแล้วกล่าวขึ้นว่า

"นี่ท่านไบอาตที่สิบสามให้เมย์มีกับคลาอุสพากำลังพลมาเกือบหมดเลยหรือ?"

"..." เมย์มีไม่ตอบกระไร หากแต่ขุนพลหนุ่มผู้ยืนเบื้องหลังตอบแทนว่า

"หามิได้ขอรับ ท่านไบอาตที่สิบสามมีทหารสเกลตันในสังกัดของท่านโดยตรงอีกสี่ร้อย... เพียงพอที่จะป้องกันแคว้นเชมบะได้โดยมิเหนือบ่ากว่าแรงของท่านหรอกขอรับ ขอเจ้าหญิงอย่าได้กังวลเรื่องนั้นเลย ท่านไบอาตที่สิบสามเสียอีก ที่รู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ไม่อาจจะยกกำลังทั้งหมดมาสมทบกับเจ้าหญิงได้ด้วยซ้ำไป"

"อืมห์" เจ้าหญิงอสูรไม่พูดอะไรอีก คงทำเสียงรับทราบเท่านั้น หากแต่ด้วยคำพูดดังกล่าวของคลาอุสและกิริยาของเมย์มี ย่อมแสดงให้- อย่างน้อยก็ฮิโระและชิกล่ะ- หยั่งรู้ได้ถึงการเมืองภายในแคว้นเชมบะ ว่าแท้จริงแล้ว งานด้านการทหารนั้นตกอยู่ในมือเจ้าครองแคว้นกับขุนพลคู่ใจคลาอุสเพียงสองตนเท่านั้น เมย์มีหาได้ล่วงรู้ตื้นลึกหนาบางของกิจการในแคว้นตนเองไม่ อีกทั้ง... กำลังทหารรวมในสังกัดของแม่ทัพทั้งสามแห่งแคว้นเชมบะมีถึงหนึ่งพันหนึ่งร้อย (สเกลตันแปดร้อยและสัตว์อาคมอีกสามร้อย) ซึ่งมากกว่ากองกำลังของนีโอกลาดในยามนี้เสียอีก ย่อมแสดงให้เห็นอะไรบางอย่างที่ทั้งฮิโระเองและชิกในฐานะเสนาธิการทหารแห่งกองทัพอสูรใหม่มิสามารถจะละเลยความระแวดระวังไปได้ แต่... นั่นยังมิใช่เวลานี้ ที่จะต้องไปใส่ใจกับเรื่องดังกล่าว

"เอาล่ะ ถ้าเช่นนั้น เราก็ยินดีขอต้อนรับท่านหญิงเมย์มีและขุนพลคลาอุสเข้าสู่กองทัพนีโอกลาดนับแต่บัดนี้ไป!" นั่นเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการจากปากเจ้าหญิงอสูร ผู้รับคำสั่งทั้งสองน้อมกายแสดงความเคารพ แล้วสืบเท้าถอยกลับไปยืนรวมกลุ่มกับเสนาบดีอสูร โดยพวกนั้นขยับที่ให้ผู้มาใหม่ทั้งสองยืนในตำแหน่งใกล้บัลลังก์มากกว่าพวกตน นั่นย่อมแสดงถึงการยอมรับในลำดับศักดิ์ศรีของผู้มาใหม่ได้เป็นอย่างดี

"อย่างนี้กำลังของเราก็เพิ่มขึ้นเกือบจะเท่าตัวเลยนะครับ องค์หญิง" ชิกกล่าวขึ้น "บาร์ฮาราก็เหมือนอยู่ในเงื้อมมือของเราแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะบีบขยี้มันจริง ๆ เมื่อไรเท่านั้น" เขายกมือขึ้นกำประกอบคำพูดของตนด้วย

"หึหึ" องค์หญิงของเขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี "ยังไม่หายแค้นที่พวกมันโจมตีพวกเจ้าแทบแย่เมื่อเดือนก่อนรึ ชิก? อย่าลืมว่า เราก็เจ็บแค้นพวกมันยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก"

"อ้า ขออภัยด้วยครับ ข้าลืมตัวไปหน่อย" ชิกก้มศีรษะเล็กน้อย

"คนที่โกรธแค้นจริง ๆ น่ะ ยืนเงียบอยู่นั่น เจ้าชิกเอ๋ย" ซาโต้ตบบ่าของชิก แล้วบุ้ยปากไปทางซากิฟอนซึ่งยืนนิ่งอยู่ "จริงไหม องค์หญิงน้อย"

"หึ" องค์หญิงน้อยไม่ตอบ แต่ทอดสายตาแสดงความเห็นใจไปทางอัศวินหนุ่มร่างยักษ์ "ใจเย็นไว้ ซากิฟอน เราเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี"

"ขอบพระคุณองค์หญิงขอรับ" ซากิฟอนก้มศีรษะน้อมรับคำนั้น แน่นอน สาเหตุที่เขาโกรธแค้นพวกกอบลินมาก ก็คือ เรื่องของกองกำลังอัศวินในสังกัดของผู้กล้าโกรมิลที่ถูกบีบบังคับให้ทำงานให้พวกกอบลินนั่นเอง

อาการที่ขุนพลชาวมนุษย์ทั้งสามและฮิโระแสดงออกต่อกัน ทำให้ผู้มาใหม่ทั้งสองต้องนึกฉงนในใจ เพราะทั้งสามคน ไม่เหมือนกับเป็น 'ข้าราชบริพาร' ของฮิโระเลย คงเหมือนกับเป็นสหายสนิทที่ยอมรับว่าอีกฝ่ายสูงศักดิ์กว่าเท่านั้นเสียมากกว่า


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1