มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

บทนำ 3

วาระสุดท้ายจอมราชันย์ (2)

“ปราสาทนี้เงียบเหงาไปมากนะ”

บุรุษร่างใหญ่ท่าทางทรงอำนาจผู้นั่งอยู่บนบังลังค์สีดำกล่าวขึ้น ขณะนี้ท่านอยู่เพียงลำพังกับเด็กสาวอีกนางหนึ่งในห้องท้องพระโรงใหญ่ของปราสาทจอมอสูร

เด็กสาวอายุสิบหกขยับด้ามเคียว “เกทออฟเฮฟเวน” ในมือ เอ่ยตอบเพียงว่า

“ช่วยไม่ได้ ท่านพี่พลานายกพลออกไปเกือบหมดนี่ขอรับ”

“อืมห์” ฝ่ายสูงวัยกว่าตอบ ท่านผู้นี้คือ จาเนส จอมราชันย์อสูรผู้ได้รับการยกย่องจากทั้งฝ่ายมิตรและศัตรูว่าเป็นหนึ่งในสามเทพสูงสุดแห่งเนฟเวอร์แลนด์ และเป็นบิดาของเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านั่นเอง

“งอนละสิ ที่พี่เขาไม่ได้พาเราไปด้วย?” น้ำเสียงของจอมราชันย์อสูรเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดูบุตรีคนเล็ก หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้แสดงจริตจะก้านแบบสตรีทั่วไป ทั้งที่ฝ่ายนั้นอยู่ในชุดเสื้อกระโปรงสีขาวสดใสรูปทรงทะมัดทะแมง แต่เธอกลับมีกิริยาท่าทางแข็งกระด้างเหมือนบุรษเพศ แม้แต่ถ้อยคำที่เธอใช้เจรจาก็เป็นสำนวนของบุรุษเพศหรืออย่างดีก็เป็นสำนวนกลาง ๆ แบบภาษาเขียน ทั้งนี้นับตั้งแต่เกิด “เหตุการณ์เหล่านั้น” เมื่อสิบเอ็ดปีก่อนนั่นเอง

“มิได้ขอรับ เพียงแต่อดเป็นห่วงไม่ได้ ดูเถอะท่านพ่อ แม้แต่เกทออฟเฮฟเว่นยังไม่ยอมเอาไปด้วยเลย ฝากไว้ที่ข้านี่แหละ”

ทั้งสองฝ่ายเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนที่จาเนสจะนิ่งตัวแข็ง ฮิโระรู้ได้ทันทีว่าบิดากำลังสำรวมสมาธิเพื่อสำรวจ “อะไร” บางอย่าง ไม่ถึงอึดใจเสียงของท่านก็สั่งขึ้นว่า

“ฮิโระ เรามีแขกไม่รับเชิญเสียแล้วล่ะลูก ออกไปต้อนรับเขาหน่อยสิ”

“???” ฮิโระทำหน้าแปลกใจ แต่ก็รับคำโดยดี “ขอรับ”

“ระวังตัวด้วยนะลูก พวกมันเข้าปราสาทชั้นในมาได้แสดงว่าไม่ใช่ธรรมดา สามารถซ่อนพลังของตนเองได้อย่างมิดชิดเสียด้วยสิ”

ความหมายของท่านก็คือ แม้แต่ผู้ที่มีเกียรติภูมิว่าเป็นผู้ “กลับออกจากหอคอยสเปกตรัล” อย่างฮิโระยังไม่รู้ตัวถึงการมาของอีกฝ่ายหนึ่งเลย นั่นย่อมแสดงถึงระดับความสามารถของพวกมันได้เป็นอย่างดี

แน่นอน ณ ชั่วขณะนี้ ทั้งสองคนยังไม่มีโอกาสรู้ว่า หนึ่งในผู้บุกรุกเหล่านั้นก็เป็น “ผู้กลับออกจากหอสเปกตรัล” เช่นกัน

ฮิโระก้มศีรษะเล็กน้อยกล่าวเสียงเบาว่า “ขอโทษด้วยท่านพ่อ ลูกไร้ความสามารถ”

แล้วก็ทำท่าจะหันหลังไปเพื่อทำตามคำสั่งของท่าน แต่จาเนสกลับลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและรั้งมือเธอไว้ “เดี๋ยวก่อน”

เมื่อบุตรีหันกลับมา ก็พบว่าตนเองถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดของผู้ให้กำเนิดพลางถูกลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน

“หึ หึ” จาเนสพึมพำ “ลูกของพ่อไม่ไร้ความสามารถหรอก ศัตรูเข้มแข็งเกินไปต่างหาก แต่...ก็ไม่เหนือไม่กว่าเจ้าหรอก ลูกเอ๋ย จงมั่นใจในตัวเอง เจ้าคือบุตรีของจอมราชันย์อสูร จำไว้!”

ฮิโระอดงงในการกระทำของบิดาไม่ได้ หากท่านต้องการจะสั่งสอนหรือให้กำลังใจก็ไม่ต้องแสดงออกด้วยการกระทำถึงขนาดนี้เลย แต่อย่างไรก็ตามเธอก็ขยับตัวอย่างสุภาพหลุดออกจากอ้อมแขนของบิดาแล้วเอ่ยคำขอตัว

“ข้าไปก่อนขอรับ”

จาเนสเพียงแต่พยักหน้า มองบุตรสาวคนเล็กหันกายเดินหายลับไปทางประตูท้องพระโรง

เจ้าหญิงฮิโระไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ลับตาจากบุตรสาวไปแล้ว จาเนสก็แหงนหน้าขึ้นมองเบื้องบนแล้วพูดขึ้นลอย ๆ ว่า

“ออกมาเถิด โคเรีย ข้ารู้ว่าเจ้ามองอยู่”

“หึ หึ หึ ไม่ได้เจอกันเสียนานนะ จาเนสเพื่อนรัก!” เสียงดังกังวานดังขึ้นก่อน แต่แปลกที่เสียงนั้นเหมือนกับจะดังมากก็จริงแต่มันจำกัดอยู่เฉพาะภายในท้องพระโรง-ไม่สิ หากจะกล่าวให้ถูกคือ เฉพาะพื้นที่ในรัศมีสามเมตรรอบตัวจาเนสเท่านั้น

ถัดมาอีกอึดใจ ก็ปรากฏแสงสว่างเรืองรองขึ้นเบื้องหน้าจาเนส แล้วภายในแสงสว่างนั้น ร่างอันสวยสง่าในชุดขาวบริสุทธิ์ก็ปรากฏกายขึ้น รูปร่างภายนอกของผู้มาใหม่เหมือนกับมนุษย์ธรรมดานี่เอง หากแต่มีสง่าราศีสูงส่ง เค้าหน้าสวยงามจนไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเค้าหน้าของมนุษย์ใดในโลกได้ ความงามของใบหน้านั้นงามเกินกว่าจะระบุเพศของเจ้าของร่าง หากเป็นชายก็เป็นหนุ่มรูปงามที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา หากเป็นหญิงเล่าก็แน่นอนว่างามล้ำกว่าสตรีใด ๆ เจ้าของร่างอัศจรรย์นี้ คือ โคเรีย พระเจ้าแห่งเนฟเวอร์แลนด์ ผู้อยู่เหนือกาลเวลา (หมายถึงเป็นอมตะ) นั่นเอง

“หึ หึ มาดูวาระสุดท้ายของจอมราชันย์อสูรทั้งที ทำไมไม่มาด้วยตัวเอง” จาเนสกล่าว

“ท่านก็รู้นี่ งานบนสวรรค์ยุ่งขนาดไหน” โคเรีย - หรือจะกล่าวให้ถูก ภาพฉายของโคเรียกล่าวตอบ

“คราวนี้เดิมพันด้วยอาวุธก่อนประวัติศาสตร์เลยหรือ?” จาเนสถาม

“ใช่” โคเรียกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ท่านไม่มีทางเลือกหรอก”

“เอาล่ะ ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง ข้าคงต้องแสดงไปตามบทที่ท่านเขียนล่ะ” จาเนสตอบอย่างไม่ยินดียินร้าย “แต่ทั้งท่านและข้าก็ ‘ไม่รู้’ พอ ๆ กันนี่ เกี่ยวกับอารยธรรมโบราณที่เป็นต้นกำเนิดของดาบนั่น”

“ใช่” พระเจ้ายอมรับโดยดี “ท่านพูดถูก นี่เป็นการ ‘เดิมพัน’”” “ฮึ โดยมี ‘อนาคตของเนฟเวอร์แลนด์’ เป็นของเดิมพันนี่นะ” น้ำเสียงฝ่ายอสูรเริ่มไม่พอใจ “ท่านเห็นชีวิตนับแสนนับล้านบนเนฟเวอร์แลนด์เป็นอะไร เป็นเพียงเครื่องเล่นของท่านงั้นหรือ ไม่เปลี่ยนเลย...”

“หยุด” ภาพฉายเขม็งตาจ้องอีกฝ่ายหนึ่ง หากแต่ลึกลงไปในน้ำเสียงและนัยน์ตาคู่นั้นแฝงไปด้วยแววแห่งความเสียใจ “ไม่ต้องพูดแล้ว มันก็เหมือนเมื่อ 996 ปีก่อนนั่นแหละ ความเห็นของเราคงเป็นเส้นขนานที่ไม่มีทางมาตัดกันได้”

“...”

“...”

ทั้งสองฝ่ายเงียบงันไป ต่างก็จ้องหน้าซึ่งกันและกัน ในที่สุดจาเนสก็เอ่ยขึ้นว่า

“บางที ข้าคงจะเหนื่อยแล้วล่ะ โชคดีที่ข้าอาจจะได้พักผ่อนก่อนท่าน... ฝากเนฟเวอร์แลนด์ไว้ด้วยล่ะ”

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แต่ข้ารับฝากไว้ด้วยวิธีการของข้าเองนะ”

“เอาเถิด”

ความเงียบเข้าครอบงำทั้งสองอีกครั้ง ในที่สุดภาพฉายของพระเจ้าแห่งเนฟเวอร์แลนด์ก็ขยับตัวจะตัดบทสนทนา

“ถ้ายังไง ไปถึง ‘ที่นั่น’ แล้วฝากเกลี้ยกล่อมท่าน ‘มุเงน’ ด้วยก็แล้วกัน”

“ข้าต้องทำเช่นนั้นแน่” จาเนสตอบแล้วทำท่าเหมือนจะพูดอะไรอีกแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากออกมา โคเรียเป็นฝ่ายสังเกตเห็นอาการนั้นเองจึงถามว่า

“จะถามว่า ข้ารู้เรื่องมาเรียรึเปล่า? ล่ะสิ”

“มาเรียอยู่ ‘ที่นั่น’ แล้วหรือไม่” จาเนสถามสิ่งที่อยากรู้โดยดี

“อยู่” เป็นคำตอบ “แต่เฉพาะดวงวิญญานนะ ร่างของนางข้าขอเก็บไว้ใช้ประโยชน์”

“ท่าน!” จาเนสอุทานด้วยความโกรธ โคเรียรีบปรามว่า

“ลืมหลักสัจธรรมที่ว่า ‘อนัตตา’ แล้วหรือ? ร่างไร้วิญญานย่อมไม่ใช่ของของนางอีกต่อไปจะมาพะวงกับกายหยาบของมนุษย์อีกทำไมเล่า และอย่างไรก็ตาม ตามสายตาข้า นางก็เป็นมนุษย์บาปหนาที่ไปเข้ากับท่าน เพราะฉะนั้นให้ ‘ร่าง’ ของนางไถ่บาปให้กับนางก็ยังดี”

“พูดเอาแต่ได้” จาเนสวิพากษ์ตรง ๆ แต่แล้วก็ตัดใจได้ “เอาเถิด ทำตามที่ท่านเห็นว่าสมควรก็แล้วกัน เจ้า ‘คน’ หัวดื้อเอ๋ย”

“หึ หึ หึ ไม่ถามหรือ ว่ากรณีมาเรียเป็นฝีมือใคร” โคเรียถามอีก

“ฮะ ฮะ ฮะ ขนาดข้ายังไม่รู้เลย ท่านก็คงไม่ทราบหรอก”

“จริงของท่านแหละ ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่เราสองคนยังหยั่งรู้ไม่ได้เลยว่ามันเป็นใคร?”

“...” จาเนสเงียบไปอีก “เอาเถิด ถึงยังไงข้าก็กำลังจะไปพบมาเรียแล้ว ท่านตัดการติดต่อได้แล้วล่ะ ผู้กล้าคนใหม่กำลังจะมาถึงแล้ว”

“ลาก่อน เพื่อนรักเอ๋ย” เป็นคำพูดสุดท้ายของโคเรียที่มีต่อจาเนส

“หึ เพื่อนรักหรือ?” จาเนสถอนหายใจกับตัวเอง แล้วก็ทรุดกายลงนั่งบนราชบัลลังค์อสูร รอการมาของใครบางคนอย่างสงบ

...


back index next
1