มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

บทนำ 3

วาระสุดท้ายจอมราชันย์ (1)

ใต้ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ในท้องทุ่งกว้างที่โอบรอบหอคอยสเปกตรัล

“ของสูงค่าเช่นนี้ ท่านเก็บไว้เองไม่ดีกว่าหรือ?” หนุ่มน้อยผู้หนึ่งเอ่ยกับชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้วยกัน เขาเป็นชายหนุ่มที่ยังมีเค้าหน้าของความเยาว์วัยอยู่ ผมสีม่วงสดใส แต่งกายในชุดรัดกุมบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นพวกนักดาบ (ซอร์ดมาสเตอร์) กลางหลังนั้นสะพายดาบอยู่เล่มหนึ่งแล้ว ในขณะที่ในมือทั้งสองกำลังประคองดาบอีกเล่มหนึ่ง จากลักษณะของดาบในมือของเขาซึ่งสงบนิ่งอยู่ในฝักมีลวดลายของอักขระโบราณจารึกกำกับเต็มตลอดทั้งฝักดาบและเลยลงไปถึงด้ามดาบ บ่งบอกให้รู้ถึงความสูงระดับของมันได้เป็นอย่างดี

“ข้าไม่คิดที่จะฝากชื่อไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์อีกแล้ว เจ้ารับไว้เถิด ซิฟอน” ชายฉกรรจ์ผู้สูงวัยกว่าอีกฝ่ายกล่าวขึ้น “ถึงยังไง หากข้าไม่พบดาบนี้เสียก่อน ด้วยความสามารถของเจ้า เจ้าก็ต้องพบมันได้แน่ในชั้นนั้น หรือไม่จริง?”

เขาหมายถึงชั้นชั้นหนึ่งในหอคอยสเปกตรัลอันเป็นที่ซุกซ่อนของดาบเล่มนี้

“แล้วท่านคิดว่าข้าอยากจะสร้างชื่อนักรึไง” เด็กหนุ่มหรือซิฟอนกล่าวขึ้น

“ก็ไม่แน่” ผู้สูงวัยกว่าตอบ “ด้วยความมุ่งมั่นที่จะผดุงสันติของเจ้า เจ้าก็ควรจะมีอาวุธดี ๆ ไว้ช่วยเจ้าบ้าง ไม่ใช่รึ ซิฟอนผู้ที่สื่อสารกับมอนสเตอร์ได้สำเร็จเป็นคนแรกของเนฟเวอร์แลนด์”

“ฮะ ฮะ” ซิฟอนหัวเราะเขิน ๆ เสตอบไปอีกทางว่า “ถึงยังไงข้าก็เทียบกับท่านไม่ได้หรอก ท่านเกรย์ หนึ่งในห้าผู้กล้าแห่งศึกธรรม-อสูร”

“หึ หึ” เกรย์หัวเราะในลำคอบ้าง ทอดสายตามองไปจนสุดขอบฟ้าไกล “ผ่านมาเก้าปีแล้วสินะ”

เขาหมายถึง มหาสงครามระหว่างเผ่ามนุษย์กับอสูรครั้งล่าสุดที่อุบัติขึ้นในปีอสุรศักราชที่ 985

“ที่จริง...” ซิฟอนเอ่ยขึ้นช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “โลกนี้ก็อยู่ในสันติดีนะ ในเก้าปีที่ผ่านมานี่ เราอยู่ร่วมกันกับอสูรไม่ได้รึไง เหมือนอย่างที่ข้ากับพวกมอนสเตอร์ได้เปิดใจซึ่งกันและกันแล้ว”

“บ้านะ” เกรย์ดุ “มอนสเตอร์ก็เปรียบกับพวกสัตว์นั่นแหละ พวกมันไม่มีความรู้สึกชั่วดีอะไรในใจ พวกมันเป็นศัตรูกับมนุษย์เราตามสัญชาตญานระวังภัยเท่านั้นเอง แต่สำหรับพวกอสูร มันไม่ใช่อย่างนั้นนี่ เจ้าเองก็รู้ดีไม่ใช่เหรอ แม้แต่พระเจ้าก็ทรงมีบัญชาเอาไว้ว่า พวกอสูรคือภัยพิบัติของมนุษย์!”

“...” ซิฟอนนิ่งไป แล้วยอมรับขึ้นในที่สุด “จริงด้วย ข้าลืมคิดไป”

“ไปเถิด ซิฟอน ไปสวามิภักดิ์ต่อองค์ราชาราดิวอิซะพร้อมกับดาบอสูรฟ้านั่น” เกรย์สรุป “ท่านจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างกับเจ้าเอง”

“... ครับ” ซิฟอนรับคำ อดไม่ได้ที่จะต้องก้มลงมอง “ดาบอสูรฟ้า” ในมืออีกครั้งหนึ่ง

“เสียดายเหลือเกินที่ข้าไม่มีพลังเวทย์และพลังจิตสูงพอที่จะควบคุมดาบนี้ได้ แต่สำหรับเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องใช้มันได้แน่ ซิฟอน จงมั่นใจในตัวเอง ด้วยพรสวรรค์ในตัวของเจ้าเองบวกกับดาบอสูรฟ้าเล่มนี้ ข้ารับรองได้เลยว่า ไม่มีใครเป็นคู่มือเจ้าแน่ แม้แต่....จาเนสเองก็ตาม”

“ครับ”

--------------------------

ปีอสุรศักราชที่ 993 เกรย์ หนึ่งในห้าผู้กล้าจากศึกธรรม-อสูรได้เข้าไปสำรวจหอสเปกตรัล ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ซิฟอนเด็กหนุ่มผู้มีใจมุ่งมั่นในคุณธรรมได้เข้าไปสำรวจหอสเปกตรัลเช่นกัน

ซิฟอนได้เปิดใจติดต่อสื่อสารกับบรรดามอนสเตอร์ในหอสเปกตรัลเป็นผลสำเร็จและพบว่า พวกมอนสเตอร์ หรือ “สัตว์ร้าย” เหล่านั้นไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายอย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน หากแต่มันปกป้องตนเองจากผู้บุกรุกถิ่นฐานไปตามสัญชาตญานเท่านั้น

และในช่วงปลายปีเดียวกัน เกรย์ได้ค้นพบอาวุธวิเศษของยุคโบราณชิ้นหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ในหอสเปกตรัล ได้แก่ ดาบอสูรฟ้า อันเป็นดาบวิเศษที่ทรงไว้ด้วยอำนาจเวทย์มนต์และสามารถเพิ่มอานุภาพให้กับผู้ใช้ได้ไม่มีขีดจำกัด แต่เกรย์พบว่าตนเองไม่มีขีดความสามารถสูงพอที่จะใช้มันได้

ปีต่อมา เกรย์กับซิฟอนได้สมทบกัน ทั้งคู่กลับออกจากหอสเปกตรัลโดยสวัสดิภาพ นับเป็นอีกสองคนที่ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการในฐานะผู้รอดชีวิตจากหอสเปกตรัล

เกรย์มองเห็นถึงความสามารถที่ซ่อนเร้นในตัวซิฟอนจึงได้มอบดาบอสูรฟ้าให้กับเขา

และนี่เอง คือ จุดเริ่มต้นของอวสานแห่งหนึ่งในสามเทพสูงสุดแห่งเนฟเวอร์แลนด์

อนึ่ง คำว่าเทพในที่นี้มีความหมายเพียงผู้มีฐานะและศักดิ์ศรีเหนือมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นจาเนส แม้ได้ชื่อว่าเป็นจอมราชันย์อสูร -คือเป็นอสูร-แต่ก็คงได้รับการนับรวมกับโคเรียและเทพเจ้าอีกองค์หนึ่งคือ อิปซิลอน ว่าเป็นสามเทพสูงสุด

ซิฟอนเดินทางไปแคว้นอิปซิลอยเออร์เพื่อพบกับราชาราดิวอิ ผู้นำแห่งห้าผู้กล้าศึกธรรม-อสูร ณ ที่แห่งนี้ เขาได้รับการอบรมทั้งทางยุทธและทางธรรมจากราดิวอิ, ได้พบกับสหายใหม่ผู้ร่วมอุดมการณ์อีกสองคน คือ คริส นินจาหนุ่มและรันเจ นักบวชสาว และเขายังได้พบกับโซฟรัน บุตรสาวตัวน้อยของราดิวอิและแม่มดรอยด์

--------------------------

เวลาผ่านไปด้วยความสงบสุข จนกระทั่งค่ำคืนหนึ่งในปีอสุรศักราชที่ 996 ราดิวอิซึ่งยืนดูดาวอยู่บนลานเทอเรสของปราสาทอิปซิลอยเออร์ ก็ได้เรียกสามหนุ่มสาว ซิฟอน, คริสและรันเจขึ้นไปพบ

ในขณะที่สามผู้เยาว์เดินเข้าไปในลานปราสาทนั้น ราดิวอิยังคงเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่ำ ๆ ที่คริสจะเอ่ยปากถามถึงธุระที่เรียกพวกตนมานั้นเอง ราดิวอิก็พูดขึ้นโดยไม่หันกลับมามองว่า

“มากันแล้วหรือ?”

“ขอรับ” “ครับ” “ค่ะ” สามเสียงตอบประสานกันเกือบเป็นเวลาเดียวกัน

ราดิวอิยังคงนิ่งอยู่อีกอึดใจหนึ่งก่อนจะหันกลับมา สำรวจสายตามองสามผู้มาใหม่ไปทีละคน ไล่จากคริส รันเจ แล้วไปจบท้ายที่ซิฟอน

“เป็นยังไงบ้าง ยังคงฝึกซ้อมการสู้รบอยู่ทุกวันรึเปล่า”

“อ๋อ แน่นอนอยู่แล้วครับ” ซิฟอนตอบแทนเพื่อนอีกสองคน ทั้งนี้เพราะสายตาของประมุขแห่งแคว้นจับมองที่ตน ทั้งที่ความจริงแล้ว คริสควรจะเป็นผู้ตอบคำถามนี้อันเนื่องจากเป็นผู้อาวุโสสุดในกลุ่ม

“พวกเจ้าพร้อมที่จะทำงานใหญ่ชิ้นหนึ่งให้ข้า-ไม่สิ ให้แก่มวลมนุษยชาติได้ไหม?”

เป็นคำถามถัดมา

คราวนี้คริสสบตากับซิฟอนก่อนที่จะเป็นคนตอบว่า “แน่นอนขอรับ ท่านราดิวอิมีบัญชาอะไรก็่วามาเลย ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ พวกข้าก็ไม่เกี่ยง จริงไหม?”

ท้ายประโยคหันไปถามเพื่อนอีกสองคน ซึ่งต่างก็รับปากแข็งขัน

ราดิวอิสูดลมหายใจ แล้วยิ้มเครียดอันเป็นอาการที่ท่านมักจะกระทำเมื่อต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ

“พวกเจ้าเองก็คงจะอัดอั้นตันใจมานานแล้วสินะ ว่าทำไม เราจึงไม่เปิดศึกกำจัดพวกอสูรให้สิ้นไปเสียที ปล่อยให้เวลาผ่านมาได้ถึงสิบเอ็ดปีแล้ว” ราชาแห่งแคว้นอิปซิลอยเออร์กล่าว “มหาสงครามครั้งที่ผ่านมาก่อให้เกิดความเสียหายแก่แผ่นดินแม่ของเราใหญ่หลวงเหลือเกิน พวกเราจึงได้ตกลงกันว่า จะไม่ก่อสงครามขึ้นอีก”

ท่านกวาดตามองผู้เยาว์วัยกว่าทั้งสาม แล้วพูดเสริมขึ้นว่า

“คำว่า ‘พวกเรา’ ในที่นี้หมายถึง ที่ประชุมของประมุขแคว้นต่าง ๆ ที่เป็นเขตปกครองของมนุษย์ เฉพาะพวกที่เป็นพันธมิตรกันในศึกธรรม-อสูร ได้แก่องค์จักรพรรดิ์โดริฟาน, ราชากิวฟิ, ราชินีมิวรา, ราชาซิกม่า, ราชาซาฟรัก, ราชาฮัน, ราชาฮามาโอที่เจ็ดและข้า”

พวกคริสทั้งสามคิดตามไปอย่างตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้รับรู้รายนามของผู้ยิ่งใหญ่แห่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ซึ่งกุมชะตากรรมของมวลมนุษยชาติไว้ภายใต้การตัดสินใจของพวกท่าน สำหรับนามของประมุขแคว้นคนเดียวที่มีฐานะเป็นจักรพรรดิ์นั้น ก็คือ จักรพรรดิ์โดริฟานอันมีฐานะเป็นผู้นำสูงสุดของมวลมนุษย์ ทั้งนี้มิใช่เพราะท่านเป็นจักรพรรดิ์แห่งแคว้นโคเรียสะทีนอันได้ชื่อว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าโคเรียทรงประทานให้แก่มนุษย์ แต่หากเพราะท่านดำรงตำแหน่งพระประมุขแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์โคเรียด้วยนั่นเอง พระประมุขแห่งนิกายโคเรีย ผู้ถือเสมือนเป็นตัวแทนแห่งพระผู้เป็นเจ้า เป็นกระบอกเสียงแทนสรวงสวรรค์ มีร่างกายที่อยู่ยงคงกระพันนับร้อยปี ได้รับการคัดเลือกสืบทอดตำแหน่งจากพระประมุของค์เดิมเมื่อถึงแก่กาลอายุขัย โดยจะคัดจากนักบวชใหญ่ผู้มีความศรัทธาอย่างสูงสุดในนิกาย

“ทุกคนย่อมรู้สึกอึดอัดเหมือนกับพวกเจ้านั่นแหละ” เสียงราดิวอิกล่าวต่อ “อุตส่าห์บีบกองทัพอสูรไปจนมุมที่นีโอกลาดแล้ว กลับทำอะไรพวกมันไม่ได้... แต่อย่างไรก็ตามทุกคนก็รอโอกาสอันดีเรื่อยมา”

ราดิวอิหันหลังกลับไปอีก เงยหน้าขึ้นมองหมู่ดาวบนท้องฟ้า พวกคริสมองตามไปบ้างอย่างไม่เข้าใจ

“บัดนี้ เวลามาถึงแล้ว พวกเจ้าสังเกตเห็นดวงดาวดวงใหญ่ที่ทอประกายอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือนั้นไหม”

“...เห็นครับ” ซิฟอนตอบ คืนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งเป็นใจให้มองเห็นดวงดาวต่าง ๆ ได้ชัดเจนเหลือเกิน คริสกับรันเจตอบรับตามในเวลาอึดใจถัดมา

“นั่นคือ ดวงดาวประจำตัวของจอมราชันย์อสูรล่ะ!” ราดิวอิเฉลยถึงความสำคัญ “ข้าจับตาดูมันมาหลายเดือนแล้ว มันกำลังหม่นหมองลงทุกขณะ บ่งบอกว่าวาระสุดท้ายของจอมราชันย์อสูรจาเนสใกล้เข้ามาถึงแล้ว”

“อายุขัยหรือครับ” ซิฟอนลองถามขึ้น ในใจก็รู้สึกเสียดายอยู่ลึก ๆ ที่อวสานของจอมอสูรผู้นี้มาปรากฏในรูปแบบที่คาดไม่ถึง

“ไม่ใช่” ราชาของพวกเขาปฏิเสธ “มันเป็นดวงชะตาที่อ่อนลงจนสามารถมีดวงที่เข้มแข็งกว่าไปข่มมันได้ต่างหาก”

พวกคริสเงียบไป ราดิวอิพูดต่อว่า

“เมื่อเย็นนี้เอง สายสืบของเรารายงานมาว่า สามขุนพลแห่งทัพอสูรต่างเดินทางออกนอกแคว้นนีโอกลาดกันหมดแล้ว... ที่จริงพวกเราได้วางแผนล่อพลานาออกมาเพียงคนเดียว โดยความร่วมมือจากกษัตริย์เจ้าสำราญแห่งเกาะซามูไร โอะโระจิมารุที่พวกเจ้ารู้จักคุ้นเคยดี”

ท้ายน้ำเสียงท่านอดหัวเราะไม่ได้ เมื่อนึกภาพที่โอะโระจิมารุกษัตริย์หนุ่มแห่งเกาะมุโรมาจิที่อยู่ทางสุดทิศตะวันออกของทวีปเนฟเวอร์แลนด์ ได้เดินทางมาเยือนปราสาทของตนและร่วมดื่มสุรากับพวกตนอันได้แก่ ราดิวอิ, คริสและซิฟอนจนเมามายเมื่อหลายเดือนก่อน

คริสกับซิฟอนยิ้มแหย ๆ บ้าง ทั้งสองถูกกษัตริย์หนุ่มเจ้าสำราญไล่ต้อนทั้งในเชิงสุราและเชิงยุทธมาตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่อาคันตุกะมาพำนักอยู่ที่นี่

“โอะโระจิมารุยกทัพเรืออ้อมทางเหนือของทวีปเนฟเวอร์แลนด์ไปตีแคว้นนีโอกลาด คาดว่าอีกสามวันคงจะประทะกับทัพเรือของพลานา” ราดิวอิเล่าต่อ “ส่วนไบอาดที่สิบสามกับรุโดรานั้น เดินทางกลับไปแคว้นของตนตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนแล้ว”

“อืมห์... ถ้างั้น..” คริสเริ่มจับอะไรลาง ๆ ได้ด้วยความที่ตนเองเป็นนินจา จึงคิดไปถึงประเด็นที่เป็นไปได้ประเด็นหนึ่งในฐานะนินจานั่นเอง ทำให้น้ำเสียงของเขาอดไม่ได้ที่จะอัดแน่นไปด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่ซิฟอนมัวแต่คิดชื่นชมในความมุมานะของโอะโระจิมารุที่เขาถูกชะตาเป็นพิเศษในความไม่ถือตนของอีกฝ่าย ทั้งนี้การเดินเรือเป็นระยะทางไกลอ้อมทวีปไปเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงว่า เกาะมุโรมะจิอยู่สุดขอบทวีปเนฟเวอร์แลนด์ด้านตะวันออก ขณะที่แคว้นนีโอกลาดเองก็อยู่สุดขอบด้านตะวันตกเฉียงเหนือ

ในขณะที่รันเจกลับคิดไปอีกเรื่องหนึ่งว่า ที่จริงแล้วแคว้นของอสูรไม่ได้เหลือนีโอกลาดแคว้นเดียว ยังมีแคว้นเชมบะของไบอาดที่สิบสามอันเป็นประเทศของแวมไพร์, แคว้นอีริซิทัสของรุโดร่าอันมีสมญาว่า แดนสนธยาแห่งคาบสมุทรรอกเกียน และยังมีแคว้นของพวกฝักใฝ่อสูรอีกหลายแคว้น

“ฮะ เจ้าคริสนี่เข้าใจแล้วสิท่า” เสียงราดิวอิอุทานอย่างพอใจ ทำให้ซิฟอนและรันเจตื่นจากภวังค์ความคิดของตน ฟังราชาของตนสั่งต่อ “ใช่แล้วล่ะ เจ้าทั้งสามจะต้องรีบเดินทางไปนีโอกลาดเดี๋ยวนี้”

“เอ๊ะ!” ซิฟอนกับรันเจซึ่งยังตามไม่ทันอุทานขึ้นพร้อมกัน ขณะที่คริสสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อสะกดความตื่นเต้นของตนเอง

“พวกเจ้าต้องเข้าไปลอบสังหารจาเนส!” นั่นคือข้อสรุปสุดท้ายจากราดิวอิ “ไม่มีการก่อสงคราม ไม่มีการประกาศศึกหรือการส่งสารท้ารบใด ๆ ทั้งนั้น นี่เป็นการลอบ-สัง-หาร” ท้ายประโยคท่านเน้นย้ำ

“...” สองหนุ่มสาวยืนตะลึงกับคำสั่งที่ตนได้รับ คริสทนไม่ได้ต้องเดินอ้อมไปด้านหลังทั้งคู่แล้วยื่นมือไปตบไหล่เพื่อนหนัก ๆ

“ลอบเข้านีโอกลาดให้เร็วที่สุด หลีกเลี่ยงการประทะให้มากที่สุด เป้าหมายของพวกเจ้าคือ จอมราชันย์อสูรเพียงคนเดียวเท่านั้น ซิฟอน...” ซิฟอนสะดุ้งเมื่อตนถูกเรียกชื่อด้วยเสียงหนักแน่น “ใช้ดาบอสูรฟ้าจัดการกับจาเนสซะ ส่วนคริสกับรันเจคอยสนับสนุน หากจำเป็น... ให้คริสหาทางพัวพันเจ้าหญิงฮิโระไว้ด้วยเพื่อเปิดโอกาสให้ซิฟอนเข้าถึงตัวจาเนสให้ได้ ตามข่าวกรองของเรา บุคคลระดับผู้นำของฝ่ายอสูรที่อยู่ที่นีโอกลาดตอนนี้มีสองคนนี้เท่านั้น!”

“...” ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจากซิฟอนและรันเจ ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายงานแรกในฐานะขุนศึกของแคว้นอิปซิลอยเออร์ก็เป็นงานชิ้นสำคัญเลยทีเดียว

“สิ้นจาเนสเสีย ทัพอสูรก็แตกสลายไปเอง” ราดิวอิกล่าวอย่างมั่นใจ ท่านเชื่อว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด

...


back index next
1