มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

บทนำ 2

หัตถ์อสูร (2)

เดือนแปด ปีเดียวกัน ณ ปราสาทอสูร

“ปะป๊า ปะป๊า” เสียงใส ๆ ของเด็กน้อยคนหนึ่งดังเข้ามาในห้องพักผ่อนของจอมราชันย์อสูรจาเนสก่อน ตามด้วยเสียงฝีเท้าดังตุบตับ ๆ แล้วอีกอึดใจถัดมา ร่างน้อย ๆ ก็วิ่งผ่านประตูเข้ามาในห้อง ตรงเข้าโผกอดจาเนสซึ่งกางแขนรอรับอยู่แล้ว

“มีอะไรอีกรึลูก” จาเนสอุ้มเด็กน้อยซึ่งเป็นบุตรีคนเล็กอายุห้าขวบขึ้นนั่งบนตักตัวเอง ใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะเด็กน้อยอย่างรักใคร่

“เมื่อกี้นะ ฮิโระอ่านหนังสือกับเมย์มีนะ” เด็กน้อยผู้เรียกตัวเองว่าฮิโระเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ในเนฟเวอร์แลนด์นี่นอกจากพวกเผ่าเราแล้ว มีพวกมนุษย์อยู่ด้วยเหรอจ้ะ ปะป๊า”

“อ๋อ มีสิลูก” จาเนสตอบ หรี่ตาลงเล็กน้อย “ที่จริงก่อนที่พวกเราเผ่าอสูรจะมาตั้งถิ่นฐานในเนฟเวอร์แลนด์ พวกมนุษย์เขาอยู่ในโลกนี้กันมาก่อนตั้งนานแล้วล่ะ มีอะไรรึลูก”

“ในหนังสือนะ เขียนไว้ว่า พวกมนุษย์เขามีสิ่งที่เรียกว่า “งานเทศกาล” ด้วยล่ะ” ฮิโระเล่าต่อ “งานเทศกาลนี่เป็นไงเหรอ ปะป๊า? ในหนังสือเขียนไว้แต่ฮิโระอ่านไม่เข้าใจเลย เมย์มีก็ไม่ค่อยยอมอธิบายเท่าไร”

เมย์มีที่องค์หญิงเล็กแห่งแคว้นอสูรกล่าวถึง เป็นบุตรีคนเดียวของไบอาดที่ 13 ซึ่งคือ ชาวเผ่าแวมไพร์นั่นเอง แม้เมย์มีจะมีวัยที่สูงกว่าฮิโระสี่ปีแต่เด็กทั้งสองก็ถูกชะตากันมาก ในโอกาสที่ไบอาดที่ 13 มาพำนักอยู่ที่ปราสาทนีโอกลาดก็มักนำเมย์มีมาด้วยเสมอ ๆ เพื่อให้เป็นเพื่อนเล่นและเป็นพี่เลี้ยงของฮิโระ ทั้งนี้เป็นความปรารถนาของเจ้าตัวน้อย ๆ ทั้งสองเองด้วย รวมทั้งจาเนส, มาเรีย และพลานาเองก็ให้ความสนับสนุน

“หึ หึ แล้วลูกเข้าใจว่ายังไงล่ะ ฮิโระ” จาเนสถาม

“อืมห์” ฮิโระเอียงคอ ชูนิ้วชี้ขึ้นมาแตะริมฝีปากอย่างน่ารัก พลางทำท่าครุ่นคิด แต่แล้วก็ส่ายศีรษะน้อย ๆ นั้น ตอบว่า “ไม่รู้สิรู้แต่ว่างานเทศกาลของมนุษย์เป็นอะไรที่สนุกสนานมาก พวกมนุษย์เขาชอบจัดงานเทศกาลกันบ่อย ๆ ในหนังสือว่าอย่างนั้นนะ แต่… ฮิโระก็ไม่เคยเห็นเลย ทั้งมนุษย์ แล้วก็ทั้งงานเทศกาลนั่น ปะป๊า พวกเราจัดงานเทศกาลบ้างไม่ได้เหรอ น่าสนุกนะ”

“อืมห์ ไม่ได้หรอก พวกเราเผ่าอสูรไม่เคยจัดงานรื่นเริงกันมาตั้งนานแล้วล่ะลูกเอ๋ย” จาเนสตอบ

“แต่ฮิโระอยากเห็นนี่ อยากเห็นงานเทศกาล แล้วก็อยากเห็นพวกมนุษย์ด้วย” เด็กน้อยเริ่มงอแง

จาเนสหันสายตาไปทางหน้าต่างห้อง เหม่อมองออกไปข้างนอกอยู่อึดใจใหญ่ จนเด็กน้อยเอะใจ และค่อย ๆ เลียบเคียงถามขึ้น

“ปะป๊า มีอะไรเหรอ”

“อืมห์” จาเนสไม่ตอบ

อาการของบิดาอันเป็นที่รักทำให้เด็กน้อยเริ่มหวาดระแวงว่าตนเองเป็นเหตุทำให้ท่านไม่สบายใจหรือไม่พอใจจึงเอ่ยขึ้นว่า

“ปะป๊าโกรธฮิโระรึเปล่าจ๊ะ? ถ้าปะป๊าไม่ชอบเรื่องของพวกมนุษย์ฮิโระก็ไม่ชอบด้วยก็ได้ ฮิโระไม่อยากดูแล้ว งานเทศกาลอะไรนั่นนะ”

“ฮะ ฮะ” บุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งทวีปเนฟเวอร์แลนด์หันกลับมาหัวเราะพร้อมลูบศีรษะของบุตรสาว “พ่อไม่ได้ว่าอะไรลูกสักหน่อย เพียงแต่พ่อคิดอะไรเพลินไปหน่อย”

ทั้งสองคนสบตากันครู่หนึ่งก่อนที่ฝ่ายบิดาจะเอ่ยขึ้นว่า

“เอาสิลูก ไปดูพวกมนุษย์กับงานเทศกาลของพวกเขาให้เต็มตาด้วยตัวของลูกเอง พ่อจะให้เมย์มีพาไป แต่ลูกต้องสัญญาก่อนนะว่าต้องเชื่อฟังเมย์มีเขา”

“จ๊ะ ฮิโระจะเชื่อฟังเมย์มี” เด็กน้อยยิ้มแป้น “แต่ฮิโระก็เชื่อฟังเมย์มีอยู่แล้วนี่จ๊ะ?”

“ครั้งนี้มันพิเศษนะลูก ลูกจะต้องเชื่อฟังเมย์มีโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะว่า… ลูกกำลังจะไปนอกบ้าน ไปถึงถิ่นฐานของพวกมนุษย์ และที่สำคัญที่พ่ออยากให้ลูกตระหนักไว้ให้ดีก็คือ พวกมนุษย์เขาเกลียดชังพวกเรามาก หากเขารู้ว่าลูกเป็นอสูรเมื่อไหร่ ลูกจะตกอยู่ในอันตรายรู้ไหม!”

…

จอมราชันย์อสูรจาเนสสั่งการให้ขุนนางคนสนิทจัดการเรื่องการ “ทัศนศึกษาเมืองมนุษย์อย่างเป็นความลับ” ของเจ้าหญิงฮิโระในวันรุ่งขึ้น

ขบวนของผู้ติดตาม ประกอบด้วยองครักษ์สี่ตนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์ที่สุด เมื่อปลอมเครื่องแต่งกายแล้วก็ดูไม่ออกว่าเป็นมนุษย์แปลง ส่วนตัวเมย์มีนั้นปกติก็มีรูปร่างเหมือนเด็กสาวชาวมนุษย์ที่อายุสัก 8-9 ขวบอยู่แล้วไม่ต้องปลอมแปลงอะไรมากหากแต่ต้องกำชับให้เจ้าตัวระวังอย่าแสดงเขี้ยวที่ยาวผิดมนุษย์นั้นออกมาก็แล้วกัน หากแต่ที่สำคัญคือตัวของฮิโระเอง ด้วยความที่ฮิโระมีเชื้อสายของมารดาที่เป็นมนุษย์อยู่ ทำให้ผิวกายของเด็กสาวเป็นสีเดียวกับมนุษย์ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนหนักใจคือ ใบหูที่มีปลายแหลมชันของเด็กน้อยนั่นเอง เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความเป็นชนเผ่าอสูร “คณะจัดการทัวร์” ตกลงกันให้ปล่อยผมขององค์หญิงยาวลงมาปิดใบหู และให้สวมหมวกปีกแคบแบบที่หญิงชาวมนุษย์นิยมเพื่อปกปิดใบหูของเธอ โดยกำชับให้เด็กหญิงสวมหมวกนี้ไว้ตลอดเวลาคณะ “ทัวร์” อันประกอบด้วยหกชีวิต ถูกจับแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายของชาวมนุษย์และถูกส่งขึ้นรถม้า มุ่งหน้าตรงไปยังแคว้นซิลเวสเตอร์ อันเป็นสถานที่ที่ทางสายสืบไปสืบข่าวมาได้ว่า กำลังจัดงานเทศกาลกันอยู่ ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กับบริเวณชายแดน และเป็นสถานที่ที่มีงานเทศกาลที่ใกล้กับแคว้นนีโอกลาดมากที่สุดเท่าที่จะหาได้ในขณะนี้

…

ณ ห้องห้องหนึ่งบนชั้นบนของปราสาทนีโอกลาด มาเรียยืนมองรถม้าวิ่งออกจากประตูปราสาทไป แล้วก็หันมาทางในห้อง ซึ่งจอมราชันย์อสูรนั่งจิบน้ำชาอยู่

“ไปกันแล้ว” มาเรียพูดขึ้นช้า ๆ “ท่านคิดดีแล้วหรือคะ?”

“อืมห์” จาเนสวางจอกน้ำชาลง ทอดสายตาไปที่ผนังห้องอย่างไร้จุดหมาย แล้วก็ตอบว่า “ชะตาชีวิตของฮิโระเองก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ สายเลือดมนุษย์ที่อยู่ในตัวแก คงต้องทำให้แกเกิดความสนใจในสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” เข้าจนได้ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เพียงแต่… ข้าเองก็นึกไม่ถึงเลยว่า วันนั้นจะมาเร็วอย่างนี้”

“แล้ว… ท่านเตรียมคำตอบไว้ให้แกรึยังคะว่า ดิฉันเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อสูรอย่างที่แกเข้าใจเอาเองตั้งแต่เกิด”

“ก็ไม่เห็นต้องเตรียมคำตอบอะไรนี่” จาเนสหันกลับมายิ้มให้ภรรยาสาว “สิ่งที่แกได้เห็นก็เป็นคำตอบอยู่แล้ว ว่าแม่ของแกเป็นมนุษย์”

“เฮ้อ!” มาเรียถอนหายใจ แล้วเดินเข้ามารินน้ำชาให้สามีใหม่อีกจอกหนึ่ง ก่อนทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ “เราคิดผิดหรือเปล่าคะ? ที่คิดจะให้แกเป็นผู้สืบทอดเจตนารมย์อันแสนจะลำบากยิ่งของเรา—ไม่สิของท่านต่างหาก ดิฉันเองก็เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเท่านั้น”

“ฮะ ฮะ ฮะ” จาเนสหัวเราะอย่างฝืน ๆ “นี่สินะ ที่เรียกว่าความรักของแม่ อดเป็นห่วงอนาคตของลูกไม่ได้ เฮ้อ ข้าเสียใจเหลือเกินที่ลืมความรู้สึกแสนงาม ละเอียดอ่อนเหล่านี้ไปหมดแล้ว ตั้งแต่วันที่ข้าเลือกที่จะเป็นเทพ แล้วข้ากับโคเรียก็ช่วยกัน…”

มาเรียเอื้อมมือไปปิดปากของจาเนสไว้ ไม่ยอมให้พูดต่อ “พอเถอะค่ะ อย่าพูดถึงความผิดพลาดในอดีตอีกเลย”

ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบงันไปอีก ในที่สุดมาเรียก็ถามขึ้นว่า

“แกจะปลอดภัยไหมคะนี่?”

“ข้าก็หวังเช่นนั้น แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มันจะเป็นบทพิสูจน์ว่าฮิโระจะแบกภาระชี้นำชะตากรรมของเนฟเวอร์แลนด์ได้หรือไม่ และที่สำคัญที่สุด มันเป็นบทพิสูจน์ถึงแก่นแท้แห่งความดีงามในสายเลือดมนุษย์ล่ะ”

มาเรียอึ้ง คำพูดของจาเนสแฝงความหมายหนักหน่วงและยิ่งใหญ่เพียงใดนั้น มีเพียงบุคคลจำนวนไม่ถึงหยิบมือเดียวในเนฟเวอร์แลนด์ที่สามารถเข้าใจได้และสองในบุคคลเหล่านั้นคือ ตัวเธอเองและพลานา

…

“จะถึงแล้ว อย่าลืมที่บอกล่ะฮิโระ” เด็กสาวอายุสักเก้า-สิบขวบ แต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายชั้นดีของเผ่ามนุษย์ เอ่ยขึ้นกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ในรถม้า

“จ๊ะ ข้อหนึ่งห้ามถอดหมวกเด็ดขาด และข้อสองให้เกาะติดเมย์มีตลอดเวลา ใช่ไหมจ๊ะ”

ฮิโระซึ่งตอนนี้อยู่ในเครื่องแต่งกายของเด็กหญิงสูงศักดิ์ชาวมนุษย์ตอบ

ขณะนี้รถม้าซึ่งมีคนขับสองคน และมีชายหนุ่มเกาะท้ายรถอีกสองคน กำลังวิ่งไปตามถนนเลียบชายแดนระหว่างแคว้นบาร์ฮารากับแคว้นซิลเวสเตอร์ แคว้นบาร์ฮาราเป็นดินแดนที่อยู่ติดกับแคว้นนีโอกลาดและเป็นประเทศของเผ่ากอบบลินซึ่งเป็นพวกของอสูรอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาใด ๆ ในการวิ่งผ่าน ปัญหาคือ ในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า รถม้าจะวิ่งเข้าสู่อาณาเขตของแคว้นซิลเวสเตอร์ซึ่งเป็นประเทศของมนุษย์ ทั้งหกชีวิตในรถม้าได้รับการกำชับไว้ก่อนแล้วว่า หากถูกถามจะแสดงตนว่าเป็นขบวนของพี่เลี้ยงของคุณหนูแห่งตระกูลขุนนางตระกูลหนึ่งในแคว้นซิกโรดกำลังพาคุณหนูคนเล็กของบ้านมาเที่ยวงานเทศกาลซึ่งกำลังจัดขึ้นในหมู่บ้านแห่งหนึ่งใกล้ ๆ ชายแดนในแคว้นซิลเวสเตอร์ อนึ่ง สำหรับแคว้นซิกโรดเป็นประเทศของมนุษย์อีกประเทศหนึ่งที่อยู่ติดกับแคว้นบาร์ฮารา การที่รถม้าวิ่งมาจากชายแดนอันเป็นรอยต่อของสามประเทศย่อมทำให้คำโกหกนี้ดูสมจริง

เหตุการณ์ผ่านไปได้ด้วยดี เด็กหญิงตัวเล็กในรถม้าชะโงกหน้ามาติดหน้าต่างเพื่อมองดูสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ซึ่งถูกประดับโคมไฟอย่างสวยงามในยามหัวค่ำเช่นนี้ เมื่อเข้าใกล้สถานที่จัดงาน โคมไฟประดับก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นพร้อมกับที่สังเกตเห็น “มนุษย์” ทั้งชายหญิง เด็กผู้ใหญ่ แต่งตัวอย่างสวยงามหนาตาขึ้นทุกขณะ มนุษย์ที่เดินอยู่ตามถนนต่างหันมามองรถม้านี้แต่แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรมากไปกว่าบอกตัวเองว่า คงเป็นพวกคุณหนูของตระกูลเศรษฐีหรือไม่ก็ตระกูลขุนนางมาเที่ยวชมงานเทศกาล

รถม้าจอดที่ข้างทางเพื่อให้ “คุณหนู” และพี่เลี้ยงลงจากรถเมื่อพบว่าหนทางข้างหน้าไม่อนุญาตให้นำรถม้าเข้าได้ ฮิโระกับเมย์มีในบทบาทของคุณหนูและพี่เลี้ยงเดินเคียงคู่กันไปท่ามกลางฝูงชนชาวมนุษย์นับร้อยที่มาชุมนุมกันในงานเทศกาลประจำปีของหมู่บ้าน องค์รักษ์ชาวอสูรสองตนประจำอยู่ที่รถม้า ส่วนอีกสองตนเดินตามเด็กหญิงทั้งสองมาห่าง ๆ

ความสวยงามของสถานที่ที่ประดับไว้อย่างเลิศเลอ การแสดงหลายหลากไม่ว่าจะเป็นการขับกล่อมดนตรี การละเล่นพื้นเมือง การแข่งขันต่าง ๆ ตั้งแต่ชกมวย ยิงธนู ฟันดาบ มวยปล้ำ การประกวดทั้งหลายแหล่ไม่ว่าจะเป็นการประกวดนางงาม การประกวดสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ทำให้เด็กหญิงผู้ได้พบเห็นมนุษย์เป็นครั้งแรกเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ชักชวนพี่เลี้ยงวิ่งไปทางนั้นทางนี้ไม่หยุดหย่อน เมย์มีก็พลอยสนุกไปกับ “คุณหนู” ไปด้วย แต่ในใจก็ไม่วายกังวลถึงความปลอดภัยขององค์หญิงเล็กแห่งราชวงศ์อสูร ตัวของเธอเองนั้น คลุกคลีกับมนุษย์มาพอสมควรด้วยชะตาของผีดูดเลือดอย่างเธอ ทำให้จำเป็นต้องออกหา “เหยื่อ” บ้างในบางครั้ง เผ่าผีดูดเลือดจัดเป็นเผ่าอสูรที่คุ้นเคยกับมนุษย์ดีที่สุด

ดวงจันทราบนท้องฟ้าลอยสูงขึ้นจนเมย์มีคิดว่าสมควรได้เวลากลับเสียทีจึงค่อย ๆ หาโอกาสกระซิบบอกองค์หญิงให้กลับได้แล้ว ฮิโระตอบตกลงทันทีแม้จะยังเสียดายอยากที่จะเที่ยวงานต่อ แต่ด้วยได้สัญญาไว้แล้วว่าจะเชื่อฟัง “พี่เลี้ยง” ทุกประการจึงต้องทำตามนั้น

เหตุการณ์เกิดขึ้น ณ บัดนั้นเอง

“พลั่ก” “ว้าย” “??”

หญิงสาวชาวบ้านผู้หนึ่งถูกเบียดมาจากทางกลุ่มคนที่มุงดูการแสดงอยู่ด้านหนึ่งได้เซมาชนเข้ากับฮิโระเต็มแรง ฮิโระเองนั้นไม่ได้ร้องอะไรออกมาแต่ก็เซไปล้มกับพื้นพร้อมกับหญิงต้นเหตุผู้นั้นซึ่งร้องโวยวายยกใหญ่ เมย์มีใจหายวูบเมื่อเห็นว่าหมวกของฮิโระหลุดไปหล่นอยู่บนพื้น เธอรีบขยับจะหยิบมันขึ้นมาแต่ช้าไปเสียแล้ว

“ขอโทษนะจ๊ะหนู เจ็บไหม” หญิงสาวผู้ชนเข้ากับฮิโระลุกขึ้นยืน พลางฉุดแขนฮิโระให้ลุกขึ้นด้วย สายตาของเจ้าหล่อนประเมินเครื่องแต่งกายของฮิโระแล้วก็บอกตัวเองว่า เห็นทีจะเคราะห์ร้ายแน่เพราะไปชนเข้ากับคุณหนูของที่ไหนก็ไม่รู้ แต่แล้วเมื่อหล่อนมองเห็นใบหน้าของฮิโระถนัด เห็นชัดถึงใบหูที่แหลมผิดมนุษย์ของเด็กที่ตนเองชนเข้า หล่อนก็ตกใจปล่อยมือออก แล้วหวีดร้องสุดเสียง

“ว้าย ช่วยด้วย พวกอสูร อสูรอยู่ที่นี่ค่าาาา”

“เอ๊ะ” ฮิโระอุทานออกมา เด็กน้อยได้รับการบอกเล่าจากบิดามาก่อนว่ามนุษย์นั้นเกลียดชังอสูรมากนัก แต่นึกไม่ถึงเลยว่า สายตาที่หญิงสาวชาวมนุษย์ผู้นี้มองตนจะเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความขยะแขยง ความกลัว และความรู้สึกทางลบฯลฯ ได้มากมายถึงเพียงนี้

“เสร็จกัน” เมย์มีอุทาน รีบฉุดมือฮิโระออกวิ่ง พลางร่ายมนต์ไปด้วย

“โอม ด้วยอำนาจแห่งรัตติกาลและพลังอำนาจแห่งสายเลือดแวมไพร์ผู้ทรงฤทธิ์ จงดลบันดาลให้เกิดหมอกปกคลุมสถานที่แห่งนี้ ณ บัดนี้เถิด”

สิ้นคำร่ายมนต์ของเธอ บริเวณนั้นก็มืดสนิทด้วยละอองหมอก ความโกลาหลเกิดขึ้น ณ บัดนั้นเอง ในความรู้สึกของมนุษย์ที่อยู่ที่นั่น แรกทีเดียวด้วยเสียงหวีดร้องตกใจของสตรีคนหนึ่งที่บอกว่า มีอสูรอยู่ ณ ที่นี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนกได้แล้ว ต่อมาก็เกิดหมอกปกคลุมทั่วบริเวณขึ้นมาอย่างกระทันหันอีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แต่ละคนจะตื่นตระหนกตกใจกันเพียงใด

‘บ้าชะมัด’ เมย์มีนึกในใจ ผู้คนที่วิ่งกันสะเปะสะปะ ทำให้เธอกับฮิโระวิ่งไปได้ไม่เท่าไร ต้องคอยจับมือกันไว้แน่น หลายต่อหลายครั้งที่ผู้ใหญ่ตัวโต ๆ วิ่งมาปะทะเข้ากับเด็กน้อยทั้งสอง จนพากันล้มลุกคลุกคลานไปก็หลายที

‘ทำไมพวกมนุษย์ช่างขี้ตื่นกันจริง’

เด็กสาวชาวแวมไพร์อดคิดไม่ได้ หมอกที่เธอเรียกมาด้วยอาคมนั้น ให้ผลช่วยในการอำพรางตัวเธอและฮิโระไว้ได้ดีก็จริง แต่มันกลับทำให้เกิดความแตกตื่นจนเกินเหตุและทำให้เธอกับผู้อยู่ในความดูแลหลบหนีได้ลำบากขึ้น ทั้งที่ในความจริงแล้วเธอสามารถมองเห็นในที่มืดเช่นนี้ได้ดีด้วยความเป็นแวมไพร์ของเธอ

‘ช่วยไม่ได้’ เมย์มีตัดสินใจอีกที “ฮิโระ ไม่ต้องวิ่งแล้ว” เธอผ่อนฝีเท้าลง หันไปมองฮิโระในความมืด ก็พบว่าเด็กน้อยผู้สูงศักดิ์กว่ามองมาด้วยสายตาตั้งคำถาม

“ระวังอย่าให้ใครมาชนอีกก็พอ” เมย์มีบอก

ฮิโระพยักหน้าทำเสียง “อึ้ม” ในลำคอ

ในความคิดของเด็กทั้งสองรถม้าจอดอยู่ไม่ไกลนัก ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวังเป็นอันดับแรกก็คือ การพลัดหลงกันเท่านั้น ประกอบกับเสียงรอบด้านเริ่มคลายความโกลาหลลงบ้างแล้ว เมย์มีเร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อยเมื่อสังเกตว่า หมอกเริ่มจางลง แสงสว่างจากดวงจันทราเริ่มสาดส่องผ่านม่านหมอกลงมาได้

“วิ้ว” ลมพัดมาทำให้หมอกจางหายไปเร็วขึ้น ทันใดนั้นเอง

“อยู่นั่น ๆ”

เสียงตะโกนบอกต่อ ๆ กันไปดังขึ้นมาจากด้านหลัง เมื่อหันกลับไปก็พบว่า ชาวบ้านมนุษย์กำลังยกโขยงกันมากลุ่มใหญ่ พร้อมด้วยอาวุธเท่าที่แต่ละคนจะหากันมาได้ ทั้งท่อนไม้, เสียม, ขวาน และดาบ ซึ่งหากมีดาบก็หมายความว่าในกลุ่มที่กำลังวิ่งตรงเข้ามานี้มีมนุษย์ที่เป็น “นักรบ” หรือไฟเตอร์อยู่ด้วยอาจจะเป็นนักรบประจำหมู่บ้านก็ได้ แต่เมย์มีไม่มีเวลาคิดมากรีบฉุดมือฮิโระออกวิ่งทันที

เด็กน้อยทั้งสองไม่มีโอกาสรู้เลยว่า หลังจากที่ทั้งสองวิ่งหนีออกจากที่เกิดเหตุครั้งแรกแล้ว ความแตกตื่นโกลาหล ณ บริเวณนั้นก็สงบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นนักรบได้ตะโกนด้วยเสียงอันดังบอกลูกบ้านให้อยู่ในความสงบ แน่นอนว่าในงานคืนนี้มีแขกจากต่างบ้านต่างเมืองมามากมายก็จริง แต่ในเมื่อคนกว่าครึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านถิ่นนี้เองและจำเสียงของหัวหน้าชุมชนของตนได้ค่อย ๆ สงบลง ทุกคนจึงสงบตาม บังเอิญเหลือเกินที่มีนักรบอีกผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในคาถาเกี่ยวกับธาตุลมอยู่ ณ ที่นี้ด้วย ได้เรียกลมมาไล่หมอกออกจากบริเวณนั้นไปหมด การสอบปากคำจึงเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

“อสูรเจ้าค่ะ อิฉันเห็นอสูรค่ะ” หญิงคนต้นเหตุละล่ำละลักบอกกล่าวเหตุการณ์กับคนรอบข้างทันที

“แล้วมันมีรูปร่างยังไง มากันกี่ตน?” หัวหน้าหมู่บ้านถาม

“เป็นเด็กผู้หญิงสองคน แต่งตัวเหมือนกับพวกลูกขุนนางเลยค่ะ”

ขาดคำของหล่อน ก็มีเสียงรับด้วยความตื่นเต้นจากหลายคนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อยู่ ว่าตนก็สังเกตเห็นเด็กที่ลักษณะเป็นคุณหนูสูงศักดิ์มาป้วนเปี้ยนในงานอยู่เช่นกัน

“มันสองคนเป็นอสูรแน่นะ เจ้าไม่ตาฝาดนะ” หัวหน้าหมู่บ้านถามย้ำ

“เจ้าค่ะ หูของมันสองคนแหลมเฟี้ยวผิดมนุษย์ออกอย่างนั้น ตาก็แดงก่ำเชียวค่ะ...”

ประโยคดังกล่าวไม่เป็นความจริงทั้งหมด เพราะหญิงคนนี้เกิดอาการตื่นตระหนกพร้อม ๆ กับความรู้สึกอยากเด่นในฐานะเป็นผู้พบเห็นอสูรเป็นคนแรกขึ้นมาเสียแล้ว แต่ด้วยประโยคดังกล่าวทำให้บรรดาชาวบ้านหมดความลังเลต่อไป

“รีบไปตามล่ามันกันเถิด” นักรบพเนจรผู้มีคาถาเรียกลมซึ่งบังเอิญผ่านมาร่วมงานนี้ด้วยรีบเสนอขึ้น “ชักช้าเดี๋ยวจะหนีไปก่อน ไม่รู้ไอ้สองตัวนี่จะนำความวิบัติอะไรมาอีก สงครามเพิ่งจบลงแท้ ๆ”

“เอ้า ใครมีอาวุธก็รีบไปเอามาเร็ว แล้วตามข้ามา” หัวหน้าหมู่บ้านประกาศ หันไปพยักหน้ากับนักรบพเนจร แล้วทั้งสองก็ชักชวนกันออกวิ่งไปก่อน

ชาวบ้านชายฉกรรจ์พากันวิ่งกลับไปหยิบสิ่งของที่จะเป็นอาวุธมาพวกที่บ้านไกลก็หยิบยืมจากบ้านที่ใกล้ ๆ ก่อน การดำรงชีวิตของชาวเนฟเวอร์แลนด์ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ คือ มีกองกำลังป้องกันหมู่บ้านของตนเอง ถึงแม้ว่าจะไม่เชี่ยวชาญทางการรบเหมือนกับผู้ได้รับการฝึกปรือมาโดยตรงก็จริง แต่ทุกหมู่บ้านก็ต้องมีกองกำลังในลักษณะเช่นนี้ทั้งสิ้น

การไล่ล่าอสูรที่บังอาจบุกมาเหยียบถิ่นมนุษย์ก็เริ่มขึ้น โชคร้ายเป็นของฝ่ายถูกล่าที่ฝ่ายตามล่าสามารถขจัดหมอกที่เป็นอุปสรรคในการมองเห็นออกไปได้ และเมื่อเวลาผ่านไปเพียงค่อนชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุครั้งแรก ฝ่ายมนุษย์ก็ติดตามมาทัน

“จะหนีไปไหน ไอ้ปิศาจ” เสียงร้องอื้ออึงดังมาจากกลุ่มผู้ล่า เด็กน้อยชาวอสูรทั้งสองวิ่งไม่คิดชีวิตไปที่ที่จำได้ว่ารถม้าของตนเองจอดอยู่

ดูเหมือนว่าโชคเข้าข้างเมื่อพบว่ารถม้านั้นยังจอดอยู่ที่เดิมและมีคนขับสองคนที่พร้อมจะออกรถ ในขณะเดียวกันก็เกิดเสียงโกลาหลขึ้นจากด้านหลังอีก อสูรองครักษ์สองคนที่ติดตามเข้าไปในงานด้วยนั่นเอง ทั้งสองตนตัดสินใจแสดงตนในวินาทีสุดท้ายนี้เพื่อปกป้องให้นายเล็ก ๆ ทั้งสองหนีพ้นจากเงื้อมมือของพวกศัตรูได้

“บ้า โผล่มาจากไหนนี่” ชายหัวหน้าหมู่บ้านสบถอย่างหัวเสีย เมื่อพบว่าลูกบ้านของตนถูกทำร้ายโดยไม่ได้ระวังตัว ล้มตายไปหลายศพ

การตะลุมบอนหมู่เริ่มขึ้น ณ บัดนั้น อสูรองครักษ์ทั้งสองมีฝีมือใช้ได้ทีเดียว แต่ก็ไม่สูงนักเนื่องจากการคัดเลือกอสูรมาติดตามอารักขาองค์หญิงเล็กในครั้งนี้ คัดจาก “รูปร่าง” เป็นหลักคือ ต้องมีหน้าตาเหมือนมนุษย์ให้มากที่สุด

“ฮิโระ รีบไปสิ”

เมย์มีฉุดมือเด็กน้อยเมื่อพบว่าเจ้าหญิงองค์น้อยหันกลับไปมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วหยุดยืนนิ่งอยู่ไม่ยอมวิ่งไปทางรถม้า ทั้งที่อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้ว

“สองคนนั่น... แย่แน่” ฮิโระตอบ

เมย์มีมองตามแล้วก็เข้าใจทันที ภายใต้การกลุ้มรุมของฝ่ายมนุษย์ อสูรทั้งสองเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด และอีกไม่กี่อึดใจจะต้องเสียชีวิตลงแน่นอน แต่กระนั้นทั้งสองก็พยายามพัวพันทีมล่าอสูรไว้ ไม่ยอมให้มีใครหลุดมาทางด้านนี้ได้ เมย์มีเองไม่รู้สึกรู้สาอะไรมาก เพราะเธอเองหากอยู่ที่ประเทศของตนก็มีศักดิ์เป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์แวมไพร์เช่นกัน การที่อสูรชั้นต่ำจะพลีชีพเพื่ออสูรชั้นสูงย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก

“เมย์มี!” ฮิโระหวีดร้อง ความหมายของเธอคือต้องการให้ช่วยชีวิตอสูรองครักษ์ทั้งสอง แต่เมย์มีต้องใช้ความพยายามคิด จึงจะเข้าใจความหมายของผู้อ่อนวัยกว่า แต่ถึงจะเข้าใจก็ตาม เด็กชาวแวมไพร์ที่เพิ่งอายุได้เพียงเก้าขวบอย่างเธอจะทำอะไรได้เล่า นอกจากดึงแขนฮิโระถอยไปด้านหลังพลางบอกว่า

“ฮิโระ รีบไปเถอะ สองคนนั่นไม่รอดแล้ว เดี๋ยวพวกมันก็จะมาทำร้ายเธอหรอก”

“องค์หญิง รีบไปเถอะขอรับ” เสียงดังขึ้นจากด้านหลัง หนึ่งในสองของคนขับรถม้านั่นเอง คงอดทนรอไม่ได้ต้องวิ่งมาตาม

“ฆ่ามัน ๆ” เสียงเฮดังลั่นขึ้นจากกลุ่มคนเมื่ออสูรทั้งสองล้มลงกับพื้น

ในเวลาไล่เลี่ยกัน หัวหน้าหมู่บ้านและนักรบพเนจรวิ่งนำชาวบ้านตรงมายังพวกฮิโระทันที

“ไปกันเถอะ” เมย์มีออกแรงดึงฮิโระอีก พร้อมกับที่อสูรที่เพิ่งมาสมทบวิ่งตรงเข้าหาฝูงมนุษย์

ฮิโระเอื้อมมือไปพยายามจะท้วงไม่ให้องครักษ์ผู้นี้วิ่งไปหาความตาย แต่ก็ไร้ผล เมย์มีพยายามลากเธอถอยหลังไปจนได้ แต่แล้ว

“ตายซะเถอะ ไอ้อสูร”

เสียงดังขึ้นจากด้านบน นักรบพเนจรผู้มีคาถาเรียกลมลอยตัวจากกลางอากาศพร้อมดาบที่เงื้อสุดแขนหมายจะฟันเด็กน้อยชาวอสูรทั้งสองให้ตายในทีเดียวกัน

“ฮิโระ!” “ฉัวะ!” “โอ๊ย!”

เมย์มีพยายามฉุดฮิโระให้พ้นจากรัศมีของดาบนั้น แต่ก็ไม่พ้นดาบฟันลงบนแขนท่อนล่างของฮิโระอย่างจัง เสียงผู้สังเวยคมดาบร้องอย่างเจ็บปวด ตามด้วยเสียงดังตุบ เมื่อท่อนแขนซ้ายของเธอหล่นไปบนพื้น พร้อมกับที่เลือดสด ๆ พุ่งออกจากปากแผล

“ฮิโระ!”

เมย์มีหน้าซีด เข่าอ่อนดึงฮิโระมากอดไว้แนบตัวอย่างทำอะไรไม่ถูก เสียงร้องคร่ำครวญของเจ้าหญิงน้อยดังระงมอยู่ริมหู อีกด้านหนึ่งอสูรองครักษ์ตนที่สามถูกชาวบ้านรุมทำร้ายจนเสียชีวิตไป

“ฮึ่ม! หลบเก่งนักเหรอ” นักรบพเนจรขยับมาทางเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้งเงื้อดาบขึ้น

“อย่า.. อย่านะ ไม่!” องค์หญิงน้อยในอ้อมแขนของเมย์มีพึมพำเป็นคำ ๆ อย่างตระหนก เมย์มีพยายามนึกคาถาที่ตนเคยเรียนมาแต่นึกไม่ออกสักบทเดียว ภาพของนักรบที่เงื้อดาบอยู่ตรงหน้า โดยมีแบคกราวน์เป็นภาพของชาวบ้านที่กำลังตีวงล้อมเข้ามาเลือนรางลงทุกขณะ สามัญสำนึกบอกตัวเองว่า นี่คงเป็นวาระสุดท้ายของเธอเสียแล้วกระมัง แต่แล้ว

“อย่าเข้ามา!” จู่ ๆ ฮิโระก็แผดร้องขึ้นสุดเสียงพร้อมกับยื่นมือขวาที่กางนิ้วทั้งห้าเต็มเหยียดออกไปด้านหน้า เมย์มีรู้สึกได้ถึงความร้อนในตัวฮิโระที่แผ่กระจายออกมาและวินาทีถัดมาเปลวเพลิงขนาดใหญ่ก็พวยพุ่งออกจากฝ่ามือของฮิโระพุ่งเข้าใส่นักรบที่อยู่ตรงหน้า กลืนเอาร่างชายเคราะห์ร้ายนั้นหายไปในเปลวเพลิงและยังเลยไปครอบคลุมร่างของชาวบ้านที่วิ่งอยู่แนวหน้าอีกนับสิบคน

“ฟู่!!!” “...”

เหยื่อแห่งเพลิงพิโรธไม่มีโอกาสได้ร้องแม้แต่แอะเดียว เมื่อเปลวเพลิงสงบ ไม่ปรากฏเหลือแม้แต่เถ้าถ่านใด ๆ มนุษย์ที่หลงเหลืออยู่ตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่เจ้าของเพลิงพิฆาตเองนั้นอ่อนระทวยลงไปจนเมย์มีต้องรีบประคองกอดเอาไว้เพื่อที่จะพบว่าฮิโระหมดสติไปแล้ว

เวลาผ่านไปอีกอึดใจก่อนที่ฝูงชนจะบ้าคลั่งขึ้นมาอีกครั้ง

“หนอยฤทธิ์มากนักนะอีนังนี่” “ตายซะ” ฯลฯ

พวกเขาขยับตัวจะเข้ามาหาอีก แต่คราวนี้

“เปรี๊ยะ ๆ ๆ” “อ๊าก” “โอ้ย”

เกิดผลึกน้ำแข็งแหลมคมงอกขึ้นจากพื้นดินตรงหน้าของพวกชาวบ้านอย่างกระทันหัน หลายคนที่วิ่งเข้ามาก่อนถูกท่อนน้ำแข็งเสียบลอยขึ้นไปดิ้นพราดอยู่กลางอากาศ ผลึกน้ำแข็งเหล่านี้งอกขึ้นประดุจเป็นกำแพงกั้นระหว่างพวกมนุษย์และเด็กน้อยชาวอสูรทั้งสอง

“?” เมย์มีงง ทันใดนั้นเองก็มีเงาร่างหนึ่งก้าวจากด้านหลังแล้ว ผ่านตัวเธอทางด้านซ้ายตรงเข้าหากำแพงน้ำแข็ง หรืออีกนัยหนึ่งคือ ตรงเข้าหาพวกมนุษย์

“ฮึ่ม! นึกว่าจะปล่อยให้ตายด้วยน้ำมือพวกเศษสวะแล้วนะ ต้องช่วยจนได้” น้ำเสียงเย็นชาของบุรุษเพศดังมาจากร่างนั้นทั้งที่ยังหันหลังให้กับเมย์มี

“ท่าน...?” เมย์มีกล่าวได้แค่นั้น

“คาถาห้ามเลือดใช้เป็นรึเปล่าเราน่ะ จัดการห้ามเลือดให้ยัยนั่นซะ”

ร่างนั้นตอบโดยไม่หันกลับมา “แล้วก็รีบไปได้แล้ว”

“.. ค่ะ” ไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าเชื่อฟังคำแนะนำนั้น เมย์มีรีบสำรวมพลังจิตร่ายคาถาห้ามเลือดให้กับฮิโระทันที เลือดที่ไหลออกจากแขนซ้ายซึ่งถูกตัดขาดเสมอข้อศอกหยุดลง เด็กสาวแวมไพร์ช้อนร่างของฮิโระขึ้นในอ้อมแขนแล้วหันหลังกลับวิ่งตรงไปทางรถม้า เสียงของบุรุษผู้มาใหม่ลอยตามหลังมาว่า

“ฝากบอกจาเนสด้วย ข้ากำลังจะไปหา!”

เมื่อขึ้นรถม้าได้ คนขับซึ่งรอทีอยู่แล้วก็ลงแส้สั่งรถม้าวิ่งตรงไปยังชายแดนแคว้นบาร์ฮาราทิ้งไว้เบื้องหลังซึ่งการสังหารหมู่ชาวมนุษย์โดยบุรุษลึกลับเพียงคนเดียวที่ปรากฏตัวขึ้น

...


back index next
1