มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคพิเศษ (Side Story-外伝)

สหายศึกแห่งทะเลทราย (ครึ่งแรก)

เขียนและตีพิมพ์ครั้งแรกในถนนนักเขียนของพันทิปดอทคอม เดือนเมษายน 2548
ตีพิมพ์ในแดนจินตภาพและแก้ไขเพิ่มเติม 8 พ.ค 2548

ปีอสุรศักราชที่ 993 แห่งเนฟเวอร์แลนด์ โลกที่ปกครองด้วยมหาเทพสามองค์ อันได้แก่ มหาเทพโคเรีย กับมหาเทพอิปซิลอนซึ่งเป็นฝ่ายธรรมะ และจอมราชันย์อสูรจาเนสผู้ถูกตราหน้าจากฝ่ายแรกว่าเป็นฝ่ายอธรรม ส่งผลให้แผ่นดินนี้อยู่ในสภาวะสงครามระหว่างชนชาวมนุษย์ สาวกของมหาเทพสององค์แรก กับเผ่าพันธุ์อสูรบริวารของฝ่ายหลัง

แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยอำนาจที่คะคานกันอย่างสมดุลระหว่างมหาเทพทั้งสามองค์ ทำให้มหาสงครามระหว่างมนุษย์กับอสูรเกิดขึ้นเพียงสามครั้งเท่านั้นนับแต่เริ่มนับปีอสุรศักราชมา นอกนั้นก็มีเพียงศึกกระทบกระทั่งกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ของบรรดาแว่นแคว้นต่าง ๆ เท่านั้น หากแต่ในบรรดาศึกเล็กศึกน้อยเหล่านั้น-ที่นักประวัติศาสตร์ในยุคหลังบันทึกไว้สั้น ๆ เพียงบรรทัดหรือสองบรรทัดในตำราประวัติศาสตร์ของเนฟเวอร์แลนด์- จำนวนกว่าครึ่งกลับเป็นสงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง... มนุษย์ต่างเผ่า ต่างแคว้น ต่างเชื้อชาติ เมื่อว่างจากการระดมพลเพื่อทำสงครามศักดิ์สิทธิ์ในการปราบพวกอสูร พวกเขาก็กลับห้ำหั่นกันเอง... อนิจจา

รูปบาลโตสดั่งเช่นวันนี้ ภายใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า สาดส่องอย่างไร้ปราณีลงบนผืนทะเลทรายสีทองกว้างใหญ่ไพศาลของจาปิโตส- แคว้นที่มีอาณาเขตกินพื้นที่ทั้งหมดของทะเลทรายชื่อเดียวกับแคว้น บัดนี้กองทัพอันเกรียงไกรของเหล่านักรบทะเลทรายจำนวนสามพัน กำลังยืนโอบล้อมดินแดนโอเอซิสแห่งหนึ่งอยู่ ทิวธงที่ชูสลอนหน้าแถวทหารแต่ละหมวดหมู่ บ่งบอกให้ทราบว่า พวกเขาคือ กองทัพหลวงของแคว้นจาปิโตส และนำทัพโดยขุนพลชาญสมร ชายวัยกลางคนผู้ไว้หนวดเคราดูน่าเกรงขาม นามว่า บาลโตส

เบื้องหน้าของพวกเขา ทัพเล็ก ๆ ของชนเผ่าที่อาศัยในโอเอซิสแห่งนี้จำนวนห้าร้อยคนออกมายืนรับอย่างไม่หวาดหวั่น หัวหน้าเผ่าในชุดนักรบทะเลทราย สาวอูฐออกมาเบื้องหน้ากองกำลังเล็ก ๆ ของตนพร้อมกับที่แม่ทัพบาลโตสก็กระตุ้นให้อูฐของตนก้าวออกไปเช่นกัน

“ว่าอย่างไร พวกเจ้าจะสวามิภักดิ์ต่อองค์กาหลิบของเราหรือไม่?”

บาลโตสถามเข้าประเด็นในทันที ก่อนหน้าที่จะประจันหน้ากันเต็มอัตราศึกเช่นนี้ พวกเขาผ่านการเจรจาด้วยทูตมาแล้วหนึ่งครั้ง

“เฮอะ กาหลิบของพวกเจ้าช่างโลภมากนัก แผ่นดินจาปิโตสกว้างใหญ่ไพศาลปานนั้น ยังไม่เพียงพออีกหรือ พวกเจ้าจะยกเลิกพันธะสัญญาที่กาหลิบองค์ก่อน ๆ ให้การรับรองสิทธิในการอาศัยอยู่ ณ ผืนโอเอซิสแห่งนี้ของพวกเราหรืออย่างไรกัน”

“พวกเจ้าอย่าได้บังอาจกล่าวจาบจ้วงองค์กาหลิบแห่งจาปิโตส แผ่นดินที่พวกเจ้าอาศัยอยู่ ก็เพียงให้พวกเจ้ายืมชั่วคราวเท่านั้น บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะทวงคืนแล้ว เพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่แห่งจาปิโตสที่จักรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นต่อไป... ถามครั้งสุดท้าย คำตอบของพวกเจ้าคือ?”

“ไม่ พวกข้าไม่ยอมก้มหัวให้คนบ้าอำนาจอย่างเจ้าเด็กหนุ่มคาร์มา เลอ ลูเด็ดขาด!!!”

“ดี... ถ่ายทอดคำสั่ง ปราบพวกขบถแบ่งแยกดินแดนเหล่านี้ให้สิ้นซาก!”

สิ้นคำเจรจาของทั้งสองฝ่ายซึ่งจบลงด้วยการแตกหัก เสียงโห่ร้องของไพร่พลทั้งปวงก็ดังขึ้น ทัพของทั้งสองฝ่ายขยับจะวิ่งเข้าประจันบาญกัน ณ บัดนั้น

แต่ก่อนที่พวกจาปิโตสจะได้ทันขยับอะไรมาก ก้อนวัตถุอะไรบางอย่างก็ปลิวว่อนข้ามหัวกองกำลังฝ่ายโอเอซิส จากด้านหลังของพวกเขาแล้วมาตกลงกลางทัพจาปิโตสอย่างแม่นยำ ตามด้วยเสียง...

ตูม! ตูม! ตูม! ตูม!

ระเบิดจำนวนสี่ลูกทำงานของมันอย่างซื่อสัตย์ ทรายถูกระเบิดพุ่งกระจายเป็นจำนวนกองเท่ากับจำนวนลูกระเบิดที่ขว้างมา นักรบทะเลทรายผู้โชคร้ายถูกแรงระเบิดอัดจนกระเด็น เศษอวัยวะปลิวว่อน ความสูญเสียฝ่ายจาปิโตสเกิดขึ้นทันที หนึ่งร้อยศพ... แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งร้อยศพเท่านั้นจากจำนวนเดิมสามพัน

ทัพจาปิโตสระส่ำระสายไปในทันที และในทันใดนั้นเอง ทัพฝ่ายต่อต้านก็แปรขบวนเป็นแถวหน้ากระดานสามชั้น ชั้นหน้าสุด ระดมยิงธนูเข้าใส่ไพร่พลจาปิโตสอย่างรวดเร็ว แล้วสลับด้วยธนูจากแถวสอง แถวสามตามลำดับ แล้วกลับมาเป็นแถวแรกอีก เมื่อไพร่พลในแถวแรกขึ้นสายลูกธนูพร้อมแล้ว

นับเป็นกระบวนยุทธที่พรั่งพร้อม และมีประสิทธิภาพเสียนี่กระไร!

“ฮึ่ม พวกเจ้า... ไปได้ใครมาสอนยุทธวิธีเยี่ยงนี้...”

บาลโตสคำรามในลำคอ เขาตระหนักดีกว่ายุทธวิธีการรบที่เป็นระเบียบแบบแผน ดูเหมือนจะมีการวางแผนซักซ้อมมาก่อนแล้วเช่นนี้ ไม่ใช่แนวทางการสู้รบของชนเผ่าทะเลทรายไม่ว่าเผ่าใดทั้งสิ้น นั่นย่อมหมายความว่า...

อย่างไรก็ตาม ทัพหลวงแห่งจาปิโตสภายใต้การคุมของขุนพลชาญศึกผู้นี้ก็สมเป็นทัพหลวงอันเกรียงไกรติดอันดับต้น ๆ แห่งกองทัพประจำแคว้นต่าง ๆ ในเนฟเวอร์แลนด์ หลังจากไพร่พลที่อยู่ด้านหน้า ล้มตายดุจใบไม้ร่วงด้วยกลยุทธการยิงธนูของฝ่ายตรงข้าม พวกเขาก็จัดขบวนตั้งรับได้ในไม่กี่อึดใจต่อมา โล่โลหะถูกยกขึ้นป้องกันธนูอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับที่พลนักรบที่มีฝีมือก็สามารถใช้ดาบใหญ่ของตนปัดลูกธนูที่ยิงมาได้ ไพร่พลในแถวหลังเริ่มยิงธนูสวนกลับไปแบบวิถีโค้ง กล่าวคือ ยิงให้ข้ามศีรษะแนวหน้าของพวกตนไปตกลงที่กองกำลังศัตรู ส่งผลให้เกิดความระส่ำระสายและช่องว่างในห่าฝนของลูกธนูฝ่ายตรงข้ามที่กำลังสาดมาบ้าง

“บุกเข้าไป!”

บาลโตสสั่งเมื่อเห็นว่าทัพตนพร้อมบุกขยี้แล้ว

เสียงโห่ร้องดังขึ้น พร้อมกับทัพของจาปิโตสเคลื่อนพลบุกเข้าไปทันที... อย่างเป็นระเบียบ

บาลโตสควบอูฐของตนวิ่งตามทหารไปช้า ๆ ปล่อยให้ไพร่พลจำนวนครึ่งทัพวิ่งเลยหน้าตนออกไป เขาไม่ใช่นายทัพประเภทบุกตลุยนำหน้าทหารเลว แต่เป็นนายทัพประเภทใช้ทั้งยุทธวิธี และสามารถรบได้ด้วยตัวเองในยามจำเป็น

เงาดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านข้างของแม่ทัพวัยกลางคน พร้อมกับที่คมอาวุธฟาดใส่เขาอย่างรวดเร็ว

เคร้ง!

เสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น โลหะข้างหนึ่งเป็นดาบในมือของชายผู้แต่งชุดนินจา เป็นนินจาผมดำ ด้านบนของศีรษะย้อมสีผมเป็นสีทอง ผูกผมด้านหลังเป็นหาง หน้าบาก-มีรอยแผลเป็นยาวที่แก้มซ้าย ส่วนอีกข้างหนึ่ง... เป็นดาบในมือของชายในชุดซามูไรอีกคนหนึ่งที่ปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้ เขายืนหันหลังให้แม่ทัพจาปิโตส ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ให้ฝ่ายนั้น

“... เจ้า!”

นินจาผู้ประทุษร้ายชะงัก แล้วผละตัวถอยหลังไปอย่างระแวดระวัง ภารกิจลอบสังหารผู้นำทัพฝ่ายตรงข้ามของเขาล้มเหลวเสียแล้ว... ภารกิจที่เขาได้รับการว่าจ้างมา

“... เจ้าเองรึ ซาโต้”

ชายในชุดซามูไรลดดาบลงบ้าง แต่ก็ยังไม่ละสายตาจากอีกฝ่าย

“... พวกมันจ้างทหารรับจ้างในการศึกครั้งนี้ได้ ข้าก็จ้างได้เช่นกัน...”

เสียงของบาลโตสดังมาอย่างผู้เหนือกว่า เขามั่นใจถึงการมีส่วนร่วมของคนนอกตั้งแต่เห็นกลยุทธการต่อสู้เมื่อครู่แล้ว และนึกดีใจครามครัน ที่ตนไม่ประมาท สั่งจ้างซามูไรผู้นี้มาด้วย... แนวกลยุทธที่ฝ่ายที่น้อยกว่าจะพลิกชนะได้มีไม่มากนัก หนึ่งในนั้นคือ การลอบสังหารแม่ทัพฝ่ายได้เปรียบนั่นเอง

เขาสั่งต่อว่า

“โรซุย เจ้ารู้จักนินจาคนนี้หรือ? แต่ก็หวังว่าเจ้าจะไม่ทรยศต่อนายจ้างนะ!”

“ข้าทราบดีท่านบาลโตส ข้าจะจัดการกับมันเอง... แค่คนที่รู้จักกันสมัยอยู่ที่มุโระมะจิเท่านั้น หาใช่สหายไม่”

มุโระมะจิ คือ ชื่อแคว้นที่เป็นเกาะอยู่ทางตะวันออกสุดของทวีปเนฟเวอร์แลนด์ เป็นแคว้นที่มีวัฒนธรรมผิดแผกไปจากผืนแผ่นดินใหญ่ ทั้งภาษาที่ใช้ การแต่งกาย อาหารการกิน ศิลปะ และ... วิถีการต่อสู้

สิ่งที่คนแผ่นดินใหญ่รู้จักดีเกี่ยวกับมุโระมะจิ คือ นินจา... นักสู้ผู้ถนัดการลอบทำร้ายรวมทั้งลอบสังหาร สอดแนม ก่อวินาศกรรม และนักรบตามวิถีของมุโระมะจิ ที่เรียกว่า ซามูไร

“...”

นินจานามซาโต้ทำเสียงจึกปากอย่างไม่สบอารมณ์ ฝ่ายตรงข้ามจ้างโรซุยซึ่งเป็นซามูไรพเนจรที่เขา “เคย” รู้จักมาเป็นผู้คุ้มกันหรือนี่? โลกช่างแคบจริง ๆ และหากเป็นโรซุยผู้นี้แล้วไซร้... ภารกิจลอบสังหารแม่ทัพจาปิโตสก็ดูท่าจะต้องล้มเหลวโดยสิ้นเชิง การณ์ไม่เป็นไปดั่งที่นายจ้างของฝ่ายเขาคาดคิดเสียแล้ว...

ขณะที่ซาโต้กับโรซุยโผนเข้าหากัน อูฐของบาลโตสก็ควบขึ้นไปไกล

...

ไพร่พลในแนวหน้าของทั้งสองฝ่ายปะทะกันด้วยอาวุธดาบในระยะประชิดแล้ว...

ฝ่ายตั้งรับทิ้งธนูและหยิบดาบขึ้นมาห้ำหั่นกับฝ่ายผู้รุกรานอย่างดุเดือด ความห้าวหาญของทั้งสองฝ่ายทำให้แนวรบถูกตรึงอยู่กับที่ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งที่ฝ่ายรุกมีกำลังมากกว่า แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าสู่แนวรบได้ทุกคน

พลันก็บังเกิดความระส่ำระสายขึ้นในทัพชนเผ่าคนกลุ่มน้อย

“อ้าก!”

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นขึ้นหลายเสียงประสานกันเซ็งแซ่ จากบริเวณแนวหลังของกองกำลังฝ่ายต่อต้าน ส่งผลให้แนวหน้าเสียสมาธิและถูกตีแตกเข้ามาทันที

ที่พื้นทรายด้านล่างที่พวกเขาเหยียบย่ำอยู่ บัดนี้บังเกิดสัตว์ชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นยั้วเยี้ยเต็มไปหมด สัตว์ที่เมื่อหัวหน้าเผ่าเห็นแล้วต้องหน้าถอดสี

“แมงป่องทะเลทราย!”

เขาเสียท่าบาลโตสเสียแล้ว กิตติศัพท์ที่ว่าบาลโตสสามารถใช้เวทมนต์เรียกฝูงแมงป่องทะเลทรายขึ้นมาทำร้ายศัตรูนั้นเป็นความจริง และกำลังได้รับการพิสูจน์อยู่เบื้องหน้าเขา

อันที่จริงบรรดาพวกเขาซึ่งใช้ชีวิตอยู่ในทะเลทราย ย่อมมีภูมิคุ้มกันต่อพิษของแมงป่องเหล่านี้เป็นอย่างดี แต่ก็เพียงแค่ไม่ให้ถึงแก่ชีวิตในทันทีที่รับพิษเท่านั้น มิใช่สามารถข่มพิษได้ทั้งหมดแต่อย่างไรไม่

เมื่อผนวกกับการโจมตีประสานงานกันอย่างยอดเยี่ยมของกองทัพจาปิโตสที่ดาหน้ากันเข้ามาได้จังหวะกับที่แมงป่องผุดจากพื้นขึ้นมาเช่นนี้ ไพร่พลฝ่ายเขาก็ล้มตายดุจใบไม้ร่วงบ้าง จนดูเหมือนกองกำลังของเขาจะล่มสลายอย่างรวดเร็ว

ไพร่พลห้าร้อยของเขา เหลือเพียงหนึ่งในสิบ เพียงพริบตา!!!

“ยิปสีด

เขาเรียกนักรบทะเลทรายคนหนึ่งที่รบอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา

“ท่านพ่อ?”

“... เราแพ้แล้วล่ะ เจ้ารีบหนีไปก่อนเถิด ไปสมทบกับพวกนั้น เร็วเข้า!”

“ไม่ ท่านพ่อ ข้าจะสู้ตายอยู่กับท่าน!”

บุตรชายตอบ พลางควงดาบฟาดฟันไพร่พลฝ่ายตรงข้ามที่ดาหน้าเข้ามาหาตนอีกสองสามคน ชุดของเขาตลอดจนอูฐที่ขี่อยู่เต็มไปด้วยเลือดแดงฉานของศัตรู

“ใครจับหัวหน้าเผ่ากับบุตรชายได้ จะได้รางวัลอย่างงาม ไม่ว่าจับเป็นหรือจับตาย!”

เสียงของบาลโตสดังขึ้นไม่ไกลนัก เขาเข้าร่วมสมรภูมิจนอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นบุคคลทั้งสองดังกล่าวได้ด้วยตาเปล่าแล้วนั่นเอง

เสียงเฮดังลั่นจากไพร่พลจาปิโตสอย่างกระเหี้ยนกระหือ หลายคนโผนเข้าหาเป้าหมายทั้งสองอย่างมาดมั่น

“ไป! ยิปสีด รีบไป”

หัวหน้าเผ่าควบอูฐแซงหน้าบุตรชายขึ้นไปทันที ดาบใหญ่ในมือแกว่งราวจักรผันเข้าใส่บรรดาผู้ประสงค์ร้าย

ชายหนุ่มนามยิปสีดขยับตัวจะตามบิดาของตนไป แต่แล้วใครบางคนก็ดึงบังเหียนของอูฐเขาไว้จากด้านหลัง ผู้อยู่บนอูฐใจหายวาบ แต่เมื่อหันไปก็พบว่าเป็นคนที่เขารู้จักนั่นเอง

“ท่านยิปสีด พวกเราแพ้แล้วล่ะ... ท่านทำตามที่ท่านหัวหน้าเผ่าบอกเถิด”

“...ซาโต้...เจ้า”

เป็นนินจานามซาโต้นั่นเอง เขาผละจากโรซุยหลังจากสู้กันได้ระยะหนึ่ง

“ข้าจะไปช่วยท่านหัวหน้าเผ่าเอง ท่านหนีไปก่อนเถิด ไปกับท่านชิก เร็วเข้า...”

นินจาสำทับมาอีก บุตรชายหัวหน้าเผ่าจึงได้ยอมทำตามแต่โดยดี เขาชักอูฐกลับ และพบว่าชายหนุ่มร่างเล็กบนหลังม้ารอเขาอยู่แล้ว

“รีบไปเถิด ท่านยิปสีด”

ชายร่างเล็กผู้สวมแว่นตาเอ่ยปากเร่ง เขาคือ ผู้ที่ซาโต้เรียกว่า ชิก นั่นเอง

หนึ่งม้าหนึ่งอูฐควบหนีเข้าไปในโอเอซิสทันที ชิกใช้อาวุธอะไรบางอย่างในมือยิงกระสุนเข้าใส่ข้าศึกที่รายล้อมอยู่จนแตกกระเจิง ข้าศึกที่ถูกกระสุนของเขาทรุดฮวบลงทันทีโดยไม่มีใครสามารถหลบพ้นวิถีกระสุนที่เร็วยิ่งกว่าธนูหลายสิบเท่านี้ได้เลย

อาวุธที่ชิกบอกใครต่อใครว่า มันเรียกว่า ปืน

เบื้องหลังพวกเขา สมรภูมิการรบที่กำลังจะสิ้นสุดลง ห่างออกไปทุกขณะ

...

หลังจากควบพาหนะตัดผ่านโอเอซิสซึ่งบัดนี้ถูกเก็บจนรกร้างว่างเปล่า ออกไปยังอีกด้านหนึ่ง เข้าไปในทะเลทราย มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปจนตะวันคล้อยต่ำ พวกเขาก็มาทันกับกองคาราวานเล็ก ๆ ของเด็กกับผู้หญิงในเผ่า

สภาพของกองคาราวานที่เห็นทำให้ยิปสีดใจหายวาบ

“เกิดอะไรขึ้นนี่?”

“ท่านยิปสีด!”

อัศวินในชุดเกราะสีขาว ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยคราบเลือด ขี่ม้าผละออกจากท้ายคาราวาน ตรงมาหาเขาทั้งสอง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความร้อนรน

“พวกจาปิโตส... มันจัดทัพแยกตามรอยคาราวานเรามาด้วย... เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา เราประทะกับพวกมันไปครั้งหนึ่ง ข้ากับพวกขับไล่พวกมันไปได้หมดแล้ว แต่ก็...”

น้ำเสียงตอนท้ายขาดหายไปด้วยความรู้สึกเสียใจที่ตนทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์... หน้าที่คุ้มครองกองคาราวานนี้

ยิปสีดกำหมัดแน่น... สภาพความเสียหายของกองคาราวาน และจำนวนผู้รอดชีวิตที่น้อยเต็มทน ทำให้เขาจินตนาการได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น... ทหารรับจ้างที่คุ้มครองคาราวานเอง ดูเหมือนจะเหลือเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น รวมตัวหัวหน้าซึ่งเป็นอัศวินผู้นี้

“ข้า... ขอโทษด้วยที่...”

อัศวินผู้มีผมสีทองเอ่ยคำออกมาอย่างจริงใจ แต่ยิปสีดชิงยกมือปรามก่อน

“ไม่เป็นไรหรอกท่านซากิฟอน... พวกท่านทำงานได้เต็มที่แล้ว... พวกจาปิโตสมันโหดเหี้ยมเกินไปต่างหาก...”

เขาหยุดเล็กน้อยจึงกล่าวต่อ

“ใครเลยจะคิด เพื่อแย่งชิงโอเอซิสนี้ไป มันถึงกับจัดทัพมาเต็มอัตราศึกเยี่ยงนี้... แล้วยังพฤติกรรมที่ผิดหลักมนุษยธรรมอย่างการมาโจมตีกองอพยพของพวกเราอีกเล่า?...”

“พวกที่ท่านเจอเมื่อครู่มีจำนวนเท่าไร?”

ชายสวมแว่นนามชิกถามสอดขึ้น

“ราวหนึ่งร้อยได้...”

เป็นคำตอบจากอัศวิน ชิกทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะวิเคราะห์ให้ฟังว่า

“ข้าคิดว่า พวกเราไม่ปลอดภัยเสียแล้ว... เมื่อครู่คงเป็นเพียงกองย่อยที่พวกมันแยกย้ายกันสุ่มออกตามล่าพวกเรา และบังเอิญมาเจอเข้า... แต่ถ้าพวกมันที่หนีไปติดต่อพวกเดียวกันได้ และรวบรวมกองกำลังใหญ่มาละก็...”

คราวนี้ทั้งยิปสีดและซากิฟอนหน้าถอดสีไปตาม ๆ กัน

“พวกมัน... หมายจะล้างเผ่าพันธุ์กันเลยหรืออย่างไร?...”

บุตรชายหัวหน้าเผ่าเค้นเสียงออกมาอย่างโกรธแค้น ทหารรับจ้างทั้งสองคนมองหน้ากัน และเป็นชิกที่พูดขึ้นอีกว่า

“พวกมันคงไม่ต้องการพวกท่านเหลือรอดไปแจ้งข่าวต่อเผ่าเร่ร่อนเผ่าอื่น ๆ กระมัง... ชนเผ่าทะเลทรายอย่างพวกท่านรู้จักกันทั้งหมด และมีสายสัมพันธ์กันไม่มากก็น้อยทั้งสิ้นมิใช่หรือ?”

“... คงเป็นอย่างที่เจ้าว่า...”

จาปิโตสภายใต้การนำของกาหลิบองค์ใหม่ผู้กระหายเลือด คาร์มา เลอ ลูคงปรารถนาจะครอบครองดินแดนทะเลทรายนี้แต่เพียงผู้เดียว ต่างกับกาหลิบองค์ก่อน ๆ ที่ยอมรับการมีอยู่ของชนเผ่าอิสระต่าง ๆ ในอาณาเขตของตน

“แล้วเราจะเอาอย่างไรกันดี?”

อัศวินเอ่ยถามขึ้นอย่างร้อนรน เขาสบตากับชิกอีกครั้งแล้วก็พอจะเดาใจอีกฝ่ายได้

“ท่านยิปสีดจะเดินทางไปที่ตั้งของเผ่าอะดลัสตามแผนเดิมกระมัง?”

เป็นชายร่างเล็กอีกตามเคยที่ถามขึ้น

“ใช่... ข้านัดกับท่านพ่อไว้ที่นั่น... หวังว่าท่านซาโต้จะช่วยท่านพ่อออกมาได้นะ”

“ถ้าเช่นนั้น... เราคงแยกทางกันตรงนี้ ท่านพาพวกหนีไปตามแผนเดิมเถิด พวกเราขอเกวียนเปล่า ๆ สักครึ่งหนึ่ง แล้วจะล่อพวกจาปิโตสไว้เอง...”

“พวกท่าน... จะดีหรือ?... พวกท่านเป็นเพียงทหารรับจ้าง ไม่ต้องมาเสี่ยงชีวิตให้กับพวกเราขนาดนั้นก็ได้”

“ก็เพราะเป็นทหารรับจ้างสิ ถึงต้องทำงานให้สมกับค่าจ้างที่ได้รับล่วงหน้ามาแล้ว... และอีกอย่าง... งานครั้งนี้ สรุปแล้วพวกเราก็ช่วยพวกท่านให้พ้นภัยพิบัติแทบจะไม่ได้เลย...”

ซากิฟอนตอบอย่างขื่น ๆ ส่วนชิกยื่นมามาตบบ่าของนายจ้าง แล้วกล่าวว่า

“ถือว่าพวกข้าช่วยท่านได้แค่นี้ก็แล้วกัน เราแยกย้ายกันไป และหลังจากนั้นก็... ตัวใครตัวมัน หากพวกข้าจะหนีรอดจากการไล่ล่าของจาปิโตสได้หรือไม่ ก็ไม่ถือเป็นสิ่งติดค้างกับท่านแล้ว... ว่าแต่ ท่านพาพวกหนีไปให้รอดก็แล้วกัน...”

ยิปสีดนิ่งคิดเพียงอึดใจเดียวก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว สมเป็นผู้อยู่ในทะเลทรายอันโหดร้ายมานาน

“ตกลงตามนี้ ข้าจะไม่ลืมบุญคุณพวกท่านเลย”

...

ขบวนคาราวานจริงเคลื่อนไปไกลแล้ว ขณะที่ขบวนคาราวานหลอกของทหารรับจ้างที่เหลือเริ่มเคลื่อนขบวนบ้าง

“ท่านแน่ใจนะว่าพวกมันจะตามเรามา แทนที่จะเป็นขบวนของท่านยิปสีด”

“แน่ใจสิ... ดูจากทิศทางที่เราหนีแล้ว พวกมันต้องปักใจเชื่อว่า เราจะหนีไปขอความช่วยเหลือจากเผ่าอื่น หรือไม่ก็เข้าสู่แคว้นไกเซอร์โอน หรือแคว้นนาฮารีแน่... ทางเลือกของ ‘เรา’ จะมีหลายทางหากมาทางนี้ และเป็นทางที่ราบรื่นด้วย...”

ชิกตอบอย่างมั่นใจ “เผ่าอื่น” ที่เขากล่าวถึงนั้น ข้อมูลจากหัวหน้าเผ่าซึ่งเป็นบิดาของยิปสีดได้ให้ไว้ว่า ที่จริงได้ย้ายที่ตั้งไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน.. แต่ทางจาปิโตสยังไม่ทราบ ดังนั้นย่อมคิดว่าเผ่าของยิปสีดจะหนีไปทางนี้อยู่ และยังเป็นชายแดนติดกับแคว้นทั้งสองที่เอ่ยชื่อมาด้วย... ทางเลือกของฝ่ายหนีย่อมเพิ่มขึ้น

ขณะที่เส้นทางที่ยิปสีดพาพวกหนีต่อไปนั้น จะตรงไปยังที่ตั้งของเผ่าอะดลัสซึ่งเป็นเผ่าที่ค่อนข้างใหญ่และรบเก่ง มีที่มั่นตั้งอยู่ในบริเวณค่อนข้างเร้นลับ ระหว่างทางจะต้องผ่านเนินทรายที่มีรูปร่างแปรเปลี่ยนตลอดเวลาด้วยลมทะเลทรายที่โหมกระหน่ำ ทำให้ช่วยกลบเกลื่อนร่องรอยของฝ่ายหนีได้ แม้ทางจะทุรกันดารบ้าง แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับชนเผ่าทะเลทรายพวกนั้น

ทหารรับจ้างทั้งสองคน ขณะนี้ซ่อนกายในชุดของนักรบทะเลทราย เพื่อให้สมจริงในการหลอกศัตรูมากขึ้นในกรณีที่ศัตรูใช้เวทตาทิพย์หรือใช้กล้องส่องทางไกลตรวจหา พวกเขาต่างนิ่งเงียบไปสักพัก มองอูฐที่ลากเกวียนของตนไปเรื่อย ๆ ข้างขบวนมีทหารรับจ้างอีกสองสามคนขี่ม้าตามมาอยู่

“... ร่วมงานกันครั้งแรก ก็เจองานหินเลย หึหึหึ ท่านคงไม่คิดว่าข้าเป็นตัวซวยนะ”

จู่ ๆ อัศวินก็เป็นฝ่ายเปรยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“ฮะ ๆ ๆ ถ้าจะซวยก็ซวยด้วยกันทั้งหมดนะแหละ... เสียดายที่...”

ชิกหัวเราะตอบ แล้วกล่าวต่ออย่างรวดเร็ว

“หากมีเวลาให้ข้าอีกสักนิด คงฝึกกลยุทธให้พวกเขาได้มากกว่านี้...”

“... ท่านซาโต้กับท่านหัวหน้าเผ่าจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้...”

“...”

การสนทนาของสองสหายศึกจบเพียงนั้น ต่างฝ่ายต่างจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง

ซากิฟอนแอบชำเลืองมอง “ปืน” ของชายสวมแว่นอย่างสนใจ เขาทราบดีว่ามันเป็นอาวุธ “วิทยาศาสตร์” ไม่ใช่อาวุธเวทที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไปในเนฟเวอร์แลนด์ แคว้นที่ผลิตและใช้อาวุธวิทยาศาสตร์ได้มีเพียงสหพันธรัฐโดมเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การที่ชิกเอาอาวุธนี้ติดตัวออกมานอกแคว้นได้ ย่อมแสดงว่าต้องมีฐานะที่สูงส่งทีเดียวในสหพันธรัฐที่ปกครองด้วยคณะทหาร และดำเนินนโยบายการทหารนำการเมืองเป็นหลักนั้น

ส่วนชิกก็พอจะทราบเช่นกันว่า อัศวินที่ตนเพิ่งรู้จักและร่วมงานด้วยเป็นครั้งแรกในฐานะทหารรับจ้างนี้ เป็นอัศวินระดับสูงทีเดียว แม้ว่าเจ้าตัวจะใช้ดาบขูดลายบนเสื้อเกราะออกไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็มองออกว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของทัพซีลีนิก ทัพอัศวินศักดิ์สิทธิ์ที่เกรียงไกรที่สุดในเนฟเวอร์แลนด์ มีหน้าที่อารักขาแคว้นศักดิ์สิทธิ์โคเรียสะทีนซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิหารโคเรีย ศูนย์กลางของลัทธิบูชามหาเทพโคเรีย และเป็นที่พำนักของจักรพรรดิโดริฟานผู้รั้งตำแหน่งประมุขนิกายโคเรียด้วย... ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ประมุขของมวลมนุษย์โดยกลาย ๆ นั่นเอง

หากแต่อัศวิน-หรือหากจะกล่าวให้ถูกก็ควรจะเป็นอดีตอัศวิน-แห่งทัพซีลีนิก ทำไมจึงมาเป็นทหารรับจ้างเช่นนี้เล่า?... แน่นอน คำถามนี้ชิกไม่เคยเอ่ยถามอีกฝ่าย เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายก็ไม่เคยเอ่ยถามความหลังของเขาเช่นกัน

...


กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป
1