มนุสสภูมิ ... ... ... เฮ้ย ไอ้สนลงมาเร็วสิโว้ย! ต้นมะม่วงใหญ่ถูกกระทุ้งอย่างแรงจนใบร่วงปลิว คนอยู่ข้างบนร้องตอบเสียงฝืดๆ ได้ยินแล้ว หยุดร้องโหวกเหวกเสียที ชายหนุ่มค่อยๆปีนลงมา อะไรของเอ็งวะ ไอ้น้อย เขากล่าวเมื่อถึงพื้นดินที่ไม่ได้ลงเหยียบย่างมานาน ก็...ก็ แม่เอ็งน่ะสิ ไอ้น้อยกล่าวติดๆด้วยท่าทีเร่งร้อน ...แม่เอ็งเกิดเรื่อง เรื่องอะไรวะ? ไอ้น้อยสะอึก หลบสายตาไปอีกทางหนึ่ง ก็เรื่อง...เรื่อง พูดอะไรข้าไม่เข้าใจ สนชักใจไม่ดี เรื่อง...เหมือนพ่อเอ็ง ไอ้น้อยหลุดออกมาในที่สุด สนสะดุ้งเบิกตาโพลง จับไหล่เพื่อนเขย่าอย่างแรง เรื่องอะไรวะ!! สนใจคอไม่ดี ก่อนหน้านี้ไม่นานนายแสงพ่อของเขาเพิ่งจากไปไม่นานโดยการกระทำอัตวินิบาตกรรมซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้เขาสะเทือนใจจนต้องปลีกตนออกมาจากสังคมภายนอกระยะหนึ่ง ซึ่งความจริงหลังจากผ่านภัยแล้งครั้งที่แล้วมา การกระทำอัตวินิบาตกรรมก็เกิดขึ้นบ่อยจนเกือบเป็นเรื่องปกติในหมู่บ้านของเขา เมื่อเห็นเพื่อนอ้ำอึ้งไม่พูดอีก สนจึงผละไอ้น้อยวิ่งตรงไปยังบ้านของตนทันที กระท่อมเล็กซึ่งบัดนี้แออัดไปด้วยคนมากหน้าหลายตาเบียดเสียดกันอยู่ เสียงซุบซิบดังหึ่งๆทั่วบริเวณ ไอ้สนมาแล้ว เสียงร้องต่อกันเป็นทอดๆเมื่อสนวิ่งมาถึง ทุกคนหลีกทางให้เขาเดินต่อเข้าไปถึงกลางบ้านอย่างว่าง่าย ภาพที่เขาพยายามหลอกตัวเองไม่ให้นึกถึงปรากฏขึ้นเต็มตา สองเท้าห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ เมื่อมองขึ้นไปจึงพบศพหญิงชราคนหนึ่งที่คอกับขื่อบ้านผูกเชื่อมกันด้วยเชือก อะไรบางอย่างมาจุกที่คอของสน หน้าอกร้อนผะผ่าว ความร้อนนั้นไหลทะลักออกมาทางเบ้าตาผสมกลมกลืนกับหยดน้ำใสๆโดยไม่รู้ตัว มือหนาและอบอุ่นยื่นมาตบบ่าเขา ทำใจเถอะ แม่เอ็งสิ้นกรรมไปแล้ว ชายกลางคนที่แต่งกายเรียบร้อยที่สุดกล่าวอย่างเห็นใจ เขาคือพ่อเทิดหัวหน้าหมู่บ้านและเกือบจะเป็นนักบวชกลายๆไปพร้อมกันด้วยบุคลิกลักษณะที่เป็นที่นับถือของทุกคน ลูกบ้านคนอื่นค่อยๆกล่าวเสริม ใช่ แม่บัวไปดีแล้ว แกเป็นคนดีคงจะไปถึงสุขคติภพ ชาติหน้าก็คงได้เกิดในที่สูงๆกับเขา พ่อเทิดช่วยตรวจดวงชะตาให้แกหน่อยสิ คนหนึ่งบอกพ่อเทิด พ่อเทิดมองหน้าสนชั่วครู่จึงค่อยๆหยิบกระดานชนวนและดินสอพองขึ้นมาเขียนคำนวนสักครู่ ...ใช่แล้วแม่บัวทำบุญไว้มาก ชาติหน้าอย่างน้อยต้องได้เกิดในวรรณะแน่นอน เออ เราควรดีใจกับแกจึงจะถูก ศพห้อยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ทุกคนค่อยๆยิ้มมากขึ้น อยู่ๆก็มีคนหัวเราะขึ้นมา ทุกคนชื่นชมหัวเราะตาม เหตุการณ์นี้ก็คล้ายตอนพ่อแสงตาย สนซึ่งตัดขาดตนเองจากโลกภายนอกชั่วขณะ บัดนี้ความเปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอกเริ่มกลับเข้ามาเสียดแทงใจของเขา ...มันต้องไม่ใช่อย่างนี้ มันต้องไม่ใช่อย่างนี้สิ เขาตะโกนขึ้นมากลางวง แม่ข้าพึ่งตายพวกเอ็งดีใจหาหอกอะไรวะ! เสียงนั้นเต็มไปด้วยความแค้นเคือง สนชักมีดขึ้นจะปีนไปตัดเชือก อย่างน้อยแม่ต้องไม่ตายในลักษณะของการถูกประจานเช่นนี้ พวกเวรนั่นยืนดูตั้งนานไม่มีใครคิดปลดศพแม่ลงมาเลย แต่กิริยาของสนกลับชวนให้เข้าใจว่าเขาคิดชักมีดขึ้นมาทำร้ายคนอื่น ทำใจเสียเถอะสน คนตายยังไงก็ไม่ฟื้นคืนมาหรอก พ่อเทิดยุดแขนเขาไว้พลางปลอบโยน เรื่องของข้าเอ็งอย่าเสือก! สนร้อง พึ่งนึกได้ภายหลังว่าตนพลั้งปากไปกับคนที่ไม่สมควร ก่อนที่สนจะทันกล่าวอะไรต่อไอ้เยื้องลูกชายโทนของพ่อเทิดก็แหลมขึ้นมาอย่างมีอารมณ์เหมือนกัน เฮ้ย ถึงเอ็งจะเสียใจอย่างไรก็ไม่ควรพูดจากับพ่อข้าอย่างนั้นนะโว้ย อย่าไปโทษมันเลยเยื้อง พ่อมันพึ่งแทงตัวตายไปหมาดๆ คราวนี้ยังจะต้องมาเสียแม่ไปอีกมันย่อมโศกเศร้าจนขาดสติบ้างเป็นธรรมดา พ่อเทิดกล่าวด้วยเสียงสงบและใจเย็น แต่ในฐานะพ่อบ้านข้าขอสอนเอ็งไว้อย่างนะไอ้สน ขึ้นชื่อว่ามนุษย์เราน่ะต่างมีกรรมด้วยกันทั้งนั้น เราจึงต้องเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเหล่านั้นให้หมดไป ที่เราเกิดมาชีวิตที่ต่ำต้อยและทรมานเพราะชาติก่อนเราทำกรรมไว้มากที่สุด ทั้งพ่อและแม่เอ็งต่างทำบุญจนกระทั่งถึงจุดอิ่มตัวจึงได้สละชีพนี้ไปเกิดในที่สูงๆนับเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว ...แต่ หากเอ็งไม่เชื่อข้าเอ็งลองดูสีหน้าแม่เอ็งสิ ดูว่าแม่บัวตายด้วยสีหน้าอย่างไร คนผูกคอตายก็ต้องตาเหลือกและลิ้นจุกปากเป็นที่น่าสยดสยองน่ะสิวะ สนเคือง จะให้เขาจ้องดูสภาพนั้นของแม่ได้อย่างไร แต่เนื่องจากคนพูดเป็นพ่อเทิดเขาจึงค่อยๆเงยขึ้นไปมองหน้าแม่ของตนตามคำสั่ง และแล้วชั่วนาทีนั้นสนพึ่งสังเกตว่าแม้ไร้วิญญาณแต่แม่บัวขณะนี้มีใบหน้าที่ผุดผ่องสดใสยิ่งกว่าตอนมีชีวิตเสียอีก รอยยิ้มของนางอิ่มเอิบเปล่งปลั่งแสดงว่าตายอย่างเป็นสุขอย่างยิ่ง แม้สนเองก็ไม่ใคร่จะเคยเห็นรอยยิ้มของมารดาที่นุ่มนวลขนาดนี้มาก่อน หากรอยยิ้มอันอบอุ่นนั้นทำเขาปวดร้าวและสับสน แม่ช่างงดงามจริงๆ เขาคิด เอ็งเห็นหรือยังล่ะว่าแม่ของเอ็งเป็นสุขเพียงไร นี่ละคือใบหน้าของคนซึ่งอิ่มบุญกำลังจะไปมีชีวิตอย่างสุขสบายในภพหน้า พ่อเทิดกล่าวช้าๆชัดๆ ความโกรธน่ะมันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นทั้งนั้น เอ็งลองหัดยับยั้งใจเอาไว้แล้วพิจารณาดูเถอะว่าชีวิตก็มีแค่นี้เอง ที่ชาตินี้พวกเราไม่สบายเหมือนเขาเพราะเราทำบุญมาน้อยกว่าเขา ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะน้อยเนื้อต่ำใจหากแต่ควรตั้งหน้าตั้งตาประกอบสัมมาชีพและอยู่ในศีลในธรรมเพื่อที่ชาติหน้าเราจักได้เกิดในวรรณะสูงๆและมีอำนาจ ยศฐาบ้าง แม้กระนั้นการฆ่าตัวตายเพื่อหนีชีวิตในชาตินี้ก็เป็นความคิดที่ผิด เพราะมนุษย์เราเกิดมาชาติหนึ่งๆเพื่อใช้กรรม ไม่มีใครหนีกรรมได้หากชาตินี้ไม่ใช้ชาติหน้าก็ต้องไปเกิดใหม่เพื่อใช้กรรมเดิมต่อไปอีก ข้าจึงหวังเหลือเกินให้การกระทำเช่นนี้ไม่เกิดขึ้นอีกในหมู่บ้านเรา ส่วนการจากไปของพ่อแสงและแม่บัวพ่อแม่ของไอ้สนเป็นกรณีพิเศษเท่านั้นที่ทั้งสองทำบุญจนบาปเบาบางแล้วจึงไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ในชั้นนี้อีก หัวหน้าหมู่บ้านมองไปทางสน สงสารแต่ไอ้สนที่กลายเป็นคนไร้ญาติโดยไม่มีความผิด เอาอย่างนี้เห็นแก่ที่พ่อแม่เอ็งเป็นคนดีคอยช่วยเหลือทางวัดเป็นประจำ หากเอ็งไม่รังเกียจข้าจะดูแลจัดงานศพให้แม่เอ็งอย่างสมฐานะเอง ส่วนเรื่องการกินอยู่เอ็งขาดเหลืออะไรก็มาขอพึ่งพิงบ้านข้าได้ สนไม่ตอบอันใด เพียงมองหน้าแม่ของเขาด้วยอาการเหม่อลอย ... ... ... หลังจากนั้นผ่านมาสามเดือนเกิดคดีฆ่าตัวตายอีกสองครั้งจนพ่อเทิดปวดหัวไม่น้อย แต่สำหรับสนแล้วการเปลี่ยนแปลงในโลกภายนอกจะเป็นอย่างไรกลับไม่สำคัญอีกต่อไป เขามักจะมานั่งเก็บตัวอยู่บนต้นมะม่วงใหญ่ท้ายหมู่บ้านและใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันขลุกอยู่บนต้นไม้ หากหิวก็เด็ดผลมะม่วงเป็นอาหาร หากง่วงก็หลับนอนบนนั้น ความจริงเขาปลีกตัวเช่นนี้มาตั้งแต่การจากไปของพ่อแสงแล้ว เมื่อสูญเสียแม่บัวอีกคนสนก็แทบจะไม่เสียเวลาลงมาอีกยกเว้นลงมาจับสัตว์บ้างเมื่อถึงเวลาจำเป็นจริงๆ สนกำลังคิด คำกล่าวของพ่อเทิดในงานศพแม่บัวยังดังก้องในหูเขาไม่หาย อันว่าพวกเรานิษาทนั้นแม้จะป็นชาวป่าชาวดอยแต่เราก็ควรพอใจในสิ่งที่เราเป็น เพราะเราคือส่วนหนึ่งแห่งครรลองของสังคมอันประเสริฐ พวกเจ้าคงอยากทราบว่าสังคมอันประเสริฐคืออะไร? อันว่าสังคมอันประเสริฐนั้นเปรียบเสมือนฝูงมดในรัง มดทั้งหลายเหล่านี้จำพวกหนึ่งมีหน้าที่หาอาหาร จำพวกหนึ่งมีหน้าที่ป้องกันรังจากมดอื่น จำพวกหนึ่งมีหน้าที่เป็นนางพญาปกครองรังและสืบทายาท แต่ไม่ว่าจะมีกี่จำพวกมดทั้งหลายต่างทำหน้าที่ของตนอย่างสุดกำลังความสามารถเพื่อบรรลุจุดประสงค์เดียวกันซึ่งคือการนำพารังของตนให้เจริญรุดหน้าไปเรื่อยๆ และเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดนี้มดแต่ละตัวต่างพัฒนาร่างกายตลอดจนสติปัญญาขึ้นมาให้แตกต่างกันตามหน้าที่ของตนที่ถูกกำหนดมาแต่กำเนิด ดังจะเห็นได้จากมดงานมีง่ามฟันที่แข็งแรงเพื่อใช้แรงงาน และมดนางพญามีมดลูกอันโตใหญ่สำหรับสืบเผ่าพันธุ์ สังคมมนุษย์ก็แบ่งภาระกันเป็นสัดส่วนเช่นนี้ แผกไปเพียงเราประเสริฐกว่ามดเพราะมีเรากรรมเป็นเครื่องกำหนด คนที่ทำกรรมดีแต่ชาติปางก่อนจักได้กำเนิดในวรรณะสูงและมีชีวิตที่สุขสบาย คนมีบาปจักเกิดในวรรณะต่ำหรือไม่มีวรรณะต้องอยู่อย่างลำเค็ญนี้เป็นเรื่องปกติ ที่สำคัญคือทุกคนต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันและต่างมีหน้าที่ของตนให้รับผิดชอบ หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งจะทำให้ครรลองของสังคมไม่อาจดำเนินต่อไปได้ สังคมนี้ไม่อาจขาดพวกเราได้พอๆกับที่ไม่อาจขาดวรรณะกษัตริย์ ดังนั้นเราจึงควรพอใจในหน้าที่อันสำคัญนี้และตั้งตนเป็นคนดีของสังคมเพื่อในภพหน้าจะได้เกิดในวรรณะสูงเป็นการตอบแทน คำที่พ่อเทิดกล่าวนั้นสนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เขาทราบเพียงว่าที่นอกป่านั้นมีเมืองใหญ่เมืองหนึ่งเป็นศูนย์รวมของสังคมที่เขาอยู่ ที่นั่นมีคนมากมายแบ่งได้เป็นสี่วรรณะ คือวรรณะพราหมณ์ที่เป็นนักบวช วรรณะกษัตริย์ที่เป็นนักรบ วรรณะแพศย์ที่เป็นพ่อค้าและวรรณะศูทรที่เป็นผู้ใช้แรงงาน พวกเขาชาวนิษาทจัดเป็นจัณฑาลหรือคนไม่อยู่วรรณะใดๆทั้งสิ้นซึ่งเป็นชนชั้นที่ต่ำต้อยที่สุด มีหน้าที่ต่อสังคมคือการล่าสัตว์ป่าแล่เป็นเนื้อไปขายให้ชาวเมืองบริโภคโดยแลกเปลี่ยนกับข้าวหญ้าหรือลูกปัดสีสวยเล็กๆน้อยๆและการได้รับการปกป้องคุ้มครองจากอะไรสักอย่าง บางครั้งชาวเมืองจะนำปศุสัตว์ที่ตนเลี้ยงมาส่งให้นิษาทฆ่าชำแหละเนื้อเช่นกัน เหตุผลในกรณีนั้นคือเพราะชาวเมืองบางคนถือหนักหนาว่าการฆ่าสัตว์นั้นเป็นบาปใหญ่หลวงไม่อาจกระทำเองได้จึงต้องให้นิษาทเป็นคนจัดการ เพราะพวกนิษาทมีบาปมากอยู่แล้วหากทำบาปเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ทั้งหมดเป็นไปตามครรลองที่ถูกต้อง ใช่มันต้องถูกต้องสิ พ่อเทิดก็กล่าวเช่นนั้น ชาวป่าอย่างเขาจะรู้อะไรไปได้มากกว่าคนฉลาดอย่างพ่อเทิดเล่า สนพยายามอธิบายกับความรวนเรในจิตใจตนเองที่เกิดขึ้นหลังจากการสูญเสียพ่อแม่ขณะที่จ้องมองรถเนื้อลากออกจากหมู่บ้านไป ทุกเดือนหมู่บ้านเขาต้องส่งรถเนื้อเช่นนี้ไปให้พวกในเมืองสิบคันเป็นประจำ พ่อเทิดมักเน้นย้ำว่าหากขาดแม้สักเดือนหนึ่งเท่ากับทำผิดครรลองสังคมนับเป็นบาปใหญ่หลวง ทุกคนจึงไม่กล้าขัด แม้จะเป็นฤดูแห้งแล้งอย่างไรก็เพียรล่าสัตว์ใหญ่น้อยร่วมไปให้ได้บางคราวถึงกับส่งส่วยจนครอบครัวตนเองไม่มีอันจะกินอดอยากตายไปไม่น้อย ชีวิตเหี่ยวแห้งที่ต้องดิ้นรนอย่างไร้ความหวังเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ระยะหลังนี้มีนิษาทหลายคนทนชีวิตลำเค็ญไม่ได้ชิงฆ่าตัวตายไปด้วยเหตุผลเดียวกันคือปราถนาจะไปเกิดในภพหน้าที่ดีกว่า ทั้งหมดเป็นสิ่งถูกต้องแล้ว สนยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวจึงตัดสินใจไม่คิดอีก ขณะนั้นเองเสียงๆหนึ่งร้องเรียกเขา เฮ้ น้องชายขึ้นไปทำอะไรอยู่บนนั้น ผู้พูดเป็นชายขอทานท่าทางป้ำๆเป๋อๆ แต่งกายสกปรกขาดวิ่น ข้างกายเขามีชายร่างใหญ่ชนิดที่สนไม่เคยเห็นมาก่อนยืนอยู่ด้วยท่าทางเยือกเย็นจนน่ากลัว ทั้งสองต้องไม่ใช่ชาวหมู่บ้านนี้แน่นอน และยิ่งดูไม่เหมือนพวกที่พาสัตว์มาให้ฆ่าด้วย แต่คนต่างถิ่นพวกอื่นจะมาที่นี่ทำไมล่ะ สนนึกไม่ชอบมาพากลจึงแสร้งทำเป็นฟังไม่รู้เรื่องเสีย น้องชายกำลังมีความทุกข์สินะ ชายขอทานกล่าวคล้ายกับว่ามันเป็นหมอดู แต่การหนีไปนั่งอยู่บนต้นมะม่วงนั่นไม่ช่วยให้พ้นจากอะไรหรอก ต้นมะม่วงที่แท้จริงของน้องชายยังอยู่อีกห่างไกลนัก ห่างไกลนัก ห่างไกลนัก ฮาฮาฮา คราวนี้สนฟังไม่รู้เรื่องจริงๆจึงทำหูทวนลมได้อย่างสบายใจ ชายขอทานก็ไม่รบกวนอีกแต่ยังพึมพำเพลงบ้าๆบอๆอะไรสักอย่างขึ้นมา เรื่องใหญ่กำลังจะเกิดแล้ว เทวดาก็ยังหลุบหัวแต่บนวิมาน สมุทรจะกลืนแผ่นดิน แผ่นดินจะถล่ม พระอินทร์ก็ยังปิดตาวิ่งไล่นางอัปสรอยู่บนสวรรค์ แล้วอีกสามภพจะทำอย่างไร มนุษย์จะทำอย่างไร สัตว์ไร้ความผิดจะทำอย่างไร ร้องซ้ำไปซ้ำมาสักครู่หนึ่งขอทานบ้าจึงนำชายร่างใหญ่เดินเข้าหมู่บ้านไปเอง เพลงที่เหมือนมีความหมายเหมือนไม่มีความหมายนั้นทำให้สนหลากใจ แต่เขาต้องก็เลิกคิด เพราะเห็นแล้วว่าตนมีนิสัยเสียคือชอบคิดมากเกินไป.............. (อ่านต่อ) หมายเหตุแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมแต่งเรื่องนี้มาจากการที่วันหนึ่ง ผมเดินไปเห็นการ์ดเด็กเล่นที่มีรูปประกอบเป็นตัวละคร ต่างๆของนิยายแฟนตาซีฝรั่งเช่นตัวออร์ค ตัวเอฟเป็นอาทิ ตัวผมเองนั้นมีพื้นฐานเป็นผู้ชื่นชอบนิยายแฟนตาซีอยู่แล้ว และได้เคยอ่านตำนานเทพนิยายของชาติฝรั่งมาหลายชาติ (แม้แต่นิยายกำลังภายในซึ่งผมถือเป็นแฟนตาซีจีนผมก็ชอบมาก) และเช่นเดียวกันหากมีผู้ใดแต่งนิยายแฟนตาซีลงในนี้ ในสมุดบันทึกฝันหรือที่ใดๆก็ตามที่ผมหาเจอ อย่าห่วง เลยว่าผมจะไม่อ่านแม้จะไม่ค่อยโผล่มาวิจารณ์ก็ตาม หากในหะแรกที่ดูการ์ดนั้นความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาใน หัวผมบอกว่าทำไมไม่มีใครแต่งนิยายแฟนตาซีแบบ ไทยบ้าง ผมใช้เวลาคิดเรื่องนี้อยู่นานพอสมควร ในที่สุดจึงตัดสินใจแต่งเองจากแรงบันดาลใจดังกล่าว ผมใช้เวลาศึกษาสภาพแวดล้อมของโลกเทพนิยายไทย อยู่เป็นเวลาพอสมควร โดยอ่านเอาจากหนังสือดังนี้
ด้วย ultimate goal (ซึ่งออกจะเกินตัว) ที่ต้องการพัฒนา นิยายแฟนตาซีไทยแบบใหม่ที่ไม่ใช่แนวจักรๆวงศ์ๆ "ศึกหกภพ"จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ เชษฐา |