หลังจากตกอยู่ในวงล้อมของมอนเตอร์พันธุ์ปิศาจหิน ซึ่งเป็นมอนสเตอร์หนึ่งในไม่กี่ชนิดที่มีนิสัยอยู่รวมกันเป็นฝูงและทำงานเป็นทีมในการทำร้ายผู้คน เขาก็พบว่า ขณะที่เขากวัดแกว่งดาบศักดิ์สิทธิ์เพื่อพยายามสังหารลดจำนวนพวกมันลงไปเรื่อย ๆ นั้น ก็ปรากฏเงาร่างที่ดูเหมือนกว่าเจ้าของเงาจะสูงเพียงหน้าอกของเขาเท่านั้น โผล่เข้ามาร่วมวงไพบูลย์ด้วย พร้อม ๆ กับที่จำนวนของปิศาจหินลดลงอย่างรวดเร็ว เวฟไม่มีเวลาสังเกตมากกว่านั้น นอกจากจะเร่งมือกำจัดปิศาจหินที่อยู่รอบตัวให้หมดไป จนเมื่อปิศาจหินตัวสุดท้ายถูกเขาฟันเป็นสองเสี่ยงและล้มลงสลายร่างเป็นฝุ่นหินตามธรรมชาติของมันไปแล้ว เขาจึงพบว่าผู้ที่เข้ามาช่วยเขากลางครันกำลังยืนนิ่งมองเขาอยู่อย่างพินิจพิจารณา
ร่างนั้นเป็นร่างของเด็กสาวอายุราวสักสิบเอ็ดสิบสองปี... หากเทียบกับมนุษย์ ใบหูที่ชี้แหลมผิดจากมนุษย์บอกให้รู้ว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตในเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่า อสูร
เวฟแปลกใจเล็กน้อยที่ผิวกายของเธอผู้นี้เป็นสีเหลืองอ่อนสวยงามจนอยากจะคิดว่าเธอเป็นมนุษย์ ขณะนี้เด็กสาวกำลังมองเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายเจิดจรัสเหมือนมีดวงดาวยามราตรีสักร้อยดวงมาแข่งกันเปล่งประกายอยู่ในดวงตาคู่นั้น ข้าง ๆ กายตั้งไว้ด้วยอาวุธยาว... เป็นอาวุธด้ามยาวซึ่งขณะที่เจ้าของจับมันไว้ด้วยมือขวาข้างเดียวนี้ทำให้เห็นได้ว่าด้ามของอาวุธนั้นยาวกว่าส่วนสูงของเจ้าของในตอนนี้ถึงครึ่งช่วงตัว ปลายด้านบนติดไว้ด้วยใบมีดโลหะยาวประมาณหนึ่งศอกครึ่ง มันคือ เคียว อาวุธของพวกมาร (ซาตาน) นั่นเอง เป็นอาวุธที่แม้แต่ในเผ่าอสูรเองก็มีผู้ใช้ไม่มากนัก
เมื่อเปลี่ยนสายตามาที่มือซ้ายของเจ้าหล่อนก็เห็นได้ว่าเป็นมือที่มีลักษณะผิดแผกไป ด้วยนิ้วมือที่ยาวและมีเล็บแหลมยาว ที่หลังมือมีหัวกะโหลกเล็ก ๆ ฝังอยู่คล้ายเป็นตราหรือสัญลักษณ์บอกว่าเจ้าของมือข้างนี้เป็นอมนุษย์แน่ ๆ
มองอะไร มนุษย์เอย เด็กสาวชาวอสูรพูดขึ้น ในสายตาเปล่งประกายที่เวฟอยากจะอ่านว่ามันคือ ความถือดีและหยิ่งในตัวเอง
เปล่า โทษที เวฟตอบ ข้าไม่เคยเห็นอสูรมาก่อน ก็เลย...
เห็นแล้วเป็นไงล่ะ เด็กสาวอมนุษย์ถามมาอีก
ไม่เห็นเหมือนที่เคยได้ยินมาเลย ถ้ามองเผิน ๆ นึกว่าเป็นคนเหมือนข้าเสียอีก
ฮึ กับคำตอบนี้ ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่ทำเสียงในลำคอเท่านั้น ขยับตัวพลางจะเดินออกไป แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ มองหน้าเวฟอีกครั้งก่อนจะพูดว่า เจ้าเป็น มนุษย์ คนแรกนะ ที่เห็นเราแล้วไม่กลัว
ฮะ ๆ ๆ เวฟเสหัวเราะในใจอยากจะชมบุคคลเบื้องหน้าว่า น่ารักมากกว่าน่ากลัวด้วยซ้ำ หากแต่การใช้คำพูดของอีกฝ่ายหนึ่งทำให้เขายั้งตัวเองไว้
อสูรที่ไม่ทำร้ายมนุษย์ตามคำร่ำลือที่ได้ยินมานั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เวฟทึ่งมากอยู่แล้ว นี่เธอยังช่วยเขาอีก และที่สำคัญ สรรพนาม เรา กับ เจ้า นั้นแสดงให้เห็นว่า เด็กคนนี้- ไม่สิ- อสูรน้อยตนนี้เป็นอสูรระดับสูงทีเดียว อาจจะเป็นเจ้าหญิง... หยุด! เวฟหยุดความคิดของตัวเองไว้ ไม่กล้าคิดไกลไปกว่านั้น
อ้อ ยังไม่ได้ขอบคุณท่านเลย อสูรน้อย ที่ช่วยข้าไว้เมื่อกี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเอ่ยปาก เวฟก็ไม่กล้าใช้สรรพนามว่า เธอ กับเด็กสาวผู้นี้
ขอบคุณมาก ว่าพลางก้มศีรษะให้
ไม่จำเป็น แค่เรานึกสนุกขึ้นมาเท่านั้นเอง... ที่จริงถึงเราไม่ช่วยเจ้าก็ปราบพวกมันได้อยู่แล้วนี่
ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก เวฟถ่อมตัว มองไปรอบตัวเมื่อดูสถานการณ์
เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดี จึงหันกลับมาชวนคุยอีก ข้าชื่อเวฟ
... เด็กสาวต่างพันธุ์สบตาเขานิ่งเหมือนกับจะอ่านใจ แต่แล้วก็พูดขึ้นว่า นามนั้นสำคัญไฉน หากเอ่ยนามออกไปแล้วเราต้องเป็นศัตรูกัน เจ้ายังจะยินดีอีกรึ
ฮะ ๆ นั่นสินะ เวฟเสหัวเราะ แต่ในใจก็เริ่มจะมั่นใจในฐานะของเด็กสาวลึกลับที่อยู่เบื้องหน้า ลักษณะท่าทาง การใช้ภาษา อายุ (ลักษณะภายนอก) อาวุธคู่มือที่ใช้ ล้วนบ่งบอกว่าเด็กหญิงนี้คือ .. แต่ อย่าดีกว่า ในฐานะมนุษย์แน่นอนเหลือเกินว่าหากทราบว่าเธอคือใครแล้ว ย่อมต้องตกอยู่ในฐานะศัตรูกันอย่างแน่นอน ...ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คน- หรืออาจจะมีแค่เขาคนเดียวก็ได้- ที่ไม่ได้คิดแบบนั้น
เจ้า ปีน หอนี้เพื่ออะไรรึ มนุษย์ อสูรร่างน้อยถามต่อ ท่าทางบ่งบอกว่าสนใจในคำตอบของเขาอย่างเต็มที่ แต่แล้วก็ไม่วายจะต่อด้วยประโยคส่อเสียดที่ว่า ทรัพย์สมบัติ? อำนาจ? พลังเวทย์? หรือ ความอยากรู้อยากเห็น?
ท่านต้องการคำตอบจริง ๆ ไหมล่ะ เวฟยังไม่ตอบ
... ดวงตาคมกล้าสบตากับเขาอีกครั้ง ก็แล้วแต่เจ้าสิ มนุษย์ได้ชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์ที่พูดไม่ตรงกับใจได้เก่งที่สุดอยู่แล้วนี่
... เวฟนิ่ง ก่อนที่จะบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาออกไป
เสียงโทนต่ำที่ดังประหลาด ๆ อยู่ในบรรยากาศของชั้นที่เจ็ดสิบดังกลบทำให้ผู้ที่ได้ยินคำพูดของเวฟมีเพียงเจ้าตัวและเด็กสาวชาวอสูรเท่านั้น
ฮึ อสูรทำเสียงต่ำ ๆ ในลำคอแบบที่เธอคงจะชอบทำบ่อย ๆ เวลาพบอะไรที่ผิดจากความคาดหมาย น่าสนใจดีนี่ มนุษย์
ทั้งที่เขาบอกชื่อเธอไปแล้ว แต่เธอก็ยังสมัครใจเรียกเขาว่า มนุษย์ อยู่นั่นเอง
เรามีเวลาในนี้อีกสามเดือนซึ่งเชื่อว่าเราคงจะอยู่ไม่ถึงวันที่เจ้าจะได้บรรลุจุดประสงค์ของเจ้าแน่ แต่ถ้าเจ้าไม่รังเกียจในระหว่างนี้ขอเราร่วมทางกับเจ้าด้วยได้ไหม เด็กสาวชาวอสูรเอ่ยปากขอดื้อ ๆ
เวฟงงไปชั่วขณะ แต่แล้วก็ยิ้ม นั่นเป็นคำตอบที่เพียงพอแล้ว
เวฟต้องการอะไรหรือ???? จากการเสี่ยงภัยขึ้นปีนสเปกตรัลทาวเวอร์แห่งนี้ ไม่มีใครตอบได้นอกจากเจ้าตัวและผู้รับรู้ผู้นี้
...
สามเดือนที่ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกัน ตัวเลขแสดงชั้นของหอคอยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วผิดกับก่อนหน้านี้ ระหว่างทางเมื่อพบมอนสเตอร์ที่ดุร้ายพวกมันหาได้สามารถทำร้ายผู้เดินทางทั้งสองแม้แต่ปลายเส้นผมไม่ หากแต่เหตุการณ์น่าเศร้าคือ เมื่อพบกับนักเสี่ยงโชคหรือนักผจญภัยด้วยกันในหอคอยนี้แล้ว ในยามปกติก็คงจะได้ทักทายถามสารทุกข์สุกดิบและแลกเปลี่ยนข่าวสารกันบ้างตามประสาของ พวกเดียวกัน แต่ด้วยเหตุผลเพียงเพราะเด็กสาวผู้นี้เป็น อสูร พวกเขาเหล่านั้น ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมใด ๆ ทั้งสิ้นตรงเข้าจะทำร้ายเธอทันที แต่ก็แค่ จะ เท่านั้น ทั้งนี้ หากพวกนั้นเป็นมนุษย์เหมือนกับเวฟ เวฟก็จะอยู่เฉย ๆ ไม่ลงมือช่วยฝ่ายใดทั้งสิ้น แต่หากพวกนั้นเป็นพันธุ์อื่น เช่น มนุษย์นก, คนเถื่อน (กอบบลิน), มนุษย์ยักษ์ (ไซคลอปส์) และมีจำนวนมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไปด้วย เวฟก็จะช่วยลงมือเพื่อปกป้องสหายร่วมทางของเขาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ทั้งนี้โดยที่เขารู้อยู่แล้วว่าเขาไม่จำเป็นต้องลงมือช่วยปกป้องเธอแต่ประการใดเลย
วันหนึ่ง หลังจากฆ่านักผจญภัยชาวมนุษย์ไปกลุ่มหนึ่ง ในช่วงอาหารเย็นวันนั้น เด็กสาวก็ถามขึ้นว่า
มนุษย์เอย เจ้าคิดว่าสิ่งมีชีวิตต่างเผ่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติหรือไม่
... เวฟไม่ตอบ หรือพูดให้ถูกก็คือ ตอบไม่ได้ เหตุการณ์ที่ปรากฏแก่สายตาของเขาในวันนี้ก็เป็นตัวบ่งบอกได้อยู่แล้ว
ทันทีที่เห็นเขา นักผจญภัยกลุ่มนั้นซึ่งประกอบด้วยนักรบสองคน จอมอาคมหนึ่งคนและนักบวชอีกหนึ่งคนก็มีทีท่าดีใจและตรงเข้ามาทักทายตามธรรมเนียมปฏิบัติของนักผจญภัย แต่ฉับพลันที่นักรบคนหนึ่งเหลือบไปเห็นเพื่อนร่วมทางของเขาเข้าก็ร้องลั่นว่า เฮ้ย อสูร แล้วก็ชักดาบทันที
เพื่อนร่วมกลุ่มอีกสามคนก็เตรียมพร้อมรบพลางส่งสายตาที่แสดงความรังเกียจมายังสหายน้อยของเวฟ และยังเผื่อแผ่สายตานั้นมาที่เวฟด้วย นักบวชยังมีแก่ใจพูดว่า
นักสู้เอย เจ้าเป็นมนุษย์หรือเปล่า ถ้าเป็นไฉนอยู่ร่วมทางกับพวกอสูรร้ายเล่า รีบกลับใจเสีย แล้วช่วยกันกำจัดภัยพิบัติรายนี้ซะ มิฉะนั้นพวกเราจะถือว่าเจ้าเป็นพวกขายวิญญาณให้อสูร และจะจัดการเจ้าด้วย
หึ หึ เด็กสาวเพื่อนร่วมทางของเขาหัวเราะในลำคอเสียงต่ำ ตวัดสายตามามองปฏิกิริยาของเวฟแวบหนึ่งก่อนที่จะตวัดเคียวยาวนั้นเข้าใส่นักรบสองคนที่พุ่งเข้าหาเธออย่างช่ำชองเชิงยุทธวิธี จากสายตาของเวฟ นักรบทั้งสองนี้มีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ทีเดียว (แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นก็คงจะไม่สามารถมาปรากฏตัวอยู่ ณ ชั้นที่ร้อยสี่สิบนี้ได้หรอก) แต่... คำว่าฝีมือฉกาจนั้น มีข้อแม้ว่า ต้องไม่เทียบกับเด็กสาวชาวอสูรผู้นี้นะ หรือแม้แต่จะเทียบกับเวฟก็ตาม
โอ๊ววว วาาาาา เสียงแผดร้องสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ร่างของนักรบทั้งสองถูกคมเคียวชำแหละเป็นสองซีกทั้งสองคน เวทย์มนต์ของจอมอาคมเปล่งอานุภาพ ณ พริบตานั้นเอง ที่จริงถ้านักรบทั้งสองสามารถประคองตัวไว้ได้จนถึงวินาทีนี้ พวกเขาก็คงจะได้เปรียบในการรบเพราะได้รับการโจมตีสนับสนุนจากจอมอาคม แต่อนิจจา คู่มือของพวกเขาร้ายกาจเกินไป จอมอาคมเองก็คงไม่คิดถึงสถานการณ์เช่นนี้ จึงมิได้เร่งมือในการท่องคาถามากนัก เป็นผลให้เวทย์มนต์ของเขาออกผลช้าไป
แต่อย่างไรก็ตามพลังเวทย์ที่เปล่งอานุภาพออกด้วยฤทธิ์ของไฟ ก็พวยพุ่งเข้าหาร่างของอสูรน้อยซึ่งกระแทกด้ามเคียวลงปักบนพื้นแล้วหันหน้ามารับอัคคีเวทย์ที่พุ่งเข้าใส่เธอ โดยยกมือทั้งสองข้างขึ้นตรงหน้าสูงบริเวณหน้าอกของเธอ เพื่อกางบาเรีย (โล่ห์กำบัง) สำหรับป้องกันพิษไฟ
แวบ ทั้งบริเวณสว่างไสวขึ้น ด้วยอำนาจของเวทย์นักบวช ซึ่งท่องคาถาแผ่อำนาจเวทย์ที่มีฤทธิ์เป็นแสงสว่าง หรือเป็นเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นจุดอ่อนของเผ่าอสูร แต่... ไม่ใช่อสูรตนนี้
พลังเวทย์ของพวกเจ้ามีเท่านี้เองหรือ เด็กสาวเย้ยใส่มนุษย์สองคนตรงหน้า เราจะแสดงให้ดูเองว่า อัคคีเวทย์ของจริงเป็นอย่างไร ดูไว้!
ด้วยอำนาจแห่งอัคคีญานอันสิงสถิตย์ในสายเลือดแห่งข้าจงเผาผลาญศัตรูตรงหน้าให้สูญสลายสิ้น จงไป สารแห่งไฟ ไฟนรกโลกันตร์!
ขาดคำของเด็กสาว เปลวไฟร้อนแรงขนาดที่เวฟเองซึ่งยืนห่างออกมายังต้องนิ่วหน้าและรวบรวมสมาธิสร้างบาเรียคุ้มกันกายไว้ก็ได้พวยพุ่ง
ออกมาเผาผลาญจอมอาคมและนักบวชทั้งสองจนไหม้เป็นเถ้าถ่าน...
ไม่สิ ไหม้ไม่เหลือแม้แต่เถ้า ในพริบตาเดียว!
...
เวฟคิดมาถึงตรงนี้ ปากก็พูดออกไปด้วยความรู้พื้นฐานว่า บางเผ่าพันธุ์ที่มีความใกล้เคียงกันอย่างมนุษย์กับเอลฟ์ เราก็เคยอยู่ร่วมกันได้นะ
ฮึ เด็กสาวทำเสียงในลำคอตามเคย ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะ ๆ ว่า ก็แค่ เคย เท่านั้น และด้วยความโลภในทรัพยากรแห่งป่าไม้ก็ทำให้มนุษย์ไปรุกล้ำถิ่นที่อยู่ของพวกเอลฟ์ จนกระทั่งสนธิสัญญาสันติภาพถูกยกเลิกไปตั้งหลายร้อยปีแล้วไม่ใช่รึ
... เวฟจนถ้อยคำ
ถ้าเช่นนั้น เราถามใหม่ดีกว่า อสูรน้อยขยับตัวลุกขึ้นยืน ทำไมในเนฟเวอร์แลนด์ต้องมีหลายเผ่าพันธุ์ด้วย หากพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกนี้และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนี้ขึ้นจริงนะ... ทำไม พระเจ้าต้องทำอย่างนี้ด้วย? เพื่อให้พวกเรามาฆ่าฟันกันเองงั้นเหรอ? ถ้าจุดประสงค์ของพระเจ้าคืออย่างนั้นจริงละก็ ก็ไม่สมควรจะไปยกย่องแล้ว หรือเจ้าคิดว่ายังไง
เวฟไม่ตอบอีก เด็กสาวผู้ตั้งคำถามก็ไม่รุกต่อ หากแต่เดินหายไปในความมืดซึ่งเป็นสัญญานบอกว่าต้องการแยกไปพักผ่อน ไว้รุ่งขึ้นค่อยพบกันใหม่ แต่ทิ้งคำพูดไว้ว่า
หากเจ้าบรรลุวัตถุประสงค์ของเจ้าในหอคอยนี้แล้วล่ะก็ ฝากหาคำตอบของคำถามพวกนี้ด้วยแล้วกัน มนุษย์