มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

บทนำ 1

สเปกตรัลทาวเวอร์ (2)

ณ ตอนนี้เขาอยู่ที่ชั้นเจ็ดสิบ (เทียบกับอัศวินที่เขาพบเป็นศพแรกในการผจญภัยครั้งนี้แล้ว ก็นับว่าเขาขึ้นมาได้เร็วกว่า) และมีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากตกอยู่ในวงล้อมของมอนเตอร์พันธุ์ปิศาจหิน ซึ่งเป็นมอนสเตอร์หนึ่งในไม่กี่ชนิดที่มีนิสัยอยู่รวมกันเป็นฝูงและทำงานเป็นทีมในการทำร้ายผู้คน เขาก็พบว่า ขณะที่เขากวัดแกว่งดาบศักดิ์สิทธิ์เพื่อพยายามสังหารลดจำนวนพวกมันลงไปเรื่อย ๆ นั้น ก็ปรากฏเงาร่างที่ดูเหมือนกว่าเจ้าของเงาจะสูงเพียงหน้าอกของเขาเท่านั้น โผล่เข้ามาร่วมวงไพบูลย์ด้วย พร้อม ๆ กับที่จำนวนของปิศาจหินลดลงอย่างรวดเร็ว เวฟไม่มีเวลาสังเกตมากกว่านั้น นอกจากจะเร่งมือกำจัดปิศาจหินที่อยู่รอบตัวให้หมดไป จนเมื่อปิศาจหินตัวสุดท้ายถูกเขาฟันเป็นสองเสี่ยงและล้มลงสลายร่างเป็นฝุ่นหินตามธรรมชาติของมันไปแล้ว เขาจึงพบว่าผู้ที่เข้ามาช่วยเขากลางครันกำลังยืนนิ่งมองเขาอยู่อย่างพินิจพิจารณา

ร่างนั้นเป็นร่างของเด็กสาวอายุราวสักสิบเอ็ดสิบสองปี... หากเทียบกับมนุษย์ ใบหูที่ชี้แหลมผิดจากมนุษย์บอกให้รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตในเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่า “อสูร”

เวฟแปลกใจเล็กน้อยที่ผิวกายของเธอผู้นี้เป็นสีเหลืองอ่อนสวยงามจนอยากจะคิดว่าเธอเป็นมนุษย์ ขณะนี้เด็กสาวกำลังมองเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเจิดจรัสเหมือนมีดวงดาวยามราตรีสักร้อยดวงมาแข่งกันเปล่งประกายอยู่ในดวงตาคู่นั้น ข้าง ๆ กายตั้งไว้ด้วยอาวุธยาว... เป็นอาวุธด้ามยาวซึ่งขณะที่เจ้าของจับมันไว้ด้วยมือขวาข้างเดียวนี้ทำให้เห็นได้ว่าด้ามของอาวุธนั้นยาวกว่าส่วนสูงของเจ้าของในตอนนี้ถึงครึ่งช่วงตัว ปลายด้านบนติดไว้ด้วยใบมีดโลหะยาวประมาณหนึ่งศอกครึ่ง มันคือ เคียว อาวุธของพวกมาร (ซาตาน) นั่นเอง เป็นอาวุธที่แม้แต่ในเผ่าอสูรเองก็มีผู้ใช้ไม่มากนัก

เมื่อเปลี่ยนสายตามาที่มือซ้ายของเจ้าหล่อนก็เห็นได้ว่าเป็นมือที่มีลักษณะผิดแผกไป ด้วยนิ้วมือที่ยาวและมีเล็บแหลมยาว ที่หลังมือมีหัวกะโหลกเล็ก ๆ ฝังอยู่คล้ายเป็นตราหรือสัญลักษณ์บอกว่าเจ้าของมือข้างนี้เป็นอมนุษย์แน่ ๆ

“มองอะไร มนุษย์เอย” เด็กสาวชาวอสูรพูดขึ้น ในสายตาเปล่งประกายที่เวฟอยากจะอ่านว่ามันคือ ความถือดีและหยิ่งในตัวเอง

“เปล่า โทษที” เวฟตอบ “ข้าไม่เคยเห็นอสูรมาก่อน ก็เลย...”

“เห็นแล้วเป็นไงล่ะ” เด็กสาวอมนุษย์ถามมาอีก

“ไม่เห็นเหมือนที่เคยได้ยินมาเลย ถ้ามองเผิน ๆ นึกว่าเป็นคนเหมือนข้าเสียอีก”

“ฮึ” กับคำตอบนี้ ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่ทำเสียงในลำคอเท่านั้น ขยับตัวพลางจะเดินออกไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ มองหน้าเวฟอีกครั้งก่อนจะพูดว่า “เจ้าเป็น ‘มนุษย์’ คนแรกนะ ที่เห็นเราแล้วไม่กลัว”

“ฮะ ๆ ๆ” เวฟเสหัวเราะในใจอยากจะชมบุคคลเบื้องหน้าว่า น่ารักมากกว่าน่ากลัวด้วยซ้ำ หากแต่การใช้คำพูดของอีกฝ่ายหนึ่งทำให้เขายั้งตัวเองไว้

อสูรที่ไม่ทำร้ายมนุษย์ตามคำร่ำลือที่ได้ยินมานั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เวฟทึ่งมากอยู่แล้ว นี่เธอยังช่วยเขาอีก และที่สำคัญ สรรพนาม “เรา” กับ “เจ้า” นั้นแสดงให้เห็นว่า เด็กคนนี้- ไม่สิ- อสูรน้อยตนนี้เป็นอสูรระดับสูงทีเดียว อาจจะเป็นเจ้าหญิง... หยุด! เวฟหยุดความคิดของตัวเองไว้ ไม่กล้าคิดไกลไปกว่านั้น

“อ้อ ยังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย อสูรน้อย ที่ช่วยข้าไว้เมื่อกี้” อย่างไรก็ตาม เมื่อเอ่ยปาก เวฟก็ไม่กล้าใช้สรรพนามว่า “เธอ” กับเด็กสาวผู้นี้

“ขอบคุณมาก” ว่าพลางก้มศีรษะให้

“ไม่จำเป็น แค่เรานึกสนุกขึ้นมาเท่านั้นเอง... ที่จริงถึงเราไม่ช่วยเจ้าก็ปราบพวกมันได้อยู่แล้วนี่”

“ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก” เวฟถ่อมตัว มองไปรอบตัวเมื่อดูสถานการณ์

เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดี จึงหันกลับมาชวนคุยอีก “ข้าชื่อเวฟ”

“...” เด็กสาวต่างพันธุ์สบตาเขานิ่งเหมือนกับจะอ่านใจ แต่แล้วก็พูดขึ้นว่า “นามนั้นสำคัญไฉน หากเอ่ยนามออกไปแล้วเราต้องเป็นศัตรูกัน เจ้ายังจะยินดีอีกรึ”

“ฮะ ๆ นั่นสินะ” เวฟเสหัวเราะ แต่ในใจก็เริ่มจะมั่นใจในฐานะของเด็กสาวลึกลับที่อยู่เบื้องหน้า ลักษณะท่าทาง การใช้ภาษา อายุ (ลักษณะภายนอก) อาวุธคู่มือที่ใช้ ล้วนบ่งบอกว่าเด็กหญิงนี้คือ .. แต่ อย่าดีกว่า ในฐานะมนุษย์แน่นอนเหลือเกินว่าหากทราบว่าเธอคือใครแล้ว ย่อมต้องตกอยู่ในฐานะศัตรูกันอย่างแน่นอน ...ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คน- หรืออาจจะมีแค่เขาคนเดียวก็ได้- ที่ไม่ได้คิดแบบนั้น

“เจ้า ‘ปีน’ หอนี้เพื่ออะไรรึ มนุษย์” อสูรร่างน้อยถามต่อ ท่าทางบ่งบอกว่าสนใจในคำตอบของเขาอย่างเต็มที่ แต่แล้วก็ไม่วายจะต่อด้วยประโยคส่อเสียดที่ว่า “ทรัพย์สมบัติ? อำนาจ? พลังเวทย์? หรือ ความอยากรู้อยากเห็น?”

“ท่านต้องการคำตอบจริง ๆ ไหมล่ะ” เวฟยังไม่ตอบ

“...” ดวงตาคมกล้าสบตากับเขาอีกครั้ง “ก็แล้วแต่เจ้าสิ มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่พูดไม่ตรงกับใจได้เก่งที่สุดอยู่แล้วนี่”

“...” เวฟนิ่ง ก่อนที่จะบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาออกไป

เสียงโทนต่ำที่ดังประหลาด ๆ อยู่ในบรรยากาศของชั้นที่เจ็ดสิบดังกลบทำให้ผู้ที่ได้ยินคำพูดของเวฟมีเพียงเจ้าตัวและเด็กสาวชาวอสูรเท่านั้น

“ฮึ” อสูรทำเสียงต่ำ ๆ ในลำคอแบบที่เธอคงจะชอบทำบ่อย ๆ เวลาพบอะไรที่ผิดจากความคาดหมาย “น่าสนใจดีนี่ มนุษย์”

ทั้งที่เขาบอกชื่อเธอไปแล้ว แต่เธอก็ยังสมัครใจเรียกเขาว่า “มนุษย์” อยู่นั่นเอง

“เรามีเวลาในนี้อีกสามเดือนซึ่งเชื่อว่าเราคงจะอยู่ไม่ถึงวันที่เจ้าจะได้บรรลุจุดประสงค์ของเจ้าแน่ แต่ถ้าเจ้าไม่รังเกียจในระหว่างนี้ขอเราร่วมทางกับเจ้าด้วยได้ไหม” เด็กสาวชาวอสูรเอ่ยปากขอดื้อ ๆ

เวฟงงไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ยิ้ม นั่นเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้ว

เวฟต้องการอะไรหรือ???? จากการเสี่ยงภัยขึ้นปีนสเปกตรัลทาวเวอร์แห่งนี้ ไม่มีใครตอบได้นอกจากเจ้าตัวและผู้รับรู้ผู้นี้

...

สามเดือนที่ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกัน ตัวเลขแสดงชั้นของหอคอยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดกับก่อนหน้านี้ ระหว่างทางเมื่อพบมอนสเตอร์ที่ดุร้ายพวกมันหาได้สามารถทำร้ายผู้เดินทางทั้งสองแม้แต่ปลายเส้นผมไม่ หากแต่เหตุการณ์น่าเศร้าคือ เมื่อพบกับนักเสี่ยงโชคหรือนักผจญภัยด้วยกันในหอคอยนี้แล้ว ในยามปกติก็คงจะได้ทักทายถามสารทุกข์สุกดิบและแลกเปลี่ยนข่าวสารกันบ้างตามประสาของ “พวกเดียวกัน” แต่ด้วยเหตุผลเพียงเพราะเด็กสาวผู้นี้เป็น “อสูร” พวกเขาเหล่านั้น ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใด ๆ ทั้งสิ้นตรงเข้าจะทำร้ายเธอทันที แต่ก็แค่ “จะ” เท่านั้น ทั้งนี้ หากพวกนั้นเป็นมนุษย์เหมือนกับเวฟ เวฟก็จะอยู่เฉย ๆ ไม่ลงมือช่วยฝ่ายใดทั้งสิ้น แต่หากพวกนั้นเป็นพันธุ์อื่น เช่น มนุษย์นก, คนเถื่อน (กอบบลิน), มนุษย์ยักษ์ (ไซคลอปส์) และมีจำนวนมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไปด้วย เวฟก็จะช่วยลงมือเพื่อปกป้องสหายร่วมทางของเขาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ทั้งนี้โดยที่เขารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่จำเป็นต้องลงมือช่วยปกป้องเธอแต่ประการใดเลย

วันหนึ่ง หลังจากฆ่านักผจญภัยชาวมนุษย์ไปกลุ่มหนึ่ง ในช่วงอาหารเย็นวันนั้น เด็กสาวก็ถามขึ้นว่า

“มนุษย์เอย เจ้าคิดว่าสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติหรือไม่”

“...” เวฟไม่ตอบ หรือพูดให้ถูกก็คือ ตอบไม่ได้ เหตุการณ์ที่ปรากฏแก่สายตาของเขาในวันนี้ก็เป็นตัวบ่งบอกได้อยู่แล้ว

ทันทีที่เห็นเขา นักผจญภัยกลุ่มนั้นซึ่งประกอบด้วยนักรบสองคน จอมอาคมหนึ่งคนและนักบวชอีกหนึ่งคนก็มีทีท่าดีใจและตรงเข้ามาทักทายตามธรรมเนียมปฏิบัติของนักผจญภัย แต่ฉับพลันที่นักรบคนหนึ่งเหลือบไปเห็นเพื่อนร่วมทางของเขาเข้าก็ร้องลั่นว่า “เฮ้ย อสูร” แล้วก็ชักดาบทันที เพื่อนร่วมกลุ่มอีกสามคนก็เตรียมพร้อมรบพลางส่งสายตาที่แสดงความรังเกียจมายังสหายน้อยของเวฟ และยังเผื่อแผ่สายตานั้นมาที่เวฟด้วย นักบวชยังมีแก่ใจพูดว่า

“นักสู้เอย เจ้าเป็นมนุษย์หรือเปล่า ถ้าเป็นไฉนอยู่ร่วมทางกับพวกอสูรร้ายเล่า รีบกลับใจเสีย แล้วช่วยกันกำจัดภัยพิบัติรายนี้ซะ มิฉะนั้นพวกเราจะถือว่าเจ้าเป็นพวกขายวิญญาณให้อสูร และจะจัดการเจ้าด้วย”

“หึ หึ” เด็กสาวเพื่อนร่วมทางของเขาหัวเราะในลำคอเสียงต่ำ ตวัดสายตามามองปฏิกิริยาของเวฟแวบหนึ่งก่อนที่จะตวัดเคียวยาวนั้นเข้าใส่นักรบสองคนที่พุ่งเข้าหาเธออย่างช่ำชองเชิงยุทธวิธี จากสายตาของเวฟ นักรบทั้งสองนี้มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ทีเดียว (แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นก็คงจะไม่สามารถมาปรากฏตัวอยู่ ณ ชั้นที่ร้อยสี่สิบนี้ได้หรอก) แต่... คำว่าฝีมือฉกาจนั้น มีข้อแม้ว่า ต้องไม่เทียบกับเด็กสาวชาวอสูรผู้นี้นะ หรือแม้แต่จะเทียบกับเวฟก็ตาม

“โอ๊ววว” “วาาาาา” เสียงแผดร้องสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ร่างของนักรบทั้งสองถูกคมเคียวชำแหละเป็นสองซีกทั้งสองคน เวทย์มนต์ของจอมอาคมเปล่งอานุภาพ ณ พริบตานั้นเอง ที่จริงถ้านักรบทั้งสองสามารถประคองตัวไว้ได้จนถึงวินาทีนี้ พวกเขาก็คงจะได้เปรียบในการรบเพราะได้รับการโจมตีสนับสนุนจากจอมอาคม แต่อนิจจา คู่มือของพวกเขาร้ายกาจเกินไป จอมอาคมเองก็คงไม่คิดถึงสถานการณ์เช่นนี้ จึงมิได้เร่งมือในการท่องคาถามากนัก เป็นผลให้เวทย์มนต์ของเขาออกผลช้าไป

แต่อย่างไรก็ตามพลังเวทย์ที่เปล่งอานุภาพออกด้วยฤทธิ์ของไฟ ก็พวยพุ่งเข้าหาร่างของอสูรน้อยซึ่งกระแทกด้ามเคียวลงปักบนพื้นแล้วหันหน้ามารับอัคคีเวทย์ที่พุ่งเข้าใส่เธอ โดยยกมือทั้งสองข้างขึ้นตรงหน้าสูงบริเวณหน้าอกของเธอ เพื่อกางบาเรีย (โล่ห์กำบัง) สำหรับป้องกันพิษไฟ “แวบ” ทั้งบริเวณสว่างไสวขึ้น ด้วยอำนาจของเวทย์นักบวช ซึ่งท่องคาถาแผ่อำนาจเวทย์ที่มีฤทธิ์เป็นแสงสว่าง หรือเป็นเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นจุดอ่อนของเผ่าอสูร แต่... ไม่ใช่อสูรตนนี้

“พลังเวทย์ของพวกเจ้ามีเท่านี้เองหรือ” เด็กสาวเย้ยใส่มนุษย์สองคนตรงหน้า “เราจะแสดงให้ดูเองว่า อัคคีเวทย์ของจริงเป็นอย่างไร ดูไว้!”

“ด้วยอำนาจแห่งอัคคีญานอันสิงสถิตย์ในสายเลือดแห่งข้าจงเผาผลาญศัตรูตรงหน้าให้สูญสลายสิ้น จงไป สารแห่งไฟ ไฟนรกโลกันตร์!”

ขาดคำของเด็กสาว เปลวไฟร้อนแรงขนาดที่เวฟเองซึ่งยืนห่างออกมายังต้องนิ่วหน้าและรวบรวมสมาธิสร้างบาเรียคุ้มกันกายไว้ก็ได้พวยพุ่ง ออกมาเผาผลาญจอมอาคมและนักบวชทั้งสองจนไหม้เป็นเถ้าถ่าน... ไม่สิ ไหม้ไม่เหลือแม้แต่เถ้า ในพริบตาเดียว!

...

เวฟคิดมาถึงตรงนี้ ปากก็พูดออกไปด้วยความรู้พื้นฐานว่า “บางเผ่าพันธุ์ที่มีความใกล้เคียงกันอย่างมนุษย์กับเอลฟ์ เราก็เคยอยู่ร่วมกันได้นะ”

“ฮึ” เด็กสาวทำเสียงในลำคอตามเคย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะ ๆ ว่า “ก็แค่ ‘เคย’ เท่านั้น และด้วยความโลภในทรัพยากรแห่งป่าไม้ก็ทำให้มนุษย์ไปรุกล้ำถิ่นที่อยู่ของพวกเอลฟ์ จนกระทั่งสนธิสัญญาสันติภาพถูกยกเลิกไปตั้งหลายร้อยปีแล้วไม่ใช่รึ”

“...” เวฟจนถ้อยคำ

“ถ้าเช่นนั้น เราถามใหม่ดีกว่า” อสูรน้อยขยับตัวลุกขึ้นยืน “ทำไมในเนฟเวอร์แลนด์ต้องมีหลายเผ่าพันธุ์ด้วย หากพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกนี้และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้ขึ้นจริงนะ... ทำไม พระเจ้าต้องทำอย่างนี้ด้วย? เพื่อให้พวกเรามาฆ่าฟันกันเองงั้นเหรอ? ถ้าจุดประสงค์ของพระเจ้าคืออย่างนั้นจริงละก็ ก็ไม่สมควรจะไปยกย่องแล้ว หรือเจ้าคิดว่ายังไง”

เวฟไม่ตอบอีก เด็กสาวผู้ตั้งคำถามก็ไม่รุกต่อ หากแต่เดินหายไปในความมืดซึ่งเป็นสัญญานบอกว่าต้องการแยกไปพักผ่อน ไว้รุ่งขึ้นค่อยพบกันใหม่ แต่ทิ้งคำพูดไว้ว่า

“หากเจ้าบรรลุวัตถุประสงค์ของเจ้าในหอคอยนี้แล้วล่ะก็ ฝากหาคำตอบของคำถามพวกนี้ด้วยแล้วกัน มนุษย์”

…


back index next
1