มหากาพย์สงครามเนฟเวอร์แลนด์

ภาคพิเศษ (Side Story-外伝)

สหายศึกแห่งทะเลทราย (ตอนจบ)

เขียนและตีพิมพ์ครั้งแรกในถนนนักเขียนของพันทิปดอทคอม เดือนเมษายน 2548
ตีพิมพ์ในแดนจินตภาพและแก้ไขเพิ่มเติม 8 พ.ค 2548

(ต่อจากตอนที่แล้ว)

ยามอาทิตย์อัสดง เหลือเพียงแสงฉาบฉานบนท้องฟ้าจนแดงระเรื่อ ขบวนของทหารรับจ้างก็อยู่ในระยะไล่ล่าของทัพจาปิโตสจำนวนห้าร้อยที่ตามมาทัน

“มาแล้วรึ?”

ซากิฟอนพึมพำเสียงเครียด

ขบวนคาราวานแยกตัวออกเป็นสองส่วนทันที ส่วนหนึ่งควบหนีไปกับทหารรับจ้างบนหลังม้า อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยเกวียนจำนวนสามเล่มถูกทิ้งไว้ มองจากสายตาผู้ไล่ล่า ฝ่ายหนีคงรีบหนีและทิ้งเกวียนสัมภาระไว้นั่นเอง

แต่เมื่อเหล่านักรบทะเลทรายไล่ตามมาจนถึงเกวียนทั้งสามเล่มนั้น พลัน...

บรึม! บรึม! บรึม!

เสียงระเบิดก็ดังขึ้นไล่เลี่ยกันสามครั้ง เกวียนระเบิดออกและพรากชีวิตผู้ไล่ล่าไปถึงหนึ่งในห้าเลยทีเดียว

ระเบิด- อาวุธวิทยาศาสตร์ของชิกนั่นเอง มันทำงานได้ผลอีกครั้ง

ผู้ไล่ล่าเสียขวัญไปตาม ๆ กัน ดูจากท่าทีแล้วคงมีเพียงนายกองระดับรอง ๆ ลงไปจากบาลโตสคุมมา ตัวแม่ทัพผู้นั้นหาได้มาเองไม่ พวกเขาเสียเวลาจัดรูปขบวนพักหนึ่งจึงออกไล่ตามต่อ

คราวนี้ สมรภูมิย้ายที่มาเป็นป่าหินแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางทะเลทรายเวิ้งว้างนั้น ป่าหินที่เต็มไปด้วยโขดหินใหญ่ ๆ วางระเกะระกะเต็มไปหมดในรัศมีราวสองกิโลเมตร มองเห็นเด่นจากที่ไกลในยามที่ล่วงเข้าเขตของรัตติกาลเช่นนี้

อันที่จริง ชิกยิ้มทันทีที่เห็นสถานที่นี้และเขากำหนดที่นี่เป็นสมรภูมิสุดท้ายเอง ชายหนุ่มเผ่นแผลวไปหลังโขดหินหนึ่ง แล้วโผล่ร่างท่อนบนขึ้นมา ประทับปืนขึ้นแนบบ่าแล้วยิงออกไปแบบรัวทันที

ปัง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ร่างของนักรบทะเลทรายล้มลงราวใบไม้ร่วง ก่อนที่ที่เหลือจะเป็นหน้าที่ของทหารรับจ้างคนอื่นภายใต้การนำของซากิฟอนจะเข้าจัดการ

“ดาบเล็บมังกร (ริวโซซัน 竜爪斬

ซากิฟอนใช้ท่าไม้ตายประจำตัวออกมาทันที เขากวัดแกว่งดาบคู่มืออย่างหนักหน่วงเสริมด้วยพลังตบะในตัว ทำให้เกิดคลื่นสุญญากาศพุ่งเข้าหาหมู่ศัตรู

ฉัวะ ๆ ๆ

ร่างของข้าศึกถูกตัดขาดเป็นชิ้น ๆ คนแล้วคนเล่า จนคลื่นสุญญากาศนั้นอ่อนตัวลง นับเหยื่อของไม้ตายนี้ได้ถึงห้าสิบคนเลยทีเดียว

กองกำลังจาปิโตสบุกเข้ามาอย่างบ้าเลือด และการต่อสู้ตะลุมบอนก็เริ่มขึ้นระหว่างทหารรับจ้างไม่กี่คนกับนักรบทะเลทรายซึ่งแม้จะล้มตายไปมากด้วยอาวุธวิทยาศาสตร์และท่าไม้ตายของอัศวิน แต่ก็ยังเหลืออยู่นับเรือนร้อย

น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ทหารรับจ้างอื่นถูกฆ่าตายจนสิ้น ขณะที่ซากิฟอนเองก็ตกอยู่ในวงล้อม

ชิกปีนขึ้นไปโขดหินสูงแล้วพยายามสาดอาวุธของตนลงไปอีก แต่อย่างไรก็ตาม เขาตระหนักดีว่ากระสุนจวนจะหมดแล้ว

“... คงจบสิ้นกันเพียงนี้สินะ”

เขารำพึงในใจ

ขณะนั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้น พร้อมประกายอาวุธที่ทำให้นายกองสองคนที่คุมทัพจาปิโตสมาครั้งนี้ ศีรษะขาดจากลำตัว...

“พวกจาปิโตส นายกองของพวกเจ้าตายแล้ว ถอยไปเสีย มิฉะนั้น ‘พวกข้า’ จะฆ่าให้หมด”

เสียงลึกลับดังขึ้น ได้ยินชัดเจนทั่วสมรภูมิ การเคลื่อนไหวของทุกคนหยุดนิ่ง ก่อนที่พวกนักรบทะเลทรายเมื่อสำรวจพบว่าคำกล่าวข้างต้นเป็นจริง จึงค่อย ๆ รามือถอยห่างออกไปด้วยความหวาดกลัวต่อศัตรูที่มองไม่เห็น แต่ก็ยังรวมกลุ่มกันอย่างคุมเชิง

ชิกถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น

“ท่านซากิฟอน ทางนี้!”

หนุ่มร่างเล็กส่งเสียงเรียกอีกฝ่ายเบา ๆ อัศวินชุดขาวซึ่งบัดนี้กลายเป็นสีแดง หันหน้าขึ้นมาแล้ว กระโจนไต่โขดหินขึ้นมายืนข้างชิกอย่างรวดเร็ว

ชิกพาซากิฟอนเดินลัดเลาะลึกเข้าไปในป่าหิน ทั้งสองคนหันไปมองด้านหลังเป็นระยะ ๆ แต่ก็ไร้วี่แววว่าพวกจาปิโตสจะบุกเข้ามา

ใครบางคนยืนรอพวกเขาอยู่แล้วที่ใต้ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

“ท่านซาโต้!”

สองเดนตายทักขึ้นพร้อมกัน ซาโต้แค่นยิ้มแล้วกล่าวว่า

“หึ สุดท้ายก็เหลือแค่เราสามคนหรือ... งานนี้ล้มเหลวสิ้นเชิงเลยสินะ บ้าที่สุด”

“... ท่านหัวหน้าเผ่าล่ะ?” เป็นชิกที่ถามขึ้น ในใจพอเดาคำตอบนั้นได้ลาง ๆ อยู่แล้ว

“ถูกบาลโตสฆ่าตายแล้ว ข้าช่วยไม่ทัน... อย่าว่าแต่จะช่วยเลย ซามูไรรับจ้างของฝ่ายนั้นมันเล่นงานข้าแทบแย่เหมือนกัน... สรุปแล้วทัพทางนั้นราพณาสูร”

ราพณาสูร... คือ ตายเรียบ ไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียว

“...”

อัศวินหนุ่มตบบ่าอีกฝ่ายหนัก ๆ เป็นเชิงปลอบใจ ทั้งสามเงียบพักหนึ่ง ก่อนที่ชิกจะถามขึ้น

“แล้วเราจะเอาอย่างไรกันดี...”

ซากิฟอนหันไปมองทิศที่พวกตนเพิ่งผละหนีมา ก่อนจะตอบว่า

“ก็คงต้องหนีจากพวกนี้ให้ได้กระมัง... หรือไม่ก็สู้ตาย...”

“พวกเราตกลงกับท่านยิปสีดไว้อย่างนั้น”

ชิกอธิบายให้นินจาผู้มาสมทบทีหลังฟัง นั่นคือ พันธกิจแห่งการว่าจ้างของพวกเขากับชนเผ่านี้สิ้นสุดลงแล้ว ณ ขณะที่กองทัพไล่ล่าของจาปิโตสตามคาราวานหลอกนี้มาทัน ที่เหลือก็เป็นการเอาตัวรอดของพวกเขาเอง

“และ... ข้าจะสารภาพกับพวกท่านด้วยว่า กระสุนปืนข้าเหลืออีกไม่กี่นัดก็จะหมดแล้ว ระเบิดที่ติดตัวมา ก็ใช้หมดแล้วด้วยเช่นกัน”

นั่นหมายความว่า หากจะสู้ตาย ผู้ที่เป็นกำลังรบมีเพียงสองคนเท่านั้น

“ถ้าเช่นนั้น ก็ไม่มีทางเลือกอื่น... หนี”

ซาโต้สรุปง่าย ๆ

ทั้งสามคนลัดเลาะเข้าไปในป่าหิน ตามทิศทางแล้ว หากพวกเขาพ้นป่าหินนี้ ก็จะเหลือระยะทางอีกเล็กน้อยก่อนจะถึงชายแดนจาปิโตส... เมื่อนั้นก็มีโอกาสรอดแล้ว

พลัน ซาโต้ซึ่งมีประสาทไวที่สุดและเป็นผู้เดินนำหน้า ก็หยุดชะงัก หันมาโบกมือให้เพื่อนอีกสองคนหยุดด้วย

“ชู่ว์... มีคนอยู่ตรงนี้”

เสียงกระซิบของนินจาบอกว่าเช่นนั้น

อัศวินหนุ่มและหนุ่มแว่นเหลียวมองไปทางโน้นทางนี้เลิ่กลั่ก ก่อนที่ซาโต้จะค่อย ๆ พาพวกเขาย่องผ่านหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง เพื่อพบว่า

บนลานหินเบื้องหน้า ร่างของใครบางคนนอนเอนกายพิงโขดหินที่ลาดเอียงประดุจพนักเก้าอี้ธรรมชาติอยู่อย่างสบายอารมณ์

ที่ว่าสบายอารมณ์ก็เพราะดวงหน้าอันจิ้มลิ้มพริ้มเพรานั้น กำลังหลับสนิทนั่นเอง

เป็นดวงหน้าน่ารักของเด็กสาวอายุราวสิบสอง-สิบสามปีซึ่งซ่อนร่างอยู่ในชุดโร้บคลุมทั้งตัวและมีหมวกคลุมศีรษะด้วย แต่บัดนี้หมวกคลุมนั้นเคลื่อนต่ำไปทางด้านหลัง ทำให้ชายผู้มาใหม่ทั้งสามมองเห็นดวงหน้านั้นได้อย่างถนัดถนี่

สหายศึกทั้งสามหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย

“เด็กที่ไหนกันมานอนอยู่แถวนี้?”

ซากิฟอนถามขึ้นเบา ๆ โดยที่ตนก็รู้อยู่เต็มอกว่า สหายทั้งสองคงตอบไม่ได้

“เด็กขนาดนี้... น่าจะมีผู้ใหญ่อยู่ด้วยนะ...”

ชิกมองไปรอบข้าง แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของสิ่งมีชีวิตอื่น... อย่าว่าแต่สิ่งมีชีวิตอื่นเลย แม้แต่สัมภาระของเด็กน้อยผู้นี้ก็ยังไม่เห็น

“เอาอย่างไรดี... ถ้าพวกมันตามมาและพบนางเข้าละก็... นางอาจจะโดนลูกหลงไปด้วย”

นินจาเอ่ยขึ้น ยังผลให้เพื่อนทั้งสองหนักใจตามกันทันที

“นั่นสิ เราพาความเดือดร้อนมาให้นางเสียแล้ว...”

ชิกรำพึงช้า ๆ... แล้วก็เสนอต่อว่า

“เรากลับไปเผชิญหน้ากับพวกมันอีกครั้งดีไหม แล้วคราวนี้หนีไปทางอื่น...”

“ข้าเห็นด้วย”

อัศวินหนุ่มตอบรับทันที สองคนหันไปมองทางเพื่อนร่วมทางที่เหลือ

“หึ... เอาไงเอากัน”

นินจาตอบ

“ไปกันเถอะ ก่อนที่นางจะตื่นขึ้นมา...”

เสียงชักชวนของชิกยังไม่ทันขาดคำ เสียงใส ๆ ก็ดังขัดขึ้นว่า

“ไม่ต้องลำบากไปไหนหรอก...มนุษย์เอย เราตื่นตั้งแต่พวกเจ้าเข้ามาใกล้แล้ว”

“?!!!”

สามสหายมองหน้ากัน แล้วหันขวับไปทางต้นเสียงเป็นจุดเดียว

เด็กสาวที่พวกเขาเข้าใจว่าอยู่ในนิทรา บัดนี้ลืมตาใสแป๋วของเธอมองมาทางพวกเขาอย่างสนใจ

ดวงเนตรที่งามลึกล้ำประดุจประกายของดวงดาราบนท้องฟ้าราตรี ดวงเนตรที่ทรงอำนาจและเสน่ห์อย่างประหลาด หากแต่ในขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความดุร้ายที่ยากบรรยาย

ชิกได้สติก่อน รีบระล่ำระลักออกมาว่า

“เอ้อ... อ้า... ขอโทษ แม่นางน้อยด้วยที่พวกข้ามารบกวน... พวกข้าจะไปล่ะ”

“นั่นสิ... ขออภัยด้วย”

ซาโต้รีบกล่าวเสริมอีกคน แม้จะสงสัยในใจอยู่ครามครันว่าเด็กสาวเบื้องหน้าเป็นใคร หรือเป็น “อะไร” กันแน่ แต่เขาก็ไม่ได้ถามออกไป พยักเพยิดกับพวกตนจะเดินตามกันออกไปจากบริเวณลานหินนั้น

“เดี๋ยว... ถ้าพวกเจ้าออกไปตอนนี้ มีหวังจะโดนพวกที่กำลังตามล่าพวกเจ้าฆ่าเอาสิ”

“พวกข้าไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้ารอให้พวกมันตามมาถึงที่นี่ เจ้าจะแย่ไปด้วย”

อัศวินรีบหันไปชี้แจง

“หึหึหึ พวกเจ้าน่าสนใจดีนี่ ไม่เหมือนกับมนุษย์คนอื่น ๆ เลย.... ว่าแต่...”

เด็กสาวชันตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วงอเข่าลุกขึ้นยืน ความสูงของเธอเพียงช่วงอกของชิกที่เตี้ยที่สุดในบรรดาสามคนเท่านั้นเอง

“พวกมันตัดสินใจบุกเข้ามาในป่าหินนี้แล้วล่ะ”

“อะไรนะ?!!!”

นินจาซาโต้ทวนคำอย่างตื่นตระหนก เขาทรุดตัวลงเอาหูแนบพื้น แล้วก็เงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้กับสหายของตนเป็นเชิงยืนยันคำพูดของเด็กสาว

“ถ้าเช่นนั้น... เจ้ารีบหนีไปเถิด แม่นางน้อย พวกเราจะอยู่รับมือพวกมันเอง”

อัศวินหนุ่มหันไปบอกอีกฝ่าย

“หึหึหึ.... แล้วถ้าเกิดเราเป็นอสูร ซึ่งเป็นศัตรูของพวกมนุษย์เล่า... พวกเจ้ายังจะยืนยันคำเดิมหรือไม่”

เด็กสาวสบัดหน้าสองสามครั้งจนผมสีแดงก่ำของเธอขยับเปิดให้เห็นใบหูที่แหลมชันผิดมนุษย์ ใบหูที่เป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่าอสูร!

เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังชูมือข้างซ้ายขึ้นมาให้ดู มือข้างซ้ายที่เมื่อพ้นจากชายแขนเสื้อคลุมที่ยาวรุ่มร่ามนั้นแล้ว จึงเห็นได้ชัดว่ามันเป็นมือปิศาจชัด ๆ มือที่ขาวโพลนประดุจกระดูก บนหลังมือ ถึงกับเป็นรูปกระโหลกศีรษะที่น่ากลัว นิ้วมือทั้งห้าสีดำและยาวเรียวผิดปกติ ปลายนิ้วประดับด้วยเล็บแหลมคม

มือปิศาจที่จะพบเห็นได้ในฝันร้ายโดยแท้

หากแต่ปฏิกิริยาจากมนุษย์ทั้งสามกลับผิดคาดนัก

ชิกยกมือกุมหน้าผากอย่างอ่อนใจ ขณะที่อัศวินร้องขึ้นมาว่า

“โอย เจ้าจะเป็นอะไรก็ช่างเถิด ถ้าไม่รีบหนีตอนนี้ จะไม่ทันการณ์นะ เร็วสิ!”

ส่วนนินจาก็พูดว่า

“ตอนนี้ที่พวกข้าสนใจ คือ เรื่องระหว่างมนุษย์ด้วยกันนะ และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ารีบหนีไปเถิด!”

“...”

เด็กสาวชาวอสูรถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ แต่แล้วเธอก็เปล่งเสียงหัวเราะขึ้นเบา ๆ แล้วดังขึ้นทุกขณะ

“หึหึหึ ... ฮะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”

เธอหัวเราะแล้วก็ส่ายหน้าไปมาอย่างขบขัน ท่ามกลางสายตาที่มองมาด้วยความประหลาดใจ แกมร้อนใจของสามหนุ่ม เด็กสาวหยุดหัวเราะในที่สุด แต่ก็ยังเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะว่า

“เราไม่เคยเจอมนุษย์ที่พิลึกเช่นพวกเจ้าเลย... เช่นนี้เถิด เราจะร่วมสู้กับพวกเจ้าด้วย... เพราะหากเราหนีในตอนนี้จะกลายเป็นว่า ทหารเลวสวะ ๆ ของจาปิโตสแค่ ‘กระหยิบมือหนึ่ง’ มาขับไล่เราให้หนีจากที่พักแรมในคืนนี้เสียได้!”

“เจ้า...โธ่ ไม่ทันแล้ว”

ชิกร้องอย่างหมดหวังแกมระอาในความดื้อรั้นของเด็กสาว

เสียงฝีเท้าที่ดังใกล้เข้ามาทุกขณะ ทำให้สหายเดนตายทั้งสามคนหันขวับไปทางต้นเสียง... กองไล่ล่าของจาปิโตสทุ่มกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่บุกเข้ามาแล้ว

ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นทุกขณะ ชิกกำปืนในมือแน่น แม้รู้ว่ามันกำลังจะหมดประโยชน์ในไม่ช้า

แต่แล้ว ทุกอย่างกลับจบลงอย่างรวดเร็ว... เร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดฝันถึง

“นินจาหลบไป เกะกะ!”

เปลวไฟลูกหนึ่งพุ่งเข้าหาซาโต้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เร็วไปกว่าที่เขาถลันตัวหลบได้ สามสหายมองไปทางต้นเหตุอย่างงุนงง เด็กสาวคนนั้นนั่นเองที่กำลังชี้มือซ้ายอันน่าสะพรึงกลัวของตนไปยังตำแหน่งที่ซาโต้ยืนอยู่เดิม ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เธอจะมิใช่เจ้าของเพลิงเวทที่แทบจะประทุษร้ายนินจาหน้าบากด้วย เมื่อเห็นร่างของเขาหลบไปจากตำแหน่งนั้นแล้ว เธอก็ร่ายมนต์อย่างรวดเร็ว

“นักล่าสีดำแห่งภพอสูรเอย จงมารวมพลังในอุ้งมือของข้าเถิด แลแผดเผามันผู้บังอาจต่อต้านให้หมดสิ้น จงไป! ไฟอสูรประลัยกัลป์! (มะโช เรนโกะกุ 魔招煉獄

ขาดคำ เปลวเพลิงสายใหญ่พวยพุ่งจากอุ้งมือของเธอตรงไปยังทิศที่เธอชี้ เปลวเพลิงนั้น แตกสายประดุจสายน้ำหลาก แล้วไหลเลื้อยอ้อมไปตามซอกหินอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตา ป่าหินด้านนอกที่พวกสามสหายเพิ่งเดินผ่านมา ก็กลายเป็นทะเลเพลิงผืนใหญ่... ทะเลเพลิงที่เกิดจากเวทของเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนเดียว

ไม่มีแม้แต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่มีเสียงใด ๆ นอกจากเสียงไฟที่แผดเผาอย่างรุนแรง เสียงหินที่ถูกความร้อนจนแตกลั่นเปรี้ยะ ๆ กลิ่นไหม้ของหินโชยมาเข้าจมูกของมนุษย์ทั้งสามที่ยืนตะลึงอยู่... แต่พวกเขาไม่ได้กลิ่นของศพมนุษย์ที่ไหม้เลยแม้แต่น้อย... หากกระนั้น สัมผัสที่หกก็บอกว่า กองกำลังจาปิโตสที่ตามพวกเขามานั้น บัดนี้ล่มสลายลงแล้ว...ในพริบตาเดียว ศพของพวกนั้นคงไม่เหลือแม้แต่ซากเพียงเถ้าธุลี!!!

เด็กสาวชาวอสูรลดมือลง ไฟที่เกิดจากเวทของเธอดับวูบลงทันทีเช่นกัน เหลือทิ้งไว้เพียงความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และกลิ่นไหม้ของป่าหินทั้งแถบ

“ฮึ... เท่านี้ก็เรียบร้อย”

ริมฝีปากน้อย ๆ นั้นเชิดขึ้นอย่างถือดี ท่ามกลางสายตาของสามสหายที่ยังอ้าปากค้าง งุนงงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ชิกทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง เมื่อรู้ว่าข้าศึกสิ้นไปแล้วเขาก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างกระทันหัน สมองเต็มไปด้วยความมึนงง

“จ... เจ้าเป็นใครกันแน่”

ซาโต้รวบรวมสติถามขึ้น เขารับรู้ได้ถึงเจตนาของเด็กสาวที่ยิงลูกไฟใส่เขาว่า ต้องการเพียงให้เขาหลบจากวิถี “มหาเวท” ของเธอเท่านั้น หาได้ต้องการประทุษร้ายเขาไม่

ท่ามกลางสายตาสามคู่ที่เฝ้ารอคำตอบ สิ่งที่หลุดจากริมฝีปากคู่น้อยนั้นกลับเป็น

“พวกเจ้านี่... เวลาจะถามชื่อคนอื่นน่ะ เขาให้แนะนำตัวเองก่อน ไม่เคยเรียนมารยาทสังคมหรืออย่างไร?”

เด็กสาวตอบพลางกอดอกอย่างถือตัว

“...”

คราวนี้สามสหายต้องจ้องหน้ากันอีกครั้ง แล้วก็พากันยิ้มแหย ๆ ซาโต้หันไปแนะนำตัวก่อน เพราะเมื่อครู่เป็นเขาที่พลั้งปากถามทำให้เธอตอกหน้ากลับมาได้เช่นนี้ จึงเป็นเขาที่ต้องแก้ตัวก่อน

“ถูกของเจ้า ข้าขออภัยด้วยเถิด... ข้าชื่อซาโต้... อดีตเคยเป็นนินจาของมุโระมะจิ ปัจจุบันเป็นทหารรับจ้าง...ที่เพิ่งจะตกงานเมื่อหัวค่ำนี้เอง”

“ข้าชื่อซากิฟอน...อดีตเป็นอัศวิน... ตอนนี้ก็เป็นทหารรับจ้างตกงานเช่นกัน”

“ส่วนข้า... ชื่อ ชิก... เป็นชาวบ้านธรรมดาแหละ มาเป็นทหารรับจ้างครั้งแรกก็เจอแต่เรื่องล้มเหลวเสียแล้ว ฮะ ๆ ๆ ๆ”

ชิกแนะนำตัวแล้วหัวเราะ... พาให้สหายอีกสองคนหัวเราะไปด้วย

ใช่ พวกเขายังคงหัวเราะได้ เพราะพวกเขายังมีชีวิตรอดอยู่นั่นเอง....

(รูปฮิโระ ตอนอายุ 17 ในปีอสุรศักราช 997)

“หึหึหึ....”

เด็กสาวชาวอสูรยิ้มน้อย ๆ พลางหัวเราะในลำคอ ชิกอดมองดวงหน้าพริ้มเพรานั้นอย่างเผลอไผลไม่ได้ ยามเธอยิ้มดูช่างสดใสเหลือเกิน

“ทีเราสินะ... เราคือฮิโระ แห่งนีโอกลาด”

คราวนี้ ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมบรรยากาศอีกครั้ง นีโอกลาด คือ ชื่อแคว้นของจอมราชันย์อสูรผู้นั้น... ดินแดนสนธยาบนผืนแผ่นดินเนฟเวอร์แลนด์ ดินแดนที่เหล่ามนุษย์ผู้เป็นสาวกของมหาเทพโคเรียหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องลบมันออกจากแผนที่เนฟเวอร์แลนด์ให้จงได้

สามสหายต่างกลืนน้ำลายเอื้อก แล้วในที่สุด ก็ค่อย ๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ว่า

“...ฮิโระ...”

“แห่งนีโอกลาด...”

“....อย่าบอกนะว่า เจ้า...เอ้อ ท่าน คือ.....”

เงียบอีกอึดใจหนึ่ง สามเสียงก็ประสานกันว่า

“ธิดาองค์เล็กของจอมราชันย์อสูรจาเนส!!!”

“ใช่แล้ว!”

เด็กสาวตอบรับทันที

สามสหายมองหน้ากันอีก เสียงใครบางคนเปรยขึ้นว่า

“มิน่า... พลังเวทตะกี้... สุดยอดเลย”

... พลังเพลิงนรกที่แผดเผาให้ทหารจาปิโตสราพณาสูรทั้งกองในพริบตาเดียว

ทั้งสี่ชีวิตพากันทรุดตัวลงนั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ตัว จากนั้นบทสนทนาของพวกเขา ก็เริ่มเข้าสู่เรื่องสัพเพเหระ... โดยที่ประเด็นแรกคือ คำถามของเจ้าหญิงฮิโระที่ว่า

“พวกเจ้าไปอย่างไรมาอย่างไร ถึงได้มาถูกทัพจาปิโตสตามล่าเช่นนี้เล่า?”

แต่เมื่อประเด็นแรกนี้จบแล้ว เหตุไฉนประเด็นหัวข้อที่ยกมาสนทนากันต่อ กลับเป็นเรื่องสัพเพเหระที่ข้ามขอบเขตความแตกต่าง- หรือความแตกแยก- ระหว่างมนุษย์กับอสูรนั้น ทั้งสี่คนเองก็จำไม่ได้

คืนนั้น พวกเขาสนทนากันทั้งคืน จนพวกมนุษย์ค่อย ๆ ผลอยหลับไปทีละคน ๆ เริ่มจาก ชิก ซากิฟอน และซาโต้ตามลำดับ

ฮิโระหลับตาลงเป็นคนสุดท้าย แต่ถึงยามรุ่งสาง เมื่อแสงอาทิตย์แรกของวันสาดส่องลอดช่องหินเข้ามายังลานหินนั้น เธอก็พบว่า เธอลืมตาตื่นขึ้นไล่เลี่ยกับหนุ่มทั้งสาม

และเมื่อฮิโระเอ่ยปากชักชวนว่า

“พวกเจ้าก็มีฝีมือ ไม่ลองมาเป็นทหารรับจ้างให้กับทัพนีโอกลาดดูหน่อยหรือ? ที่นี่ ทัพอสูรของเราสนใจแต่ปัจจุบัน ไม่เคยสนใจขุดคุ้ยอดีตของใคร ท่านพ่อของเราต้องยินดีต้อนรับพวกเจ้าแน่นอน”

คำตอบจากทั้งสามคนคือ ตกลง

...

และนี่คือ เรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์ปีอสุรศักราชที่ 993 ของเนฟเวอร์แลนด์ สงครามแผ่ขยายอำนาจของกาหลิบองค์ใหม่แห่งจาปิโตส นาม คาร์มา เลอ ลู ซึ่งรบกับชนเผ่าเล็ก ๆ ในโอเอซิสแห่งหนึ่ง จบลงด้วยการสิ้นเผ่าพันธุ์ของชนเผ่านั้นก็จริง แต่ เบื้องหลังศึกครั้งเล็ก ๆ ที่นักประวัติศาตร์รุ่นหลังมองข้ามนี้ ทำให้เจ้าหญิงฮิโระ ธิดาองค์เล็กของจอมราชันย์อสูร ได้มีโอกาสพบกับบุคคลซึ่งกลายเป็นสามยอดขุนพลแห่งนีโอกลาด และเป็นกำลังสำคัญของเธอในเวลาต่อมา

ในปีนั้นเอง เจ้าหญิงฮิโระซึ่งมีสิริมายุได้ 13 ชันษาก็ได้กลับเข้าสู่แคว้นนีโอกลาด สมทบกับกองทัพอสูรของบิดาตน หลังจากที่เธอออกท่องเที่ยวหาประสบการณ์ไปในดินแดนเนฟเวอร์แลนด์เพียงลำพังคนเดียวถึง 4 ปี

ในตอนนั้น ใครเลยจักหยั่งรู้ว่า อีก 4 ปีให้หลัง ในปีอสุรศักราชที่ 997 สงครามครั้งใหญ่ที่เรียกว่า มหาสงครามเนฟเวอร์แลนด์จะได้อุบัติขึ้น โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่เจ้าหญิงฮิโระคนนี้เอง


กลับไปอ่านตอนที่แล้ว +++ กลับไปหน้าสารบัญ
1