มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

บทนำ

บทส่งท้าย: จุดเริ่มต้นแห่งมหาสงครามเนฟเวอร์แลนด์

ผู้บุกรุกทั้งสามจากไปแล้ว ทิ้งให้สองพ่อลูกอยู่ในความเงียบสงัด

ฮิโระเฝ้าประคองบุพการีไว้เช่นนั้น โดยไม่มีความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในหัวสมองของเธอมึนล้าและว่างเปล่า ร่างของจอมราชันย์อสูรจาเนสยังคงมีพลังชีวิตเหลืออยู่อย่างอ่อนล้าเต็มที บุตรีได้แต่เฝ้าภาวนาให้บิดาของตนเอาชนะความตายได้สำเร็จทั้งที่ตระหนักว่าโอกาสน้อยนักหนา

เวลาผ่านไปเท่าไรไม่ทราบได้ โดยทันทีทันใดเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นข้างตัวเด็กสาวว่า

“เฮ้อ นึกแล้วเชียวต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังแน่”

ฮิโระใจหายวาบเมื่อรู้ว่ามีใครเข้ามายืนอยู่ชิดด้านหลังของตน แต่แล้วก็ผ่อนความตระหนกลงเพราะผู้มาใหม่คือ พลานา พี่สาวของเธอนั่นเอง

“ท่านพี่? กลับมาได้ยังไง?”

“พี่ใช้เทเลพอร์ตมาจ้ะ”

เทเลพอร์ตเป็นเวทย์มนต์ชั้นสูงที่สามารถเคลื่อนย้ายตัวเองหรือบุคคลอื่นไปยังสถานที่อีกสถานที่หนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ตามใจปรารถนา แต่มีข้อแม้ว่าสถานที่นั้นต้องเป็นที่ที่บุคคลผู้นั้นเคยไปมาก่อนแล้วเท่านั้น พลานาเป็นบุคคลหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถใช้เวทย์มนต์ชั้นสูงเช่นนี้ได้และเธอก็ได้ใช้มันจากสนามรบกลางทะเลด้านเหนือของนีโอกลาดเพื่อที่จะกลับมายังปราสาท

“แล้ว... ยุทธนาวี...?”

ฮิโระยังมีใจเป็นห่วงถึงการรบทางท้องทะเลซึ่งเป็นเหตุผลที่พลานาต้องเดินทางออกจากนีโอกลาดเมื่อหลายวันก่อน

“ป่านนี้คงราพนาสูรแล้วล่ะ... ฝ่ายเรานะ” พลานาตอบอย่างปลงตก หวนนึกไปถึงผู้นำทัพฝ่ายตรงข้ามซึ่งคือ โอะโระจิมารุ ผู้สูงเชิงทั้งเชิงยุทธขส่วนตัวและการนำทัพ

กองทัพอสูรที่ยกไปแพ้สงคราม! และเป็นการแพ้แบบถูกถล่มทำลายสิ้นทั้งกองทัพด้วย ความจริงที่หลุดจากปากพี่สาวทำให้น้องสาวตระหนก แต่แล้วก็คิดได้ว่าในเมื่อพี่สาวซึ่งเป็นแม่ทัพทิ้งศึกกลับมาก่อนเช่นนี้ก็คงไม่แคล้วที่ผลต้องเป็นดังกล่าว

“โอ นึกไม่ถึงเลย” พลานาเพ่งมองจาเนสและดาบอสูรฟ้าอีกอึดใจหนึ่งก็อุทานขึ้นอย่างเศร้าสร้อย “อานุภาพของมันขนาดท่านพ่อยังสะกดไว้ไม่สนิทเลยหรือ?”

“เอ๊ะ!” ฮิโระงง เมื่อพยายามคิดตามเธอก็เห็นคำตอบราง ๆ เธอมองไปที่ดาบอสูรฟ้าอีกครั้งก่อนที่จะเอ่ยปากเสียงพร่าว่า “หมายความว่า...”

“ใช่จ๊ะ” พลานาพยักหน้าช้า ๆ “ท่านพ่อจงใจรับดาบนี้เองแหละ ท่านใช้ร่างของท่านเองสะกดดาบนี้ไว้ ไม่น่าเลย ใครนะไปค้นมันออกมาได้ มันไม่ควรอยู่ในโลกยุคนี้แล้ว...”

ท้ายเสียงของเธอเบาลงเรื่อย ๆ ด้วยความสะท้อนใจ แต่แล้วเธอก็สูดหายใจเข้าเต็มปอด แล้วพูดกับฮิโระอย่างหนักแน่นว่า

“ฮิโระจ๊ะ พี่จะไปส่งท่านพ่อ”

“ท่านพี่” ฮิโระเบิ่งตากว้างด้วยความตกใจเมื่อคิดได้ว่าพี่สาวหมายถึงอะไร

“ไม่นะ!”

แต่ช้าไปเสียแล้ว

เคียวเกทออฟเฮฟเว่นในมือของพลานาซึ่งเธอคงจะเก็บมันขึ้นมาจากที่ฮิโระวางทิ้งไว้ ได้เกี่ยวฉับเข้าที่ลำคอระหงของเจ้าของแสงสว่างวาบขึ้นจากทั่วร่างของพลานาจากนั้นร่างของเธอก็ทรุดลงไปกองกับพื้น

เสียงดังกราวเมื่อเกทออฟเฮฟเว่นหลุดจากมือของร่างไร้วิญญานอันสวยสง่า ใช่ ดวงวิญญานได้ออกจากร่างนี้ไปแล้ว

ฮิโระหันขวับไปที่ร่างของจอมราชันย์อสูรพบว่าเกิดแสงสว่างวาบขึ้นเช่นเดียวกัน

เมื่อแสงสว่างหายไปร่างของท่านก็ทรุดลงบนพื้นหากแต่ดาบอสูรฟ้าได้อันตรธานหายไปแล้ว

“ท่านพ่อ! ท่านพี่!” ฮิโระทรุดกายลงนั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง

“ทำไมต้องทิ้งฮิโระไปด้วย?...”

“ฮิโระ” เสียงของจอมราชันย์อสูรดังขึ้น

ฮิโระรีบเงยหน้าขึ้นทางต้นเสียงแต่ก็ไม่พบอะไร

“ฮิโระ ฟังนะ พ่อกับพี่ของเจ้ามีเวลาน้อย จงฟังคำของเราเอาไว้ให้ดี”

“...ท่านพ่อ... ... ขอรับ...”

เด็กสาวผู้สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักพร้อมกันถึงสองคนเหลียวหน้ามองทางนั้นทางนี้เลิ่กลั่ก แต่ก็รับคำในที่สุด

เธอทราบดีถึงคุณสมบัติของเกทออฟเฮฟเว่นคือ สามารถเกี่ยววิญญานหลุดออกจากร่างเดิมและส่งตรงไปยังแดนยมโลกได้โดยตรง พลานาปลิดชีพตัวเองด้วยเกทออฟเฮฟเว่นก็เพื่อการนี้ เธอต้องการติดตามไปส่งดวงวิญญานของบิดาไปยังยมโลกพร้อมกับดาบอสูรฟ้าซึ่งมีอานุภาพร้ายแรงจนไม่สมควรที่จะทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ด้วยตัวเธอเองนั่นเอง

ในเมื่อดวงวิญญานทั้งสองอยู่ภายใต้อำนาจของเกทออฟเฮฟเว่นย่อมต้องถูกส่งไปยังยมโลกโดยไม่มีทางขัดขวางหรือบิดพลิ้วได้ เวลาที่เหลือสำหรับการสั่งเสียของท่านทั้งสองย่อมเหลืออยู่น้อยมาก ฮิโระไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฟังอย่างตั้งใจเท่านั้น

“เจ้าไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับสิ่งที่พ่อและพี่สาวของเจ้าได้กระทำมาแล้วเจ้าก็คือเจ้า ย่อมมีสิทธิ์ที่จะคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง จงทำในสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าเป็นสิ่งที่สมควรเถิด ฮิโระ”

“น้องฮิโระจ๊ะ พี่จะคอยดูจากยมโลกนะพี่เชื่อว่าสิ่งที่น้องจะทำในอนาคตต้องเป็นสิ่งที่ให้ผลดีที่สุดต่อทุก ๆ คนอย่างแน่นอน”

“ที่จริงพ่อไม่อยากพูดคำนี้เลย ฮิโระ แม่ของเจ้าเป็นมนุษย์ และเลือดของเจ้าครึ่งหนึ่งก็เป็นเลือดของมนุษย์ เจ้าเองคงรู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว”

“จงเชื่อมั่นในความดีงามของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ เถอะนะจ๊ะฮิโระ”

“และสุดท้ายนี้ พ่อฝากให้เจ้าระวังสิ่งต่อไปนี้ให้ดี เจตนารมย์แห่งภิภพเจตนารมณ์แห่งสรวงสวรรค์ เจตนารมย์แห่งบาดาล และเจตนารมย์แห่งจักรวาล”

“ลาก่อน”

“ลาก่อนจ๊ะน้องรัก”

“ท่านพ่อ ท่านพี่” ฮิโระร่ำร้อง “เดี๋ยวก่อน ข้าไม่เข้าใจเลยพวกท่านสั่งเสียอะไรกันข้าไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ไม่.........”

...

ปีอสุรศักราชที่ 996 เป็นอีกปีหนึ่งที่มีเหตุการณ์สำคัญประดังกันเกิดขึ้นบนทวีปเนฟเวอร์แลนด์

เริ่มจากสามขุนพลแห่งทัพอิปซิลอยเออร์ ได้แก่ คริส, ซิฟอนและรันเจได้ลอบเข้าปราสาทนีโอกลาด เพื่อลอบสังหารจอมราชันย์อสูรซึ่งก็เป็นผลสำเร็จเมื่อซิฟอนสามารถใช้ดาบอสูรฟ้าที่ได้รับจากเกรย์โค่นล้มจอมราชันย์อสูรลงได้

พลานาหายตัวลึกลับจากสมรภูมิกลางทะเลทางทิศเหนือของเนฟเวอร์แลนด์และหายสาบสูญจากเนฟเวอร์แลนด์ตั้งแต่บัดนั้น

กองทัพอสูรถูกบดขยี้จน “ราพนาสูร” คือเสียชีวิตหมดไม่มีเหลือด้วยฝีมือของทัพเรือจากเกาะมุโรมาจิที่นำโดยกษัตริย์หนุ่มโอะโระจิมารุ ณ จุดนี้ของประวัติศาสตร์นับเป็นจุดสิ้นสุดของกองทัพอสูร เนื่องจากกองกำลังที่ยังคงเหลืออยู่ในนีโอกลาดมีเพียงอสูรชั้นสูง-ต่ำเพียงหยิบมือหนึ่งกับสเกลตัน (ทหารผีโครงกระดูก) จำนวนพอ ๆ กันเท่านั้น อย่างไรก็ตามกองทัพมุโรมาจิไม่ได้ตามเข้าบดขยี้ยึดแคว้นนีโอกลาด หากแต่แล่นทัพกลับเกาะของตน ส่วนสองประเทศที่มีเขตแดนติดกับนีโอกลาด คือ แคว้นโททัสบูร์กภายใต้การปกครองของทัพอัศวินโรซ่า และแคว้นบาร์ฮาร่าของเผ่ากอบบลินก็ไม่ได้ฉวยโอกาสเข้ายึดครองดินแดนนีโอกลาดเช่นกัน (ทั้งนี้สันนิษฐานว่า เพราะไม่ทราบสถานการณ์อย่างใกล้ชิด)

หนึ่งสัปดาห์ถัดมา ราชาราดิวอิแห่งแคว้นอิปซิลอยเออร์ซึ่งเป็นผู้นำของห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูรก็ลงนามในประกาศสำคัญร่วมกับสามขุนพลคริส, ซิฟอน, รันเจ ความว่า “นับแต่บัดนี้ไป เนฟเวอร์แลนด์เข้าสู่ยุคสันติ เมื่อไร้ซึ่งทัพอสูร จอมราชันย์อสูรได้สิ้นชีพลงแล้วภายใต้น้ำมือของสามขุนพล”

ข่าวนี้นำรอยยิ้มกลับมาสู่มวลมนุษย์โดยทั่วหน้า สามขุนพลแห่งแคว้นอิปซิลอยเออร์ได้รับการยกย่องว่า เป็น “สามผู้กล้าพิชิตอสูร” โดยเฉพาะซิฟอนได้รับการยกย่องเป็นนักดาบมือหนึ่ง แห่งทวีปเนฟเวอร์แลนด์

เหตุการณ์อีกหลายเหตุการณ์เกิดต่อเนื่องกันและจะกล่าวสรุปไว้ ณ ที่นี้คือ

อีกสองเดือนถัดมา กษัตริย์กิวฟิแห่งแคว้นนาฮารีซึ่งเป็นแกนนำคนหนึ่งของฝ่ายมนุษย์สมัยศึกธรรม-อสูรได้สิ้นพระชนม์ลง องค์ชายโคล์ทรัชทายาทซึ่งยังเยาว์วัยได้ขึ้นครองราชย์เป็นราชากิวฟิที่สอง

จาโด้-บุตรชายของจาเนส-ฟื้นจากมนต์สะกด ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่ลงยันต์สะกดตนไว้คือบิดาของตนได้สิ้นชีวิตลงแล้วนั่นเอง

อีกหนึ่งเดือนถัดมา ราชารุเนจจูแห่งแคว้นศักดิ์สิทธิ์แพลททิเซลเวอร์ได้เข้าประกอบพิธีลึกลับบนหอคอยศักดิ์สิทธิ์ประจำแคว้นคือ หอควีนโรดส์ ท่านกลับลงจากหอด้วยอาการอิดโรยปางตายและได้สั่งเสียขุนนางคนสนิทว่าผู้ที่ปรากฏตัวอยู่ในหอคือ กษัตริย์ผู้ครองแคว้นองค์ต่อไป แล้วพระองค์ก็สิ้นชีวิตลง

ด้วยคำสั่งเสียของพระองค์ ทำให้หญิงสาวลึกลับนาม “ลิตเติลสโนว์” ซึ่งบรรดาขุนนางไปอัญเชิญลงจากหอควีนโรดส์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นราชินีแห่งแคว้นสืบไป

วันรุ่งขึ้นหลังจากขึ้นครองราชสมบัติราชินีลิตเติลสโนว์แต่งตั้งเจ้าชายอสูรจาโด้เป็นขุนพลประจำกองทัพ แต่เรื่องนี้เก็บเป็นความลับรู้เฉพาะในหมู่ขุนนางชั้นสูงเท่านั้น

ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปเนฟเวอร์แลนด์ ทัพของแคว้นเคลาสเตอร์อันนำโดยราชาซาฟรักกรีฑาเข้าโจมตีแคว้นข้างเคียงโฮลโมน ผู้ถูกบุกรุกเจรจาขอสงบศึกและยอมเป็นเมืองขึ้นของแคว้นเคลาสเตอร์

ลงไปทางใต้บนเกาะใหญ่นาม “ทรัยไอซ์แลนด์” ชนเผ่าเอล์ฟซึ่งมีสองเผ่าคือ เผ่าเอล์ฟและเผ่าเอล์ฟดำ กำลังเตรียมทำสงครามกันสาเหตุจากริกัลลิลลี่ราชินีสาวของเผ่าเอล์ฟดำหายสาบสูญไป พวกเอล์ฟดำปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของเอล์ฟ โพรมิเนนท์ราชาองค์ใหม่ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้นำฉุกเฉินของเอล์ฟดำประกาศสงครามกับเอล์ฟทันที

เนฟเวอร์แลนด์ภายใต้ยุค “สันติ” ตามคำประกาศสันติภาพของราดิวอิและสามผู้กล้า หาได้มีสันติสุขอย่างแท้จริงไม่ ควันสงครามเริ่มก่อตัวจาง ๆ อยู่ทั่วทุกเขตแคว้น รอเพียงแต่ว่ามันจะลุกเป็นไฟขึ้นมาเมื่อไรเท่านั้น

...

ปีถัดมา คือ ปีอสุรศักราชที่ 997 เพียงแค่ในเดือนแรกของปีก็มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น เมื่อมีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วดินแดนเนฟเวอร์แลนด์ว่า “องค์หญิงฮิโระธิดาของจอมราชันย์อสูรผู้ล่วงลับได้จัดตั้งกองทัพขึ้นใหม่ ใช้นามว่า ทัพอสูรสายเลือดใหม่ โดยตัวฮิโระเองครองฐานะเป็นเจ้าครองแคว้นนีโอกลาดสืบต่อจากบิดา” ตามข่าวฮิโระไม่ได้ยกฐานะตนเองเป็นราชินีหรือจอมราชินีอสูรแต่อย่างไรแต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เมื่อเทียบกับความจริงที่ว่า การจัดตั้งทัพอสูรสายเลือดใหม่ได้ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่มวลมนุษย์เหนือคณานับ และนี่คือ จุดเริ่มต้นของมหาสงครามเนฟเวอร์แลนด์อย่างแท้จริง

มหาสงครามครั้งใหญ่ที่สุด กินเวลายาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์เนฟเวอร์แลนด์ได้เริ่มขึ้นแล้ว!

ไฟสงครามลุกโชนแล้ว!


back index next
1