มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

บทนำ 3

วาระสุดท้ายจอมราชันย์ (4)

“จอมราชันย์อสูรจาเนส?”

ซิฟอนถามยืนยันแก่ร่างของชายฉกรรจ์ผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์แห่งท้องพระโรงเพียงคนเดียว

“มือสังหารจากแดนมนุษย์ละสิ ข้ารออยู่นานแล้วล่ะ” จาเนสตอบ

“ข้าขอชีวิตท่าน เพื่อสันติสุขของชาวเนฟเวอร์แลนด์ อภัยให้ข้าด้วย” ซิฟอนประกาศพร้อมชักดาบเล่มหนึ่งออกจากกลางหลัง เบื้องหลังเขารันเจยืนคุมเชิงอยู่ห่าง ๆ และกำลังสวดมนต์เพื่อแผ่อำนาจเวทย์ช่วยเสริมพลังให้กับเขา

“พูดผิดพูดใหม่ได้นะ เด็กหนุ่ม เพื่อสันติสุขของมนุษย์หรือของเนฟเวอร์แลนด์กันแน่”

“มันก็เหมือนกันนะแหละ รับมือ!” ซิฟอนกระโจนเข้าใส่ทันทีแต่แล้วก็ต้องกระเด็นออกมาเมื่อประทะกับกำแพงที่มองไม่เห็น

“ดาบดาวตกของเจ้าทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ทิ้งมันซะ แล้วชักดาบอสูรฟ้าออกมา”

จาเนสเตือนเสียงเรียบโดยไม่ได้ขยับตัวจากบัลลังก์เลย

“ฮึ่ม ไม่ต้องมาสอนหรอกน่า”

ซิฟอนหน้าแดงด้วยความอายและความโกรธ ลึก ๆ ในใจเขาโกรธตัวเองมากกว่าที่คิดจะโค่นจอมอสูรผู้นี้ด้วยพลังของเขาเอง มันช่างเป็นความเพ้อฝันที่ไร้สาระสิ้นดี เขายอมเลิกล้มความตั้งใจนั้นแต่โดยดี สอดดาบของเขาเองซึ่งคือดาบดาวตกลงฝัก แล้วกระชากทั้งฝักออกจากกลางหลังโยนกลับไปให้รันเจโดยไม่หันไปมอง จากนั้นชักดาบอีกเล่มที่สะพายอยู่ออกมา วินาทีนั้นทั้งสามคนที่อยู่ในท้องพระโรงรู้สึกได้ถึงขุมพลังที่ปลดปล่อยออกจากดาบอสูรฟ้า

“อึ๊บ” ซิฟอนขมวดคิ้ว ใช้สองมือกำด้ามดาบไว้แน่นพยายามรวบรวมพลังใจและพลังเวทย์ในกายทั้งหมดเพื่อควบคุมบังคับอานุภาพของดาบนี้

จาเนสขมวดคิ้วเช่นกันด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ ดาบอสูรฟ้ามีอานุภาพเหนือกว่าที่ท่านคาดการณ์ไว้มากมายนัก ซิฟอนเริ่มสาวเท้าเข้าหาจาเนสทีละก้าว จนถึงก้าวที่ห้าเขาก็ประทะกับกำแพงอันมองไม่เห็นซึ่งคือพลังคุ้มกันที่จาเนสได้ขึงเอาไว้ แต่คราวนี้ซิฟอนชะงักไปเพียงนิดเดียวก่อนที่จะสาวเท้าต่อไปได้

จาเนสลุกขึ้นยืน ตลอดร่างกายของท่านสุกสว่างไปด้วยพลังเวทย์ที่ท่านเร่งเร้าปลดปล่อยออกมา รันเจซึ่งยืนอยู่ติดประตูต้องผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่งเมื่อสัมผัสกับพลังเวทย์อันแก่กล้านี้ ขณะที่ซิฟอนชะงักไปก่อนที่จะเดินหน้าต่อไปอีกโดยชูดาบไว้ข้างหน้า รอบตัวซิฟอนเริ่มเกิดกระแสอากาศที่ไหลเวียนและเริ่มมีสายฟ้าปะทุออกรอบ ๆ ร่างของเขาเป็นระยะ ๆ ในสายตาของรันเจสังเกตเห็นปลายเท้าของซิฟอนลอยขึ้นเหนือพื้นดินเล็กน้อยพร้อมกับที่ผมของซิฟอนตั้งขึ้นเหมือนกับมีลมโบกพัดจากเบื้องล่าง ซิฟอนเองก็กำลังเร่งเร้าพลังเวทย์ในตัวเข้าประสานกับพลังเวทย์ที่ขอยืมออกมาจากดาบอสูรฟ้านั่นเอง บรรยากาศรอบข้างตัวบุคคลที่ยืนประจันกันทั้งสองเพิ่มทวีความกดดันขึ้นทุกขณะจนรันเจมองเข้าไปเหมือนอุณหภูมิในห้องนั้นสูงขึ้น ภาพของทั้งสองเริ่มบิดเบี้ยวราวกับภาพที่เกิดขึ้นบนพื้นทะเลทรายอันร้อนระอุ เวลาเหมือนจะหยุดนิ่ง ณ ชั่วขณะนั้น

และแล้ว...

“ย้ากส์ส์ส์” ซิฟอนโถมเข้าใส่จอมราชันย์อสูรผู้ผลักมือส่งพลังเวทย์เข้าใส่ชายหนุ่ม

แสงสว่างจากการประทะกันของพลังจากทั้งสองฝ่ายสว่างบดบังคลองจักษุของรันเจผู้สังเกตการณ์อยู่ด้านหลังจนมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น พริบตาถัดมา แรงระเบิดของอากาศอันมีศูนย์กลางอยู่ที่ตำแหน่งระหว่างบุรุษทั้งสองที่อยู่ในห้องก็กระชากร่างรันเจกระเด็นลอยออกไปนอกห้องพร้อมบางส่วนของบานประตูท้องพระโรงที่ถูกฉีกขาดกระจายออกมาด้วย

เหตุการณ์สงบลง ร่างรันเจซึ่งตกลงบนพื้นพยายามพยุงกายขึ้นอย่างยากเย็น แล้วสาวเท้าไปที่ประตูท้องพระโรงเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ไม่เร็วไปกว่าเงาร่างอีกสายหนึ่งที่วิ่งแซงขึ้นไป

“ท่านพ่อ!” ฮิโระนั่นเอง เธอไม่มีเวลาหยุดมองนักบวชสาวเลยแม้แต่นิดเดียว คงมุ่งหน้าไปหาบิดาของตน ขณะที่คริสซึ่งวิ่งตามหลังฮิโระมาตรงเข้าพยุงรันเจไว้ ถามว่า

“เป็นไงบ้างรันเจ?”

“อื้อ ไม่เป็นไรค่ะ”

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วก็พยุงกันตรงเข้าท้องพระโรง

ภาพที่ฮิโระซึ่งวิ่งผ่านประตูเข้าไปได้เห็นถือ ภาพบิดาของตนเองกำลังโก่งตัว สองมือของท่านกุมที่หน้าท้องของตนซึ่งมีดาบเล่มหนึ่งเสียบอยู่ ด้ามดาบนั้นยังอยู่ในอุ้งมือทั้งสองของชายหนุ่มผมสีม่วงซึ่งยืนแยกขาอยู่เบื้องหน้าบิดาของฮิโระ

“ท่านพ่อ!”

ฮิโระหวีดร้องขึ้นสุดเสียง เคียวซาตานยาวร่วงหล่นจากมือ พริบตาถัดมาเด็กสาววิ่งตรงเข้าหาบิดาของตน ความรู้สึกบอกตัวเองว่า ด้วยพลานุภาพอันประเมินมิได้ของอาวุธวิเศษนี้ บิดาของตนคงมิอาจรอดชีวิตได้ เมื่อสำนึกถึงตรงนี้เบ้าตาของเด็กสาวก็ร้อนผ่าวขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“หลีกไป!”

เด็กสาวผลักซิฟอนซึ่งยืนนิ่งอยู่เซไปทางหนึ่ง ร่างของผู้ยิ่งใหญ่แห่งนีโอกลาดทรุดฮวบลงชันเข่าข้างหนึ่งกับพื้น จากปากแผลซึ่งยังคงประดับไว้ด้วยดาบเล่มนั้น ปรากฏโลหิตสีแดงสายหนึ่งไหลซึมออกมาเป็นทางยาว พลังชีวิตของท่านแทบจะไม่เหลือให้บุตรีสัมผัสได้เลย

“ท่านพ่อ”

ฮิโระทรุดตัวลงประคองท่านไว้ น้ำตาไหลรินเป็นทางจากดวงเนตรทั้งสอง ซิฟอนซึ่งเพิ่งมีโอกาสมองผู้มาใหม่ได้เต็มตาอีกครั้งยืนตะลึงเมื่อเห็นน้ำตาของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น “อสูร” เขายืนแน่นิ่งมองเด็กสาวที่ร้องไห้น้ำตานองหน้าสลับกับมองไปที่ดาบอสูรฟ้าซึ่งตนเป็นคนฝังลงบนร่างของจอมราชันย์อสูรเองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ใช่- ทุกสิ่งทุกอย่างมันง่ายเกินไป แทบไม่น่าเชื่อว่าเขาคือ ผู้พิชิตจอมราชันย์อสูรลงได้ แต่น้ำตาของเด็กสาวตรงหน้าและดาบที่ยังคงอยู่บนร่างจาเนสย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี ซิฟอนเบนสายตาไปอีกทางหนึ่งก็พบว่าคริสกับรันเจกำลังมองมาที่ตน- หรือพูดให้ถูกคือ- มองมาที่สองพ่อลูกชาวอสูรเช่นกัน ในมือของคริสยังคงติดเล็บเหยี่ยวไว้ และเขากำลังย่อตัวลงในท่าเตรียมพร้อมออกอาวุธ

“อย่า!” ซิฟอนวิ่งอ้อมด้านหลังของฮิโระ ตรงเข้าไปห้ามนินจาผู้ร่วมงานไว้

“?” คริสหันขวับมามองเขาอย่างไม่เข้าใจ “ทำไม นี่เป็นโอกาสดีนะ จัดการทั้งสองคนเลย”

ซิฟอนสั่นศีรษะ ตอบว่า “เป้าหมายของเราคือ จอมราชันย์อสูรคนเดียวเท่านั้น ท่านราดิวอิก็บอกอย่างนั้น!”

“แต่...” คริสพยายามจะโต้แย้ง

“รีบกลับเถอะ” ซิฟอนสรุป

คริสทำท่าฮึดฮัด แต่แล้วก็ยอมผ่อนคลายท่วงท่าลงหันกลับไปทางประตูแต่โดยดี

“เดี๋ยวก่อน” เสียงดังขึ้นจากกลางห้อง ฮิโระนั่นเอง

เมื่อซิฟอนหันไปเสียงเด็กสาวก็ถามมาอีกว่า “เจ้าชื่ออะไรนะ? นักดาบ”

“ซิฟอน”

“ข้าจะจำไว้!”

“...” ซิฟอนขยับปากจะพูดอะไรออกไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ พวกเขาสามคนถอนตัวออกจากปราสาทนีโอกลาดอย่างรวดเร็ว

...


back index next
1