นิยายแฟนตาซีแบบไทย

ศึกหกภพ

โดย เชษฐา

บทที่ 1 หมู่บ้านนิษาท
(1)


นามนั้นนรผู้เวไนย
จัตววรรณะใดแบ่งบ้าง
คือแพศย์พราหมณ์อีกไอ--ศุริย ศูทร
ต่างสุขสานติสล้างสืบสร้อง สรรพชน
... ... ...

มนุสสภูมิ

... ... ...

“เฮ้ย ไอ้สนลงมาเร็วสิโว้ย! ”
ต้นมะม่วงใหญ่ถูกกระทุ้งอย่างแรงจนใบร่วงปลิว คนอยู่ข้างบนร้องตอบเสียงฝืดๆ
“ได้ยินแล้ว หยุดร้องโหวกเหวกเสียที”

ชายหนุ่มค่อยๆปีนลงมา “อะไรของเอ็งวะ ไอ้น้อย”
เขากล่าวเมื่อถึงพื้นดินที่ไม่ได้ลงเหยียบย่างมานาน
“ก็...ก็ แม่เอ็งน่ะสิ” ไอ้น้อยกล่าวติดๆด้วยท่าทีเร่งร้อน
“...แม่เอ็งเกิดเรื่อง”
“เรื่องอะไรวะ?”
ไอ้น้อยสะอึก หลบสายตาไปอีกทางหนึ่ง “ก็เรื่อง...เรื่อง”
“พูดอะไรข้าไม่เข้าใจ” สนชักใจไม่ดี
“เรื่อง...เหมือนพ่อเอ็ง” ไอ้น้อยหลุดออกมาในที่สุด
สนสะดุ้งเบิกตาโพลง จับไหล่เพื่อนเขย่าอย่างแรง “เรื่องอะไรวะ!!” สนใจคอไม่ดี
ก่อนหน้านี้ไม่นานนายแสงพ่อของเขาเพิ่งจากไปไม่นานโดยการกระทำอัตวินิบาตกรรมซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เขาสะเทือนใจจนต้องปลีกตนออกมาจากสังคมภายนอกระยะหนึ่ง

ซึ่งความจริงหลังจากผ่านภัยแล้งครั้งที่แล้วมา
การกระทำอัตวินิบาตกรรมก็เกิดขึ้นบ่อยจนเกือบเป็นเรื่องปกติในหมู่บ้านของเขา

เมื่อเห็นเพื่อนอ้ำอึ้งไม่พูดอีก สนจึงผละไอ้น้อยวิ่งตรงไปยังบ้านของตนทันที
กระท่อมเล็กซึ่งบัดนี้แออัดไปด้วยคนมากหน้าหลายตาเบียดเสียดกันอยู่
เสียงซุบซิบดังหึ่งๆทั่วบริเวณ
“ไอ้สนมาแล้ว” เสียงร้องต่อกันเป็นทอดๆเมื่อสนวิ่งมาถึง
ทุกคนหลีกทางให้เขาเดินต่อเข้าไปถึงกลางบ้านอย่างว่าง่าย
ภาพที่เขาพยายามหลอกตัวเองไม่ให้นึกถึงปรากฏขึ้นเต็มตา
สองเท้าห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ
เมื่อมองขึ้นไปจึงพบศพหญิงชราคนหนึ่งที่คอกับขื่อบ้านผูกเชื่อมกันด้วยเชือก

อะไรบางอย่างมาจุกที่คอของสน หน้าอกร้อนผะผ่าว
ความร้อนนั้นไหลทะลักออกมาทางเบ้าตาผสมกลมกลืนกับหยดน้ำใสๆโดยไม่รู้ตัว

มือหนาและอบอุ่นยื่นมาตบบ่าเขา “ทำใจเถอะ แม่เอ็งสิ้นกรรมไปแล้ว”
ชายกลางคนที่แต่งกายเรียบร้อยที่สุดกล่าวอย่างเห็นใจ
เขาคือพ่อเทิดหัวหน้าหมู่บ้านและเกือบจะเป็นนักบวชกลายๆไปพร้อมกันด้วยบุคลิกลักษณะที่เป็นที่นับถือของทุกคน

ลูกบ้านคนอื่นค่อยๆกล่าวเสริม “ใช่ แม่บัวไปดีแล้ว”
“แกเป็นคนดีคงจะไปถึงสุขคติภพ ชาติหน้าก็คงได้เกิดในที่สูงๆกับเขา”
“พ่อเทิดช่วยตรวจดวงชะตาให้แกหน่อยสิ” คนหนึ่งบอกพ่อเทิด

พ่อเทิดมองหน้าสนชั่วครู่จึงค่อยๆหยิบกระดานชนวนและดินสอพองขึ้นมาเขียนคำนวนสักครู่
“...ใช่แล้วแม่บัวทำบุญไว้มาก ชาติหน้าอย่างน้อยต้องได้เกิดในวรรณะแน่นอน”
“เออ เราควรดีใจกับแกจึงจะถูก”
ศพห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ทุกคนค่อยๆยิ้มมากขึ้น
อยู่ๆก็มีคนหัวเราะขึ้นมา ทุกคนชื่นชมหัวเราะตาม
เหตุการณ์นี้ก็คล้ายตอนพ่อแสงตาย สนซึ่งตัดขาดตนเองจากโลกภายนอกชั่วขณะ
บัดนี้ความเปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอกเริ่มกลับเข้ามาเสียดแทงใจของเขา
“...มันต้องไม่ใช่อย่างนี้ มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ”

เขาตะโกนขึ้นมากลางวง “แม่ข้าพึ่งตายพวกเอ็งดีใจหาหอกอะไรวะ!”
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความแค้นเคือง สนชักมีดขึ้นจะปีนไปตัดเชือก
อย่างน้อยแม่ต้องไม่ตายในลักษณะของการถูกประจานเช่นนี้
พวกเวรนั่นยืนดูตั้งนานไม่มีใครคิดปลดศพแม่ลงมาเลย

แต่กิริยาของสนกลับชวนให้เข้าใจว่าเขาคิดชักมีดขึ้นมาทำร้ายคนอื่น
“ทำใจเสียเถอะสน คนตายยังไงก็ไม่ฟื้นคืนมาหรอก”
พ่อเทิดยุดแขนเขาไว้พลางปลอบโยน
“เรื่องของข้าเอ็งอย่าเสือก!” สนร้อง
พึ่งนึกได้ภายหลังว่าตนพลั้งปากไปกับคนที่ไม่สมควร

ก่อนที่สนจะทันกล่าวอะไรต่อไอ้เยื้องลูกชายโทนของพ่อเทิดก็แหลมขึ้นมาอย่างมีอารมณ์เหมือนกัน

“เฮ้ย ถึงเอ็งจะเสียใจอย่างไรก็ไม่ควรพูดจากับพ่อข้าอย่างนั้นนะโว้ย”
“อย่าไปโทษมันเลยเยื้อง พ่อมันพึ่งแทงตัวตายไปหมาดๆ
คราวนี้ยังจะต้องมาเสียแม่ไปอีกมันย่อมโศกเศร้าจนขาดสติบ้างเป็นธรรมดา”
พ่อเทิดกล่าวด้วยเสียงสงบและใจเย็น
“แต่ในฐานะพ่อบ้านข้าขอสอนเอ็งไว้อย่างนะไอ้สน
ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เราน่ะต่างมีกรรมด้วยกันทั้งนั้น
เราจึงต้องเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเหล่านั้นให้หมดไป
ที่เราเกิดมาชีวิตที่ต่ำต้อยและทรมานเพราะชาติก่อนเราทำกรรมไว้มากที่สุด
ทั้งพ่อและแม่เอ็งต่างทำบุญจนกระทั่งถึงจุดอิ่มตัวจึงได้สละชีพนี้ไปเกิดในที่สูงๆนับเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว”

“...แต่”
“หากเอ็งไม่เชื่อข้าเอ็งลองดูสีหน้าแม่เอ็งสิ
ดูว่าแม่บัวตายด้วยสีหน้าอย่างไร”

คนผูกคอตายก็ต้องตาเหลือกและลิ้นจุกปากเป็นที่น่าสยดสยองน่ะสิวะ สนเคือง
จะให้เขาจ้องดูสภาพนั้นของแม่ได้อย่างไร
แต่เนื่องจากคนพูดเป็นพ่อเทิดเขาจึงค่อยๆเงยขึ้นไปมองหน้าแม่ของตนตามคำสั่ง

และแล้วชั่วนาทีนั้นสนพึ่งสังเกตว่าแม้ไร้วิญญาณแต่แม่บัวขณะนี้มีใบหน้าที่ผุดผ่องสดใสยิ่งกว่าตอนมีชีวิตเสียอีก
รอยยิ้มของนางอิ่มเอิบเปล่งปลั่งแสดงว่าตายอย่างเป็นสุขอย่างยิ่ง
แม้สนเองก็ไม่ใคร่จะเคยเห็นรอยยิ้มของมารดาที่นุ่มนวลขนาดนี้มาก่อน

หากรอยยิ้มอันอบอุ่นนั้นทำเขาปวดร้าวและสับสน “แม่ช่างงดงามจริงๆ” เขาคิด

“เอ็งเห็นหรือยังล่ะว่าแม่ของเอ็งเป็นสุขเพียงไร
นี่ละคือใบหน้าของคนซึ่งอิ่มบุญกำลังจะไปมีชีวิตอย่างสุขสบายในภพหน้า”
พ่อเทิดกล่าวช้าๆชัดๆ “ความโกรธน่ะมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นทั้งนั้น
เอ็งลองหัดยับยั้งใจเอาไว้แล้วพิจารณาดูเถอะว่าชีวิตก็มีแค่นี้เอง
ที่ชาตินี้พวกเราไม่สบายเหมือนเขาเพราะเราทำบุญมาน้อยกว่าเขา
ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะน้อยเนื้อต่ำใจหากแต่ควรตั้งหน้าตั้งตาประกอบสัมมาชีพและอยู่ในศีลในธรรมเพื่อที่ชาติหน้าเราจักได้เกิดในวรรณะสูงๆและมีอำนาจ
ยศฐาบ้าง แม้กระนั้นการฆ่าตัวตายเพื่อหนีชีวิตในชาตินี้ก็เป็นความคิดที่ผิด
เพราะมนุษย์เราเกิดมาชาติหนึ่งๆเพื่อใช้กรรม
ไม่มีใครหนีกรรมได้หากชาตินี้ไม่ใช้ชาติหน้าก็ต้องไปเกิดใหม่เพื่อใช้กรรมเดิมต่อไปอีก
ข้าจึงหวังเหลือเกินให้การกระทำเช่นนี้ไม่เกิดขึ้นอีกในหมู่บ้านเรา
ส่วนการจากไปของพ่อแสงและแม่บัวพ่อแม่ของไอ้สนเป็นกรณีพิเศษเท่านั้นที่ทั้งสองทำบุญจนบาปเบาบางแล้วจึงไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ในชั้นนี้อีก”

หัวหน้าหมู่บ้านมองไปทางสน
“สงสารแต่ไอ้สนที่กลายเป็นคนไร้ญาติโดยไม่มีความผิด
เอาอย่างนี้เห็นแก่ที่พ่อแม่เอ็งเป็นคนดีคอยช่วยเหลือทางวัดเป็นประจำ
หากเอ็งไม่รังเกียจข้าจะดูแลจัดงานศพให้แม่เอ็งอย่างสมฐานะเอง
ส่วนเรื่องการกินอยู่เอ็งขาดเหลืออะไรก็มาขอพึ่งพิงบ้านข้าได้”

สนไม่ตอบอันใด เพียงมองหน้าแม่ของเขาด้วยอาการเหม่อลอย

... ... ...

หลังจากนั้นผ่านมาสามเดือนเกิดคดีฆ่าตัวตายอีกสองครั้งจนพ่อเทิดปวดหัวไม่น้อย
แต่สำหรับสนแล้วการเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอกจะเป็นอย่างไรกลับไม่สำคัญอีกต่อไป
เขามักจะมานั่งเก็บตัวอยู่บนต้นมะม่วงใหญ่ท้ายหมู่บ้านและใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันขลุกอยู่บนต้นไม้
หากหิวก็เด็ดผลมะม่วงเป็นอาหาร หากง่วงก็หลับนอนบนนั้น
ความจริงเขาปลีกตัวเช่นนี้มาตั้งแต่การจากไปของพ่อแสงแล้ว
เมื่อสูญเสียแม่บัวอีกคนสนก็แทบจะไม่เสียเวลาลงมาอีกยกเว้นลงมาจับสัตว์บ้างเมื่อถึงเวลาจำเป็นจริงๆ


สนกำลังคิด คำกล่าวของพ่อเทิดในงานศพแม่บัวยังดังก้องในหูเขาไม่หาย

“อันว่าพวกเรานิษาทนั้นแม้จะป็นชาวป่าชาวดอยแต่เราก็ควรพอใจในสิ่งที่เราเป็น
เพราะเราคือส่วนหนึ่งแห่งครรลองของสังคมอันประเสริฐ


“พวกเจ้าคงอยากทราบว่าสังคมอันประเสริฐคืออะไร?
อันว่าสังคมอันประเสริฐนั้นเปรียบเสมือนฝูงมดในรัง


“มดทั้งหลายเหล่านี้จำพวกหนึ่งมีหน้าที่หาอาหาร
จำพวกหนึ่งมีหน้าที่ป้องกันรังจากมดอื่น
จำพวกหนึ่งมีหน้าที่เป็นนางพญาปกครองรังและสืบทายาท


“แต่ไม่ว่าจะมีกี่จำพวกมดทั้งหลายต่างทำหน้าที่ของตนอย่างสุดกำลังความสามารถเพื่อบรรลุจุดประสงค์เดียวกันซึ่งคือการนำพารังของตนให้เจริญรุดหน้าไปเรื่อยๆ
และเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดนี้มดแต่ละตัวต่างพัฒนาร่างกายตลอดจนสติปัญญาขึ้นมาให้แตกต่างกันตามหน้าที่ของตนที่ถูกกำหนดมาแต่กำเนิด

ดังจะเห็นได้จากมดงานมีง่ามฟันที่แข็งแรงเพื่อใช้แรงงาน
และมดนางพญามีมดลูกอันโตใหญ่สำหรับสืบเผ่าพันธุ์


“สังคมมนุษย์ก็แบ่งภาระกันเป็นสัดส่วนเช่นนี้
แผกไปเพียงเราประเสริฐกว่ามดเพราะมีเรากรรมเป็นเครื่องกำหนด


“คนที่ทำกรรมดีแต่ชาติปางก่อนจักได้กำเนิดในวรรณะสูงและมีชีวิตที่สุขสบาย
คนมีบาปจักเกิดในวรรณะต่ำหรือไม่มีวรรณะต้องอยู่อย่างลำเค็ญนี้เป็นเรื่องปกติ


“ที่สำคัญคือทุกคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันและต่างมีหน้าที่ของตนให้รับผิดชอบ
หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งจะทำให้ครรลองของสังคมไม่อาจดำเนินต่อไปได้
สังคมนี้ไม่อาจขาดพวกเราได้พอๆกับที่ไม่อาจขาดวรรณะกษัตริย์
ดังนั้นเราจึงควรพอใจในหน้าที่อันสำคัญนี้และตั้งตนเป็นคนดีของสังคมเพื่อในภพหน้าจะได้เกิดในวรรณะสูงเป็นการตอบแทน
”



คำที่พ่อเทิดกล่าวนั้นสนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง
เขาทราบเพียงว่าที่นอกป่านั้นมีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งเป็นศูนย์รวมของสังคมที่เขาอยู่
ที่นั่นมีคนมากมายแบ่งได้เป็นสี่วรรณะ คือวรรณะพราหมณ์ที่เป็นนักบวช
วรรณะกษัตริย์ที่เป็นนักรบ
วรรณะแพศย์ที่เป็นพ่อค้าและวรรณะศูทรที่เป็นผู้ใช้แรงงาน

พวกเขาชาวนิษาทจัดเป็นจัณฑาลหรือคนไม่อยู่วรรณะใดๆทั้งสิ้นซึ่งเป็นชนชั้นที่ต่ำต้อยที่สุด
มีหน้าที่ต่อสังคมคือการล่าสัตว์ป่าแล่เป็นเนื้อไปขายให้ชาวเมืองบริโภคโดยแลกเปลี่ยนกับข้าวหญ้าหรือลูกปัดสีสวยเล็กๆน้อยๆและการได้รับการปกป้องคุ้มครองจากอะไรสักอย่าง

บางครั้งชาวเมืองจะนำปศุสัตว์ที่ตนเลี้ยงมาส่งให้นิษาทฆ่าชำแหละเนื้อเช่นกัน
เหตุผลในกรณีนั้นคือเพราะชาวเมืองบางคนถือหนักหนาว่าการฆ่าสัตว์นั้นเป็นบาปใหญ่หลวงไม่อาจกระทำเองได้จึงต้องให้นิษาทเป็นคนจัดการ
เพราะพวกนิษาทมีบาปมากอยู่แล้วหากทำบาปเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร

ทั้งหมดเป็นไปตามครรลองที่ถูกต้อง ใช่มันต้องถูกต้องสิ
พ่อเทิดก็กล่าวเช่นนั้น
ชาวป่าอย่างเขาจะรู้อะไรไปได้มากกว่าคนฉลาดอย่างพ่อเทิดเล่า
สนพยายามอธิบายกับความรวนเรในจิตใจตนเองที่เกิดขึ้นหลังจากการสูญเสียพ่อแม่ขณะที่จ้องมองรถเนื้อลากออกจากหมู่บ้านไป

ทุกเดือนหมู่บ้านเขาต้องส่งรถเนื้อเช่นนี้ไปให้พวกในเมืองสิบคันเป็นประจำ
พ่อเทิดมักเน้นย้ำว่าหากขาดแม้สักเดือนหนึ่งเท่ากับทำผิดครรลองสังคมนับเป็นบาปใหญ่หลวง
ทุกคนจึงไม่กล้าขัด
แม้จะเป็นฤดูแห้งแล้งอย่างไรก็เพียรล่าสัตว์ใหญ่น้อยร่วมไปให้ได้บางคราวถึงกับส่งส่วยจนครอบครัวตนเองไม่มีอันจะกินอดอยากตายไปไม่น้อย
ชีวิตเหี่ยวแห้งที่ต้องดิ้นรนอย่างไร้ความหวังเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ระยะหลังนี้มีนิษาทหลายคนทนชีวิตลำเค็ญไม่ได้ชิงฆ่าตัวตายไปด้วยเหตุผลเดียวกันคือปราถนาจะไปเกิดในภพหน้าที่ดีกว่า

ทั้งหมดเป็นสิ่งถูกต้องแล้ว

สนยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจึงตัดสินใจไม่คิดอีก
ขณะนั้นเองเสียงๆหนึ่งร้องเรียกเขา
“เฮ้ น้องชายขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้น” ผู้พูดเป็นชายขอทานท่าทางป้ำๆเป๋อๆ
แต่งกายสกปรกขาดวิ่น
ข้างกายเขามีชายร่างใหญ่ชนิดที่สนไม่เคยเห็นมาก่อนยืนอยู่ด้วยท่าทางเยือกเย็นจนน่ากลัว

ทั้งสองต้องไม่ใช่ชาวหมู่บ้านนี้แน่นอน
และยิ่งดูไม่เหมือนพวกที่พาสัตว์มาให้ฆ่าด้วย
แต่คนต่างถิ่นพวกอื่นจะมาที่นี่ทำไมล่ะ
สนนึกไม่ชอบมาพากลจึงแสร้งทำเป็นฟังไม่รู้เรื่องเสีย

“น้องชายกำลังมีความทุกข์สินะ” ชายขอทานกล่าวคล้ายกับว่ามันเป็นหมอดู
“แต่การหนีไปนั่งอยู่บนต้นมะม่วงนั่นไม่ช่วยให้พ้นจากอะไรหรอก
ต้นมะม่วงที่แท้จริงของน้องชายยังอยู่อีกห่างไกลนัก ห่างไกลนัก ห่างไกลนัก
ฮาฮาฮา” คราวนี้สนฟังไม่รู้เรื่องจริงๆจึงทำหูทวนลมได้อย่างสบายใจ
ชายขอทานก็ไม่รบกวนอีกแต่ยังพึมพำเพลงบ้าๆบอๆอะไรสักอย่างขึ้นมา

“ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เรื่องใหญ่กำลังจะเกิดแล้ว
เทวดาก็ยังหลุบหัวแต่บนวิมาน
สมุทรจะกลืนแผ่นดิน แผ่นดินจะถล่ม
พระอินทร์ก็ยังปิดตาวิ่งไล่นางอัปสรอยู่บนสวรรค์
แล้วอีกสามภพจะทำอย่างไร
มนุษย์จะทำอย่างไร
สัตว์ไร้ความผิดจะทำอย่างไร
”


ร้องซ้ำไปซ้ำมาสักครู่หนึ่งขอทานบ้าจึงนำชายร่างใหญ่เดินเข้าหมู่บ้านไปเอง
เพลงที่เหมือนมีความหมายเหมือนไม่มีความหมายนั้นทำให้สนหลากใจ
แต่เขาต้องก็เลิกคิด เพราะเห็นแล้วว่าตนมีนิสัยเสียคือชอบคิดมากเกินไป.............. (อ่านต่อ)

หมายเหตุ


แรงบันดาลใจที่ทำให้ผมแต่งเรื่องนี้มาจากการที่วันหนึ่ง
ผมเดินไปเห็นการ์ดเด็กเล่นที่มีรูปประกอบเป็นตัวละคร
ต่างๆของนิยายแฟนตาซีฝรั่งเช่นตัวออร์ค ตัวเอฟเป็นอาทิ

ตัวผมเองนั้นมีพื้นฐานเป็นผู้ชื่นชอบนิยายแฟนตาซีอยู่แล้ว
และได้เคยอ่านตำนานเทพนิยายของชาติฝรั่งมาหลายชาติ
(แม้แต่นิยายกำลังภายในซึ่งผมถือเป็นแฟนตาซีจีนผมก็ชอบมาก)
และเช่นเดียวกันหากมีผู้ใดแต่งนิยายแฟนตาซีลงในนี้
ในสมุดบันทึกฝันหรือที่ใดๆก็ตามที่ผมหาเจอ อย่าห่วง
เลยว่าผมจะไม่อ่านแม้จะไม่ค่อยโผล่มาวิจารณ์ก็ตาม

หากในหะแรกที่ดูการ์ดนั้นความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาใน
หัวผมบอกว่าทำไมไม่มีใครแต่งนิยายแฟนตาซีแบบ
ไทยบ้าง ผมใช้เวลาคิดเรื่องนี้อยู่นานพอสมควร
ในที่สุดจึงตัดสินใจแต่งเองจากแรงบันดาลใจดังกล่าว

ผมใช้เวลาศึกษาสภาพแวดล้อมของโลกเทพนิยายไทย
อยู่เป็นเวลาพอสมควร โดยอ่านเอาจากหนังสือดังนี้

  • เกร็ดวรรณคดี โดย สำนวน งามสุข
  • สัตว์หิมพานต์ โดย ส.พลายน้อย
  • กำเนิดพระอินท์คำกาพย์ โดย ศิริกุล ศุภวัฒนะ
  • ไตรภูมิพระร่วง โดย พระญาลิไทย

ด้วย ultimate goal (ซึ่งออกจะเกินตัว) ที่ต้องการพัฒนา
นิยายแฟนตาซีไทยแบบใหม่ที่ไม่ใช่แนวจักรๆวงศ์ๆ
"ศึกหกภพ"จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยประการฉะนี้
เชษฐา

กลับไปอ่านบทนำ +++ กลับไปหน้าสารบัญ +++ ไปอ่านตอนต่อไป 1