มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

บทนำ 2

หัตถ์อสูร (1)

ตั้งมั่นอยู่บนที่ราบสูงกว้างใหญ่สุดขอบพายัพของมหาทวีปเนฟเวอร์แลนด์ คือ ดินแดนแห่งเผ่าอสูร- นีโอกลาด ประวัติศาสตร์แห่งดินแดนนี้ เริ่มจากปีอสุรศักราชที่ 1 อันนับเริ่มต้นเมื่อ เทพ- หรือหากจะเรียกให้ถูกต้องคือ อดีตเทพ- จาเนส ซึ่งแต่เดิมเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยและภูมิปัญญาในมนุษยภพ ได้เสด็จลงจากสวรรค์ของเนฟเวอร์แลนด์ พร้อมกับไพร่พลของตนลงปักหลักอยู่บนดินแดนนีโอกลาดแห่งนี้ แล้วสถาปนาตนเป็น “จอมราชันย์อสูร” และประกาศว่า เนฟเวอร์แลนด์ตกอยู่ในการปกครองของเผ่าอสูร กองทัพอสูรอันเกรียงไกรกรีฑาเข้ายึดครองพื้นที่กว่าค่อนของเนฟเวอร์แลนด์อย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับการสถาปนาของวัฒนธรรมและอารยธรรมอสูรลงบนดินแดนแห่งนี้ควบคู่ไปกับอารยธรรมมนุษย์ ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในทวีป

การอุบัติขึ้นของเผ่าอสูรบนภพมนุษย์ได้รับการตอบสนองจากทางสรวงสวรรค์ทันที มหาเทพโคเรีย ซึ่งเป็นพระเจ้าแห่งเนฟเวอร์แลนด์ ได้ทรงมีบัญชาผ่านพระประมุขของนิกายศักดิ์สิทธิ์โคเรีย ดังความว่า “อสูรคือกบฎแห่งสรวงสวรรค์ อสูรคือสัญลักษณ์แห่งความพินาศ และหายนะของมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของเนฟเวอร์แลนด์ สูเจ้าทั้งหลายจงร่วมมือร่วมใจกันกำจัดเผ่าอสูรให้สิ้นไปจากแดนมนุษย์เถิด” แน่ นอน สาวกของนิกายที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเนฟเวอร์แลนด์ตอบสนองคำบัญชาซึ่งอยู่ในรูปของคำสอนของพระประมุขแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์ ในทันที ผู้นับถือนิกายนี้จะถูกสอนให้เกลียดชังอสูร มนุษย์กับอสูรอยู่ร่วมกันไม่ได้ และหากไม่กำจัดอสูรให้หมดสิ้นจากแดนเนฟเวอร์ แลนด์ พวกมนุษย์จะประสบกับหายนะ ความคิดนี้ฝังรากลึกในจิตใจมนุษย์ แม้กระทั่งคนส่วนน้อยที่มิได้เป็นสาวกของนิกายศักดิ์สิทธิ์ก็ ตามก็ยังมองเผ่าอสูรในทางลบ สงครามระหว่างเผ่ามนุษย์กับเผ่าอสูรจึงอุบัติขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในช่วงปีแรก ๆ ชัยชนะเป็นของทัพอสูร ได้มีมนุษย์ผู้กล้าหาญเข้าท้าทายต่อบารมีแห่งองค์จอมราชันย์อสูรหลายต่อหลายราย แต่ก็ยังไม่มี ผู้ใดสามารถล้มล้างจอมอสูรผู้นี้ได้ อย่างไรก็ตามในประวัติศาสตร์เนฟเวอร์แลนด์ก็ได้จารึกมหาสงครามมนุษย์อสูรไว้สองครั้ง ครั้ง แรกจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายมนุษย์ ทำให้ยึดครองอาณาเขตคืนมาจากฝ่ายอสูรได้จำนวนมาก ส่วนในครั้งที่สอง อุบัติขึ้นล่าสุดในปี อสุรศักราชที่ 985 เมื่อทัพมนุษย์อันนำด้วยห้าผู้กล้า ได้แก่ อัศวินราดิวอิ ราชาแห่งแคว้นอิปซิลอยเออร์, รอยด์ แม่มดสาวชายาของราดิว อิ และสามอัศวิน โกรมิล, มิลเลียนและเกรย์ นำทัพเข้าปลดแอกยึดดินแดนโททัสบูร์กคืนมาได้ และการศึกในขั้นสุดท้ายทัพของทั้งสอง ฝ่ายปักหลักประจัญบานกันที่ลานกว้างหน้าปราสาทนีโอกลาด หรือปราสาทอสูรอันเป็นฐานที่มั่นของทัพอสูร ทัพอสูรอันนำด้วยจอม ราชันย์อสูรจาเนส และห้าขุนพลคู่ใจ คือ ยมฑูตแห่งความตาย พลานา ซึ่งเป็นธิดาองค์โตของจาเนสเองและเป็นผู้ใช้อาวุธคู่กายคือ เคียวซาตาน เกทออฟเฮฟเวน อันสามารถเกี่ยวดึงดวงวิญญานของสิ่งมีชีวิตออกจากร่างและส่งตรงไปยังยมโลกได้, รุโดร่า นายทวารแห่ง ยมโลก, ไบอาดที่ 13 ราชันย์แห่งเผ่าผีดูดเลือด (แวมไพร์), ซารัก เทพอัปลักษณ์และคอลเบเรียส มังกรจำแลง ได้ตั้งรับการโจมตีของฝ่ายมนุษย์อย่างเหนียวแน่น นอกเหนือจากแคว้นนีโอกลาดอันเป็นยุทธภูมิสุดท้ายในครั้งนี้แล้ว ดินแดนอื่น ๆ ในเนฟเวอร์แลนด์ก็เป็นสมรภูมิสงครามกันถ้วนหน้า เมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างทัพของฝ่ายอสูร อันได้แก่ ทัพของอัศวินดำไกเซอร์ แห่งแคว้นไกเซโรน ซึ่งเป็นดินแดนของมนุษย์ “นอกรีต” ที่ขายวิญญานให้กับอสูร, ทัพของเผ่ากอบบลิน (มนุษย์ป่า) ซึ่งเป็นฝ่ายอสูรมาแต่ไหนแต่ไร ก็ได้ปะทะกับทัพอื่น ๆ ของมนุษย์ที่ได้ยกมาสกัดไว้เพื่อกันไม่ให้ฝ่ายอสูรรวมพลกันติด

การสัประยุทธที่แคว้นนีโอกลาดเป็นไปอย่างดุเดือด สถานการณ์ดูเหมือนว่าทัพมนุษย์กำลังเป็นฝ่ายมีชัย เพราะได้บีบล้อมทัพอีกฝ่ายหนึ่งจนถึงฐานที่มั่นสุดท้ายแล้ว และนอกจากนี้ เมื่อการศึกผ่านไประยะหนึ่ง ปรากฏว่า ซารักและคอลเบเรียส สองในห้าขุนพลอสูรถูกปลิดชีพในสนามรบด้วยฝีมือของห้าผู้กล้า แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฝ่ายมนุษย์นั่นเองกำลังเสียเปรียบเข้าไปทุกขณะ การที่สามารถมาล้อมปราสาทของอีกฝ่ายได้ ไม่ได้หมายความว่าได้เปรียบจนถึงขั้นเด็ดขาด เพราะการรบที่เกิดขึ้น เป็นการรบบนลานกว้างนอกปราสาทนีโอกลาดทั้งสิ้น ฝ่ายมนุษย์ยังไม่มีโอกาสได้โจมตีหรือ “เหยียบ” ก้อนอิฐของกำแพงปราสาทแม้แต่ครั้งเดียว ที่สำคัญ ตั้งแต่ตัวผู้นำทัพเอง คือ ห้าผู้กล้า จนถึงบรรดาไพร่พลของฝ่ายมนุษย์นั้น ไม่ว่าจะได้ชื่อว่าเก่งกล้าสามารถเพียงใดก็มีข้อจำกัดด้วยว่าเป็น “มนุษย์” ความทนทรหดทางกายภาพ, พละกำลัง รวมทั้งพลังเวทย์ย่อมมีขีดจำกัดต่างกับฝ่ายผู้นำของทัพอสูรซึ่งมีพละกำลังและตบะอาคมที่เหนือกว่ามาก และปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ เหตุผลที่จาเนสได้เลือกดินแดนนี้เป็นที่มั่นตั้งแต่ครั้งแรกที่ตนลงจากสวรรค์มา บัดนี้เหตุผลดังกล่าว ได้ปรากฏขึ้นเป็นความจริงที่แสลงใจฝ่ายมนุษย์มากที่สุดในยามสงครามนี้ คือ นีโอกลาดเป็นดินแดนที่มีสนธยายาวนานและเต็มไปด้วยบรรยากาศลี้ลับแห่งเวทย์ดำ ทำให้ฝ่ายอสูรสามารถเนรมิตชีวิตเทียมอันได้แก่ สเกลตัน (ผีโครงกระดูก) ได้อย่างไม่มีจำกัดในดินแดนแห่งนี้ ดังนั้น ไพร่พลของฝ่ายอสูร ซึ่งพลทหารคือพวกสเกลตันนี้ จึงไม่มีวันหมดสิ้น ฝ่ายมนุษย์เองทราบความจริงนี้ เมื่อสายไปเสียแล้ว พวกเขาหลงเข้ามาเหยียบนีโอกลาดเข้าเต็มตัว จะถอนตัวก็รังแต่จะถูกตามตีกลับ แต่จะบุกต่อไปนั้นเล่า อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ยังไม่มีโอกาสได้เหยียบก้อนอิฐของกำแพงปราสาทนีโอกลาดเลยแม้แต่ครั้งเดียว

ท่ามกลางสถานการณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของฝ่ายมนุษย์ ทางฝ่ายอสูรก็ได้ส่งทูตมาเจรจาขอสงบศึกอย่างคาดไม่ถึง และเมื่อราดิวอิและอีกสี่ผู้กล้า ตกลงให้ทูตผู้นั้นเข้าพบ พวกเขาก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ เมื่อทูตผู้นั้นเป็น… มนุษย์ และเป็นสตรีสาวสวยด้วย

“ขอแสดงความคารวะแก่ห้าผู้กล้า ผู้นำทัพแห่งมนุษย์ทุกท่าน” สตรีสาวผู้นั้นเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสดุจระฆังแก้ว “ข้าคือ มาเรีย เป็นชายาขององค์ราชันย์อสูรจาเนส และในโอกาสนี้ ข้าเป็นทูตสันติที่ส่งมาจากพวกเราชาวนีโอกลาด ขอนำความปรารถนาดี ในการสร้างสันติภาพมาเสนอแก่ท่าน”

“… โอ ขอแสดงความคารวะต่อแม่นางมาเรีย” ราดิวอิซึ่งได้สติตื่นจากภวังค์ก่อนใคร รีบลุกขึ้นตอบรับการทักทายของมาเรียตามธรรมเนียม อีกสี่ผู้กล้าซึ่งอยู่ในกระโจมบัญชาการของแม่ทัพราดิวอิด้วยจึงรู้สึกตัวรีบลุกขึ้นแสดงความคารวะบ้าง รอยด์จอมขมังเวทย์สาวพึมพัมชื่อของมาเรียอยู่ในใจ และจับจ้องอาคันตุกะผู้สวยสง่าผู้นี้ไม่วางตา พลางขมวดคิ้วหมกมุ่นพยายามคิดอะไรบางอย่าง หูก็ฟังการเจรจาระหว่างทูตจากฝ่ายอสูรและราดิวอิซึ่งทางฝ่ายตนมอบอำนาจให้เป็นผู้ตัดสินใจเด็ดขาด

“ทุกท่านคงทราบดีแล้วว่า สงครามในครั้งนี้ ประวัติศาสตร์จักได้จารึกมันไว้ในฐานะของมหาสงครามอีกครั้งหนึ่ง ได้นำมาซึ่งความเดือดร้อนของชาวเนฟเวอร์แลนด์เพียงใด กล่าวว่าไม่มีดินแดนใดในทวีปนี้ ที่ไฟสงครามลุกลามไปไม่ถึงก็คงจะไม่ผิดนัก…” มาเรียกล่าวเสียงสะท้อน กวาดตามองบุคคลฝ่ายตรงข้ามทั้งห้า สะดุดนิดหนึ่งเมื่อพบว่ารอยด์จับตามองตนอยู่ไม่วางตา แต่แล้วก็ไม่ติดใจอะไร

“ท่านจาเนสมีดำริว่า หากเรายังขืนสู้รบกันต่อไปอีกความเสียหายอันจักประมาณมิได้ และเป็นความหายนะอันสุดจะเยียวยาได้จักบังเกิดแก่ทวีปเนฟเวอร์แลนด์ แผ่นดินแม่ของพวกเราทุกคน ท่านจึงเสนอว่า ให้พวกเราสงบศึกกันเพียงเท่านี้ … จะได้หรือไม่”

“ฮึ หากสู้ต่อไปเกรงว่าพวกเราจะตีนีโอกลาดได้นะสิ!” ไม่ทันทีราดิวอิจะกล่าวอย่างไร โกรมิลก็แทรกขึ้นมา

มาเรียไม่สะทกสะท้าน หันไปสบตากับโกรมิลตรง ๆ ด้วยสายตาอันแน่วแน่ ถามกลับว่า

“ท่านย่อมทราบดีแก่ใจไม่ใช่หรือคะ? ว่าหากสู้ต่อไป ใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายปราชัยในที่สุด”

โกรมิลขยับตัวจะพูดอะไรอีก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจไม่พูดอะไร เขาเอง-รวมทั้งทุกคนที่อยู่ในที่นี้- ย่อมตระหนักดีว่า ภาพการยกทัพมาปิดล้อมปราสาทนีโอกลาดนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ทัพมนุษย์มีกำลังร่อยหรอและมีขวัญกำลังใจเสื่อมถอยลงทุกวัน เรียกได้ว่าอยู่ในระหว่างรอความปราชัยแท้ ๆ ทีเดียว

“หากจอมราชันย์อสูรคิดว่ากำลังเป็นฝ่ายชนะ แล้วทำไมส่งท่านมาเจรจาสงบศึกเล่า?” ราดิวอิถามขึ้น แน่นอนเขาไม่ยอมเรียกจาเนสว่าท่านอย่างเด็ดขาด ในน้ำเสียงของเขายังแฝงแววเยาะอยู่ด้วย หากแต่กำลังเยาะเย้ยใครอยู่นั้น เขาเองก็ไม่มั่นใจ

“ท่านจาเนสมีน้ำใจกว้างขวางนะสิ ท่านไม่ประสงค์ให้แผ่นดินเนฟเวอร์แลนด์ต้องกลายเป็นแผ่นดินที่ตายแล้ว… ท่านเข้าใจไหม?” มาเรียตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง

ไม่เลวทีเดียว สำหรับการเป็นทูตจากจาเนส ฝ่ายมนุษย์ทุกคนในที่นั้นลงความเห็นตรงกัน มาเรียพูดไม่มากนัก แต่พูดเข้าเป้าและไม่พูดเกินความจำเป็น เธอละเนื้อความหลายอย่างไว้ให้ผู้ฟังเข้าใจเองห้าผู้กล้าสบตากันเอง วูบหนึ่งในใจ คิดว่าจะทำอันตรายต่อสตรีสาวตรงหน้าให้สมกับความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อเผ่าอสูรดีไหม หรือจะใช้เธอเป็นเครื่องมือบีบบังคับจาเนสดีไหม แต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้นที่มีความคิดใฝ่ต่ำอย่างนั้น อันเนื่องมาจากความเครียดจากการกรำศึกต่อเนื่องกันมาหลายวัน พวกเขาล้วนเป็นอัศวิน เป็นนักสู้ฝ่ายธรรมะและโดยพื้นฐานของจิตใจแล้ว ไม่สามารถกระทำการที่เป็นการขัดต่อธรรมเนียมปฏิบัติหรือ “จรรยาบรรณในการทำสงคราม” ได้

“เงื่อนไขล่ะ” ราดิวอิถาม “พวกข้าไม่มีวันยอมสวามิภักดิ์ต่อพวกอสูรหรอกนะ”

มาเรียยิ้ม ทำไมเธอจะไม่เข้าใจความหมายในคำถามของราดิวอิ เขาว่ากระทบเธอนั่นเอง แต่คำตอบที่ออกจากปากของเธอทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องตกตะลึงไปอีก

“ไม่มีค่ะ ขอให้พวกท่านถอนทัพกลับไปให้หมด เท่านั้นเอง และดินแดนโททัสบูร์กที่พวกท่านยึดไปได้ ท่านจาเนสก็ไม่ติดใจทวงคืนด้วย ขอยกให้พวกมนุษย์เป็นของขวัญสำหรับสันติภาพครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น ดีไหมคะ?”

“บ้า! เป็นไปไม่ได้” โกรมิลคนเดิมสบถออกมา ขณะที่คนอื่นๆ ก็พึมพำว่า “ไม่น่าเชื่อ”

“ท่านจะให้พวกเราเชื่อเช่นนั้นได้รึ มาเรีย” ราดิวอิถาม “ต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังแน่ ๆ”

“ใช่ มีหลักประกันอะไรว่า พวกเราจะไม่ถูกตีตลบหลังในทันทีที่หันหลังกลับออกจากนีโอกลาดแห่งนี้” มิลเลียนถามขึ้นบ้าง

“ท่านถามตัวเองสิคะ ว่าสงครามครั้งนี้ใครเป็นผู้เริ่ม” มาเรียตอบกลับอย่างใจเย็น สีหน้ายังยิ้มแย้ม “และในระยะหลังนี้ เผ่าอสูรที่พวกท่านว่าเป็นพวกดุร้ายกระหายเลือดนั้น ได้แสดงออกอย่างที่พวกท่านมีความเชื่อกันหรือเปล่า”

พวกราดิวอิอึ้งไปอีก ใช่สิ สงครามครั้งนี้ฝ่ายที่เริ่มก่อนคือพวกมนุษย์ในขณะที่ฝ่ายอสูรเป็นเพียงผู้ตั้งรับเท่านั้น จริงตามคำบอกของมาเรียนั่นแหละ หากจะว่าไป สิ่งที่พวกมนุษย์กระทำอยู่ในขณะนี้ แสดงให้เห็นถึงความกระหายสงครามยิ่งกว่าทางอสูรเสียอีก แต่แน่นอนความคิดเช่นนี้ ไม่หลุดออกจากริมฝีปากของคนใดเลยในห้าผู้กล้าพวกเขาต่างเชื่อมั่นว่า พวกเขาทำตามพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นสิ่งสูงสุด เป็นความถูกต้องทั้งมวลในโลกของเนฟเวอร์แลนด์แห่งนี้

“เอาเถิด” มาเรียลุกขึ้นยืน “พวกท่านอาจจะลำบากใจในการตัดสินใจอย่างน้อย สิ่งที่เรียกว่า “ความสำนึกในหน้าที่แห่งสาวกนิกายศักดิ์สิทธิ์ที่ดี” ของพวกท่านก็เป็นสิ่งที่ติดค้างในใจของพวกท่านอยู่…”

ถ้อยคำที่แฝงไปด้วยความดุเดือดเผ็ดร้อน ในการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเชื่อ หรืออุดมคติของฝ่ายมนุษย์ ทำให้พวกราดิวอิเกิดอาการ “เส้นกระตุก” กันถ้วนหน้า แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ระงับอาการโกรธไว้ได้ และไม่แสดงออกมาให้เสียมารยาท

เสียงมาเรียกล่าวต่อ

“พวกท่านไม่ต้องตัดสินใจตอนนี้ก็ได้ และไม่ต้องส่งทูตเข้าไปนีโอกลาดด้วย ขอให้พวกท่านแสดงออกซึ่งการตัดสินใจด้วยการกระทำก็แล้วกัน ข้าขอรับรองแทนท่านจาเนสว่า หากพวกท่านถอนทัพกลับไป จะไม่มีการติดตามโจมตีจากทัพฝ่ายเราอย่างแน่นอน”

มาเรียทิ้งคำพูดไว้แค่นั้น แล้วก็ขอตัวกลับออกไป รอยด์รีบระล่ำระลักเรียกเธอไว้

“เดี๋ยวก่อน มาเรีย”

“?” มาเรียมองมาที่รอยด์เป็นเชิงถาม พร้อม ๆ กับที่ราดิวอิก็หันมามองภรรยาของตนเช่นกัน

“ท่านเป็นอะไรกับบ๊ากรู้ท” เป็นคำถามที่ไม่มีใครคาดถึงดังจากปากของแม่มดสาว

“สมกับที่เป็นจอมขมังเวทย์จริง ๆ ท่านรอยด์” มาเรียยิ้ม เข้าใจได้ทันทีว่า เหตุใดรอยด์จึงรู้ฐานะแท้จริงของตน “ข้าเป็นหลานปู่ของท่าน บ๊ากรู้ทเองแหละ”

“ทำไมหลานของบ๊ากรู้ทจึงไปเข้าพวกกับอสูร?” น้ำเสียงของรอยด์เริ่มแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “หากท่านบ๊ากรู้ททราบเข้า ต้องเสียใจแน่ ท่านถูกจาเนสล่อลวง หรือใช้มนต์สะกดหรือเปล่า”

บ๊ากรู้ทที่ทั้งสองกล่าวถึง เป็นมนุษย์เหนือมนุษย์ที่ ณ ปัจจุบันมีเพียงสี่คนเท่านั้น คือ เป็นผู้เชี่ยวชาญในคาถาเกี่ยวกับดิน น้ำ ลม และไฟ จนได้สมญานามว่า สี่อัจฉริยภาพแห่งธาตุธรรมชาติ โดยตัวบ๊ากรู้ทเองเป็นอัจฉริยภาพแห่งเพลิง และมีชื่อเสียงมาก ในด้านที่เป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของนิกายศักดิ์สิทธิ์โคเรีย ซึ่งแน่นอน บ๊ากรู้ทเองเกลียดชังเผ่าอสูรเข้ากระดูกดำทีเดียว

“ท่านจาเนสไม่เคยใช้วิธีต่ำ ๆ แบบนั้น” มาเรียตอบเสียงเรียบ ถลึงตามองรอยด์อย่างตำหนิ “ข้าบังเอิญเป็นคนหนึ่งในน้อยคนนักที่เข้าใจความคิดและเจตนารมณ์ของท่านจาเนสอย่างแท้จริง ข้าจึงได้เลือกที่จะอยู่เคียงข้างท่านจาเนสด้วยความเต็มใจ”

“นั่นสิ ทำไมท่านจึงไปอยู่พวกอสูรล่ะ” ราดิวอิถามคำถามที่ทุกคนอยากรู้

“หึ” มาเรียแค่นหัวเราะ “พวกท่านมีจิตใจที่เปิดกว้างพอที่จะรับฟังความจริงแน่หรือ”

เธอกวาดสายตามองห้าผู้กล้า ก่อนที่หันหลังกลับไปโดยทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ว่า

“ป่วยการที่จะพูดให้คนที่ปิดกั้นใจ ไม่ยอมรับรู้เรื่องอื่นที่นอกเหนือจากความเชื่องมงายของตนเอง”

มาเรียจากไปแล้ว จากไปอย่างสง่างามเหมือนกับตอนขามา ห้าผู้กล้ามองหน้ากัน ไม่มีใครยอมเอ่ยคำออกมา เพราะกลัวว่า จะต้องพูดสิ่งที่ตัวเองไม่อยากพูด ไม่อยากยอมรับ ทั้งที่คำตอบในใจของทุกคนตรงกันอยู่แล้ว

“ตกลง มาเรียคนนี้เป็นใครกันแน่” หลังจากปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำกระโจมบัญชาการอยู่พักใหญ่ ราดิวอิก็ถามภรรยาของตน

“ฮึ” แม่มดสาวยักไหล่ ก่อนจะตอบ “ก็อย่างที่คุยกับเขาเมื่อกี้นะแหละ เขาเป็นหลานปู่ของบ๊ากรู้ท อัจฉริยภาพแห่งเพลิง ผู้ที่ได้รับการยกย่องในระดับเดียวกับแม่ของฉัน โกดาเมอร์อัจฉริยภาพแห่งน้ำไง”

“แต่มาเรียแนะนำตัวว่าเป็นชายาของจอมราชันย์อสูรนี่นา” เกรย์เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก

“ใช่ พวกเราก็ได้ยินกันเช่นนั้น” รอยด์ตอบ “ฉันถึงได้งงไงล่ะ ว่าหลานของบ๊ากรู้ทมาอยู่กับพวกอสูรได้ไง แม่เล่าว่า บ๊ากรู้ทตามหาหลานโทนคนนี้แทบพลิกแผ่นดินเลย”

“ถ้างั้น… ที่สายสืบของเราเคยรายงานไว้ว่า จอมราชันย์อสูรให้กำเนิดธิดาองค์ที่สองเมื่อห้าปีก่อนนั่นก็…” ราดิวอิกลับไปดึงอีกเรื่องหนึ่งเข้ามาผูกประเด็น

“คงไม่แคล้ว เป็นลูกที่เกิดกับมาเรียคนนี้แหละ ระยะเวลาที่ผู้เฒ่าบ๊ากรู้ทตีโพยตีพายว่าหลานสาวหายไปก็สอดคล้องกันพอดี” รอยด์สรุปอย่างมั่นใจ

“น่าสน” เกรย์พูด “เด็กที่เกิดจากพ่ออสูรและแม่มนุษย์งั้นหรือ ชักอยากเจอซะแล้ว”

“อยากเจอแน่หรือ เกรย์” ราดิวอิถามเสียงต่ำ ไม่ใช่ตำหนิสหายร่วมอุดมการณ์ แต่เป็นเพราะเขาตัดสินใจในเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง “ทุกคนน่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วนะ ว่าเราจะตอบข้อเสนอของจาเนสอย่างไร?”

“เฮ้อ” มิลเลียนกับโกรมิลถอนหายใจพร้อมกัน เกรย์ไม่ถอนหายใจแต่พูดประโยคที่แทงใจดำของทุกคนว่า “อุตส่าห์มาถึงที่นี่แล้ว กลับทำอะไรพวกมันไม่ได้”

“เอาน่า อย่างน้อยก็ฆ่าสองในห้าขุนพลแห่งทัพอสูรไปได้แล้วไม่ใช่เหรอ” ราดิวอิปลอบ

“เป็นอันว่าทุกคนเห็นพร้องต้องกันสินะ” เกรย์ถามพลางมองหน้าทุกคน

มหาสงครามมนุษย์-อสูร หรือที่นักประวัติศาสตร์ขนานนามให้ภายหลังว่า ศึกธรรม-อสูร ก็ปิดฉากลงในลักษณะนี้ ขณะนั้นเป็นเดือนที่สี่ แห่งปีอสุรศักราชที่ 985

ทัพห้าผู้กล้าถอนทัพออกจากนีโอกลาดกลับไปยังแคว้นอิปซิลอยเออร์ของราดิวอิ โดยโกรมิล, เกรย์ และมิลเลียนได้แยกย้ายกันไปในระหว่างทาง สงครามย่อย ๆ ระหว่างทัพของฝ่ายฝักใฝ่อสูรกับฝ่ายมนุษย์ที่เกิดกระจัดกระจายกันตามภูมิภาคต่าง ๆ ของเนฟเวอร์แลนด์ก็พลอยสงบลงด้วย สันติภาพมาเยือนเนฟเวอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่งพร้อมกับประเทศเกิดใหม่อีกหนึ่งประเทศคือ แคว้นโททัสบูร์ก ได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นแคว้นอิสระของมนุษย์ ปกครองโดยกองทัพอัศวินโรซ่าอันนำโดยโดฟาน อัศวินหนุ่มผู้ได้สร้างความดีความชอบในสงครามปลดแอกที่ผ่านมา

…


back index next
1